ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ปูทะเลนี่มันมาจากเรื่อง พระมหาชนก ที่นางมณีเมขลาอุ้มพระมหาชนกไปไง คราวนี้พระมหาชนกพอสัมผัสเนื้อที่เป็นทิพย์ของนางฟ้าเข้า ก็เลยเคลิ้มหลับ นางมณีเมขลาท่านก็สั่งว่าไปแล้วก็ให้ตั้งโพธิยาวิชชาลัยคือวิทยาลัยแหล่งรวมความรู้ เพื่อที่จะได้สั่งสอนชาวบ้านเขา
              คราวนี้คนเคลิ้มๆ มันฟังเป็นปูทะเลย์วิชชาลัย (หัวเราะ) ต้องไปดูในหนังสือพระมหาชนกที่ในหลวงแต่ง นั่นแหละตั้งแต่นั้นมาในหลวงท่านก็ใช้คำว่า ปูทะเลย์ มาล้อพวกเราเล่นอยู่เรื่อย
              บ้านตรงนั้นเรียกว่าเมืองลับแล เพราะว่ามันเป็นบ้านที่ไปถามที่ตำบล ที่อำเภอ ที่จังหวัด ไม่มีใครรู้จัก บังเอิญว่าไปเจอคนรู้จักทางเขาแนะนำให้ ก็ย่ำต๊อกเข้าไปเรื่อย มันต้องเดินข้ามเขาไปประมาณ ๖ ชม. ถึงจะไปถึง หมายความว่าสุดทางรถแล้วนะ ประเภทโฟร์วีลลุยไม่ได้แล้ว เพราะเหลือแต่ป่าล้วน ๆ อีก ๖ ชม.
              คราวนี้พอเข้าไปก็ไปทำอะไรบวม ๆ ให้ชาวบ้านเขาเห็นไว้เยอะ เขาก็เลยมั่นใจว่า พระองค์นี้คงจะพอเอาตัวรอดได้ เลยเล่าให้ฟังเรื่องของช้างตัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในน้ำ ก็เลยไป ขอให้เขานำทางไป เจ้าพวกนั้นพาเราไปถึงตรงนั้นมันชี้ที่ให้ก็พากันเผ่นแน่บกันไปหมด เพราะเขากลัวมาก เขาบอกว่าช้างน้ำนี่แค่มันเอางาแทงเงาก็ตายแล้ว แต่ว่าเราไม่ใช่หรอก คนที่เห็นเงาตัวเอง แสดงว่าต้องยืนริมน้ำ ในเมื่อยืนอยู่ริมน้ำช้างโผล่มาตอนไหนไม่รู้มันจิ้มเอาก็ตายซิ ก็เลยล่ำลือถึงขนาดว่าแทงเงาก็ตายแล้ว แต่ว่างาช้างน้ำมันมีอาถรรพ์ เพราะว่าอย่างพวกช้างบกสัตว์ใหญ่ ๆ นี่ มันเคยเดินเป็นด่านช่างประจำที่
              เมื่อกี้บอกว่าว่ามันลึกประมาณครึ่งหน้าแข้งเลย กว้างเป็นวาเลยก็มี ถ้าเอางาช้างน้ำไปขีดกั้นไว้ ช้างมันจะเปลี่ยนด่านไปเลย มันจะไม่ผ่านตรงนั้นอีก พวกบรรดากะเหรี่ยงที่เลี้ยงช้างจะพยายามหางาช้างน้ำให้ได้ ถ้าได้งาช้างน้ำมาเขาจะเอามาทำเป็นลายที่ขอสับมันน่ะ ต่อให้ช้างตกมันก็บังคับอยู่ แต่ว่าเขาบอกต่อ ๆ กันมาว่า ถ้าพกงาช้างน้ำอยู่ในลักษณะนั้นอย่าขี่ช้างต่อเนื่องกัน ถ้าขี่คอช้างต่อเนื่องกันอำนาจของงาช้างน้ำ จะทำให้ช้างตัวนั้นเฉาตายเร็ว มันแบบโดนข่มอยู่ตลอดเวลา
              ทีนี้ของเรา ก็ไปดูไปอะไรจนกระทั่งพออกพอใจก็ออกมา เสียดายตอนั้นไม่มีกล้อง ยิ่งถ้ามีดิจิตตอลอย่างสมัยนี้ล่ะพ่อจะปั้นรูปเจ๋ง ๆ มาให้ดูเลย แล้วหลังจากนั้นประมาณ ๓-๔ ปี ถึงได้เริ่มมีข่าวที่ว่าพบช้างน้ำที่ในทุ่งใหญ่ แล้วหลังจากนั้นอีกปีกว่า ๆ เจ้าของร้านรุ่งโรจน์ภัณฑ์ ที่ทองผาภูมิได้มาตัวหนึ่งเป็น ๆ ต้องปิดร้านหนีเลย เพราะว่าทั้งชาวบ้านทั้งหนังสือพิมพ์ ทั้งโทรทัศน์แห่กันไป เขาเชื่อว่ามันนำโชคลาภมาให้ ดังนั้นตัวหนึ่งเขาเลยขายกันเป็นแสนเป็นล้าน แล้วอะไรที่มันเห่อปั๊บ คนไทยปลอมได้ปุ๊บเลย (หัวเราะ) แล้วรายล่าสุดที่ออกมาว่าจะขายงาช้าง ๕๐๐ ล้าน ไอ้นั่นก็บ้าเกินไป คู่หนี่งขายได้ซักแสนก็บุญตายชักแล้ว
      ถาม:   อันนั้นจริงมั้ยครับ (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ก็เคยเห็นที่ท่านชาติชายเขาเก็บไว้ ๓ คู่ ก็แปลว่า ๖ ข้าง ลักษณะคล้าย ๆ อย่างนั้น แต่ความโค้งไม่อย่างนั้น ขนาดใกล้เคียงกันหมด
      ถาม:   แล้วทำไมชาวบ้านถึงได้พบศพช้างอยู่ในน้ำ ?
