ถาม:  การขอขมาพระรัตนตรัย
      ตอบ:   การขอขมาพระรัตนตรัย เป็นการปลดใจเราเองจากกรรมอันนั้น พระรัตนตรัยไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเราอยู่แล้ว เพียงแต่เรารู้สึกเบากายเบาใจว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่ควรแล้ว ในเมื่อจิตมันปลดออกจากตัวนั้นก็สามารถที่จะไปต่อได้ ก็หมายความว่ามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้ ถ้าตราบใดที่ยังปลดมันไม่ออก แคะมันไม่ออกก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น
      ถาม :  ไม่ชัด
      ตอบ:   มีอะไรบ้าง พูดชวนให้รักษาศีล ชวนให้เจริญสมาธิ ชวนให้ภาวนา ชวนให้ออกจากกาม ชวนให้คลายกำหนัด ชวนให้คลายความอยากตาย...กระดูกทั้งแท่งเลยใช่ไหม ? กถาวัตถุ ๑๐ ประการ ไปเปิดดูในตำรา นวโกวาทหรือว่าธรรมวิภาคของนักธรรม เขาสอนเอาไว้แต่บอกตรง ๆ ว่ากระดูกทั้งแท่ง ตราบใดที่เรายังไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ต้องดูเจตนาท่านด้วย เพราะสติท่านสมบูรณ์กว่าเรา บางทีเห็นเราเครียด ๆ ท่านก็แหย่ให้เราหัวเราะ ท่านพูดนอกลู่นอกทางไปเหมือนกัน แต่ว่าท่านจะไม่ไปยาว พอคลายเครียดเราได้ท่านก็เลี้ยวกลับที่เดิม ส่วนใหญ่พวกเราไปแล้วออกทะเล หาฝั่งไม่เจอ กลับไม่เป็น
      ถาม :  ไม่ชัด
      ตอบ:   ไม่ประหลาดหรอก พวกมันทั้งหมดทำตัวประหลาดจากเรา สมัยอาตมาเป็นทหารไง นักเรียนทหารก็อยู่ร่วมกัน เขาจะจัดเป็นที่นอนยาว ๆ เป็นโรงนอนอยู่จะเป็นแถว แถวละ ๑๕ คน โรงนอนละ ๔ แถว ก็ ๖๐ คน รุ่นของอาตมา ๑๒๓ คน ก็ต้อง ๒ โรงนอน ทั้งหมดก็ประเภทกิน เที่ยว เล่น ครบถ้วนสมบูรณ์ มีเราบ้าอยู่คนเดียวไม่ทำอย่างเขา พวกก็ประเภทด่ามั่ง ว่ามั่ง ไอ้หน้าอย่างเอ็งทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง ไปหาผ้าถุงผู้หญิงมานุ่งไป๊ เรื่องอะไรเราจะให้มันด่าเราฝ่ายเดียว เราก็ด่ามันคืน บอกเขาว่าไอ้ความชั่วทั้งหมดที่ว่ามาไม่ใช่เราทำไม่เป็น ถ้าเราทำ เราทำได้ดีกว่าเขาด้วย แต่ที่ไม่ทำเพราะว่าเห็นโทษของมันแล้ว ไอ้กำลังใจห่วย ๆ แค่นี้เอ็งยังไม่สามารถที่จะรักษาได้ หลีกหนีจากความชั่วมาได้ พวกเอ็งทั้งหมดนั่นแหละควรไปหามานุ่ง ไม่ใช่ข้าหรอก ตกลงเราคนเดียวด่ามันทั้งกองร้อย แต่หมายความว่าเราต้องมั่นคงจริง ๆ นะ กำลังใจเราพร้อมจริง ๆ ถึงขนาดนั้นก็ตามปรากฏว่าทั้งหมดมันก็ทิ้งเราไม่ได้ ถึงเวลามันก็เลือกเราเป็นหัวหน้านักเรียน ถึงเวลาเดือดร้อนเรื่องอะไรมันต้องวิ่งมาหาเรา เพราะเราสอบได้ที่ ๑ ประจำ มันไม่ง้อเราก็ไม่ได้ อีกอย่างเราก็ไม่ได้คัดค้านเขาโดยตรง เขาจะกินเราก็ไปกับเขาด้วย มันกินเหล้าเราก็กินกับ มันเมากลับไม่ไหว เราก็แบกมันกลับ ถึงเวลามันไปเที่ยวซ่อง เราก็นั่งเฝ้าหน้าห้องให้มัน มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ
              เราไปกับเขาได้หมด เพียงแต่ว่าเราไปแค่กรอบของศีล พอชนกรอบปุ๊บ เราเลี้ยวกลับ เราไม่ไปกับเขาด้วย จริง ๆ แล้วมันไปกับเขาได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าอย่าให้ละเมิดศีลก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นคนบ้าอย่างมีสติ หรือที่เขาเรียกว่า “เมาดิบ” นั่นน่ะมันหนักกว่าคนเป็นจริงอีก คือโค้กแก้วเดียวชนแก้วกับเขาทั้งงาน แล้วแถมยังเสียงดังกว่าด้วย แกล้งเมาบ้ากว่าของจริงเยอะ
              การที่เราสอนผิดจากพระพุทธเจ้าสอน คนที่ทำตามก็มีโทษ ในเมื่อคนที่ทำตามมีโทษ เขาต้องลงนรก การที่เราลงนรกไม่ได้หมายความว่าเราลงแค่ขุมเดียว แค่ครั้งเดียว แค่โทษอันนั้น แต่เขาจะเหมาของเก่าทั้งหมดที่คุณเคยทำและยังไม่ได้ใช้หนี้มา เพราะฉะนั้นระยะเวลายาวนานเหลือเกินกว่าจะพ้นนรกมาได้ แล้วเศษกรรมก็ต้องมาให้เป็นเปรต หมดเศษกรรมของความเป็นเปรต เราก็ต้องมาเป็นอสุรกาย หมดจากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่ฆ่า หมดจากสัตว์เดรัจฉานแล้ว ถึงจะเกิดเป็นคนได้ ทำให้คนห่างไกลความดีขนาดนั้น ก็เลยโทษหนัก เท่ากับตัดโอกาสของเขาเลย
              อย่างเช่นว่าถ้าเราลงนรกในปัจจุบัน เอาแค่ขุมที่ตื้นที่สุด พระพุทธเจ้าที่เหลืออีก ๖ องค์ภายในภัทรกัปนี้และภัทรกัปหน้าที่จะมาตรัสรู้กันเลยไปแล้วยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย ทำให้เขาเสียโอกาสไปขนาดไหน ? เห็นแล้วใช่ไหมว่ามันหนักเพราะอะไร ?
      ถาม :  ทำอนันตริยกรรมไม่สามารถบรรลุมรรคผล ?
      ตอบ:   ไม่เกี่ยว นับชาตินี้ชาติเดียว หลังจากนั้นก็ไปชดใช้กรรม ถ้าเกิดเป็นคนใหม่มีโอกาสได้บรรลุมรรคผลใหม่
      ถาม :  พระเทวทัต...?
      ตอบ:   พระเทวทัตท่านทำความดีไว้มาก มีคนสงสัยว่าพระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง ต้องรู้ว่าพระเทวทัตจะทำสังฆเภท แล้วทำไมถึงยังรับพระเทวทัตเข้ามาให้ทำสังฆเภทได้ ถ้าหากว่าไม่รับเข้ามา เทวทัตก็ยังคงทำอยู่ดี แต่การที่รับเข้ามาในขั้นต้น พระเทวทัตท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนกระทั่งสร้างอภิญญา สร้างสมาบัติมาได้ กุศลกรรมที่เป็นครุกรรมนี่จะส่งผลให้ท่านกรรมหนักอื่นนั้นน้อยลง ทำให้โทษน้อยลง อีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะโดนธรณีสูบ ท่านกล่าวขอขมาพระรัตนตรัยก่อน ก็เลยโทษเหลือแค่ว่าครบ ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้นก็พ้นแล้ว หมายความว่าเอาแค่อายุศาสนานี่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นอายุอเวจีนั้น ๑ กัป อยู่กันลืมโลกเลย เหลืออีกครึ่งหนึ่งของอายุศาสนาจะพ้นแล้ว
      ถาม :  ทางลัดไปสู่พระนิพพาน?
