ถาม :  บุญที่สามารถส่งเสริมให้ผู้ชายก็ดี ผู้หญิงก็ดี เข้าถึงธรรม คือผมไม่ทราบว่า ในชาติหน้าเราจะได้เกิดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ต้องทำบุญอย่างไร ?
      ตอบทาน ศีล ภาวนา สามอันนี้เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระศาสนา ท่านบอกว่าบุญกริยาวัตถุ คือ การกระทำที่เป็นบุญ มี ๑๐ อย่าง ทานมัย การให้ทาน ศีลมัย การรักษาศีล ภาวนามัย การปฏิบัติภาวนา สามอย่างนี้ใหญ่ที่สุด ถัดจากนั้นก็เป็นอปจายนมัย คือ การนอบน้อมถ่อมตน เวยยาวัจมัย คือ การช่วยเหลืองานบุญของคนอื่นให้สำเร็จลง ปัตติทานมัย การทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้เขา ปัตตานุโมทนามัย เห็นเขาทำดีแล้ว โมทนากับเขา ธัมมัสวนมัย ฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ ธัมมเทสนามัย ปฏิบัติได้แล้วไปสอนคนอื่นต่อ แล้วตัวสุดท้าย ทิฏฐุชุกัมม์ มีความเห็นถูกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นถูก เราจะปฏิบัติตาม
      ถาม :  แล้วต้องอธิษฐานด้วยหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  คำว่า อธิษฐาน คือ ความตั้งใจ ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจมั่นคงเท่าไร ผลมันก็เกิดได้ง่ายเท่านั้น
      ถาม :  ก็คือว่า ถ้าเราอธิษฐานให้เกิดเป็นผู้ชายทุกชาติ ?
      ตอบ :  อ๋อ...โอกาสนั้นยาก การจะได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องสร้างบารมี จนถึงระดับอุปบารมีขั้นปลาย จำไว้ ผู้หญิงกับผู้ชาย จะมีความต่างกัน ตรงจุดที่ว่า ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงที่ตั้งใจสร้างบารมีต่อกันมาจริง ๆ ถ้ายังไม่ถึงอุปบารมีขั้นปลายเมื่อไรจะยังไม่เกิดเป็นผู้ชาย จะเกิดเป็นผู้หญิงเรื่อยไป
              ยกเว้นผู้หญิงบางประเภท อย่างเช่นผู้ตั้งใจจะเป็นพุทธมารดา อย่างหนึ่ง ผู้ที่ตั้งใจจะเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์อย่างหนี่ง ท่านเหล่านี้ จะเป็นปรมัตถบารมีแล้วก็จะเกิดเป็นผู้หญิง แต่ถ้าไม่ใช่ท่านทั้งหลายเหล่านี้แล้ว จะเกิดเป็นผู้ชายได้ต่อเมื่อเป็นอุปบารมีขั้นปลาย
              การสร้างบุญ มีอยู่ ๓ ระดับ ๙ ขั้น ก็คือ สามัญบารมี (ขั้นต้น) มีหยาบ กลาง ละเอียด อุปบารมี(ขั้นกลาง) มีหยาบ กลาง ละเอียด ปรมัตถบารมี (ขั้นปลาย) มีหยาบ กลาง ละเอียด เราต้องถึงอุปบารมีขั้นกลาง ผู้หญิงจะเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชาย
              คราวนี้ตอนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชาย นิสัยห้าวเริ่มปรากฏ สมัยนี้เขาเลยเรียกกันว่าทอม แล้วพอเริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงก็ยังอยู่ ก็เลยกลายเป็นตุ๊ดไป จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพียงแต่ว่าระยะนี้พวกนี้ปรากฏเยอะหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าเรารู้ในเรื่องของกรรมว่า ยถากรรมมุตาญาณ คือว่า คนเราทำอะไรแล้วจะได้ผลอะไร การกระทำทุกอย่างจะส่งผลแบบไหน ๆ ก็จะเห็นเป็นเรื่องปกติ คืออยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไป อันดับแรกไม่ใช่ผู้หญิง ที่ตั้งใจจะเกิดเป็นพุทธมารดา ไม่ใช่ผู้อธิษฐานจะเกิดเป็นเนื้อคู่พระโพธิสัตว์โดยตรงแล้ว ถ้าถึงอุปบารมีขั้นกลางก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ชาย ดังนั้นว่า ๆ ไปแล้ว ผู้หญิงจะสร้างบารมีมาน้อยกว่า
      ถาม :  คนเราถ้ามีคู่บารมีแล้ว จะลาขาด กันได้เมื่อไร ?
