ถาม :  .........(คุยเรื่องศรัทธาต่อหลวงพ่อ).......
      ตอบ :  เมื่อวานมีโยมคนหนึ่งมาจากอยุธยา มาสารภาพบาป เขาบอกเคยเจอหลวงพ่อครั้งหนึ่ง ก่อนหลวงพ่อมรณภาพตั้งหลายปี ไปถึงก็ตำหนิอย่างเดียวเลย พระอะไรวะ ถวายสังฆทานไม่ให้ตั้งหลักเลย ไล่ออกเอา ๆ พูดง่าย ๆ คือ มันหาเรื่องด่าตั้งแต่วินาทีแรก จนกระทั่งเดินกลับไปนั่นแหละ เสร็จแล้วพอหลวงพ่อสิ้น ได้ประวัติหลวงพ่อไปอ่านเสร็จไปนั่งร้องไห้ บอกทำไมพระอย่างนี้ตูไม่มีโอกาสเจอนาน ๆ
      ถาม :  แทนที่จะได้นั่งคุย
      ตอบ :  สมน้ำหน้ามัน คือมันเองแบกไว้เต็มที่ แทนที่จะติตัวเอง ก็ไปติคนอื่นเขา
      ถาม :  โชคดีกว่าพ่อผม ตอนนี้ยังไม่เปลี่ยนเลย แถมผมมานี่ ยังวิจารณ์หลวงพ่อให้ผมฟังอีก
      ตอบ :  เอาเถอะ ตามสบาย....ที่วัดตอนนี้พระรุ่นใหม่ ๆ ก็มี มีประเภทไม่เชื่อเลย ของเราก็ประเภทที่ว่า ค่อย ๆ หยอดไปทีละนิด ทีละหน่อย คราวนี้ว่าช่วงพรรษานี้ บังเอิญต้องเป็นครูสอนนักธรรมเขา ดังนั้นทุกอย่างที่สอนเราจะตบท้ายว่า ถ้าคุณอยากจะฝึก มา ผมจะสอนให้ได้ คือท้ามันเลย แล้วก็ไปท้าย ๆ บอกว่า ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนเชื่อยากว่าพวกคุณหลายเท่า แต่ว่าบังเอิญผมฉลาดกว่าคุณนิดหนึ่ง คือผมรู้ว่าทำอย่างไร ผมก็พยายามทำตาม ถ้าผมทำไม่ได้ผมถึงไม่เชื่อ แต่พวกคุณยังไม่ได้ทำอะไรเลย คุณไม่เชื่อ มันโง่ไปหน่อยว่ะ ยังไม่ทันจะลงมือเลย บอกกูไม่เชื่อ ๆ แล้วจะมีประโยชน์อะไร เขาบอกว่าตรงภูเขานั้นมีทองอยู่ ยังไม่ทันไปก็บอกว่าไม่เชื่อ ๆ ลองตะกายไปดูสักหน่อยว่าไม่มี แล้วค่อยด่า แล้วตกลงว่า ถ้าหากคนเชื่อมันไปถึงเจอ แบกกลับมามันได้อยู่คนเดียว แล้วคุณได้อะไรขึ้นมา มาระยะหลัง ๆ นี่ ชักจะเชื่อ คือของเราประเภท ท้ามันเลยว่าคุณอยากจะฝึกอะไรบอกมา ที่เรียนนี่มันมี ธรรมวิภาค เกี่ยวกับการปฏิบัติ แนวปฏิบัติทุกรูปแบบเลยอย่างนี้
      ถาม :  จริง ๆ ก็มีครบนะครับ แล้วแต่ละคนจะแตกฉานออกไป ไม่มีเพ้อฝันอะไรอย่างนี้
      ตอบ :  มีครบ คือทิฐิ ความเห็นแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เขาประเภทที่ต้องทำให้เห็นซึ่ง ๆ หน้า แล้วธุระอะไรที่ต้องไปทำ ก็บอกทำแล้วมันไม่ได้ความเลื่อมใสเฉพาะที่เกิดขึ้นจากใจที่แท้จริง มันดันไปยึดติดในฤทธิ์ ในเดชเสียต่างหาก ต้องดูอะไรนะ จิตตคฤหบดี ก่อนที่จะเป็นอัครสาวกผู้เลิศในทางธรรมถึก ท่านได้เจอพระมหานามะแล้วเลื่อมใส สร้างวัดสร้างอะไรให้อยู่ เสร็จแล้ววันหนึ่งก็บอกว่า พระคุณเจ้าช่วยแสดงฤทธิ์ให้ผมดูหน่อยได้ไหม พระมหานามะ ท่านเก็บอาสนะหนีเลย แล้วก็ส่งพระสุธรรมเถรไปแทน พระสุธรรมเถรท่านเป็นพระปุถุชนนี่ ท่านก็ประเภทคนที่กิเลสใกล้เคียงกัน ก็อยู่ด้วยกันนานหน่อย