      ตอบ:   ทางลัดไม่มีจ้ะ การปฏิบัติทุกอย่างทางตรงสั้นที่สุด คือจับอารมณ์พระโสดาบันไปเลย อันดับแรกต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ อันดับที่สอง รักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์ อันดับที่สามตั้งใจเสมอว่าตายแล้วจะไปนิพพาน
              คราวนี้การที่เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน ต้องมีสมาธิควบอยู่ถึงจะทรงตัว ดังนั้น เราจะทิ้งอาณาปานสติ คือการนึกถึงลมหายใจเข้าออกไม่ได้ ต้องนึกอยู่เสมอ เสร็จแล้วก็ทวนศีลอยู่ทุกวัน ศีลทุกข้อของเราวันนี้บริสุทธิ์ไหม ? อันไหนบกพร่องพรุ่งนี้เราต้องแก้ไขให้มันดีกว่าเดิม อันไหนดีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เราจะทำให้ดียิ่งกว่านี้ ศีลทุกข้ออย่าละเมิดด้วยตัวเอง อย่ายุให้คนอื่นเขาทำ อย่ายินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ ต้องทวนอยู่อย่างนี้ตลอดทุกวัน
      ถาม :  คำว่า นิพพาน นึกถึงพระพุทธเจ้า
      ตอบ:   เอาแค่นั้นล่ะจ้ะ ตั้งใจว่านั่นคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหน นอกจากบนพระนิพพาน เราเห็นท่านคืออยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนนิพพาน เอาแค่นั้นพอ คิดว่าเราตาย เราก็ขอไปอยู่กับท่านตรงนั้น ถึงไม่เห็นเลยก็ไม่เป็นไร ให้มั่นใจว่านิพพานอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่นก็ใช้ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติทางลัดไม่มีนะจ๊ะ มีแต่ทางตรง ซึ่งสั้นที่สุด ลองไปลัดดูสิ ทางลัดทางไหนก็ตามมันอ้อมทั้งนั้นแหละ
      ถาม :  มีแสงสว่างที่หน้า คืออาการอะไร ?
      ตอบ:   เขาเรียกว่าโอภาส เกิดแสงสว่างขึ้น มันเป็นอุปกิเลสอย่างหนึ่ง อุปะ แปลว่าใกล้ อุปกิเลส คือใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไปยึดติดกับมันถึงเวลาภาวนาอยากให้มันสว่างอีก ถึงเวลาภาวนาอยากให้เป็นอีก มันก็จะเป็นกิเลสจริง ๆ แต่ถ้าเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจมัน สนใจอยู่แต่องค์ภาวนาของเรา คำภาวนาของเราสนใจอยู่แต่ลมหายใจเข้าออก ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นอุปกิเลสเท่านั้น ถ้าหากว่าจับภาพพระ นึกอยู่แต่ภาพพระ ถ้าจับลมหายใจ นึกอยู่แต่ลมหายใจ ถ้าหากว่าจับลมหายใจพร้อมคำภาวนา ก็เอาแต่ลมหายใจพร้อมคำภาวนา แต่ว่าถ้าจับภาพพระ ก็ต้องเอาลมหายใจควบไปด้วย ภาพพระจะได้ทรงตัว
      ถาม :  มีความทุกข์จัดการอย่างไร ?
