ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ก็ดูว่าทำกรรมอะไรไว้ อย่างอื่น...มาด้วย ตัวอย่างเมณฑกะเศรษฐี เมณฑกะเศรษฐีนี่ผลบุญที่ทำให้ชาติปัจจุบันของท่าน เกิดมาแล้วรวยจนนับไม่ได้เลย ก็คือการที่ท่านปิดทองถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ด้วยทองคำเท่าปีกริ้น ตัดชีวิตทำด้วยเพราะว่าท่านหาเช้ากินค่ำ แต่ว่าวันนั้นเห็นเขาสร้างถาวรวัตถุเพื่อพระศาสนา ท่านก็เลยรวบรวมเงินทั้งหมด แล้วไปซื้อทองคำเท่าปีกริ้นมา แทนที่จะซื้อข้าวกินก็ยอมสละเอาไปปิด ที่จะปิดก็ไม่มี เลยไปปิดก้นส้วม แต่ว่าบุญอื่น ๆ ที่ท่านเคยทำเอาไว้ก็มี อย่างเช่นว่า ได้ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ชนิดที่เรียกว่า ข้าวมันเหลือทะนานสุดท้ายแล้ว หุงมาแล้วคิดจะกิน อ้าว! เห็นพระมาบิณฑบาต เอาละวะ ถวายพระเถอะ เราเองยังไง ๆ ตอนนี้พอมันหมด ก็หมดยาวไปเลย จะอิ่มวันนี้แล้วตายวันหน้า หรือว่าอดวันนี้ตายวันหน้า มันก็ตายเหมือนกัน ก็เลยตัดใจทำบุญถวายไป คราวนี้ก็ต้องดูว่า ผลบุญอันไหนที่จะส่งผลให้
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   เสียดาย ไม่ทันที่จะห่อเหี่ยว เพราะว่าท่านไปทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ออกนิโรธสมาบัติพอดี ก็เลยกลายเป็นว่าถึงเวลาอดขึ้นมา แม่หนูเอ้ย คงจะมีข้าวเหลือ ๆ อยู่ติดก้นหม้อหน่อยหนึ่งมั้ง เอาน้ำกลั้ว ๆ มากินแก้หิวก็ยังดี ปรากฏว่าภรรยาไปเปิดดูข้าวยังเต็มหม้ออยู่เลย แหว่งไปแค่ทัพพีเดียว
              คราวนี้เขาอดอยากกันทั้งเมือง ตัวเองเห็นอย่างงั้นก็เรียกพี่น้องลูกหลานมากินกันจนกระทั่งอิ่มเต็มที่กันทุกคน มันก็ยังแหว่งอยู่ทัพพีเดียว ก็ชวนเพื่อนบ้านมาตักแจก ตกลงเลี้ยงทั้งเมือง มันก็อิ่มอยู่ ขาดมันทัพพีเดียวเท่านั้นแหละ จริง ๆ มันก็อาจจะเป็น ถ้าหากว่าไม่เจอในลักษณะนั้น แต่ว่าคราวนี้กำลังใจท่านเหลือเกิน กำลังใจประเภทตัดเป็นตัดตายยังงั้น ไอ้ที่จะมาคิดเสียใจมันไม่มีหรอก เสียเวลาเปล่า ถ้าหากว่ากำลังใจลดลง บุญมันลดนะ
              พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พุทธวิสัย คือ ความสามารถของพระพุทธเจ้า ฌานวิสัย คือ ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงอภิญญา กรรมวิบาก การส่งผลของกรรม โลกจินไตย ความเป็นไปของโลก ไม่ต้องไปเสียเวลาคิด มันส่งผลให้พิลึกพิลั่น เกินกว่าที่เราจะนึกถึง