      ตอบ :  พวกนี้อาศัยอยู่ใต้น้ำ ใครจะไปรู้มันตายยังไง มันอาจจะตายเพราะหมดอายุขัยแล้วลอยตามน้ำไป หรือว่าตายเสร็จโดนสัตว์อื่นกินไปก็ไม่รู้ ตอนที่ไปดูอยู่มันก็เอามาวางล่ออยู่ตรงปากทางว่าเราจะเอามั้ย ? เราก็แค่เอาด้ามกลดช้อนขึ้นมาดู พอเห็น เออ...สีมันขาวสวยดี ขาวเหลืองเหมือนงาทั่ว ๆ ไปนี่แหละ
              คราวนี้เป็นพระไปธุดงค์ด้วย บอกแล้วว่าถ้าเจ้าของไม่ได้บอกออกปากให้ แม้แต่ทรายเม็ดเดียวก็ไม่เอาออกมาก็โยนคืนมันไป แต่ท่านชาติชายแกโซ้ยมาซะ ๓ คู่ (หัวเราะ) ตอนอยู่ด้วยกันที่เกาะพระฤๅษีดูของแกมาหลายทีเหมือนกัน
      ถาม:   เป็นอุบายให้คนทำบุญ
      ตอบ :  อันนั้นมีส่วนอยู่ แต่ว่าที่แน่ ๆ คือสมัยก่อนทำยาก ถนนหนทางลำบากไปหมด คุณต้องไปชักลากไม้ในป่ามา กว่าจะออกมาได้แต่ละท่อนเป็นเดือนเป็นปี กว่าจะได้ขึ้นมาครบถ้วน กว่าจะสร้างขึ้นมา โน่นแน่ะ...ส่วนใหญ่คนเราจะมีหลักฐานมีเงินทองพอที่จะสร้างได้มันต้องวัยกลางคนไปแล้ว ยิ่งมาเจอประเภททำนาน ๆ กว่าจะเสร็จอีก เสร็จก็ตายพอดี หรือไม่ก็ตายเสียก่อนเสร็จ
      ถาม:   ทำพิธีตัดบุญออก ?
      ตอบ :  ทำได้จ้ะ คือได้ทำ เรื่องตัดบุญออกไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดเขาหรอก ใครทำใครได้ ต้องการหรือไม่ต้องการก็ได้อยู่แล้ว เรื่องพวกนี้เราฟังแล้วใช้ปัญญาตรองดู ปัญญาพื้น ๆ แค่นั้นก็พอว่ามันเป็นไปได้ไหม ? ถ้าเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ก็อย่าไปเชื่อ ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อไปทั้งหมดก็พาเรายุ่ง
      ถาม:   สมัยก่อนสร้างหลวงพ่อทันใจคงง่าย ?
      ตอบ :  ก็ลองดูสิ สมัยก่อนกว่าจะหล่อพระได้สัก ๑ องค์ เรี่ยไรทองเหลืองกันเป็นปี หลาย ๆ ปี เรี่ยไรกันข้ามภาคข้ามจังหวัดกันน่ะ แล้วกว่าจะเอาเรือลากเรือจูงมาเพียงพอที่จะหล่อได้ คิดดูสิ โน่นก็ขัน นี่ก็จอก ไอ้นั่นก็ตะบันหมาก กว่าจะรวมได้สัก ๒ คัน ๓ คัน ต้องใช้ของมากเท่าไร คนเรี่ยไรจะตายเสียก่อน ไม่ใช่คนทำ
      ถาม:   หลวงพ่อทันใจหล่อด้วยอะไร ?