      ตอบ:   อยู่กับมันให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แล้วก็ดูให้เห็นว่าทุกข์จริง ๆ มันกินตัวเราหรือมันกินใจเรา แล้วเราโง่พอที่จะเกิดมาทุกข์อย่างนั้นอีกไหม ? ความทุกข์น่ะหาได้ยาก พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างต่ำ ท่านถึงหาทุกข์เจอ แล้วตอนนี้มันโผล่อยู่ตรงหน้าเรา เงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ เพราะถ้าไม่เห็นทุกข์ ก็ไปนิพพานไม่ได้ คุณเอาเงินกี่ล้านไปซื้อนิพพาน เขาถึงยอมขายล่ะ ไม่มีหรอก ของหายากขนาดนั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว รีบกอบโกยไว้มาก ๆ มันทุกข์เท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น กำหนดรู้แล้วกองไว้ตรงนั้น
              เออ... มึงอยากทุกข์ทุกข์ไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์อย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ตายชาตินี้เราก็ไปนิพพานดีกว่า แทนที่เขาจะกลายเป็นไอ้ตัวป่วนของเรา เป็นมารของเรา ไม่ใช่หรอก เป็นตัวบุญตัวกุศลเป็นทองคำทั้งแท่งเลย ปฏิบัติไปนาน ๆ มันจะเพี้ยนแบบนี้แหละ มองโลกคนละแง่กัน อารมณ์ใจแบบนี้ คนไม่เข้าใจ ว่าเราเพี้ยนจริง ๆ นะ อาตมาเดินบิณฑบาตยิ้มแป้นอยู่ทุกวัน โยมก็แซวอยู่เรื่อย อาจารย์ยิ้มได้ทั้งวัน ก็มันสบายใจ จะให้ร้องไห้รึไง ? เดินไปมันก็เดินอยู่บนกองทุกข์ ชาวบ้านที่ใส่บาตรให้เราก็ทุกข์อยู่ ตอนนี้เรามาสงเคราะห์เขา ให้เขาได้สร้างทานบารมี ถึงเวลาทุกข์เขาจะได้น้อยลง เพราะผลทานมันส่งผลให้เราทำหน้าที่ของเราเต็มสติกำลังของเรา
              แต่ขณะเดียวกันก็ลืมไม่ได้ว่าเราก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ ถ้าเราเกิดอีก เราก็ทุกข์อย่างนี้อีก เขาเกิดอีก ก็ทุกข์อย่างนี้อีก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีที่ยึดที่เกาะให้พ้นทุกข์ของเรา เราก็เกาะของเราเอาไว้ ส่วนเขาจะยึดจะเกาะได้แค่ไหนก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของเขา เห็นพระเดินบิณฑบาตยิ้มแป้น นึกว่าพระอยากได้ของของเรา เปล่าหรอก มันใส่บาตรมาครึ่งบาตร กิน ๓ วันก็ไม่หมด แล้วยิ่งอาตมาจานเล็กกะจิ๊ดเดียวเท่านั้น บางทีลูกศิษย์ตักให้ขนาดที่มันกิน เราต้องเทออกเกือบหมด
      ถาม :  จ้องภาพพระ...
      ตอบ:   จริง ๆ ถ้าหากว่าภาพพระไม่ได้หายไป จะอยู่ส่วนไหน ก็กำหนดรู้ไว้ ถ้าท่านเปลี่ยนแปลงจะใหญ่จะเล็กจะขาวจะดำอย่างไร เรารู้ไว้เฉย ๆ กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ บางทีอาจจะเป็นการทดสอบเราว่าสมาธิเราจะเคลื่อนไหม ? ขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราจับภาพอยู่ จากภาพพระนั่ง กลายเป็นพระยืน หรือว่ากลายเป็นปางลีลา คือเดิน หรือว่าเป็นปางไสยาสน์ คือนอน ยังไงก็ตาม ถ้าเราต้องการพุทธานุสติ ก็จับต่อไปได้เลย ใช้ได้เหมือนกัน ลองกำหนดดูว่าถึงท่านให้กลับเข้ามาจุดเดิมได้ไหม ถ้าดึงกลับมาจุดเดิมได้ก็ดึง ถ้าดึงกลับมาจุดเดิมไม่ได้ กำหนดใจสบาย ๆ กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้สายตาหรอก จะไปอยู่ทิศไหนรอบตัว มันรู้ได้หมด เห็นได้หมดเหมือนกัน
      ถาม :  ถ้าเราพลีชีพ อธิษฐานว่าตายขอไปนิพพาน ไปได้ไหม ?