              ดูตัวอย่างแฝดสยามก็แล้วกัน ใครจะคิดว่ามันจะมี มันก็ออกมาตัวติดกันหนึบหนับเลย ผ่าตัดแยกออกส่วนใหญ่ก็ตาย ถามหลวงพ่อบอกมันทำกรรมอะไรไว้ ท่านบอกมันอธิษฐานในอดีตว่าจะไม่พรากจากกัน โฮ...ไม่นึกเลย มันไม่พรากจากกัน กลายเป็นติดกันหนึบหนับ ออกมายังงั้น
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   อันนั้นดูกำลังใจเขา สัจจะบารมีกับอธิษฐานบารมีต้องเต็มจริง ๆ คือประเภทกำลังใจอยู่ในขนาดที่ว่าไม่ได้เกิดพร้อมกัน ก็ขอให้ตายพร้อมกัน มันก็โอกาสที่จะส่งผลในอนาคตมีแน่เลย ดีไม่ดีก็ไปเครื่องบินตกตายพร้อมกัน มาชาติใหม่อาจจะนั่งรถคันเดียวกัน หรือเครื่องบินลำเดียวกัน ถึงเวลาไปตายพร้อมกัน ก็มานั่งคร่ำครวญกัน กูเป็นเพราะอะไรต้องมาตายด้วย
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ตัวอธิษฐานบารมีนี่แรงมากเลย อย่าลืมว่าบุคคลที่จะใช้อธิษฐานบารมีเป็นนี่ต้องเป็นอุปบารมีขั้นปลายขึ้นไปถึงปรมัตถบารมีเท่านั้น บารมีต้น ๆ ใช้กันไม่เป็นหรอก ในเมื่อใช้เป็นขนาดนั้น แสดงว่าตัวเองทำมาพอเหลือเฟือแล้ว เพราะฉะนั้นผลมันจะส่งผลแรง
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ๕๐๐ ก็คือ ๕๐๐ จริง ๆ แต่ ๕๐๐ นี่เป็นเกณฑ์ต่ำสุด อาจจะมีอีก มันเกณฑ์ต่ำสุดของเขา แบบประเภทค่าแรงขึ้นต่ำตอนนี้ สมมติว่า ๑๕๔ บาทนี่ต่ำสุด คุณได้เยอะกว่านั้นก็ไม่ผิดกติกา
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   มี เปลี่ยนความตั้งใจนั่นเสีย
      ถาม :  ฆ่าคนตาย วนกลับมาปุ๊บ
      ตอบ:   ต้องให้มีอโหสิกรรมต่อกัน ถ้าหากว่าเป็นการสร้างกรรม แต่ถ้าเป็นสัจจะอธิษฐาน ต้องเปลี่ยนความตั้งใจ อย่างเช่น นางยักษิณีกับนางกุลธิดา คลอดลูกมากี่คนกี่คน นางยักษิณีเอาไปกินหมด คนสุดท้ายก็เลยหนีเข้าไปในเชตะวันมหาวิหาร เอาลูกไปถวายพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้าช่วยคุ้มครอง นางยักษิณีตามเข้าไปไม่ได้ เพราะท้าวมหาราชเฝ้าประตูอยู่ พระพุทธเจ้าเลยให้ท้าวมหาราชเรียกนางยักษิณีเข้ามา แล้วก็ตรัสบอกบุรพกรรมให้ว่า