      ตอบ :  แล้วแต่จ้ะ ขอให้ทำให้เสร็จภายใน ๑ วันเท่านั้น
      ถาม:   ถ้ามีเงินก็ได้เลย
      ตอบ :  ได้เลย ก็นี่แหละ สังฆทานสร้างพระอยู่ทุกวัน เพราะเรายกพระมา ๑ องค์ สิทธิ์ของเราอยู่แล้ว
      ถาม:   วิกาละโภชนา พระกับฆราวาสต่างกันไหม ?
      ตอบ :  ถ้าฆราวาส หลวงพ่อท่านบอกว่าส่วนใหญ่แล้วทำงานมันเลิกเที่ยง ท่านบอกว่าให้กำหนดไว้ว่าไม่เกินบ่าย ๒ โมง แต่ว่าของพระนี่...ถ้าเที่ยงตรงเป๊งก็ต้องเลิกเลย เพราะโลกมันนิยมอย่างนั้น ความจริงวิกาลแปลว่ากลางคืน ศีลพระมีอยู่ ๒ ข้อ ที่กล่าวชัด ๆ ถึงเวลาวิกาล ก็คือรับประทานอาหารในเวลาวิกาลอย่างหนึ่ง และเข้าบ้านในนเวลาวิกาลโดยไม่ได้บอกลาอย่างหนึ่ง
              แต่คราวนี้ของเรา เวลาวิกาลที่ไม่ได้บอกลาจะเข้าไปในบ้าน เขาตีว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่ว่าเวลาวิกาลที่ฉันอาหาร เขาตีว่าหลังเที่ยงไปแล้ว มันลักลั่นกัน แต่พม่ามันตีราคาเดียวกัน เพราะฉะนั้น พระพม่าฉันมื้อเย็นกันเพลิดเพลินเจริญใจไปเลย ถือว่าวิกาลเหมือนกัน แต่จริง ๆ เราต้องมาดูตรงจุดที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านปรารถนาให้เรารู้จักโภชเนมัตตัญญุตา คือ ประมาณในการกิน การรู้จักประมาณในการฉันแต่พอควรแก่ธาตุขันธ์ตัวเอง มันก็ไม่ทำให้กิเลสกำเริบ มันทำให้ร่างกายโปร่งเบา มันทำให้ภาวนาได้ง่าย มันทำให้ไม่ต้องมีห่วงมีกังวลในการเตรียมอาหารมื้อต่อไป ดังนั้นแม้ว่าฆราวาสเราจะว่ากันจนถึงบ่าย ๒ โมง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เรากินตั้งแต่เช้ายันบ่าย ๒ โมง มันต้องรู้จักประมาณบ้าง
              สมัยก่อนมีโยมอยู่คนหนึ่ง ชุดนี้ทำงานเก่ง เวลาไปวัดท่าซุง คุณจะเห็นชุดขาวพรึ่บไปทั้งชุด ๓๐ – ๔๐ คนเลย มีอยู่รายหนึ่งถือศีลแปด อธิษฐานว่าจะกินถึงบ่าย ๒ โมง ปรากฎว่ากินวันหนึ่ง ๑๐ กว่ามื้อ ตกลงว่าให้กิน ๓ มื้อเท่าเดิมดีกว่า เปลืองน้อยกว่าเยอะเลย ต้องรู้จักประมาณในการกิน ไม่ใช่ว่าตะบันไป ให้มันเป็นมื้อเป็นคราว
      ถาม:   ไอศกรีม ?
      ตอบ :  ไอศกรีม จริงๆ ถ้าหากว่าเป็นพระ ไม่มีพวกถั่ว ลอดช่อง สาคู มันเป็นแค่นมเนยมันได้ แต่หลวงพ่อท่านเคยขอไว้ ท่านบอกว่าถ้าไม่ถึงกับจะตายห่าจริง ๆ อย่าไปแดกมันเลยลูก มันน่าเกลียด คือเห็นพระนั่งกินไอติมอยู่ มันงามไหมล่ะ ? โดยเฉพาะตอนเย็น ๆ แต่ว่าศีลของพระเป็นอย่างนั้น คราวนี้ของโยมเขาไม่ได้ห้ามเอาไว้ชัด ถ้าเรารู้ชัดว่ามันไม่ใช่อาหารก็ว่าไป แต่ไม่ใช่กินไป ๓ ถ้วย ๕ ถ้วย เอามันแค่พอระงับการกระวนกระวายของร่างกายที่จะเกิดจากความหิว
      ถาม:   น้ำเต้าหู้ ?