              คราวนั้นจิตตคฤหบดี ก็ตั้งใจว่าจะถวายทานต่อพระพุทธเจ้า และพระอัครสาวก ก็เลยส่งทูตไป สมัยนี้เรียกว่านิมนต์อย่างนี้ พอพระพุทธเจ้ามาไม่ได้ก็ส่งพระโมคัลลาน์ พระสารีบุตรมา คราวนี้ท่านก็ประเภทตื่นเต้น ต้อนรับกันยกใหญ่ ลืมพระสุธรรมเถรไป คือลืมเจ้าอาวาส มัวแต่ไปต้อนรับพระอาคันตุกะไป พระสุธรรมเถรก็เมียง ๆ เข้าไปหา เพื่อให้เขาสนใจตัวเอง แต่ปรากฏว่า เขาก็ไม่ได้สนใจสักที คราวนี้ท่านก็เข้าไปในโรงครัว เห็นท่านเศรษฐีกำลังสั่งทำอาหารอย่างโน้นอย่างนี้ หันมาเจอ อ้าว...พระคุณเจ้ามาพอดี ผมทำอะไรขาดตกบกพร่องบ้างหรือเปล่า จะได้แก้ไขให้ถูก เพราะถวายให้พระโมคัลลาน์ พระสารีบุตรพร้อมกับพระสงฆ์สาวกตั้ง ๕๐๐ ทั้งที ก็อยากทำให้สมบูรณ์ที่สุด พระสุธรรมเถรท่านก็มองซ้ายมองขวา แล้วก็พูดประชดว่า ขาดขนมแตกงา คือขนมชนิดนี้มันไม่มีหรอก แต่ท่านพูดประชดไป เสร็จแล้วจิตตคฤหบดีพอได้ยิน ก็รู้ว่าพูดประชดท่าน ขนมแตกงาในโลกนี้มีที่ไหน ก็เลยไล่ตะเพิดไปเลย ท่านก็เลยกลับไป เชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าก็ถาม อ้าว...ทำไมถึงมาล่ะ เขาฉันเสร็จกันแล้วเหรอ ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ทำเป็นไม่รู้ พระสุธรรมเถรก็เลย บอกว่า เปล่าครับ เขาไล่มา
              พระสุธรรมเถรนี้แหละ เป็นองค์แรกในพระพุทธศาสนาที่โดนลงโทษด้วยวิธี ปฏิสารณียกรรม คือบังคับพระไปขอโทษโยม เพราะว่าตัวเองทำผิดจริง ๆ พระสุธรรมเถรก็เลยบากหน้ากลับไปขอโทษโยม บังเอิญว่าโยมฟังธรรมจากพระโมคัลาน์ พระสารีบุตร กลายเป็นพระอนาคามีเสียแล้ว หมดโกรธแล้ว ไปขอโทษท่านก็ให้อภัยไม่ว่าอะไรกันหรอก ตอนนี้ท่านเองเป็นพระอนาคามีแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่างวิเศษจริงแท้ เป็นอย่างนี้ ๆ ขอให้ท่านตั้งใจปฏิบัติเถิด พระสุธรรมเถรก็อายโยม ก็รีบจ้ำตัวเองกลายเป็นพระอรหันต์ไป อยู่กับเขาตั้งนานตั้งเน ตัวเองเป็นพระกับเขาแท้ ๆ ยังไม่ได้อะไร ถึงเวลาดันไปพูดจากระทบกระแทกแดกดันชาวบ้านเขาอีก ถึงเวลาชาวบ้านเขากลายเป็นพระอนาคามี ตัวเองก็เลยอายโยม ต้องรีบไปจ้ำเป็นการใหญ่ การลงโทษในพระพุทธศาสนานี่ ประเภทต้นบัญญัติมันหายาก พระสุธรรมเถรนี้ชัดที่สุดเลย โดนลงโทษด้วยวิธีปฏิสาราณียกรรม บังคับให้ไปขอโทษโยม เพราะว่าพระผิดจริง ๆ
      ถาม :  ปัจจุบันยังมีคนทำหรือครับ ?