              ในอดีตชาติหนึ่ง คนหนึ่งเป็นเมียหลวง คนหนึ่งเป็นเมียน้อย เมียหลวงไม่มีลูกก็เลยหาเมียน้อยให้สามี แต่พอเมียน้อยตั้งท้อง ตัวเองก็กลัวว่าสามีจะไม่โปรดเหมือนเดิม ก็เลยวางยาเมียน้อยเสียจนแท้ง คนที่หนึ่งก็แท้ง คนที่สองก็แท้ง พอคนที่สาม เมียน้อยก็ตั้งใจว่า สงสัยความประพฤติของเมียหลวง ก็เลยไม่กินยาที่เมียงหลวงจัดให้ พอไม่กินยาเมียหลวงจัดให้ก็ท้องแก่ใกล้จะคลอด ก็ระแวงว่าต้องเป็นเมียหลวงแน่ เมียหลวงมาคะยั้นคะยอให้กิน ก็ไม่กิน เมียหลวงแกยัวะขึ้นมา แกก็เลยบีบคอซะ ก่อนจะตายแกก็ตั้งใจว่า ถ้าฆ่าตัวแกก็ดี ฆ่าลูกแกก็ดี แกเกิดไปก็ขอฆ่าแบบนี้บ้าง
              ปรากฏว่าชาติถัดไป เมียหลวงไปเกิดเป็นแม่ไก่ แต่เมียน้อยไปเกิดเป็นแมว กินลูกไก่เกลี้ยงเลย แม่ไก่ก็ยัวะผูกเจ็บกูจะเอามึงคืนมั่ง ชาติต่อไปแม่ไก่ก็ไปเกิดเป็นเสือ แมวก็ไปเกิดเป็นกวาง มันก็ไล่กินกันไปกินกันมาคนละชาติสองชาติ จนปัจจุบัน คนหนึ่งเป็นนางยักษิณี คนหนึ่งเป็นนางกุลธิดา พอเล่าให้ฟังเสร็จเรียบร้อย ก็เลยกลายเป็นว่าทำอย่างไรจะให้กรรมนี้มันสิ้นสุดลง ? พระพุทธเจ้าก็บอกให้ทั้งสองอโหสิกรรมต่อกันซะ พออโหสิกรรมต่อกัน ไม่จองเวรต่อกัน ประเภทโจทย์และจำเลยยอมรับกันต่อหน้า กระแสกรรมมันก็ขาดลง
              คราวนี้ก็มีเรื่องสืบเนื่องมาว่า นางกุลธิดาก็เอายักษิณีไปอยู่ที่บ้าน ถึงเวลาก็จัดอาหารไปเลี้ยงดู นางยักษิณีบอกว่าอยู่ในบ้านคนแกอึดอัด ประเภทเบื่อกลิ่นมนุษย์ ไม่ใช่เบื่อเฉย ๆ เผลออาจจะกินซะด้วย ขอไปอยู่กลางนาเถอะ นางกุลธิดาก็ไปปลูกโรงนาไว้กลางนา ถึงเวลาก็เอาอาหารไปให้
              นางยักษิณีเห็นว่าเออ...เขารู้สำนึกผิดแล้วจริง ๆ หนอ ก็เลยตั้งใจช่วย ตัวเองเป็นยักษิณีมีความเป็นทิพย์ พอถึงเวลาก็บอกว่า เอ้อ...ปีนี้น้ำมากนะให้ปลูกข้าวในที่ดอน ปีนี้น้ำน้อยนะ ให้ปลูกข้าวในที่ลุ่ม นางกุลธิดาก็ให้สามีและบริวารทำตาม ก็ปรากฏว่าตัวเองร่ำรวยอยู่คนเดียว คนอื่นเจ๊งกันหูรูดไปเลย คนอื่นก็มาถามว่ามีอะไรดี ก็บอกว่ามีนางยักษิณีอยู่ในไร่ของตัวเอง แล้วบอกอย่างงั้นอย่างงี้ ทุกคนก็ประเภทว่า ถึงเวลาช่วยบอกบ้างจะได้มั้ย ก็บอกว่าต้องไปขอนางยักษิณีเอง คนอื่นก็เลยเอาอาหารไปเซ่นนางยักษ์บ้าง นางยักษ์แกเห็นคุณ แกก็แอบกระซิบบอกให้ด้วย มันก็เลยกลายเป็นประเพณีเซ่นผีนามาเรื่อย ๆ ทางด้านอีสานเขาเรียกผีตาแฮกมั้ง ? เซ่นผีกลางนา ประเพณีนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล พอถึงเวลาก็เอาอาหารไปให้ แต่อันนั้นเขารู้จริงนะ ระยะหลัง ๆ ไม่รู้ว่าผีตัวไหนมันจะรับไป