      ตอบ :  อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ความมุ่งมั่นมีเท่าไร
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าฝ่ายผู้ชาย เขาไม่ยอมให้ลา ?
      ตอบ :  มันไม่เกี่ยวกัน การลาอยู่ที่ความตั้งใจของเรา ถ้ากำลังของเราสูงพอ ก็ไปแน่บอยู่แล้วแหละ เอาอย่างนี้สิ หาทางทำบุญใหญ่ ถ้าหากว่าใครสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอก เราสร้างด้วย พอสร้างเสร็จก็อธิษฐานบอกว่าผลบุญนี้ขอให้เราละความปราถนาพระโพธิญาณ ขอละความปรารถนาเดิมทุกอย่าง ขอเข้านิพพานในชาตินี้ อะไรก็ว่าไป
      ถาม :  คนที่เป็นคู่บารมี กำลังบุญที่เรามาต่างกันไหมคะ ?
      ตอบส่วนใหญ่จะทำมาด้วยกัน ต่างคนต่างทำมาด้วยกัน จะต่างกันที่ไหน ถึงเวลาเขาก็โผล่หัวมา รวมหัวกันทำไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  เขาบอกว่าถ้าจะลา กรรมที่เคยทำร่วมกันมาจะย้อนกลับเข้าตัว
      ตอบ :  มันก็ไม่ได้ย้อนเราคนเดียว ย้อนเขาด้วย
      ถาม :  แล้วที่เขาขู่ก็ไม่ถูกต้องใช่ไหม ?
      ตอบ :  เขาเข้าใจอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น อย่าลืมว่า กรรมทั้งหมดใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้
      ถาม :  ............(ไม่ชัด)..............
      ตอบ :  ควรจะภูมิใจนะ ทำบุญมาเหมือนนางปัญจปาปา หรือเปล่าก็ไม่รู้ แม่เจ้าประคุณนั้น หน้าตาห่วยแตกที่สุดในพระไตรปิฎก ปัญจปาปา แปลว่า ประกอบด้วยลักษณะอัปลักษณ์ทั้งหมด ๕ อย่าง ประเภท จมูกหัก ฟันเหยิน หูบี้ อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าใครเผลอเข้าไปแตะตัวแกเข้าจะยืนตาลอยอยู่ตรงนั้นแหละ เขาบอกว่าแกมีเนื้อเป็นทิพย์ ผู้ชายแตะตัวไม่ได้ แตะตัวจะหลงเสน่ห์แก ไปไหนไม่เป็นเลย เขาบอกว่าในอดีตชาติ นางปัญจปาปา เขาเกิดเป็นลูกสาวของช่างปั้นหม้อ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะสร้างกุฏิ ทีนี้ข้างฝาเขาจะใช้ดิน ผสมพวกเศษหญ้าหรือพวกเศษผ้าเก่า ๆ แล้วก็ไปยาอุดรอยต่อ เพื่อกันพวกลมเข้า หน้าหนาว มันจะแย่ใช่ไหม ? แล้วมาบิณฑบาตขอดินที่บ้าน แม่นั่นกำลังโมโหพ่ออยู่ ก็เลยปั้นดินได้แล้วก็ทุ่มใส่บาตรไปเลย แกทำบุญนะ แต่ทำด้วยโทสะ คราวนี้ผลจากทำบุญด้วยโทสะ เกิดมาหน้าตาก็เลยบู้บี้ดูไม่ได้กับใครหรอก เขาเรียกว่าปัญจปาปา แปลว่าอัปลักษณ์ ๕ อย่าง แต่แกมีเนื้อเป็นทิพย์ ใครเผลอไปแตะก็เสร็จเลย คนที่ซวยที่สดุเผลอไปแตะรู้ไหมใคร พระราชาไง เสด็จผ่านไปหิวน้ำ ขอกินน้ำหน่อย แกตักน้ำส่งให้ ดันไปจับมือแกเข้า พระราชาก็เลยเดินตาลอยไปเลย ตั้งแต่นั้นมา ก็ต้องย่องไปหาแม่เจ้าประคุณทุกคืน ๆ ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สนใจ ต้องย่องไปหาแม่นี่ให้ได้
