ตอบ: (พูดถึงการทรง) กระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลยเจ้าคะ
ตอบ: คือเวลากดลงมา มันจะหนัก โดยเฉพาะช่วงบ่ากับต้นคอ มันจะขยับไม่ออก แต่ว่าท่านไม่ได้อยู่ในตัวเรา อยู่ข้างนอกต่างหากเลย แล้วใช้กำลังใจส่งไป
เคยถ่ายรูปหลวงพ่อ ตอนงานฉลองพัดยศ เจ้าคุณพระสุธรรมยานเถระ เราก็ถ่ายรูปท่านย่านั่งทรงอยู่มุมโน้น นั่งคุยไปเรื่อยกับลูก ๆ หลาน ๆ นั่นแหละ หลวงพ่อท่านจะได้พัก เพราะท่านเหนื่อยมาทั้งวัน เข้าวังมาด้วย พอรับพัดมาถึงสายลมก็แห่กันไป แหม! ตื่นเต้น หลวงพ่อเป็นเจ้าคุณ ท่านย่าก็เลยมาบรรเทาแรงให้ เราเห็นหลวงพ่อท่านนั่งกำลังสบาย ๆ ก็เลยยกกล้องถ่ายรูปไว้ ขออนุญาตหลวงพ่อแล้วกดฉึบ!
ท่านย่านั่งอยู่โน่น บอกใครถ่ายรูปข้า จ่ายเงินมาซะดี ๆ เราก็แปลกใจ บอกรอเดี๋ยวครับย่า วิ่งไปร้านมันเลยฟาสต์โฟโต้ ๔๕ นาที ออกมา ท่านย่ายืนอยู่ตรงนี้ ขาวโพลงเลยเสร็จแล้วก็มีเส้นขาว ๆ วิ่งปรู้ดไปหายายตึ๊กฝั่งโน้น ตก ๔-๕ เมตรได้ อยู่ห่างกันขนาดนั้น ท่านเองท่านยืนเยื้อง ๆ อยู่ด้านหน้าหลวงพ่อ ซ้ายมือ แต่ว่าบังคับ ยายตึ๊กอยู่ทางขวามือหลวงพ่อติดผนังเลย ก็เลยควักกระเป๋าถวายย่าไป ค่าถ่ายรูปเขามีแต่ถ่ายแล้วเจ้าของรูปต้องเสีย นี่คนถ่ายต้องเสีย ฟิล์มชุดนั้นจนป่านนี้ยังไม่ได้คืนเลย ยืมกันอัดไปเรื่อย กระทั่งต้นฉบับก็หายไปด้วย
อันนั้นท่านตั้งใจให้จริง ๆ ถ้าไม่ตั้งใจให้ถ่ายยังไงก็ไม่ติดหรอก จำไว้ว่าการมาในลักษณะอย่างนี้ ถ้าทำโดยเจตนาสงเคราะห์เขา ท่านจะสงเคราะห์ไปเรื่อย แต่ถ้าหากเราหลงใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเมื่อไหร่ ทานจะไม่มา แล้วจะมีผู้อื่นแฝงมาแทน ตอนนี้แหละมันจะเละ
เพราะมันไม่ใช่งานของท่าน เจ้าของงานท่านถอยไปแล้ว คนมาใหม่มันเก่งสู้เจ้าของงานไม่ได้หรอก เราจะสังเกตเห็นว่า ร่างทรงหลายร่างด้วยกัน ที่เสียไปเลย เสียไปตรงจุดที่ว่า แรก ๆ ท่านมาสงเคราะห์ พอมีชื่อเสียง ลาภ ยศ เงินทองไหลมา เริ่มเป๋อออกนอกทางไปหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เมื่อไหร่ ก็เสร็จ เพราะท่านเองตัวเจ้าของที่แท้จริง ท่านไม่ต้องการในจุดนั้น ท่านต้องการสงเคราะห์เพื่อเป็นบุญจริง ๆ ในเมื่อการสงเคราะห์มันออกไปในลักษณะที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว ท่านก็ไม่มา พอท่านไม่มาถึงเวลาคนที่ต้องการจะทรงนึกถึง ก็มีตัวแทนมาแทน แล้วโดยมารยาทของผีของเทวดานี่ใครมาก่อนคนที่มาทีหลังเขาไม่ยุ่งด้วย ถึงจะเป็นงานของตัวเองโดยตรงท่านก็ปล่อย ก็เลยกลายเป็นเสียไปซะเยอะต่อเยอะ เพราะฉะนั้นของเราต้องระวังจุดนี้ให้ดี เผลอเมื่อไหร่โดน...!