              กรรมเป็นของน่ากลัว การส่งผลของกรรมเป็นของน่ากลัว พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้วอย่าประมาท ความชั่วแม้เพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ อย่าประมาทว่าความดีเล็กน้อยแล้วไม่ทำ กรรมนั้นจะดีหรือชั่วก็ตาม เล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงวาระเมื่อถึงเวลาล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ทั่งนั้น
              ดูตัวอย่างของท่านตอนที่เป็นเด็กลูกชาวนา พ่อไถนามาทั้งวัน ถึงเวลาเห็นวัวควายมันเหนื่อยอ่อนเต็มที ปลดจากคันไถได้ก็ให้ลูกจูงไปกินน้ำ ไอ้วัวควายมันเหนื่อยมาทั้งวัน น่าจะให้มันกินน้ำใส ก็ดึงไปอีกหน่อยเดียวให้มันกินน้ำใสเท่านั้น ชาติปัจจุบันขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะปรินิพพานอยู่แล้ว กรรมตัวนี้ยังตามทัน เสด็จจากปาวาลเจดีย์ไปกุสินารา พอข้ามแม่น้ำก็บอกพระอานนท์ให้หาน้ำให้หน่อย ตถาคตเหนื่อยเหลือเกิน พระอานนท์ย้อนกลับไปถึงแม่น้ำปรากฏว่าเกวียน ๕๐๐ เล่มลุยข้ามไปพอดี เละเป็นโจ๊กเลย พระอานนท์ก็หน้าแห้งกลับมาทูลว่าน้ำไม่มี พระพุทธเจ้าบอกว่าไปเถอะน้ำมีอยู่ พระอานนท์ก็เชื่อย้อนกลับไป ไม่น่าเชื่อว่า เกวียน ๕๐๐ เล่มลุยผ่านไปขุ่นคลั่กเลย มันใสแจ๋วรออยู่ แล้วพระพุทธเจ้าท่านเสวยน้ำ แล้วก็ตรัสบุรพกรรมให้ฟังว่า มันเป็นเพราะอย่างนี้ นั่นน่ะทำด้วยเจตนาดีแท้ ๆ ยังอดน้ำสักพักหนึ่ง แล้วบารมีขนาดพระพุทธเจ้ายังโดนกรรมเล็กกรรมน้อยตามเสวยซะขนาดนั้น แล้วเราจะเหลือเหรอ
              เพราะฉะนั้นยิ่งคิดเราจะยิ่งเห็นความน่ากลัวของกรรม การส่งผลของกรรมดี มันก็ไม่ใช่จะดีตลอด เราอาจจะเพลิดเพลินเจริญใจจนลืมทำความดีตกนรกไปเลยก็ได้ ขณะเดียวกันการส่งผลของความชั่วก็ย่อมเป็นวิบากให้เราต้องทนทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลาที่ดำรงชีวิตอยู่แล้ว มันก็เลยกลายเป็นว่าดีก็อาจจะพาเราห่างความดีออกไป ชั่วก็พาให้เราทุกข์ทนเดือนร้อน ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ ไม่ว่าผลดีผลชั่วที่ส่งผลให้ ก็อาจจะพาเราลงต่ำได้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าเกิดได้ดีที่สุด
      ถาม :  ทำอย่างไรจะอยู่ในสิ่งที่ดีตลอด ?