      ตอบ:   ไปได้ ก็คุณไม่ห่วงร่างกาย ขนาดยอมตาย ตัดมันทิ้งได้เลยไปได้จ้ะ
      ถาม :  ไม่สบายจับลมหายใจไม่ได้
      ตอบ:   จ้ะ ดูอาการเจ็บป่วยแทน ดูให้เห็นว่าความป่วยมันกินร่างกายเรา หรือมันกินจิตใจของเรา ที่เรารู้สึกเจ็บป่วย จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของร่างกาย หรือจิตใจ ใจเราไปปรุงแต่งกับมัน มันก็เลยหมอง รู้สึกว่าเจ็บป่วยไปด้วย หรือว่าใจของมันเจ็บป่วยจริง ๆ ยากให้ออกจ้ะ เขาเรียกว่า ดูเวทนาในเวทนา ในเมื่อมันเวทนาไม่ได้ เราก็พิจารณามันแทน เพราะว่าเรื่องของสมาธิภาวนา เรื่องของฌานสมาบัติ ถ้าหิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย มันไม่เอากับเราด้วย พังเอาง่าย ๆ เลย ของเราเองยังดีนะ ได้มั่งไม่ได้มั่ง
              อย่างพระอัสชิ ท่านเป็นพระอรหันต์แท้ ๆ ท่านเป็นโรคกระเพาะ นอนดิ้นตูม ๆ ถึงขนาดสงสัยว่า เอ้...มรรคผลของเราท่าจะเสื่อมเสียแล้ว ทำไมเจ็บขนาดนี้ ก็ให้คนไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เลยเสด็จมา บอกว่าอัสชิ เธอเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเธออยู่รึเปล่า ? ท่านบอกไม่เคยเห็นเลยพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอก ถ้ายังงั้นมรรคผลไม่เสื่อมหรอก แต่คราวนี้มันเป็นธรรมดาว่า ในเมื่อเวทนามันกำเริบกล้า ถ้าหากว่ากำลังใจของเรา ประเภทไม่ชำนาญในการที่จะหลีกหนีมัน ในการระงับกายสังขารจริง ๆ ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงเท่าไร ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น เพราะจิตท่านละเอียด ในเมื่อจิตท่านละเอียด ท่านรับรู้ได้มากกว่าเราเยอะ ก็เลยเจ็บลึกซึ้งกว่าเยอะ
              เพราะฉะนั้นใครอย่าคิดว่าพระอรหันต์กินอาหารไม่อร่อย อร่อยกว่าเราหลายเท่า เพราะว่าประสาทรับรสท่านละเอียดกว่า สติท่านละเอียดกว่า เพียงแต่ว่าท่านรู้เท่าทันมันก็เลยสักแต่ว่ากิน เพราะฉะนั้นที่เราทำได้ประเภทได้มั่งไม่ได้มั่ง ดีมากแล้ว แต่ต้องซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมให้คล่องตัวไปเลย ถ้าซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมให้คล่องตัว ถึงเวลาปุ๊บหลบมัน มันชำนาญเข้า ต่อไปเรื่องป่วยไม่ได้รับประทานเราหรอก
      ถาม :  หลบแบบที่หลวงพ่อบอก
      ตอบ:   ก็คือเข้าสมาธิไปเลย ได้ฌานระดับไหนก็ไปฌานระดับนั้นเลย
      ถาม :  สวดมนต์ในใจ
      ตอบ:   ได้บุญเหมือนกัน แล้วก็ดีกว่าด้วย ไม่ไปกวนคนอื่นเขาให้รำคาญ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าร่างกายไม่ไหวจริง ๆ สวดมนต์ยาว ๆ ไม่ไหว พุทโธคำเดียวก็พอ ภาวนาแทน สวดมนต์น่ะยาทา ภาวนาน่ะยากิน หายเร็วกว่ากันเยอะ ได้ผลกว่ากันเยอะ ถ้าเราไม่ไหว เราเอาให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ ถ้าหากว่ากระทั่งอารมณ์จะสวดยังไม่มี ใช้วิธีนั่งสมาธิเอาหูตามเสียงเข้าไป เขาว่าอะไร เราก็นึกว่าตามไปในใจ ได้ดีกว่าอีก เพียงแต่ว่าถ้าเพื่อนบ่นเอา อย่าไปเถียงจะพาเสียอารมณ์
      ถาม :  นั่งสมาธิแล้วหลับ
      ตอบ:   ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไปได้ก็คือไปได้ เพียงแต่เราประมาทไม่ได้กำลังใจของเรา เราเคยทำมาทั้งดีทั้งชั่ว ถึงเวลามันทำดีทำชั่ว ผลของมันก็ผลัดกันให้ผลกับเรา ตอนมันดีเราจะไปประมาทว่าตอนนี้ดีแล้วไม่ได้หรอก เผลอเมื่อไรก็เอาเราอีก
      ถาม :  กายคตานุสติทำอย่างไร ?