ถาม : (เรื่องโยมพ่อ-โยมแม่ของหลวงพ่อฤๅษี)
ตอบ: ท่านบอกว่า โยมพ่อไม่ได้เข้าวัดเข้าวาอะไร ทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียไปวัน ๆ สมัยก่อนทางสุพรรณฯ เรื่องเนื้อเรื่องปลามันหาง่าย เอาปลามาทีเป็นลำเรือเลย แต่ว่าโยมแม่ทำบุญใส่บาตรอยู่ประจำทุกวัน ปรากฏว่าสองท่าน ไปอยู่ยามาเหมือนกัน ถึงเวลาที่หลวงพ่อท่านพาพระไปสงเคราะห์ หรือว่าเอาพ่อกับแม่ไปนิพพานก็ไม่รู้ล่ะ ปรากฏว่าพอบอกให้ตัดสินใจว่าจะไปนิพพานได้ไหม ? พระท่านถามเอง โยมพ่อก้มหน้าคิดนิดเดียว เงยหน้าบอกว่าได้ครับ พอตัดสินใจอย่างนั้นปุ๊บ วิมานบนนิพพานก็มี พระพุทธเจ้าท่านบอกให้จับภาพนั้นเอาไว้ แล้วทำต่อจะได้ไปได้ ของโยมแม่ แปลกมากทั้ง ๆ ที่ทำบุญใส่บาตรมาตลอดชีวิต แต่พอตัดสินใจไปนิพพานได้ไหม ? คิดแล้วคิดอีก ไม่ยอมตกปากรับคำ ต้องถามถึง ๓ วาระ ถึงได้บอกว่าจะไป นั่นน่ะตัดสินใจไม่ได้ ก็ยังแปลกใจ ถามหลวงพ่อว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ท่านบอกว่า ผู้ชายกำลังใจเข้มแข็งกว่า ตัดสินใจว่าเอาก็คือเอา ไม่เอาก็คือไม่เอา ผู้หญิงถึงจะมีกำลังบุญของตัวเองมาโดยตลอดก็จริง แต่กำลังใจเขาอ่อนกว่า ยังห่วงติดสุขอยู่ชั้นเดิมมันสบายดีอยู่แล้ว ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลง บอกนั่น ถ้าหากไม่ใช่หลวงพ่อไปสงเคราะห์ สงสัยเหมือนกันว่า ท่านแม่ไม่รู้ป่านนี้ยังคาอยู่ยามานั่นแหละ (หัวเราะ)
ถาม : ................(ไม่ชัด)..............
ตอบ: คือลักษณะของผู้ชายอย่างหนึ่ง ลักษณะของทหารอย่างหนึ่ง หรือประเภทเสือปล้นเขา ท่านบอกกำลังใจมันเข้มแข็งเด็ดขาด ในเมื่อเข้มแข็งเด็ดขาด ตัดสินใจปุ๊บปั๊บก็ไปเลย
ถาม : .............................................
ตอบ: เรื่องอะไรที่มันเป็นอดีตนาน ๆ ไปแล้วพิสูจน์ได้ยาก อย่าไปนั่งเถียงกัน มีแต่จะพาให้เสียกับเสีย เขาคิดว่าใช่ก็ดี อย่างน้อย ๆ พระเจ้าพรหมมหาราช ก็ถือว่าเป็นวีรบุรุษที่กู้ชาติของเรามาสมัยโน้น
สมัยก่อนนั้นพวกขอมที่ครองหริภุญไชยอยู่ แผ่ขยายอำนาจขึ้นไปถึงพวกแคว้นโยนก แล้วก็ยึดทางภาคเหนือได้หมด สมัยนั้นเขาเรียก เวียงศรีทวง หรือเวียงศรีทอง คือตัวเมืองหลวงของโยนกเชียงแสน จริงก็โดนขอมเขายึดไว้ได้ พระเจ้าพังคราช ที่เป็นกษัตริย์ก็ต้องยอมเป็นเมืองขึ้นกับขอมเขา ต้องส่งส่วยด้วยทองคำ ปีหนึ่งตั้ง ๔๐๐ ชั่ง แล้วพระเจ้าพรหมมหาราชที่เป็นลูกของพระเจ้าพังคราชก็ส้องสุมผู้คนขึ้นมา แล้วก็ขับไล่ขอมออกไป สามารถที่จะประกาศอิสรภาพกลับคืนมาใหม่อีกที
ถาม : ก่อนยุคพระนางจามเทวีนานไหม ?
ตอบ: ถ้าหากว่า เชียงแสน นี่มันน่าจะหลังยุคพระนางจามเทวีนะ เพราะว่าหริภุญไชย นี่พันกว่าปี ดีไม่ดีอาจจะยุคไล่ ๆ กันด้วยซ้ำ
ถาม : ถ้าตามตำนาน ก็ประมาณ ๑,๓๐๐
ตอบ: ๑,๓๐๐ น่าจะนานกว่า เพราะสุโขทัย เพิ่งจะ ๗๐๐ เชียงแสนก่อนสุโขทัยไม่นาน แต่จะว่าไม่นานก็ไม่ได้เพราะมีกษัตริย์ตั้ง ๓๐ กว่าองค์
ถาม : เท่าที่เคยอ่านหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ กษัตริย์สืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระเจ้าอนุชิต หรืออะไรเนี่ย?
ตอบ: อชุตราช นี่จะเป็นพ่อพระเจ้าพังคราชอีกที ก็เท่ากับเป็นปู่ของพระเจ้าพรหมท่าน ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าต้องก่อน ถ้านับอายุแล้วหริภุญไชยจะอยู่หลัง ใช่...นึกออกแล้ว ถ้าสมัยพระเจ้าอชุตราช นี่พระพุทธองค์เคยเสด็จ ก็ต้องแสดงว่ายังไม่ทันจะเริ่ม พ.ศ. เลย ยังไม่ทันจะเริ่ม พ.ศ. เชียงแสนต้องมีแล้ว คนไทยพยายามที่จะใช้คำว่า พระเจ้าพรหมเป็นเพียงวีรบุรุษในตำนานไม่มีตัวตนจริง แต่ทางเมืองจีนเขากลับบันทึกไว้ว่ามีจริง ๆ คนไทยด้วยกันไม่เชื่อ แต่บันทึกของต่างประเทศเขามี ตลกมั้ยล่ะ ?