      ตอบ:   กำลังใจต้องดี กำลังใจในที่นี้หมายถึงสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวนะ กำลังใจจะมั่นคงเข้มแข็ง จะไม่เปลี่ยนแปลงไปง่าย ๆ ตลอดระยะเวลาที่เราทำความดีจะมีสิ่งที่มายั่วยุ มาเบี่ยงเบน มาดึงเราไปจากจุดมุ่งหมายของเรา เราต้องระมัดระวัง มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา มีกำลังใจที่เข้มแข็งที่จะต่อสู้ฟัน เพื่อจุดหมายของเราเอง สติ สมาธิ ปัญญา ๓ ตัวทิ้งไม่ได้เด็ดขาด ทิ้งเมื่อไหร่เจ๊งเมื่อนั้น กำลังใจเข้มแข็งแต่ขาดสติ ก็อาจจะสู้เขาไม่ได้ มีสติมั่นคง มีกำลังใจเข้มเข็งแต่ปัญญาไม่พอ ก็อาจจะรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา เสร็จเขาอีก มีปัญญา มีสติแต่สมาธิไม่พอ ก็เจ๊งอีกเหมือนกัน ตกลง ๓ ตัวทิ้งไม่ได้ซักอย่างเดียว
      ถาม :  รัศมีกายสว่าง ? (ไม่ชัด)
      ตอบ:   อันนั้นคงจะต้องพุทธบูชา มหาเตชะวัณโตกันขนาดหนักเลย แต่ละองค์ยิ่งสร้างบุญบารมีมายิ่งนานเท่าไหร่ โอกาสที่สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นกับพระองค์ก็มากเท่านั้น พระพุทธเจ้า สังเกตดูว่าถ้าเป็นวิริยาธิกะ ซึ่งสร้างบารมีมาในกายวจีปณิธาน คือขั้นสุดท้ายอย่างต่ำสุด ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป ส่วนใหญ่แล้วทุกอย่างที่ดีจะเกิดขึ้นกับท่านมากกว่าองค์อื่น
              เพราะฉะนั้นทำให้มันมาก ๆ เข้าไว้ ต้องการรัศมีกายสว่างแบบนั้นละก็ ตั้งหน้าตั้งตาในเรื่องของพุทธบูชาไว้ จะเป็นทาน ศีล ภาวนา เกาะพระเป็นที่พึ่ง เอาพระนำหน้าตลอด สร้างพระใหญ่อย่างที่วัดม่วงสร้างหน้าตัก ๑ ไร่ ๙ วา มั้ง กำลังใจเขาสร้างขนาดนั้นน่ะ แล้วทางพม่าเขาสร้างพระนอนยาว ๕๐๐ ศอก ถ้าทำขนาดนั้นได้รับรองว่ารัศมีกายสว่างกว่าเขาแน่ ระวังเจอคนสร้าง ๕๐๐ กับ ๙ ศอก แล้วกัน มันจะสว่างกว่าเราหน่อยหนึ่ง
      ถาม :  รับฝากไปวัดม่วงได้มั้ย ?
      ตอบ:   ไปทำกับเขาเองแล้วกัน อาตมาไม่มีอารมณ์ตามไป
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ก็ใช่ ถ้าทำมาแล้ว มันระบุเจาะจง เราใช้เองก็ไม่ได้ ก็ต้องทำตามรายการนั้น ต้องตะกายไปทำถึงโน่น ของวัดม่วงไม่เคยไปทำกับเขาหรอก แต่ทางของพม่านี่ล่อไปหลายยกแล้ว มันผ่านไปพอดี แล้วเขาก็มีตู้บริจาค มีคนนั่งรับอยู่ ก็จัดแจงทำบุญกับเขาไปเลย กำลังใจเหลือเกิน หลวงพ่อโตชุยตาเลียว ที่พม่ายาว ๑๕๐ ฟุต ยาว ๑๕๐ ฟุต มันล่อเข้าไปเท่าไหร่ ๔๕ เมตร อันนั้นก็สมัยก่อนเขาถือว่าใหญ่ที่สุด
              ไปเจอหลวงพ่อนารทะท่านสร้างไว้ที่เมืองมงยัว ๒๒๒ ศอก ไม่ทราบว่าท่านชอบเลข ๒ อะไร ท่านสร้างยาว ๒๒๒ ศอก คือ ๑๑๑ เมตร มานี่หลวงพ่ออูซินะที่เมืองมุด่ง ท่านสร้าง ๕๐๐ ศอก เอาเยอะกว่า เดี๋ยวมกราคมไปน่าจะเสร็จแล้ว เพราะว่าต้นปีที่ผ่านมานี้ไป กำลังตกแต่งพระพักตร์อยู่ นี่ประเภทไถภูเขาออกทั้งแถบเพื่อสร้างพระ กำลังใจเหลือเกินจริง ๆ ถือว่าพระใหญ่ขนาดนั้นต้องมีที่พึ่งให้มั่นคง ประเภทไถภูเขาไปซีกหนึ่งเลย เพื่อสร้างพระอิงกับเขาไว้ ตรงพระเศียรนี่คงเท่าตึกประมาณ ถ้านับไม่ผิดร่วม ๆ ๑๐ ชั้น เพราะว่าข้างในเขาจะทำเป็นชั้น ๆ เป็นห้อง ๆ มีพุทธประวัติ มีพระเจ้า ๑๐ ชาติ มีอะไรปั้นอยู่ข้างใน
      ถาม :  ความกังวลใจ ?