      ตอบ :  น้ำเต้าหู้ ถ้าพระไม่ได้จ้ะ แต่โยมได้ เพราะว่าของพระเขาระบุไว้ชัดเลยว่าอันไหนเป็นอาหาร อันไหนเป็นเภสัช ส่วนที่เป็นอาหารเขาระบุไว้ชัดเลย สาลี วีหี ตัณฑุลา สาลีคือข้าว วีหีคือถั่ว ตัณฑุลาคืองา น้ำเต้าหู้นี่มันมาจากถั่ว ถึงทำเป็นน้ำแล้วเขายังถือว่าเป็นอาหารอยู่ เพราะฉะนั้นพวกน้ำเต้าหู้ น้ำถั่วเหลือง แลคตาซอย ไวตามิลค์ ถวายพระไป ถ้าท่านไม่รู้ท่านฉันไปก็เป็นโทษเหมือนกัน
              แต่มาตอนหลังมันถวายกันจนกระทั่งพระไปไม่เป็นแล้ว คือไม่ว่ากี่มื้อถวายแต่อย่างนั้น แล้วเขาถามว่ายังไง ? บอกคุณก็ฉันไป ๑ แก้วก็พอ ไม่ใช่ฟาดไป ๓ ขวด ๕ ขวด มันต้องรู้จักประมาณ ในเมื่อโยมเขาถวายมา ถ้าเราไม่ฉัน เขาก็เกิดน้อยใจ เสียใจ กำลังใจเขาตก คุณก็ฉันให้เขาดูสักแก้ว ครึ่งแก้ว แล้วเราก็ไปปลงอาบัติของเรา เพราะเรารู้ว่าไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่เจตนาเราจะฉันเอาอิ่มเอาสนุกจะกินให้อ้วนพี จะกินให้ยั่วกิเลสมันเกิดขึ้น แต่ว่าการฉันโดยบังคับด้วยสถานการณ์เพราะต้องการรักษาศรัทธาญาติโยม แต่ถ้าเป็นอาตมารับมา ก็ส่งต่อไปเลย อาตมาไม่ค่อยรักษาศรัทธาหรอก มันมาเยอะ เราเหนื่อย
      ถาม:   ไอศกรีมไม่ต้องเคี้ยว
      ตอบ :  จริง ๆ มันเป็นส่วนของนมเนย พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ถ้านมเป็นเนยเฉย ๆ ไม่เป็นไร แต่ก็อย่างว่าน่ะ ที่หลวงพ่อท่านว่ามันน่าเกลียด ถ้าเป็นโยมกินไปเถอะ เพราะเขาไม่รู้หรอกว่าเรารักษาศีลแปดหรือเปล่า ยกเว้นเราโกนหัวนุ่งขาวห่มขาว
      ถาม:   ไอศกรีมกะทิก็ห้ามด้วย
      ตอบ :  ก็ดูสิว่ามันจะไม่มีของอื่นที่เป็นอาหารอยู่ ถ้าหากว่ามีพวกผลไม้มีลอดช่อง มีถั่ว ก็ฉันไม่ได้อยู่แล้ว จริง ๆ กะทิเป็นน้ำมัน ที่เขาห้าม คือ ห้ามน้ำพวกที่เป็นมหาผล ที่เขาห้ามเพราะว่าน้ำมันมีฮอร์โมนมาก เป็นพระต้องการความสงบ กินไอ้ที่มีฮอร์โมนเยอะ ๆ เข้าไป มันหาที่ไปไม่เป็นหรอก
      ถาม:   น้ำผลไม้ก็ไม่ได้ ?
      ตอบ :  น้ำผลไม้เขาห้ามไอ้ที่ใหญ่กว่ากำปั้น ส่วนใหญ่พวกสับปะรด แตงโม ส้มโอ มะพร้าวอ่อน ฮอร์โมนเยอะมาก ฉันเข้าไปจะไม่สุขสงบ แรก ๆ ท่านอนุญาตไว้ ๘ อย่าง เรียกว่า อัฏฐบานคือ อัฏฐปานะ น้ำ ๘ อย่าง มาตอนหลังท่านบัญญัติเพิ่มเติมว่า ถ้าเป็นผลไม้แล้วโตไม่เกินลูกมะตูม คือกะว่าประมาณกำปั้นนี่ ถ้าไม่โตเกินนั้นก็อนุญาตให้ ถ้าโตเกินนั้นไม่อนุญาต