ถาม : การโคลนนิ่ง มันจะไปทับซ้อนกับทางธรรมะอย่างไร ?
ตอบ: ไม่เห็นมันจะทับซ้อนตรงไหน
ถาม : ก็โคลนนิ่ง เอาเซลล์มาทำ....?
ตอบ: เซลล์ก็คือเซลล์ แล้วลูกเรามันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเราหรือ ?
ถาม : มันก็มีวิญญาณ.....?
ตอบ: สภาพร่างเหมือนกัน แต่ดวงจิตคนละดวงกัน ให้มันโคลนกี่หมื่นกี่แสนตัวมันก็คนละจิตกัน
ถาม : แต่ว่าร่างเหมือนกัน ?
ตอบ: สภาพหน้าตาเหมือนกัน ก็เหมือนกับฝาแฝดแค่นั้นเอง มันแฝดแต่ตัว แต่ใจคนละใจ ใช้อย่างนี้ดีกว่าง่ายดี เคยอ่านประวัติพระมาลัยมั้ย ? ที่บอกว่าพอถึงยุคพระศรีอาริยเมตไตร พอลงจากบ้านไปจะจำกันไม่ได้ว่า ใครเป็นใครเพราะหน้าตาเหมือนกันไปหมด อันนั้นก็คงลักษณะนี้แหละ แต่อันนั้นของเขามาด้วยบุญ ไม่ได้มาด้วยโคลน
ถาม : ...ฌาน ๑ ถึง ๔... คือคนที่ได้ฌานโลกีย์ธรรมดา แต่ถ้าเป็นพระอริยะนี่ เขาเรียกว่าสมาบัติ ๘ เหรอคะ ?
ตอบ: ไม่ใช่จ้ะ สมาบัติ ๘ คนทั่ว ๆ ไป เข้าถึงได้มันเป็นโลกียสมาบัติเฉย ๆ ถ้าหากว่าของพระอริยะเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นฌานระดับไหนก็ตามเรียกว่า ผลสมาบัติ คือการเข้าถึงผลของมันอย่างแท้จริง ถ้าหากว่าได้สมาบัติ ๘ แล้ว เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน สามารถเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธได้ นั่นเขาเรียกว่านิโรธสมาบัติ
ถาม : เพราะฉะนั้นสมาบัติ ๘ ก็ได้กันทั่วไป ?
ตอบ: คือมันเป็นสมบัติของคนทั่ว ๆ ไป ใครมีปัญญาทำถึงได้ทั้งนั้น เมื่อคืนก็เพิ่งจะตอบเรื่องนี้ให้ท่านปิงเขาฟัง เขาบวชอยู่กับหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ คุยกันไปคุยกันมาจะบอก ตอนนี้คุณจับดูซิว่าใจผมอยู่ที่ไหน หาเจอมั้ยล่ะ ? ก็ให้เขาควานหาไปจนทั่ว แล้วก็ถามว่าไง บอกนี่แหละ พอถึงเวลาเราจับตัวที่ไม่เอาอะไรเลย แล้วคุณจะไปหาอะไรเจอ เสร็จแล้วเขานั่งอยู่พักหนึ่ง เขาก็สามารถไล่กำลังใจขึ้นมาตรงชนิดที่เรียกว่า สามารถเกาะได้ตรงจุดนั้น เขาบอกว่า แล้วทำไมผมทำได้ล่ะ ? ก็บอกของเก่าของคุณมีอยู่แล้ว บอกกันท่านปิงว่า สมัยก่อนใครทำอะไรได้เยอะกว่าผม ถ้าเผลอเล่าให้ผมฟัง ผมไล่กวดทันตอนนั้นเลย มันเป็นวิธีขโมยความรู้เขา ลักษณะที่หลวงพ่อสอนเราเรื่องมโนมยิทธิ โบราณเขาบอกมันเหมือนปรอท เขาลงไปตรงไหน ก็ซึมหายไปตรงนั้น คือมันสามารถแทรกลงไปได้ทั้งหมด สามารถยกอารมณ์จิตของเราให้ไล่ทันเขาได้ในเดี๋ยวนั้นเลย เพียงแต่ว่าเราสามารถรักษาผลอันนั้นไว้นานได้เท่าไหร่เท่านั้นเอง ก็เลยบอกเขา ในเมื่อคุณสามารถเกาะอารมณ์ตามมาได้ แสดงว่าของเก่ามีอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาทำกำลังใจให้มาตรงจุดนี้ บ่อย ๆ เดี๋ยวมันฟื้นของเก่าคืนมาได้ มันก็ได้สมาบัติ ๘ ไปเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาฝึกมากด้วย
ถาม : ได้สมาบัติ ๘ แล้ว ก็คือว่ากำลังของฌานก็สูงขึ้นด้วย ?