              เลยเกิดความคิดว่า เราจะตั้งนางเป็นอัครมเหสี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลักลอบไปกันอย่างนี้ ถึงพ่อแม่จะอนุญาตก็จริง แต่ว่ามันไม่เปิดเผยพอ ไม่เป็นลูกผู้ชายพอ ทำนองนั้น แล้วเราจะทำอย่างไรดี ให้คนอื่นเขายอมรับได้ คราวนี้ท่านเป็นพระราชา ก็ต้องฉลาดพอไปกลางคืน ไปหาเสร็จก็เลยถอดพระธำมรงค์ คือแหวนประจำพระองค์ใส่ให้นางปัญจปาปา พอถึงเวลาแกก็ลากลับไป คราวนี้แกไปกลางคืน มาทีไรก็มืดตื๋อจะจุดไฟก็ไม่ต้อง นางปัญจปาปาก็ไม่รู้จักเลยว่าผัวหน้าตาเป็นอย่างไร บอกว่าถ้าจับมือนี่จะรู้ เพราะว่าจำได้
              คราวนี้พระราชาพอตื่นเช้าก็แกล้งโวยวายว่า ใครขโมยพระธำมรงค์ไป คราวนี้พวกที่เดือดร้อนก็บรรดาข้าราชบริพารก็วิ่งกันพล่านเลยสิ อยู่ ๆ แหวนประจำพระองค์หายไป ท่านสั่งให้ค้นบ้านทุกบ้านในพระนครนี้ ค้นไปค้นมา ไปถึงบ้านนางปัญจปาปา ไม่ต้องค้นแล้ว นางใส่โชว์อยู่กับนิ้วนี้ เลยจับตัวไป แกก็ยืนยันเสียงแข็ง พระราชาเขาแกล้งถามเป็นของใคร ขโมยไปแต่เมื่อไร ใครขโมยให้ หรือใช้ใครขโมยก็ว่าไป แกก็ยืนยันว่าผัวฉันให้ ก็ถามว่าผัวแกเป็นใคร บอกไม่รู้จักหรอก เขามาทีไรก็มาตอนกลางคืน มืดทุกที จุดไฟก็ไม่ยอมให้จุด แล้วว่าจำผัวได้อย่างไร ก็บอกว่าถ้าจับมือก็จำได้ ในเมื่อจับมือจะจำได้ เขาก็เลยให้นางปัญจปาปา ไปอยู่ในกระโจมผ้า เสร็จแล้วให้ผู้ชายยื่นไปทีละคน ก็เกณฑ์ไปทั้งเมืองเลย ยื่นมือไปจับเสร็จ ก็บอกคนนี้ไม่ใช่ผัวไปเรื่อย พวกผู้ชายก็ยืนตาลอยกันเป็นฝูงเลย จนกระทั่งหมดเกลี้ยงทั้งเมืองแล้ว ก็ให้พวกเชื้อพระวงศ์ พวกอำมาตย์ ราชบริพาร มาจับกันทุกคน แกก็บอกว่าไม่ใช่ พระราชาก็บอกว่าในเมื่อไม่มีใครลองจับของฉันดูบ้าง ก็ยื่นมือไป พอคว้าปุ๊บก็บอกคนนี้แหละผัวฉัน พระราชาก็บอกว่าในเมื่อเป็นผัว ก็จะตั้งเมียคนนี้เป็นพระอัครมเหสี มีใครค้านไหม ? ตอนนั้นทั้งเมืองไม่มีใครค้านแล้ว มันยืนตาลอยกันหมดแล้ว ก็เลยเป็นพระอัครมเหสีเลย ระวังเอาไว้ว่าอาจทำบุญมาอย่างนี้ก็ได้ แหม...มีเสน่ห์เยอะจัง
      ถาม :  เขามองว่าเรามีบุญเยอะไงคะ ถ้า.....(ไม่ชัด)....