      ตอบ :  ก็น่าจะมีนะ...เดี๋ยวรออาตมาก่อน ถ้าพระท่าขนุนมีปัญหาอย่างนี้เจอแน่ เขาจะมี นิสยกรรม ถอดจากยศ ปัพพาชนียกรรม ขับออกจากวัดเลย ตัชนียกรรม ลงโทษด้วยให้ออกจากหมู่มั่ง คือให้ไปอยู่คนเดียวอย่างนั้น แล้วประเภทปัพพาชนียกรรม ไม่ใช่ขับออกจากวัดเฉย ๆ บางทีให้สึกเลย อยู่ที่วิธีลงโทษ แล้วปฏิสาราณียกรรม บังคับให้ไปขอโทษเขา
      ถาม :  เพิ่งจะเคยได้ยินนะครับ ไปขอโทษฆราวาส แต่ผมว่าคุ้มนะ ขอเสร็จแล้วได้เป็นพระอรหันต์ ขอสักร้อยครั้งพันครั้งก็ได้
      ตอบ :  ก็มีประเภทที่คว่ำบาตรไง คือโยมปฏิบัติไม่ดีต่อพระ พระทั้งหมดถึงเวลาที่รับบาตรก็คว่ำบาตรลงไม่ยอมรับ เขาเลยใช้วิธีว่าคว่ำบาตรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะถ้าหงายบาตรมาเมื่อไร เขาก็ใส่บาตรได้ เสร็จแล้วเขาจะมีการสวดหงายบาตร หมายความว่าตอนนี้ฆราวาสคนนั้นได้สำนึกผิด แล้วมาขอขมากรรมแล้วให้หงายบาตรได้ เขาก็เลยมีการสวดคว่ำบาตร สวดหงายบาตร คนสมัยนี้เขาก็เลยไม่รู้ว่าที่มา มายังไง รู้แต่ว่าคว่ำบาตรคือไม่เอาด้วย จริง ๆ คือมาจากวงการของพระ คว่ำบาตรคือ มึงทำบุญมากูก็ไม่รับ
      ถาม :  รู้สึกว่าอย่างนี้ถ้าไม่รู้จริง ก็ไม่กล้าพูดไม่กล้าสอนแล้วครับ ?
      ตอบ :  มันอันตราย ทำไปถึงตรงนั้นแล้ว จะไปคิดว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้ารู้ ก็คืออย่างนี้ ๆ มันกลายเป็นว่าทิฐิของตัวเอง หิ่งห้อย บอกว่าพระอาทิตย์สว่างแค่นี้ เจริญไหมล่ะ ?
      ถาม :  แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วครับว่า ทำแล้วต้องได้ เพราะทุกครั้งที่ไป ก็รู้สึกว่าเสร็จโก๋ทุกที พอไปปั๊บความคิดมันแล่นมาทันทีทันใดเลยว่าต้องได้
      ตอบ :  การทำต้องดูเจตนา แบบเดียวกับว่า ปัตตานุโมทนามัย คือการอนุโมทนาในส่วนกุศลของคนอื่นเขาใช่ไหม ? คือว่าในขณะที่เราอยากทำใจจะขาด แต่ไม่มีโอกาสทำ แล้วคนอื่นเขาได้ทำ ก็เลยพลอยยินดีในบุญของเขา เออหนอ...เขาโชคดีจริงที่เขามีโอกาสทำในสิ่งที่เราไม่ได้ใช่ไหม ? จิตที่พลอยยินดีด้วยความจริงใจตัวนั้น มันต่างอยู่ที่ว่า ปัจจุบันเห็นเขาทำแล้วสาธุ แต่ตัวนี้เราแฝงความหมายว่ากูจะเอา ใช่ไหม ? เขาทำเราจะเอา ก็เลยกลายเป็นว่า เจตนามันผิดไป เลยต้องตั้งอารมณ์ใจกันใหม่
      ถาม :  ...........(เห็นในหลวงในนิมิต ในรูปพระสงฆ์ยืนบิณฑบาตอยู่ข้าง ๆ พระวิสุทธิเทพ)..................