      ตอบ:   กังวลใจ เขาเรียกว่า ปลิโพธิ ความกังวล จะนับว่าเป็นกิเลสก็ได้ แต่จริง ๆ เป็นสภาพจิตใจของเราที่ขุ่นมัวด้วยการที่เราหยุดความคิดมันไม่เป็น ถ้านับแล้วมันก็เป็นกิเลสหยาบในตัวอุทธัจจะกุกุจจะ ความฟุ้งซ่านของจิต นั่งอยู่ที่นี่แท้ ๆ ห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ ลืมนึกไปว่าอยู่ที่นี่ถึงห่วงไปก็ทำอะไรไม่ได้
              อาการผีอำมีอยู่ ๒ สาเหตุด้วยกัน อย่างแรกเกิดจากเลือดลมในร่างกายของเรามันไม่ปลอดโปร่ง อาจจะเป็นเพราะว่าตอนช่วงนั้นรับประทานอาหารผิดสำแดงเข้าไปก็ดี นอนทับอวัยวะบางส่วนของตัวเองไว้ก็ดี ในเมื่อเลือดลมเดินไม่ดี โบราณเขาบอกว่า ลมมันตีขึ้น มันจะมีอาการเหมือนกับมีเงาใหญ่ ๆ ดำ ๆ ทับอยู่ มันอึดอัด ต้องดิ้นรนขยับให้พ้นจากท่านั้น มันถึงจะหลุด
              ส่วนอีกอย่างหนึ่งผีจริง ๆ แต่ว่าส่วนใหญ่ผีที่มา ไม่ค่อยจะใช่ผีจริงหรอก มันผีปลอมก็คือเทวดา ถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติ พรรคพวกของเราที่เป็นพรหมเทวดามีอยู่ เขาจะลองกำลังใจเราดูว่า กำลังใจของเราช่วงนี้ใช้ได้หรือยัง ? ถ้ายังกลัวตายอยู่ใช้ไม่ได้จ้ะ ถ้าหากว่าผีอำ มันจะลักษณะเหมือนกับเงา ๆ ดำ ๆ เลย แต่ถ้าผีจริงที่ว่านี่มันมาเป็นตัว ๆ เลย อย่างของอาตมานี่ไล่ชกกันอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ มันมาเป็นตัวแล้วมันไม่ได้มาตัวเดียวด้วย บางที ๗ ตัว ๘ ตัว ช่วยกันรุมยำเราซะเละ จริง ๆ ก็เรียกว่าผี แต่ว่าของอาตมานี่คือเทวดา เพื่อนเก่า เขาอยากรู้ว่า เราตอนนี้กำลังใจเป็นอย่างไร มีความเข้มแข็งพอไหม เขาจะมาทดสอบ
              แต่ว่าเรื่องของการทดสอบนี้ถ้าเรากลัวมาก คำว่ากลัวมาก คืออาจจะกลัวจนเสียสติ เขาจะไม่มา แล้วก็ถ้าหากว่าไม่กลัวเลย เขาก็ไม่มา พวกกำลังใจครึ่งกล้าครึ่งกลัว คิดว่าตัวเองแน่ โดนทุกรายแหละ ของอาตมาโดนอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ทุกวันเลย เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ใครบอกว่าผีหลอกกลางคืน อย่าไปเชื่อ เที่ยง ๆ ก็เอา มันมาทุกเวลาเลย มาทีหนึ่งก็หลาย ๆ ตัว ๗ ตัว ๘ ตัว ตีกันประจำตึงตังอยู่ทุกวัน