      ตอบ :  เรื่องพรรค์อย่างนี้มันไม่ใช่ เรื่องของการทำบุญใหญ่ในพระศาสนา มันมีเยอะ ตัวอย่างหมอนพพร แกตั้งใจจะทำสังคายนาพระไตรปิฎก คือหมอนพพร แกจะต้องเกิดอีกหลายยกแกจะเร่งให้มันเต็มเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเกิดให้มันลำบาก เขาเลยตั้งใจว่าจะทำงานสังคายนาพระไตรปิฎก กำลังเริ่มหาทุน แกก็เลยไปหาอาตมา บอกหลวงพี่ครับ ภูเขาทองของหลวงพี่ผมขอได้ไหมครับ ? บอกว่าอยากได้ก็ขนไปสิ
              คือ อาตมาธุดงค์ไปเจอสถานที่หนึ่ง ที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ในหนังสืออ่านเล่น ท่านบอกว่า ภูเขาลูกนั้นจากจุดกึ่งกลางออกไป ๑๕ กิโล เป็นทองคำหมด อาตมาก็เพิ่งเห็นทองคำธรรมชาติเต็ม ๆ ตา ก็จากที่หลวงพ่อบอกนั่นแหละ ตักขึ้นมาก็เป็นทรายทองเลย แล้วขุดไม่ลึกด้วย หมอนพพรแกจัดแจงไปเอาเครื่องบินขึ้นไปสำรวจแล้วเอาเครื่องวัดแร่ไปวัด พอเราบอกแล้วแกมาร์คจุดในแผนที่ทหารเลย
              คราวนี้ของแก แกเป็นผู้บังคับกองพันอยู่ ก็มีอำนาจสั่งให้พวกเครื่องบินมันขึ้นได้ กำหนดเส้นทางบินให้เขาเสร็จสรรพ แต่ไม่บอกหรอกว่าไปทำอะไร กลับมาถึง บอกหลวงพี่ครับมหาศาลจริง ๆ เลยครับ พอเครื่องบิน ๆ ผ่าน ตรงจุดนั้นเครื่องวัดแร่มันตีเกจ์เลย ก็เลยขอตรงจุดนี้ บอกว่าได้ก็เอาไปสิ บอกว่าเอาใครเป็นผู้ร่วมงานบ้างละงานนี้ ก็บอกว่าคงต้องสอบถามหลวงพ่อก่อนว่า จะนิมนต์พระองค์ไหนบ้าง เพราะว่าการสังคยานาพระไตรปิฎกอย่างน้อย ก็ต้องมีพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ รวมกันเป็นร้อย ๆ หลวงพ่อบอกว่าอีกสององค์ที่อยู่ในป่าเฉพาะตรงจุดนั้นรวบรวมไว้ ๖๐ กว่าองค์แล้ว
              ปรากฏว่างานนี้ไม่ทันจะลงมือ หลวงพ่อไปเสียก่อน ก็รอดูแล้วกันว่าหมอนพพรเขาจะทำได้เมื่อไร อาตมาเป็นนายทุน จะให้ทองไปภูเขาหนึ่ง หาบุญอะไรก็ได้ที่เป็นบุญใหญ่ในพระศาสนา แล้วก็ทำไปสิ มันส่งผลทั้งนั้นแหละ นั่นก็แค่อ้างเท่านั้นแหละ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าลูกสาวเราไม่เต็มใจด้วย มันอ้างให้ตายก็ไม่สำเร็จหรอก มันสำคัญตรงลูกเราจะเต็มใจด้วย
      ถาม :  ของเราไม่รู้เรื่องด้วย
      ตอบ :  ไม่รู้เรื่อง ก็เรื่องของเขาสิ ตบมือข้างเดียว มันไม่ดังหรอก อย่าไปตบใส่หน้าคนอื่นก็แล้วกันจะให้อาตมาไปขอด้วยหรือ
      ถาม :  ไม่ใช่ จะให้ช่วยขวางด้วยเหมือนกับที่พี่สำเร็จไปแล้วหนึ่งราย
      ตอบ :  ไม่ใช่...ที่สำเร็จนั้นนะ ไปหลอกเขาให้ขอขมากัน พออโหสิกรรมแล้ว กระแสกรรมมันขาด พอกระแสกรรมมันขาด ก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรกับใคร
      ถาม :  ก็กะว่าจะทำอย่างที่หลวงพี่ทำกับผู้หญิงคนนั้นนะ ขอขมาต่อหน้าเลย
      ตอบ :  ก็ลองดูเผื่อจะสำเร็จ
      ถาม :  ผมจะหาโอกาสไปกราบหลวงพ่ออุตตมะ
      ตอบ :  เร็ว ๆ หน่อย ผมเสียวจริง ๆ เลย ... เพราะท่านหมดอายุมาตั้ง ๒ ปี แล้วยังอุตส่าห์กัดฟันทรงสังขารอยู่ เพราะผมตีลูกโง่ดึงเกมส์ไว้ คือ หลวงพ่ออุตตมะท่านรับปากเอาไว้ว่าจะสงเคราะห์ผมเป็นคนสุดท้าย แล้วผมก็ไม่ยอมให้ท่านสงเคราะห์สักทีหนึ่ง อย่างเช่นงานนี้ คราวก่อนก็ไม่ได้นิมนต์ท่านไง ไม่ได้นิมนต์ เพียงแต่บอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่ไหว หลวงพ่อก็ไปเถอะ คราวนี้งานก็เหมือนกันก็ไม่ได้นิมนต์ อาจารย์พงษ์เขานิมนต์ ต่อไปตูจะตายไม่ลงก็เพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง ?
      ถาม :  อย่าเผลอรับปากใครนะครับ ?
      ตอบ :  จะไม่พยายามรับปากใครเลย บอกเจ้าตัวเล็กไว้ว่า หนูแต่งงานเมื่อไร หลวงพ่อก็ไปได้แล้ว คราวนี้แม่เขายุใหญ่เลย หนูอย่าแต่ง ๆ