      ตอบ:   ที่เราทำมันเกินเพื่อนว่าไปแล้ว เป็นทิพจักขุญาณแล้ว อย่าลืมว่ากสิณไฟก็ดี กสิณสีขาวก็ดี เป็นพื้นฐานทิพจักขุญาณ เราได้ทิพจักขุญาณแล้ว เราสามารถเห็นข้างในได้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปลอกมันหรอก เราอยากดูตรงไหน กำหนดใจลงไปเห็นหมด เพียงแค่ตอนนั้นเราไม่ได้กำหนดใจดูมัน มันก็เลยเห็นเป็นการรวม ๆ ไปแค่นั้น
      ถาม :  นั่งสมาธิไม่เห็นอะไรเหมือนคนอื่น
      ตอบ:   ทำไมต้องเห็น เขาไม่ได้บอกว่าไปนิพพานจะต้องเห็นโน่นจะต้องเห็นนี่ เขาบอกว่าให้เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วก็ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน
              มีอันไหนที่บอกว่าจะต้องได้เห็นโน่นเห็นนี่ไหมล่ะ ? สมาธิรอให้เกิดเองนี่ สงสัยชาติหน้าบ่าย ๆ ไม่รู้จะเกิดรึเปล่า ? เราต้องตังหน้าตั้งตาทำ พอทำได้แล้วรักษามันเอาไว้ด้วย ถ้าไม่รักษาให้ต่อเนื่องมันก็พัง ประคับประคองอารมณ์ตรงนั้นไว้ อย่าให้มันเผลอ อย่าให้สติมันขาด ถ้ามันเผลอสติขาดเมื่อไร มันก็แวบไปที่อื่น เดี๋ยวมันก็รัก โลภ โกรธ หลง ของมันไปเอง
      ถาม :  จิตเดิมไม่มีกิเลส นาน ๆ ไปก็สะสมเข้าเหมือนสมาธิ
      ตอบ:   เหมือนกัน แต่ว่าอันนั้นสะสมกิเลส สมาธิมันสะสมความดี เพราะยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ พอเกิดความเคยชินขึ้นมาทรงตัวได้ง่าย ชินนี่เรียกว่าฌาน ทรงฌานขึ้นมาอารมณ์ใจทรงตัวได้ง่าย จะทำอะไรก็ง่ายไปหมด
      ถาม :  จิตเป็นสมาธิจะแยกอาการทางกายได้
      ตอบ:   มันเป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของใจ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไมเกรนเกิดจากความเครียด ถ้าทำสมาธิมันหายเครียด โรคก็หายไปด้วย อย่างหมวยนี้สมัยเด็ก ๆ เป็นโรคหัวใจรั่ว ผอมกระหร่องเลย พาไปวัดไปฝึกกรรมฐาน พอกำลังใจมันดี หายขึ้นมา น้ำหนักจะ ๖๐ แล้ว
      ถาม :  การฝึกสมาธิมีหลายแบบ
      ตอบ:   ก็ไม่รู้ ปัจจุบันที่อาตมาสอนอยู่ที่วัดทองผาภูมิ บางวันพระท่านไม่รู้หรอกว่าเรายัดกรรมฐานเข้าไปเกือบ ๔๐ กอง สอน ๓๐ นาทีให้เขาทำตามนั้นน่ะ ท่านปิงไปฟังเสร็จ โอ้โหเว้ย...คือคนที่มีเค้าอยู่ จะรู้ว่าตอนที่เราพูดอยู่หมายถึงอะไร
              แต่คราวนี้เราประเภททำของยากให้ง่าย ยำใหญ่มันรวม ๆ กัน บางทีสอน ๑ วัน ๓๐ นาที นี่เป็นสิบ ๆ กองรวมกันเป็นกรรมฐานบทเดียว กลายเป็นว่า ถ้าหากว่าเรารู้กรรมฐานหลาย ๆ กอง ก็จะมีอานุภาพแต่ละกองไม่เหมือนกันว่า อันนี้สู้กับราคะ อันนี้สู้กับโลภะ อันนี้สู้กับโทสะ อันนี้สู้กับโมหะ ถ้าหากว่าเราคล่องตัวตรงจุดนี้ เราก็จะพลิกแพลงใช้งานสู้กับมันได้ง่ายหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่รู้มันขนาดนี้ มีแต่ประเภทท่าเดียวอยู่ตลอด เดี๋ยวโดนมันอัดน่วม
      ถาม :  ถ้าหากเรา “พุทโธ”
      ตอบ:   ถนัดพุทโธ มันก็ไปตีช่วงอื่น มันต้องชำนาญหลาย ๆ กองรวมกัน ถึงเวลาได้รับมือกับมันง่ายเลย ระยะหลังนี่จะไปเน้นเรื่องอรูปฌานกับพรหมวิหาร ๔ เพราะว่าอรูปฌานกับพรหมวิหาร ๔ สมัยที่ฝึกเป็นของยาก สาหัสสากรรจ์เลย มันยากเพราะว่าเราไม่คุ้นชิน จับติดได้ยากมาก มันเป็นอารมณ์ใจแท้ ๆ อย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นอารมณ์คิด ลักษณะคล้าย ๆ วิปัสสนาญาณอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อเป็นลักษณะนั้น ก็เลยจับยาก เกาะติดยาก มาถึงตอนนี้เราพูดให้เขาทำง่าย ๆ มันก็คงคิดว่าง่าย ถ้ามันรู้ว่าเราสอนอะไร ให้ไปคลำเองดูซิ ทั้งชาติมันจะได้รึเปล่า ?