              คราวนี้กุฏิหลังแรกน่ะ อยู่หลังร้านอาหารป้ากิมกีในวัดท่าซุง อยู่ตรงมุมกำแพงพอดี ป้าเขาก็ว่าหลวงพ่อขนย้ายอะไรกันทั้งวัน เสียงตึงตังอยู่ยังงั้น ความจริงตีกับผีอยู่ คือเขามาแกล้งเรา ไม่ยอมให้อยู่สุขอยู่สบายเลยล่ะ เขาอยากลองกำลังใจดู ถ้าหากว่านึกถึงความดีได้ อย่างเช่นว่าเกาะพระได้ เกาะพระนิพพานได้ ยอมตัวว่าตายแล้วเราไปอยู่กับพระ ตายแล้วเราไปอยู่กับนิพพาน เขาก็จะเลิก แต่ถ้าหากว่าเกาะไม่ได้ เขาก็ว่าไปเรื่อย อาตมาทหารเก่า ไม่ค่อยจะคิดเรื่องอื่นหรอก คิดอยู่อย่างเดียวเอ็งแกล้งข้าก็สู้ มันก็เลยตีกันนานหน่อย พระอื่นบางทีก็โดน สารพัดสารเพ พระวัดท่าซุงไปถามเถอะ พอกำลังใจเริ่มดีโดนทุกรูป หลายรูปอย่างท่านโกวิท สึกไปแล้ว โดนบีบคอจนหายใจไม่ออก จะตายแหล่มิตายแหล่ เอ้อ...ตายก็ตายวะ กูไปนิพพานตอนนี้ก็ได้ มันก็ปล่อย แล้วบอกว่า “ไอ้หน้าอย่างนี้นะเหรอจะไปนิพพาน?” มันดูถูกจริง ๆ ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ๑๘ ปีเต็ม ๆ นะ ยังไม่เคยเจอผีที่ไหนดุเท่าวัดท่าซุงเลย
              เพราะฉะนั้นเวลาไปอยู่ป่าอยู่ดง อยู่ที่ไหนก็เลยกลายเป็นสบายไปหมด พวกระดับด๊อกเตอร์มันอยู่ในวัดแล้วนี่ ผ่านด๊อกเตอร์มาแล้ว ที่อื่นเรื่องเล็กเลย มารู้ทีหลัง หลวงพ่อท่านบอกเฉพาะชั้นจตุมหาราชนี้เฝ้าวัดท่าซุงอยู่ ๒,๐๐๐ องค์ แล้วคิดูจตุมหาราชนี่ต้องเรียกว่าจอมผีเลยก็ว่าได้ เพราะว่าท่านจะคุมพระภูมิเจ้าที่ทั้งหมด พระภูมิเจ้าที่ก็คุมพวกสัมภเวสี พวกอะไรต่อไปอีกรอบหนึ่ง แล้วคิดดูนั่นเล่นระดับหัวหน้าใหญ่แล้ว ถ้าหากว่าเทียบกับโลกมนุษย์ของเรา ๔ ท่านก็คงพวก ผบ.เหล่าทัพ ประเภททัพบก ทัพเรือ อากาศ ตำรวจ ชั้นจตุมหาราชนี่จะเกี่ยวพันกับโลกมนุษย์โดยตรง สถานที่ไหนมีสิ่งสำคัญทางพระศาสนาก็ดี มีทรัพย์แผ่นดินก็ดี มีพระหรือคนดีอยู่ก็ดี ทานจะต้องรักษาที่นั่น ก็เลยกลายเป็นว่างานท่านจะหนักอยู่หน่อย
      ถาม :  ชั้นยามา บำเพ็ญบารมีไปนิพพานไหม ?
      ตอบ:   ไม่แน่หรอกจ้ะ พวกยามานี่ส่วนใหญ่ท่านจะติดกรรมฐาน ติดการสวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็ชั้นดุสิตจะเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ ๒ ชั้นนี้ถ้าไม่ใช่จำเป็นจริง ๆ พระอินทร์จะไม่เรียกหา
      ถาม :  ศาสนาอื่นเข้าไม่ได้ ?