ตอบ: กำลังของฌานจริง ๆ มันเท่ากับฌาน ๔ เพียงแต่สมาบัติ ๘ มีวิธีการที่ใช้กำลังของฌาน ๔ ในการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปอีก ๔ รูปแบบด้วยกัน คือจับความว่างของอากาศ จับความไม่มีขอบเขตของวิญญาณ จับการไม่เอาอะไรเลย แม้แต่น้อยหนึ่ง ทำตัวเหมือนกับมีสัญญาก็เหมือนไม่มีสัญญา ลักษณะมันคล้าย ๆ วิปัสสนาญาณ มันจะเป็นการใช้อารมณ์คิดเข้าไปร่วมกับกำลังของสมาธิ
ไม่ยากจ้ะ ไม่ยาก...เมื่อคืนเกือบจะชวนเขาเดินทั่วกรุงเทพแล้ว พอหลังทำวัตรกับหลวงพ่อสมเด็จฯเสร็จ เดินมาก็ถามว่าเป็นไงตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไร ถ้าเราต้องการให้มันมี มันถึงจะมี ทุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องของดิน ของน้ำ ของลม ของไฟ ถ้าหากเรารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงแล้วไม่ฝืนไปดิ้นรนมัน ไม่ไปปรุงแต่งอยากได้โน่น อยากได้นี่ มันก็สบาย ใช่มั้ย ? เราก็บอกเขา แล้วอารมณ์ใจอย่างนี้ก็ลองเดินไปซิ คุณเดินได้เป็นวันมันไม่รู้สึกอะไรหรอก ไปได้เรื่อยเปื่อย แล้วใจมันเป็นสุข
เมื่อคืนเกือบจะพาเขาเดินจาก วัดสระเกศมานี่แล้ว ถ้าไม่เกรงใจ (หัวเราะ) บอกเขาพยายามรักษาไว้ให้ได้ คนที่เริ่มคลำถึงนี่ต่อไปมันจะง่าย เพราะว่ามีรูปแบบแล้ว เคยเข้าถึงซะที ต่อไปมันจำตรงจุดนั้นได้ พอจำตรงจุดนั้นได้ต่อไปทำ พอถึงจุดนั้นปุ๊บมันก็รู้ เออ! นี่ใช่แล้ว แล้วก็พยายามรักษาเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ถาม : ยากตรงรักษานี่ ?
ตอบ: ใช่ บอกแล้ว มันไม่ยากหรอก ยากตรงรักษาไว้ ทำกำลังใจไล่ตามเขามันง่ายนิดเดียว
ถาม : จริง ๆ แล้ว... เราสามารถกั้นมารได้ด้วยเหรอ ก่อนตายน่ะ ?
ตอบ: ถ้าหากว่าความดี ความบริสุทธิ์ของเราเข้าถึงที่ ไม่ต้องไปกั้นมันหรอก มารเขาไม่เห็นเองแหละจ้ะ คือเขาไม่สามารถเข้าถึงความละเอียดจุดสุดท้ายได้ ในเมื่อเขาเข้าไม่ถึงตรงจุดนั้น มันก็เหมือนกับคนละคลื่นความถี่กัน เขาก็ไม่สามารถจะแทรกคลื่นของเราได้
ถาม : แต่เจ้ากรรมนายเวร...?
ตอบ: ถ้าเจ้ากรรมนายเวร ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่มันเอาเราแน่ คำว่ามีขันธ์ห้าอยู่ หมายถึงว่ามีจิตบริสุทธิ์อย่างแท้จริงแล้วนะ ถ้าจิตยังไม่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงต่อให้เป็นจิตมันก็ลากเรา ลงไปอบายภูมิได้
ถาม : การที่เราจะนำหนังสือของศาสนาพราหมณ์ไปเผยแพร่ คือว่าพอดีน้องเขาบอกว่ามีโรงเรียนที่ต้องการหนังสือ น้องอีกคนเขาถือพราหมณ์ เขาจะ...?
ตอบ: เขาเคารพเทวดาในศาสนาเขามากกว่า
ถาม : ค่ะ แล้วทีนี้น้องเขาก็บอกว่า ตอนนี้เทวสถานกำลังทำหนังสืออกมาเล่มหนึ่งดีมากเลย ให้ขอ ขอเล่มหนึ่งเผื่อเขาด้วย เพราะว่าเทวสถานจะให้กับโรงเรียนเท่านั้น ก็เลยคิดว่า การไปขออย่างนั้นเท่ากับไปเผยแพร่ศาสนาพราหมณ์ให้กับนักเรียน มันก็จะไม่ดี
ตอบ: ดี ใครว่าไม่ดี หนังสือทุกประเภทจัดเป็นธรรมทานทั้งหมด เพียงแต่ว่าถ้าเป็นหนังสือธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง ก็เป็นธรรมทานสูงสุด การให้ธรรมทานอย่าลืมว่า ชนะทานทั้งปวง เพราะอย่างน้อย ๆ คนที่เอาไปศึกษาเรียนรู้ เขาจะต้องได้ความรู้ ความก้าวหน้าด้านใดด้านหนึ่งขึ้นมา เป็นการยกระดับจิตหรือว่าภพภูมิของตนให้มัสูงขึ้นกว่าเดิมได้ เขาจะได้ประโยชน์จากตรงจุดนั้น ในเมื่อได้ประโยชน์จากตรงจุดนั้นถือว่าเป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง เป็นอานิสงส์ใหญ่เหมือนกัน... ไปเหอะ แจกเยอะ ๆ ยิ่งดี คืออย่างน้อย ๆ ถ้าคนที่เขายังไม่ยึดในด้านของพระรัตนตรัยอย่างจริงจัง เขาก็ยังได้ในเทวตานุสติ คือการระลึกถึงเทวดา เพราะว่าทางศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูนี่ เขาจะยึดเทวดาเป็นใหญ่
ถาม : ..............................................