      ตอบ :  อาตมาขึ้นนิพพานได้ครั้งแรกในชีวิตในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรานี่แหละ ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วท่านก็เป็นพระสงฆ์จริง ๆ ยืนห่มเหลืองอร่ามเลย ถือบาตรอยู่ใบหนึ่ง ก็เลยกราบท่าน ทูลถามท่านว่ามีพระประสงค์สิ่งใด ถึงได้มาแสดงองค์อย่างนี้ ท่านบอกว่าเธอลองดูในบาตรซิ ก็ก้มดูในบาตร มีน้ำประมาณครึ่งบาตร น้ำกำลังหมุน ๆ อยู่หน่อย ๆ แล้วมีเรือสำเภาเล็ก ๆ อยู่ลำหนึ่งกำลังวนไป ๆ อยู่ เผลอมองแป๊บเดียว ตัวไปอยู่ในเรือ กลายเป็นเรือลำใหญ่เบ้อเร่อเลย และน้ำกลายเป็นทะเล ชนิดที่ไม่เห็นฝั่ง มีแต่คลื่นลมรุนแรง กลายเป็นน้ำวนกำลังจะดูดเรือลงไปอยู่แล้ว แต่แปลก ๆ เงยหน้าขึ้นมาก็ยังเห็นในหลวง องค์ใหญ่เท่าเดิมอยู่ มันกลายเป็นว่าตัวเราเล็กลงหรือไงก็ไม่รู้ไปอยู่ในเรือ ตกใจว่าตูจะตายแน่แล้วใช่ไหม ? ก็โวยวายกับท่านว่า ทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ? ท่านบอกว่าเธอลองหาทางดูสิว่าจะขึ้นมาได้หรือเปล่า ? พอท่านบอกหาทางดูสิ มองไปรอบข้างเห็นเชือกทอดจากฝั่งมา ไม่เห็นว่าต้นสายมันอยู่ไหนหรอก แต่มันพาดอยู่บนเรือเป็นพัน ๆ เส้นเลย เราก็เลือกเอาเส้นมโหฬารเลยเผื่อเหนียวไว้ว่าไม่ขาดแน่นอน ก็ปีนขึ้นมา พอขึ้นถึงฝั่งมาก็กราบทูลถามท่านใหม่ว่า หมายความว่าอย่างไร ? ท่านบอกว่านานไปเธอจะรู้เอง คราวนี้พอเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังก็มีท่านผู้ที่ท่านมั่นใจว่า ท่านตีความนิมิตนี้ได้ ท่านบอกว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ คำว่าพระโพธิสัตว์ คือ ผู้ตั้งความปรารถนาจะขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ดังนั้นสัญลักษณ์ก็คือเรือ ที่ว่าเราสละเรือทิ้งก็คือว่า เราละความปรารถนาพุทธภูมิ แล้วขณะเดียวกันว่าเส้นเชือกที่ใหญ่ที่สุดที่เราเลือก น่าจะเป็นธรรมะส่วนหนึ่งที่หลวงพ่อท่านสอนเรา คือเชือกมันเต็มไปหมด แต่เราเลือกเผื่อเหนียว เอาเส้นโตเป็นสายเลยอะไรอย่างนั้น
      ถาม :  คือไม่ว่าน้ำจะแรงแค่ไหนก็ไม่กลัวที่จะขึ้นจากมันใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ของเราเองสละเรือ
      ถาม :  หมายถึงหลวงพี่องค์เดียว ?
      ตอบ :  ใช่ หมายถึงว่าต้องละความปรารถนาพระโพธิญาณ
      ถาม :  อ๋อ...ในหลวงก็บอกว่าสักวันหนึ่ง
      ตอบ :  ใช่...ท่านบอกว่านานไปจะรู้เอง คราวนี้อาตมาขึ้นพระนิพพานครั้งแรก ยังไม่ทันเจอพระพุทธเจ้า เจอในหลวงแล้ว
      ถาม :  แล้วสมัยที่เป็นร่างอย่างนี้ หลวงพี่เคยคุยกับในหลวงไหมครับ ?