      ตอบ:   มีที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนานั้นน้อยมาก ศาสนาอื่นสามารถแทรกอยู่ได้ แต่ว่ามันน้อย อย่างของศาสนาพราหมณ์เป็นได้ถึงอรูปพรหม เพราะว่าพราหมณ์ได้ถึงสมาบัติ ๘ ไม่ว่าพวกขงจื้อ ฮินดู ศาสนาคริสต์ เป็นพรหม เป็นเทวดากันเยอะ ที่น้อยที่สุด.... ประเภทว่าจะกินต้องฆ่าเอง การฆ่าสัตว์เป็นการปลดปล่อยเขาไปสวรรค์ หลักการมันผิดตั้งแต่แรก
      ถาม :  พวกคริสต์ไปสวรรค์ที่เดียวกับเรา ?
      ตอบ:   จะศาสนาไหนก็ตามก็ที่เดียวกัน แต่ที่เขาเห็นไม่เหมือนกัน เพราะว่าความยึดถือของตัวเองมันต่างกัน อย่างเช่นว่าของไทยเรา ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินต้องแต่งตัวอย่างนี้ ถือว่าระดับสูงสุดของมนุษย์ ถ้าของจีนต้องแต่งตัวแบบนั้น ในเมื่อต่างคนต่างคิดว่าในสภาพของตัวเองดีที่สุดเป็นอย่างไร เมื่อถึงวาระถึงเวลาเขามาหา เขาจะทำสภาพอย่างนั้นให้รู้ จะได้รู้ว่าเขาเหนือกว่าเรา สูงกว่าเรา ดีกว่าเรา แล้วเขาก็เอาเป็นเครื่องยึดมั่นถือมั่นไปว่า ของเขากับของเราไม่เหมือนกัน ความจริงเหมือนกัน เพียงแต่การยึดถือไม่เหมือนกัน
              อย่างเทวดาฝรั่ง จะต้องใส่ชุดขาว ๆ มีวงแสงบนหัว ถ้าไม่มายังงั้น เขาก็ไม่คิดว่าเป็นเทวดา เขาต้องทำภาพแบบนั้นให้ดู แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดเหมือนกัน หลวงพ่อท่านเคยขึ้นไปชั้นดุสิต เจอเทวดาฝรั่งลากผ้าขาวรุ่มร่ามมา ถามว่าเป็นใคร ? บอกว่าผมเยซูครับ ถามว่าแล้วทำไมแต่งตัวอย่างนี้ ? ข้างบนนี้มีอย่างนี้หรือ บอกว่าถ้าผมไม่มาอย่างนี้ ท่านก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร คือท่านจะแยกให้ดู เสร็จแล้วก็กลับสภาพเต็มบุญเต็มบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ชั้นดุสิตเครื่องทรงอร่ามเลย ลักษณะเป็นสีขาวประกายเพชรทั้งนั้น
              บรรดาผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะไปอยู่จุดไหนก็จะเป็นผู้นำเขา อย่างพระเยซูท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ท่านก็ต้องไปประกาศศาสนาของท่าน หลวงพ่อก็ยังต่อว่าพระเยซูว่าทำไมคุณสอนผิด คุณไปสอนเขาว่าบาปล้างได้ พระเยซูบอกผมไม่ได้สอนผิด คนมันเอาไปใช้ผิด ท่านบอกสอนให้สารภาพบาปเหมือนกับพระปลงอาบัติ สารภาพว่า เราทำผิดอะไรมา ต่อไปจะไม่คิด ไม่พูดไม่ทำอย่างนั้นอีก เพื่อให้มีคนเป็นพยานและตัวเองจะได้ไม่กล้าทำ
              แต่ปรากฏว่าคนมันมักง่าย สอนว่าสารภาพบาปมันอายเขา คนอาจจะไม่ถือศาสนา มันก็เลยสอนไปเลยว่า ล้างบาปได้ คนจะได้ไปถือศาสนาเขาเยอะ ๆ ทำชั่วมาเท่าไร ล้างบาปได้ มันเลยกลายเป็นว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป ก็คือว่า สอนตามใจคน ในเมื่อสอนตามใจคนทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ก็เลยพาเละไปเยอะ