ตอบ: อาจารย์ เขาแปลว่า ต้นแบบ มาสมัยหลังความหมายของคำว่าต้นแบบ กลายเป็น ที่พึ่งของศิษย์ ถ้าหากว่าเป็นอาจารย์ผู้ให้ศีลเณรเรียก ปัพพัชชาจารย์ ถ้าหากว่าเป็นอาจารย์คู่สวด ก็มี กรรมวาจาจารย์ อนุสาวนาจารย์ ถ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ ก็คือ อุปัชฌายาจารย์ ฉะนั้นอาจารย์หรือ อาจาริยะ มาจากบาลีโดยตรง
ถาม : เรื่องวิปัสสนูปกิเลส ?
ตอบ: วิปัสสนูปกิเลส เรียกสั้น ๆ อีกอย่างหนึ่งว่า อุปกิเลสของวิปัสสนาญานของพวกนี้ อุปกิเลส แปลว่า ใกล้ซึ่งกิเลส ถ้าเราไม่หลงยึดติด เขาก็เป็นสิ่งแค่ใกล้กิเลสเท่านั้น แต่ถ้าเรายึดติดเมื่อไหร่มันจะเป็นกิเลสทันที อย่างเช่น เขาบอกโอภาส แสงสว่างเกิดขึ้นอย่างนี้
บางสำนักโอภาสพอแสงสว่างเกิดขึ้นปั๊บ เขาก็คิดว่าเขาบรรลุมรรคผลแล้ว ญานเครื่องรู้เกิดขึ้นก็คิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว อธิโมกข์ การน้อมใจเชื่อเกิดขึ้น ก็คิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว ปัสสัทธิ ความสงบใจเกิดขึ้นก็คิดว่าบรรลุแล้ว ปัคคาหะ มีความเพียรกล้าประเภทเดินจงกรม ๗ วัน ๗ คืน ไม่ยอมเลิก ก็คิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว อะไรเหล่านี้เป็นต้น รวมแล้วมีอยู่ ๑๐ อย่างด้วยกัน ถ้าหากว่าเราไม่ไปยึดติด ไม่ไปเกาะตรงจุดนั้น เขาก็เรียกว่า อุปกิเลส คือใกล้ที่จะเป็นกิเลส แต่ถ้าเรายึดเมื่อไหร่มันเป็นกิเลสเลย เพราะว่ามันยังไม่ใช่ส่วนเข้าถึงจริง ๆ โดยเฉพาะตัวหลัง ๆ นี่อันตรายมาก
อย่างพวกปัสสัทธิ ความสงบจิตใจสงบระงับจากนิวรณ์ทั้งปวง ด้วยอำนาจของฌานกดไว้ คิดว่าตัวเองเข้าถึงแล้ว นิกกันติ ความใคร่น้อยลง คือ อารมาณ์ของกามฉันทะไม่มี มันนิ่งมันสงบไป ด้วยกำลังของฌานมันกดเอาไว้ คิดว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็มี ถ้าเผลอฌานถอยเมื่อไหร่มันตีหงายท้อง
ถาม : อย่างที่เคยอ่านของหลวงปู่ดูลย์ ที่ว่าพระที่เป็นลูกศิษย์ท่านไปแล้วท่านคิดว่าบรรลุแล้ว ท่านรีบมาบอกหลวงปู่ทันทีเลย แล้วก็ให้หลวงปู่ไหว้ท่าน อันนั้นคือหนึ่งใน...?
ตอบ: ลักษณะอย่างนี้แหละ อันนั้นจริง ๆ บางทีเขาเรียก สัญญาวิปลาส คือเข้าใจผิดคิดว่าใช่
ถาม : ต่างกันอย่างไรระหว่าง สัญญาวิปลาส กับวิปัสสนูกิเลส ?
ตอบ: ก็อันเดียวกัน คือตัวนี้ญานเครื่องรู้มันเกิด ในเมื่อเครื่องรู้เกิด บางทีทิพจักขุญาน เกิดบ้าง รู้แจ้งแทงตลอดไปหมดเห็นตั้งแต่ต้นยันปลาย แต่ว่า แทนที่พิจารณาว่า เป็นแค่เห็นเท่านั้น เห็นนี่เป็นการเข้าถึงยังไม่ใช่ที่จะได้เป็นของเรา เพราะฉะนั้นถ้าหากนับการรู้เห็นมันเป็นแค่มรรค เท่านั้น ดีไม่ดี เป็นแค่ โคตรภูญาน เท่านั้นเอง
ถาม : หลวงปู่จวบ ท่านบอกว่า รู้แจ้ง แต่ไม่แทงตลอด ใช่อันนี้เปล่า ?
ตอบ: ลักษณะนั้นน่ะ คิดว่าใช่ มั่นใจว่าใช่ แต่จริง ๆ แล้วยังไม่ใช่ เพราะยังไม่ใช่ของเรา สตางค์วางอยู่ตรงหน้า ของใครก็ไม่รู้ จะไปคิดว่าเป็นของเราได้อย่างไร แต่ส่วนใหญ่มันกองอยู่ตรงหน้า ก็คิดว่าเป็นของตัวแล้ว
ถาม : ต้องแทงตลอดแล้ว ถึงเป็น ?