      ตอบ :  ประเภทคุยกันเอง ไม่เคย แต่ว่ากำลังใจจะยึดท่านเป็นปกติ เพราะยึดถือท่านเป็นแบบอย่าง ถึงเวลาถ้าหากว่าเป็นวัน ๕ ธันวา สมัยฆราวาสนี่นะ ก็วันที่ ๔ – ๕ – ๖ ก็จะถือศีล ๘ ถวายท่าน ๓ วัน อุทิศส่วนกุศลให้ท่านโดยเฉพาะเลย คือประเภทสาธุขอให้ในหลวงอยู่นาน ๆ เถิด อย่างน้อยก็ ๘๓ พรรษาขึ้นไป ถ้าถึงวาระนั้นแล้วคนดีก็จะมีมากกว่า ประเทศชาติก็จะสงบร่มเย็น ทรัพย์สมบัติที่เป็นทรัพย์แผ่นดินก็จะปรากฏขึ้นมาก ถ้าท่านตายก่อน ยุ่งบรรลัยเลย
              ตอนนี้มากรุงเทพแต่ละทีแวะไปไหว้พระแก้ว ก็อธิษฐานเหมือนเดิม ขออุทิศส่วนกุศลให้กับเทพเจ้าทั้งหมด เทพเจ้าที่รักษาพระแก้วมรกตในทิศทั้ง ๔ เทพเจ้าที่รักษาในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชจักรีวงศ์ เทพเจ้าที่รักษาศาลหลักเมือง เทพเจ้าที่เป็นพระสยามเทวาธิราช ให้หมด ขอไม่มากหรอก ขอให้ในหลวงอยู่นาน ๆ
      ถาม :  แสดงว่าคนที่จะมาครองแผ่นดินต่อไป เทวดาก็เตรียมอารักษ์เต็มที่อยู่แล้ว ?
      ตอบ :  ก็ต้องเต็มที่ อย่างในหลวงของเรา ท้าวมหาราชท่านยืนยันเลย ใครก็ตามจะลอบสังหารในหลวงไม่มีทาง ท่านป้องกันได้ จะเป็นกฎของกรรมขนาดไหน ท่านป้องกันของท่านจนได้ มีอยู่อย่างเดียว คือ ประเภทป่วยตายไปเอง
      ถาม :  แล้วอย่างรัชกาลที่ ๘ กรณีท่านก็โดนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ?
      ตอบ :  คราวนี้มันไม่ใช่งานของท่าน เป็นงานขององค์ปัจจุบัน เขาต้องประคับประคองแผ่นดินไปให้ได้จนถึงตรงจุดนั้น ของเราเองก็รู้ทั้งรู้แต่เหมือนกับว่า ยังไงล่ะ คนกำลังเหนื่อย อย่างน้อยเราให้น้ำเขาก็ยังดีใช่ไหม ?
      ถาม :  เหมือนรัชกาลที่ ๘ ท่านมาขัดตาทัพไว้พักหนึ่ง ?
      ตอบ :  พักหนึ่งรอระยะเวลาที่เหมาะสม พักหนึ่งก็ไม่ใช่น้อยนะ ๑๒ ปีแน่ะ
      ถาม :  ตอนนี้หลวงพ่ออุตตมะมาที่วัดท่าขนุนแล้วหรือครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่างานหลวงปู่สายนิมนต์มาเมื่อไร ท่านมาเมื่อนั้น
      ถาม :  อย่างนี้ถือว่าท่าน
      ตอบ :  อาตมาไม่ได้นิมนต์ เจ้าอาวาสเขานิมนต์ นี่ยังลากเกมส์ยาวมา ๒ ปีแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านหมดอายุตั้งแต่ ๙๐
      ถาม :  ตอนนี้ ๙๓ แล้วหรือครับ ?
      ตอบ :  ๙๒ แล้ว จะ ๙๓ เดือนกุมภานี้ จริง ๆ ก็เวรกรรม ตูจะเจอไม้นี้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต้องไม่เผลอรับปากใคร เพราะท่านรับปากจะสงเคราะห์เราเป็นคนสุดท้าย เราก็ลากเกมส์ยาวไปเรื่อย ไม่ให้ท่านสงเคราะห์เสียที ขอให้ท่านอยู่นาน ๆ ก่อน
      ถาม :  วันดี คืนดี เดี๋ยวมาเองหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ถ้ามาไล่โขกกบาลถึงกุฏิก็ต้องยอมท่าน พระที่ท่านรู้ท่านรู้จริง ๆ หลวงพ่ออุตตมะ ตอนที่ท่านบอกว่าจะสงเคราะห์เป็นคนสุดท้าย เจอหน้าท่านใช้คำว่า เจ้าผู้เป็นเชื้อสายสักกะเทวราช เราจะสงเคราะห์เจ้าเป็นคนสุดท้าย จะตัวลอยเสียด้วยซ้ำ คือมันปีติ แต่ทีนี้เชื้อสายสักกะเทวราช เราไม่เคยไปคุยให้ใครเขาฟังนี่หว่า สักกะเทวราช คือ พระอินทร์
      ถาม :  แล้วรู้ได้อย่างไร ก่อนที่หลวงพ่ออุตตมะบอก ?
