ถาม :  ....(ไม่ชัด)....ส่วนตัวของเรา เราจะทำยังไงที่จะส่งของเราไปให้ถึงแม่ได้มากที่สุด ?
      ตอบ :  เอามากที่สุด ถ้าหากว่าเป็นทั่ว ๆ ไปอย่างของอามิสบูชา เป็นข้าวเป็นของเป็นเงินเป็นทองเป็นอะไรที่ถวายพระเป็นชิ้นเป็นอันได้ ก็ให้ทำให้สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ซึ่งถือว่าเป็นทานสูงสุดของพระพุทธศาสนา แต่ถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติบูชาให้ตั้งใจรักษาศีลบำเพ็ญภาวนาของเราไป นั่งสมาธิของเราไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน บุญกรรมฐานนี่เป็นบุญใหญ่มาก
              เท่าที่ประสบการณ์ที่ผ่านมาผีหลายต่อหลายตัวด้วยกัน ที่เวลาเขามาขอโมทนาบุญ ให้บุญอื่นรับไม่ได้เลย เพราะกรรมของเขาหนักมาก แต่ว่าถ้าให้บุญกรรมฐานแล้วเขาโมทนาได้ เพราะบุญกรรมฐานเป็นบุญที่ใหญ่มาก เพราะงั้นถ้าหากเราตั้งใจแล้วก็มีการถวายสังฆทาน รักษาศีล สวดมนต์ภาวนาของเราไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่าน
      ถาม :  ในตอนนั้นหรือว่าในวันนั้นหรือว่าตอนเรากลับมาแล้ว ?
      ตอบ :  หลังจากกลับมาแล้วก็ได้ แต่ว่าให้เร็ว ๆ หน่อยแหละดี เพราะว่าผีบางทีเขาก็ไม่ค่อยมีเวลานัก ปลีกตัวมาได้แป๊บเดียว เดี๋ยวจะเหมือนกับตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านเจอ หลวงพ่อท่านเจอจะมีผู้คุมเขาก็คุมผีมาโมทนาบุญ หลวงพ่อท่านก็มัวแต่อิมินาปุญญากัมเมนะอยู่ ผู้คุมก็ลากคอไปเพราะเขามีเวลาให้แป๊บเดียว ให้ยาวเกิน เพราะฉะนั้นให้ไว ๆ ให้เร็ว ๆ ง่ายที่สุด
      ถาม :  สรุปว่าตอนที่พระให้พรนี่เราพยายามให้ตอนนั้นเลย ?
      ตอบ :  ตั้งใจเลยจ้ะว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตอนนี้เราจะอุทิศให้กับใคร ขอให้เขาผู้นั้นมาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เขาได้รับด้วย แค่นั้นล่ะ
              การกินยานอนหลับบางคนจะคิดว่ามันตายสบาย จริง ๆ ก็คือมันไม่ได้ทุรนทุรายอะไรมาก หลับไปเฉย ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าตายแล้วจะไปดี การจะไปดีไปชั่วมันสำคัญว่าจิตสุดท้ายของเราเกาะอะไร พอตอนกินยาเข้าไปถึงก็ห่วงทั้งตัวเองห่วงทั้งลูกทั้งหลานทั้งอะไรก็เรียบร้อยล่ะ
      ถาม :  ......................................................
      ตอบ :  ก็....มันอยู่ที่วาระสุดท้ายแว้บเดียวเท่านั้นเอง อย่างสุปติฏฐิตะเทพบุตรไง นั่นน่ะชั่วมาตลอดชีวิตนะ ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าแว้บเดียวไปอยู่ข้างบนนู้น และก็พระนางมัลลิกาเทวีทำดีมาตลอดชีวิต ก่อนตายนึกถึงเรื่องไม่ดีนิดเดียวลงนรกซะ ๗ วันของมนุษย์ ถ้าถามว่า ยุติธรรมมั้ย? คนที่ทำดีมาตลอดทำชั่วมาตลอดแล้วไปรับในสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็ตอบว่ายุติธรรมมาก ยุติธรรมตรงที่เขาไปรับเขาก็รับแป๊บเดียว อย่างสุปติฏฐิตะเทพบุตร นั่นถ้าไม่ได้ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าต่อก็เรียบร้อยนะ นรกทุกขุมแกเหมาคนเดียว (หัวเราะ) เพราะทำมาครบทุกอย่างจริง ๆ
      ถาม :  แล้วเขาไม่ได้มารับเหรอคะ ?
      ตอบ :  ก็ได้ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้ากลายเป็นพระโสดาบันนี่ พระโสดาบันพ้นอบายภูมิโดยสิ้นเชิงเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับเทวดาเท่านั้น ไม่เกิน ๗ ชาติก็ไปนิพพานแล้ว
      ถาม :  แล้วทำไมเขาถึงไม่ต้องรับตรงนั้นล่ะคะ เพราะเขาได้ทำมาแล้ว ?