ตอบ: เรื่องภาษานี่ ไม่ต้องไปเถียงกันหรอก ถึงเวลาแล้วจริง ๆ ความหมายมันลงที่เดียวกัน เพียงแต่พูดกันไปคนละอย่าง แล้วแต่ว่าท่านจะใช้คำพูดแบบไหน หลวงปู่บุดดา ท่านบอก กายเดียวจิตเดียวก็นิโรธ หลายกายหลายจิตมันยุ่ง หลวงปู่มหาอำพัน ท่านบอก อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด คนละเรื่องเดียวกันมั้ยล่ะ ? เรื่องเดียวกันแต่ท่านพูดคนละอย่างกัน พูดตามประสบการณ์ หรือว่าพูดตามความหมายที่ท่านเข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วมันเรื่องเดียวกัน
ถาม : พระสุปฏิปันโน หลวงปู่ที่หลวงพ่อท่านเคยพาลูกศิษย์ไปกราบและนิมนต์มางาน ๑๐๐ ปีหลวงปู่ปาน เคยมีความเนื่องอย่างไรบ้างกับหลวงพ่อมา ?
ตอบ: มีหลายองค์ ที่เคยปรารถนาพระโพธิญาณมาด้วยกัน อย่างหลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ เขาเรียกพระโพธิสัตว์ บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์เขาถือเป็นเพื่อนกันหมด หลายองค์ในอดีตก็เคยเนื่องกันมาอย่างหลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย วัดชัยมงคล ที่ลำพูน ในอดีตก็เคยเป็นพี่ชายมา แต่ละท่านส่วนใหญ่มันจะต้องมีความเนื่องกันมาก่อน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ชัดในพระไตรปิฎก บอกว่าบุคคลที่เกิดมาได้พบกันในปัจจุบัน ในอดีตที่ไม่เคยเนื่องถึงกันมานั้นไม่มี อย่างน้อย ๆ ต้องมีฐานะใดฐานะหนึ่งที่สืบเนื่องถึงกัน อาจจะเป็นคนครอบครัวเดียวกัน พ่อแม่ลูกเมีย หรือไม่ก็ครูบาอาจารย์ , ศิษย์ หรือเพื่อนฝูงมิตรสหายกัน จะต้องมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ไม่เช่นนั้นไม่มีโอกาสได้มาเจอกัน
ถาม : อย่างในหลวง เมื่อเช้าตื่นขึ้นมานึกถึงท่าน ปกติตื่นขึ้นมาก็นึกถึงบทสวดมนต์ แต่วันนี้ตื่นขึ้นมานึกถึงท่าน ?
ตอบ: วันนี้ ๕ ธันวาจ้ะ (หัวเราะ)
ถาม : จริง ๆ แล้วคนในประเทศไทยที่รักท่าน ก็เคยเกิดเป็นลูกท่าน ?
ตอบ: พระโพธิสัตว์ที่ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เขาจะมีมโนปณิธาน คือนึกว่าจะเป็น วจีปณิธาน ออกปากว่าจะเป็น กายวจีปณิธาน ทำทั้งกายทั้งวาจา เพื่อให้ได้เป็น การที่ มโนปณิธาน คิดว่าจะเป็น ถ้าเป็นขั้นที่เรียกว่าง่ายที่สุดก็คือ พระปัญญาธิกะโพธิสัตว์ ก็ต้องใช้การคิดอยู่ ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะฉะนั้นอย่างของท่าน ถ้าเราตามเกิดมาชาติละหนึ่ง ๆ ก็คงเป็นลูกท่านจนนับไม่ถ้วน
ถาม : แล้วที่ผ่านมามีกี่พระองค์แล้ว ?
ตอบ: ๓ ล้านกว่าองค์ เกือบ ๔ ล้าน
ถาม : ที่หลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐมจะเข้าถึงพระนิพพาน เร็วมาก ต้องตั้งความปรารถนาด้วยไหมครับ ?
ตอบ: พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งความปรารถนาไว้ แปลว่า กำลังบารมีของเราอยู่ในระดับ ปรมัตถบารมี แล้ว คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีเป็นต้องอยู่ในระดับอุปบารมีขั้นปลาย หรือปรมัตถบารมีเท่านั้น
อธิษฐานบารมีคือตั้งใจว่าเราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร ถ้าหากว่ายังอยู่ในระดับบารมีขั้นต้น ขั้นกลาง บางทีอธิษฐานไม่เป็นหรอก ดีไม่ดีเห็นคนอื่นอธิษฐานไปค้านเขาเสียอีก บอกว่าทำแล้วยังอยากได้โน่น อยากได้นี่ ยังโลภอยู่นี่หว่า
ถาม : อย่างคนที่ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม ด้วยความศรัทธา แต่ว่าไม่ได้อธิษฐานจะเข้าสู่พระนิพพานนี่....?
ตอบ: อย่างน้อย ๆ ตัวอานิสงส์พุทธบูชา ก็จะไม่เกิดนอกเขตพระพุทธศาสนาแน่นอน การที่อยู่ในเขตพระพุทธศาสนา อย่างน้อย ๆ เรื่องท่าน ศีล ภาวนา มันต้องมี เป็นการทำให้บารมีของเขาเข้มข้นเร็วขึ้น ขณะเดียวกันว่า ถ้าหากว่าตั้งใจเอาไว้ก็ไปนิพพานได้เร็วขึ้น
ถาม : เรื่องศีลข้อหนึ่ง อย่างกรณีหนึ่งเขาทำหน้าที่ขับรถ เพื่อพาเพื่อนที่เรียนสัตว์แพทย์ไปเชือดสัตว์ คนขับรถนี่จะมีส่วนในกรรมปาณาติบาตมั้ย ?