      ตอบ :  รู้มานานเนกาเล เป็นสิบ ๆ ปีแล้ว
      ถาม :  หลวงพ่อบอกหรือครับ ?
      ตอบ :  ขึ้นสวรรค์ครั้งแรก ก็ไปดูกัมพลศิลาอาสน์ ก็อยากรู้ว่าพระอินทร์หน้าตาเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็ไปเจอ ลุงกำนัน อ้วนพุงปลิ้นเชียว ท้าวหมอนขวาง ครึ่งนั่ง ครึ่งนอน สูบบุหรี่มวนเบ้อเร่อเลย ไปถึงก็นั่งมองนี่นะเหรอพระอินทร์ แล้วท่านก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ถามว่าอยากดูแบบไหนล่ะ ? ท่านให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบเลย แล้วสุดท้ายที่เราเข้าใจว่าพระอินทร์ต้องเขียวนั้น ท่านก็เขียวให้ดู ลักษณะนั้นก็คือว่า ท่านทำตัวตามสบาย เพราะเห็นว่าเป็นลูกเป็นหลานกันเอง ก็เลยแต่งตัวประเภทไปรเวทเลย นุ่งกางเกงขาก๊วยแค่ครึ่งแข้งอย่างนั้น ประมาณไม่ถึงวินาทีท่านให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบ แล้วลองนึกดูหลวงพ่ออุตตมะ อยู่ห่างกับเราแค่ไหน ไปเจอหน้าครั้งแรกท่านว่าเลย
      ถาม :  ไม่เคยเจอท่านมาก่อนด้วยเหรอ ?
      ตอบ :  ก่อนหน้านี้ไม่เคยเลย หลวงพ่ออุตตมะไปวัดท่าซุงครั้งแรกที่พิธีพุทธาภิเษก น่าจะเป็นปี ๒๕๒๐
      ถาม :  ตอนนั้นยังไม่บวช ?
      ตอบ :  ยัง หลวงพ่อท่านทำพิธียกช่อฟ้าอุโบสถ ทูลเชิญในหลวงด้วย แล้วมีหลวงปู่ หลวงพ่อที่เป็นพระสุปฏิปันโน ๑๐ กว่าองค์ ท่านบอกว่าให้ไปนิมนต์หลวงพ่ออุตตมะ ก็บอกว่ามันไกลขนาดนั้นแล้วเขาไม่รู้จักหลวงพ่อ แล้วเขาจะมาหรือครับ หลวงพ่อบอกว่า แกไปบอกว่าข้านิมนต์ท่านจะมา เสร็จแล้วก็ไปรถตู้กันไป โอ้โห...สมัยนั้นถนนมันสุดยอดความลำบากเลย ถนนลูกรัง อีโหลกโขกเขก บางตอนนี้น้ำมันเซาะลึกเสียจนโฟว์วีลยังหนาวเลย ก็ไปจนถึงวัดท่าน เสร็จแล้วพอบอกว่า หลวงพ่อมหาวีระนิมนต์ ท่านก็บอก เออ...เออ...ไป ๆ เสร็จแล้วไปถึงวัดท่านก็คุยกันกะหนุงกะหนิง เราเพิ่งจะรู้ว่าท่านไปรู้จักกันตั้งนานเนกาเลแล้ว หลวงพ่ออุตตมะเคยไปอยู่ปฏิบัติที่วัดปากคลองพร้อมกับหลวงพ่อตั้ง ๒ พรรษา ครูบาอาจารย์เขารู้จักหมด เราเองไม่รู้เองต่างหาก
      ถาม :  แล้วหลวงพ่ออุตตมะท่านทักตั้งแต่ครั้งแรกเลย ?