      ตอบ :  ก็ในเมื่อลักษณะนั้นกลายเป็นพระอริยเจ้าไปแล้วกำลังบุญมันสูงกว่า กรรมตามไม่ทัน ในเมื่อกรรมตามไม่ทันก็กลายเป็นอโหสิกรรมไปโดยปริยาย อย่างเก่งในตอนมีชีวิตอยู่เศษกรรมก็ตามทวงได้เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้นเอง มันก็ป่วยแค่ทางกายนะ ใจไม่เกี่ยวนี่
      ถาม :  ต้องอโหสิไปโดยปริยาย ?
      ตอบ :  ไม่อโหสิก็ไม่ได้ เผ่นไปต่างประเทศแล้วจะไปทวงที่ไหนล่ะ (หัวเราะ) ลูกหนี้โกยแน่บไปถึงไหนแล้วไม่รู้ แล้วจะไปทวงที่ไหน
      ถาม :  .....................................
      ตอบ :  อันนั้นก็คือการกระทำกับเราโดยตรง คือ... ถ้าหากว่าเรายังไปยึดกับตัวบุคคลเราก็จะเศร้าหมองเอง แล้วก็อย่าลืมว่าเขาเองก็ต้องมีผลกรรมที่เขารับในจุดนั้น เขาก็ฉวยตรงนั้นให้เป็นประโยชน์ มันตีซิ่งเราหลายทอดน่ะ โอ๊ย...รบกับมารนี่มันส์ เซียนหมากรุกอย่างคาสปารอฟ สู้มันไม่ได้หรอก มันวางหมากกินเรา ๒๐ ชั้นน่ะ พูดง่าย ๆ ว่าเขาเก็บประโยชน์ได้ทุกชั้น ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่อะไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราเขาสามารถดึงมาใช้งานได้หมด คนรอบตัวเราพร้อมจะเป็นมารทดสอบเราได้ทันทีเลย นั่นเป็นงานของเขา เขาเองเขาก็ฝืนกฎของกรรมไม่ได้ก็อาศัยช่องว่างรอยโหว่พวกนี้แหละ มาจัดการกับเราแทน เขาจะทำให้เราตายไปเลยได้มั้ย ? ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามาก็ทำไม่ได้ มัจจุมารก็ไม่มีสิทธิ์ ก็ใช้อย่างอื่น ฉะนั้นจะว่าแล้วเขาก็ยุติธรรมอยู่ ของเราถ้าปัญญาไม่ถึงแพ้เขาก้เป็นเรื่องปกติ เผลอเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้นแหละ
      ถาม :  ก็นึกอยู่เหมือนกันว่าวันนี้ว่าน่าจะเป็นความยุติธรรมเหมือนกัน เพราะว่าถ้าคน ๆ นั้นไม่เคยทำมาก็ไม่สมควรจะได้รับ ?
      ตอบ :  เรื่องนี้ไม่ต้องไปถกกับเขาหรอก บอกง่าย ๆ ว่าถ้าถึงเวลาเขาเล่นเรานี่เขาเล่นทุกนาทีไม่มีคำว่าปราณีหรอก
      ถาม :  แต่ยังมีกฎกติกาอยู่บ้างใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  กติกาก็คือมันจะไม่เกินกฎของกรรม
      ถาม :  พอมันนิ่งจิตเป็นจิตแล้วน่ะค่ะ จะเห็นเป็นกองไฟน่ะค่ะ แล้วจะตกใจ ....กลัวลงนรก ?
      ตอบ :  มะเหงกแน่ะ ! ถ้าหากว่าทำสมาธิเห็นไฟมันอาจจะเป็นอุคหนิมิตของเตโชกสิณก็ได้ ?
      ถาม :  คือ....มันเป็นหลายครั้งแล้วค่ะ ?
      ตอบ :  จ้ะ นั่นแหละ ในอดีตของเรา ๆ อาจจะเคยได้เตโชกสิณมาก่อน ถึงเวลานั้นก็รักษาอารมณ์เดิมให้ตั้งมั่น แล้วก็ภาวนาเตโชกสิณัง จับภาพนั้นต่อไปเลย สบายเลยคราวนี้ไม่ต้องไปเสียเวลาหาอุปกรณ์ เพราะอันนั้นเท่ากับเป็นนิมิตติดตาแล้ว มันต่ออีกแป๊บเดียวเท่านั้นล่ะจ้ะ
      ถาม :  เป็นสิบ ๆ ครั้งหลายทีแล้วค่ะ ?