ตอบ: ถ้าตั้งใจขับรถเพื่อพาเพื่อนไปเชือดนี้เสร็จแน่เลย แต่ถ้าขับรถไปส่งเพื่อน เพื่อนจะทำอะไร เรื่องของมันไม่เกี่ยวกัน ลักษณะนี้ต้องทำแบบภรรยาของพรานกุกุตมิต เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๑๖ สามีเป็นพรานออกล่าสัตว์ทุกวัน แม่อีหนูส่งบ่วงเชือกมา ก็ส่งให้ แม่อีหนู ส่งหน้าไม้มา ก็ส่งให้ แม่อีหนู ส่งหอกมา ก็ส่งให้ พระท่านทราบจากที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าภรรยาของพรานกุกุตมิต เป็นพระโสดาบัน ก็แปลกใจว่า ทำไมพระโสดาบันยังสนับสนุนการฆ่าสัตว์อยู่ ? พระพุทธเจ้าบอกลองถามเธอดูซิว่า เธอคิดอย่างไร ? ปรากฏว่าภรรยาพรานกุกุตมิต บอกว่า ภรรยามีหน้าที่ทำตามที่สามีสั่ง สามีให้ส่งบ่วงเชือกให้ก็ส่งให้ ให้ส่งหน้าไม้ให้ก็ส่งให้ ให้ส่งหอกให้ก็ส่งให้ ทำตามคำสั่งของสามีเท่านั้น ส่วนสามีนำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไปทำอะไรเธอไม่รับรู้ หมดเรื่องแค่นั้น ตัดกำลังใจซะ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นคิดหานรกใส่ตัว
ถาม : อย่างกรณีที่ว่าเจอสตางค์หล่น เพื่อนผมเขาบอกว่าไม่น่าจะบาป เพราะว่าเงินใครก็ไม่รู้ แต่ผมก็เถียงไปว่า ถ้าเป็นผมจะเซฟตัวเองว่าเงินใครก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ว่าเขาจะให้เราหรือเปล่า ถึงแม้เป็นเงินตกผมก็จะไม่เอา
ตอบ: นั่นมันอยู่ที่เรา แต่จริง ๆ เก็บมาหยอดตู้ทำบุญไปก็ได้ หรือไม่ก็ให้ขอทานไปก็ได้ ได้ประโยชน์มากกว่า แต่โบราณเขาถือนะ เขาถือว่าเป็นการตัดลาภ เหมือนกับว่าข้างหน้าเราจะได้ลาภใหญ่ แล้วของนี่โผล่มายั่วลูกกะตา เราเก็บขึ้นมา เท่ากับเราได้แค่นั้นของใหญ่ก็เลยไม่ได้ คือวันนั้นจะได้ โอกาสได้มันต้องครั้งเดียว ในเมื่อครั้งเดียวนั้นเราไปใช้กับของน้อยซะแล้ว ของมากก็เลยอด อันนี้โบราณเถือ แต่เราไม่ต้องถือตามก็ได้
ถาม : สมัยที่หลวงพ่อยังอยู่ อ่านหนังสือเจอหลวงพ่อโดนวางยาบ่อยเลยหรือคะ ?
ตอบ: หลายครั้งอยู่
ถาม : คือพวกที่เป็นคอมมิวนิสต์ เหรอคะ ?
ตอบ: ไม่ใช่หรอก บางทีเชื่อไหมว่าเป็นนักบวชด้วยกันนี่แหละ พูดง่ายว่าตอนนั้นรัศมีหลวงพ่อกลบเขาไปหมด ถ้าหลวงพ่อตายเสีย เขาดังขึ้นมาแทน คนจะไปหาเขา นี่ล่ะ นักบวชล่ะ จำไว้ เหลือเชื่อมั้ย ? เอาเรื่องเหมือนกัน แล้วก็มีหลายสำนักที่เป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ พวกนี้เขาจะรับจ้างลักษณะที่ว่า ถ้าล้มหลวงพ่อได้ เขาจะดัง ค่าตัวจะแพง เอากับมันสิ (หัวเราะ) ตกลงเรื่องลัทธินอกศาสนานั้น มันเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น กิเลสคนมันยุ่งกว่าที่เราคิดเยอะเลย
ถาม : ที่คิดอย่างนี้ก็แสดงว่าลงอเวจี ?
ตอบ: ตอนมันทำ มันยังไม่ลง ต้องรอตายก่อนก็เลยไม่รู้ (หัวเราะ)
ถาม : สมัยนื้ยังมีกันอยู่มั้ย เคยโดนมั้ยคะ ?