      ถาม :  อรูปฌานทำอย่างไร ?
      ตอบ:   อรูปฌานต้องตั้งรูปขึ้นมาก่อน แล้วก็เพิก คือไม่สนใจรูปนั้นเสีย แล้วก็ใช้อารมณ์คิดพิจารณาต่อไป
      ถาม :  รูปอะไร ?
      ตอบ:   เราจับอะไรก็ได้ รูปพระก็ได้ กสินดวงใดดวงหนึ่งก็ได้ ถึงเวลาขอให้ภาพนั้นหายไป ก็คือไม่ต้องการภาพนั้นน่ะ แล้วก็จับอารมณ์ตามกองของมัน อากาสนานัญจายตนะ ก็จับความว่างของอากาศ วิญญานัญจายตนะ จับความไม่มีของเขตไม่มีตัวตนของวิญญาณ อากิญจัญญยตนะ ก็จับอาการที่ถึงเวลาสูญสลายไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง
      ถาม :  กลายเป็นว่าง
      ตอบ:   เป็นว่าง ไม่เหลืออะไร เผลอเมื่อไรมันก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไปนิพพานไม่ได้
      ถาม :  ถ้าเราทำคล่อง ?
      ตอบ:   จริง ๆ ไม่ต้องทำถึงก็ได้ แต่บังเอิญว่าพวกนี้กำลังสูง ในเมื่อกำลังสูง แล้วหลักการคิด คล้าย ๆ วิปัสสนาญาณเลย เปลี่ยนแนวคิดเปลี่ยนมุมคิดนิดเดียวก็ได้เรื่องเลย ถ้าหากว่าเปลี่ยนมุมคิดนิดเดียว ก็จะเป็นวิปัสสนาญาณ อยู่ที่เราว่าจะพิจารณาอย่างไร ถึงได้บอกว่าสอนมันทั้งที
              นี่บางครั้งยำใหญ่เข้าไปรวมเกือบ ๔๐ กอง อยู่ในเวลา ๓๐ นาที คนทำก็กำหนดใจตามสบาย... เราเองเหนื่อยแทบตาย สมัยก่อนเกาะหลวงพ่อไม่รู้สึกหรอก สมัยนี้มาให้เขาเกาะเพิ่งจะรู้ ก็คิดดูโบสถ์เก่าวัดทองผาภูมิมันเล็กกะเปี๊ยกเดียว ยัดอยู่นั่นเข้าไปทั้งพระทั้งฆราวาส ๒๐ กว่าคน พระตั้ง ๑๗-๑๘ องค์เข้าไปแล้ว บอกเขาไปพักอยู่ที่วัดท่าขนุนก่อนสบาย ๆ สร้างกุฏิไว้เยอะแยะ ไม่ไปหรอก จะอยู่ที่แหละ ได้ฝึกกรรมฐาน
      ถาม :  ทรงฌานได้ ประสาทจะต้องละเอียดมาก
      ตอบ:   ถ้าทรงฌานได้ นิวรณ์ก็ไม่เหลือซากเลย เพียงแต่อย่าเผลอหลุดออกจากฌานแล้วกัน
      ถาม :  ตอนจะหลับ รู้สึกปล่อยวาง เริ่มเป็นสมาธิ
      ตอบ:   จิตถ้าฟุ้งซ่าน หลับไม่ได้ คราวนี้มันจะใช่หรือมันจะเป็นรึเปล่าก็เรื่องของคุณ บอกแล้วอาตมาไม่ไปคิดให้เสียเวลาหรอก พวกหมอผี กระเหรี่ยงได้อภิญญาสารพัด ไปถามว่าทำยังไง ให้มันอธิบาย เราไม่รู้หรอก เราทำได้ก็แล้วกัน มันอธิบายไม่เป็น