      ตอบ :  ท่านทักเลย เจ้าผู้เป็นเชื้อสายของท้าวสักกะเทวราช เราจะสงเคราะห์เจ้าเป็นคนสุดท้าย เราก็นึกว่าจะสงเคราะห์ครั้งนั้น ไม่ใช่หรอก ลากยาวมาเลย ตั้ง ๒๕ ปีแล้ว
      ถาม :  ตอนนั้นหลวงพ่ออุตตมะก็ ๗๐ แล้ว?
      ตอบ :  ตอนนั้นท่านดูไม่แก่เลย ของเราดูท่านคงราว ๆ ๕๐ กว่า ๖๐ กว่า ราว ๆ นั้น เขาบอกว่าพระที่กำลังใจสบายตอนอายุขนาดไหน หน้าตาจะอยู่ขนาดนั้นไปเรื่อย ของหลวงพ่อท่านสบายที่สุดตอนอายุท่านประมาณ ๕๕ ท่านก็อยู่ของท่านอย่างนั้นไปเรื่อยเปื่อย
      ถาม :  หลวงพ่อท่านว่าตอน ๐๖ ในปฏิปทาท่านผู้เฒ่า
      ตอบ :  ก็ลองไล่ไปดูสิ ถ้า ๐๖ ก็ราว ๆ ๕๐
      ถาม :  ทำไมหลวงพ่อถึงต้องรอจนอายุมาก ๆ แล้วมาลา ?
      ตอบ :  ตอนนั้นยังมุอยู่ เสร็จแล้วเหตุการณ์สำคัญมันเกิดขึ้น คือว่า ตอนนั้นเจ้าคณะจังหวัดอยุธยา ท่านเป็นเจ้าคุณศรีอยู่วัดพนัญเชิง ท่านเล่นพระในจังหวัดอยุธยาชนิดที่เรียกว่าจะสึกหนีเสียหมดทั้งจังหวัด ใครมีเงิน ใครมีของ ใครมีวัตถุโบราณ ต้องให้ท่านหมด ถ้าไม่ให้ ท่านก็จะประเภทถอดออกจากตำแหน่งบ้าง จับสึกบ้าง เสร็จแล้วตอนนั้นหลวงพ่อท่านเป็นพระปลัดขวาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงค์ สมเด็จท่านบอกหลวงพ่อบอกว่า แกไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น หลวงพ่อก็ไปสืบความ สืบไปสืบมา ได้เรื่องเลย ต้นตอใหญ่เป้งในมหาเถระสมาคมนั่นแหละ
              ท่านพอเจอก็เลยสลดใจ เออ...ขนาดคนเราตำแหน่งใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ มันยังรัก-โลภ โกรธ- หลง ขนาดนี้ แจ้งเรื่องเจ้าคุณคนนี้เขาไปเมื่อไร กลายเป็นว่าได้เลื่อนยศทุกที เพราะว่าเป็นที่โปรดมาก ต้องการอะไรสนองได้หมด หลวงพ่อท่านก็เลยบอกว่า ถ้าหากว่าท่านไม่สึก ถ้าเพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวม ท่านฆ่าคนได้นะโว้ย แล้วคิดดูสิไปยิงกบาลคนระดับนั้น ดังระเบิดทั้งประเทศ
      ถาม :  หลวงพ่อท่าน ไม่สงสารเขาหรือ พอรู้ว่าท่านทำอย่างนั้น ?
      ตอบ :  แต่คราวนี้คนส่วนใหญ่เขาเดือดร้อนอยู่
      ถาม :  อ๋อ...เล่นเป้าใหญ่มากกว่าเป้าเล็ก ยังไงมันก็ลงอยู่แล้ว ก็เรื่องของมัน
      ตอบ :  ให้มันลงเร็วขึ้นหน่อย คนอื่นจะได้สบาย
      ถาม :  ...........(คุยเรื่องน้ำท่วมวัดท่าซุง)..............