ตอบ: ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องของฝากนี่ ใครฝากมาเรารับทั้งนั้น ปัจจุบันใช้ช้อนเงินอยู่ แล้วไม่ยอมฉันอาหารคนเดียว ตอนแรกอาจารย์สมพงษ์ เขาฉันอาหารคนเดียว เขาเป็นเจ้าอาวาสนี่ เป็นเจ้าคณะตำบลด้วย ถึงเป็นลูกศิษย์อาตมาเขาก็ใหญ่เป้งพอสมควร ปรากฏว่าเราไปถึงเขาจัดมาต่างหาก ก็ยกไปกินกลางวงนั่นแหละ ทุกเที่ยวเลย มาตอนหลังเขาถามว่าทำไม ? บอกว่า อันดับแรกคุณจะไม่ได้ใกล้ชิดกับพระเณรเลย ถ้าทำตัวอย่างนั้น อันดับที่สอง ถ้าคนจะวางยาคุณล่ะง่ายสุดที่เลย สำรับเดียวคุณตายแหง๋เลย ถ้าหากเราไปกินส่วนรวมมันมีปัญญาก็วางไปสิ พระทั้งวัด มันไม่รู้ว่าเราจะกินอันไหนนี่ (หัวเราะ) น่าสนุกมั้ย ? บอกแล้วว่าภยตูปัฎฐานญาน การเกิดมา มันเป็นโทษเป็นภัย เป็นของที่สุดแสนจะน่ากลัว (หัวเราะ) ขนาดเป็นนักบวชยังไม่ใช่จะปลอดภัยเลย
ถาม : ยังไม่นับสิ่งที่มาแบบไม่เห็นอีก
ตอบ: ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ของแถมพวกนี้เยอะ คนเขาเมตตา เขารักเราเขาก็ให้ เราก็รับ ๆ ไว้ก็แล้วกัน
ถาม : รับแล้วส่งคืน
ตอบ: ไม่ส่งล่ะจ้ะ ขี้เหนียว รับแล้วยึดทรัพย์เลย
ถาม : เขาบอกว่า บางทีคนที่มีวิชา ถ้าเกิดส่งของแบบไสยศาสตร์ไปหาคนที่มีวิชาเช่นกัน คนที่มีวิชานั้นถ้าเกิดว่าไม่ส่งไป ก็เอาไปเก็บที่ถ้ำพญานาค ?
ตอบ: ไม่ต้องยุ่งขนาดนั้นก็ได้จ้า เขามีวีธีแก้ บางสำนักเขาจะตั้งขันน้ำมนต์รอไว้เลย ถึงเวลาก็จ๋อม แล้วก็ไปดูว่ามันคืออะไร ? ถ้าหากพวกประเภทส่งเป็นแล้วรับไม่เป็น ถ้าไม่ระวังก็โดน แต่ถ้าประเภทรับเป็น ส่งมาเท่าไหร่ ก็โน่น ลงขัน ลงโอ่งไปแทน
ถาม : แล้วอย่างถ้าเขาเกิดส่งควายธนูมาล่ะคะ ?
ตอบ: เก็บไว้ไถนา ไม่เปลืองน้ำมัน อันนั้นน่ากลัวนะ เพราะว่าถ้ามันทำร้ายเราไม่ได้ มันย้อนกลับไปบางทีมันทำร้ายเจ้าของมันเอง เพราะฉะนั้นเจ้าของเขา ถ้าไม่ใช่ประเภทเอากันถึงตายจริง ๆ เขาจะไม่ใช้หรอก โดยเฉพาะลักษณะที่เขาเรียกว่า วัวแดง จะเป็นไสยศาสตร์ทางด้านของเขมร ถ้าหากส่งออกไปอะไรขวางหน้า มันซัดแหลกเลย ไม่ฟังเสียงหรอกว่าจะเป็นอะไร
ถาม : สมมุติว่ามีคนส่งควายธนูมา แล้วเกิดไม่โดน หลวงพี่เอออกไปจะโดนมั้ย ?
ตอบ: อันนี่ไม่แน่ใจ เพราะตอนที่อยู่ชายแดน สมัยนั้นได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปปิดตลาดมืด ตลาดมืดนี่มูลค่าเท่าไหร่ไม่รู้นะ ปี ๒๕๒๔ ตลาดเล็ก ๆ อย่างอรัญประเทศ อำเภอเดียว ตัวเงินหมุนเวียนเป็นร้อย ๆ ล้าน แต่ละวันแล้วของเราไปปิดเขาเกลี้ยง เขาเลยส่งมือปืนมาตามล่า ตั้งค่าหัวคนละสองแสน สามแสน ไอ้สอง-สามแสน สมัยก่อนคงเป็นล้านสมัยนี้ แต่ส่งมือปืนมายิงทหารก็เหมือนส่งเด็กไปสอนหนังสือสังฆราช โดนเรากวาดซะเหี้ยน (หัวเราะ) มันก็เลยใช้วิธีไสยศาสตร์แทน ก็มีทำยาสั่ง มีทั้งพวกปล่อยผีมา
พวกลักษณะนี้ มีอยู่คืนหนึ่งได้ยินเสียงเหมือนนกเล็ก , หรือว่าแมลงตัวใหญ่ ๆ บินด้วยความเร็วสูงมาก โฉบอยู่รอบฐาน ก็เลยโผล่ไปดู เห็นเป็นวัวขี้ผึ้งตัวเล็ก ๆ กำลังวนอยู่รอบฐานจะเข้ามา แต่ของเราพกธงมหาพิชัยสงคราม คือธงแดงข้างบนที่เห็น หลวงพ่อท่านยืนยันผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน เราเองก็เลยนั่งดูมัน ดูซิมีปัญญาวิ่งมั้ย ? ไม่เหนื่อยก็เรื่องของมัน วนไปวนมาครึ่งค่อนชั่วโมงเข้าไม่ได้ก็กลับไป ไม่รู้เหมือนกันไปเล่นเจ้านายมันเองหรือเปล่า
|