      ตอบ :  สมัยหลวงพ่อไปอยู่วัดบางนมโค พระภูมิเจ้าที่มาบอกว่าคุณเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ตั้งศาลให้ผมหลังหนึ่งซิ หลวงพ่อท่านก็บอกว่าก็ศาลมีตั้งหลายหลังแล้วจะตั้งใหม่ทำไม ? ท่านก็บอกว่า คุณเป็นเจ้าอาวาสใหม่ ผมเป็นเจ้าของที่ เมื่อคุณมาอยู่ก็ควรแสดงความเคารพ หลวงพ่อบอกเคารพแล้วได้อะไร ? ท่านบอกว่าถ้าไม่เชื่อกันเอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตั้งศาลให้ผม จมูกข้างซ้ายจะตัน ถ้ามะรืนไม่ตั้งข้างขวาจะตันไปด้วย ถ้ามะเรื่องไม่ตั้งคอจะตันไปด้วย ไม่ต้องหายใจ ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้น หลวงพ่อท่านบอกว่า ยังไม่คิดตั้งศาลจมูกมันตันชนิดสั่งไม่ออกเลย ข้างซ้ายตันก่อน พอรุ่งขึ้นอีกวันข้างขวาตันไปอีก ท่านก็อ้าปากเป็นหนุมานเลย เสร็จแล้วท่านก็เรียกเด็กวัดมา เฮ้ย...บอกลุงโต๊ะที
              ตอนนั้นลุงโต๊ะแกเป็นหมอตั้งศาลอยู่ บอกลุงโต๊ะทีให้เตรียมถากเสาตั้งศาลให้ด้วย เด็กวัดก็พายเรือไปถึงบ้านลุงโต๊ะ เรียกลุงโต๊ะ ๆ หลวงพ่อมหา บอกว่าให้มาหาหน่อย ท่านบอก เออ...กูถากเสาไว้เสร็จแล้ว เป็นอย่างไร ? ขนาดฆราวาสยังเก่งขนาดนั้น ลุงโต๊ะบอกว่าเทวดาเขามาบอกแล้ว เสร็จข้าแน่ไปไม่รอด เดี๋ยวก็ต้องตั้งให้ ท่านบอกว่าองค์นั้นมือขวาแดงแช้ดเลย ถึงข้อศอกเลย คือว่า ภูมิเทวดานี่ เขาดูกันที่มือ มือแดงมากเท่าไร ก็อานุภาพมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าไปเจอองค์ไหนมือแดงขนาดแช้ดเลย ก็ระวังไว้ด้วยแล้วกัน มีสิทธิน่วมได้ง่าย ๆ เลยจ้ะ เรื่องของพระ เรื่องของเทวดานะ อย่าพยายามไปลอง ตอนหลังพอหลวงพ่อท่านโดนจนเข็ด ท่านก็สอนพวกเราว่า อย่าไปอวดดีกับผี อย่าไปลองดีกับพระ ลองเมื่อไรได้เรื่องเมื่อนั้น
      ถาม :  อยากทราบว่าหลวงพ่อกับรัชกาลที่ ๕ มีความผูกพันกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ความผูกพันอย่างไร ? ก็ท่านสร้างรูปหล่อไว้ที่วัดท่าซุงไง จำไว้ว่าเรื่องอะไรที่มันอยู่ในลักษณะดึงฟ้าต่ำ คือประเภทยกตนไปเปรียบกับของสูง เรารู้อยู่แก่ใจก็พอ รายละเอียดมาก คนที่ไม่ยอมรับมันจะด่าเอา เรื่องพระจะระมัดระวัง มันมีอยู่ตัวหนึ่งเขาเรียกว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปกติปฏิสัมภิทาญาณ มีอยู่ ๔ อย่าง ธรรมาปฏิสัมภิทา รู้ผลทั้งหมด ต่อไปก็ อรรถปฏิสัมภิทา รู้เหตุทั้งหมด แล้วก็ปฏิภาณปฏิสัมภิทา รู้รอบว่าอะไรควรอะไรไม่ควรอย่างไร แล้วก็นิรุกติปฏิสัมภิทา รู้ทุกภาษา
              คราวนี้ตัวรู้รอบว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มันจะบอกความพอเหมาะพอดีของตอนนั้น ดังนั้นถ้าหากถามท่านในภาวะนั้นว่าคนมีความต้องการอย่างไร ท่านจะบอกแค่นั้น แล้วขณะเดียวกัน สิ่งนี้ควรไม่ควร ตอบไปแล้ว มันจะมีผลไม่มีผลในกาลข้างหน้า ท่านจะรู้รอบในตอนนั้น ก็จะบอกแค่ที่ควรเท่านั้น มันจะพอเหมาะพอดี บางทีแหม..เราก็นั่งคันว่า ทำไมท่านบอกแค่นี้วะ ความจริงมันบอกได้แค่นั้น