      ตอบ :  จ้ะ โอ้โห...ฉลาดมาก (หัวเราะ) เดี๋ยวก็เหมือนกับหลวงพ่อ ของหลวงพ่อท่านภาวนาไป ๆ ก็เห็นกะโหลกศีรษะลอยมาแล้วก็ผ่านไป กระดูกซี่โครง กระดูกแขน กระดูกขา ลอยมาก็ผ่านไป หลวงปู่ปาน สอนไม่ให้สนใจนิมิต เมื่อไม่ให้สนใจนิมิตหลวงพ่อท่านก็ปล่อยไป นั่นก็ลอยมาอยู่อย่างนั้นแหละเป็นชั่วโมง ๆ ลอยมาแล้วก็ขึ้นต้นใหม่ ท่านก็ไม่สนใจมัน
              จนกระทั่งพอรุ่งเช้าพอจะฉันเช้าไปกราบหลวงปู่ปานก่อน พอฉันเสร็จหลวงปู่ปานท่านก็ถามว่าเป็นไงคุณ เมื่อคืนผีมันหลอกรึ ? หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ผีไม่ได้หลอกหรอกครับ แต่กระดูกมันหลอน ท่านบอกแล้วคุณทำยังไงล่ะ หลวงพ่อบอก ผมก็ช่างมันตามที่หลวงพ่อว่าล่ะครับ ท่านบอกนี่ไม่ใช่ช่างมันแล้ว คุณน่ะช่างเผือกซะแล้ว ท่านบอกว่าอันนั้นน่ะมันเป็นกรรมฐานเก่าที่เราได้มาคืออสุภกรรมฐาน ข้อที่เรียกว่า อัฏฐิกังปฏิกุลัง การเพ่งกระดูกใช่มั้ย?
              ต่อไปถ้าหากว่าเจอภาพอย่างนั้นให้อธิษฐานมันตกลงตรงหน้า แล้วก็ค่อย ๆ ต่อมันขึ้นมาจนเป็นรูปร่าง แล้วก็จับนิมิตต่อไปเลย หลวงพ่อท่านบอก แหม...เสียดายก่อนหน้านี้ครูบาอาจารย์บอกให้ละก็ละท่าเดียวใช่มั้ย ? หารู้ไม่ว่ามันมีนิมิตบางอย่างที่เป็นกรรมฐานเก่าที่เราทำมา
              สังเกตมั้ยว่าก่อนที่มันจะเกิดขึ้นนี่เหมือนยังกับว่าอารมณ์ของเรา เคลื่อนไปวูบหนึ่งจากจุดที่เราตั้งอยู่มั่นคง ๆ เคลื่อนไปวูบหนึ่งแล้วก็จะเห็นภาพนั้นขึ้นมาเลย อาการนั้นเป็นอาการกรรมฐานเก่ามันคลายตัวลงแล้ว เตรียมจะรับของใหม่ ต่อไปว่าต่อได้เลยจ้ะ น่าอิจฉามั้ย ? (หัวเราะ) ถ้าได้ซะกองหนึ่ง ๙ กองหมูในอวยเลย
      ถาม :  .......................................
      ตอบ :  เบื่อจ้ะ เขาไม่ไล่ก็ไล่ตัวเองออก พอ ๆ กับฉันนั่นแหละ ฉันเบื่อฉันก็ไล่ตัวเองออกมาบวช แต่ของฉันนี่เพื่อนมันจะไล่เตะเอา คือทุกอย่างที่มันอยากได้มันไม่ได้ ทุกอย่างที่เราอยากได้เราได้หมดแล้ว ก็เลยพอ มีอยู่เที่ยวหนึ่งสอบแข่งกัน ๑๕ กองพันเขาเอาตำแหน่งเดียวแล้วได้ แล้วเราสละสิทธิ์ โอ๊ย...เพื่อนมันยัวะใหญ่ คือว่าถ้าปล่อยให้เขาก็หมดเรื่องไปแล้ว คือสอบให้เขารู้ว่าถ้าเราจะเอามันต้องได้ แล้วหลังจากนั้นก็พอ เบื่อ ๆ ก็มาบวช
              สังเกตดูผู้ชายอยู่ใกล้หลวงพ่อไม่นานก็บวชกันหมดแหละ ฉันเองก็มีโอกาสรับใช้หลวงพ่อที่สายลม ได้แค่ ๓ ปีกว่า ๆ ก็บวช มีหลวงตาวัชระชัยน่ะอยู่อึดกว่าเพื่อน อยู่ ๘ ปีกว่า นอกนั้นอยู่กันแป๊บ ๆ ก็บวชกันหมด
      ถาม :  ...........................................
      ตอบ :  ไม่ต้องเลยจ้ะ จับภาพนั้นแทนเลย ตั้งใจภาวนาว่าเตโชกสิณังแทน หายใจเข้าก็นึกว่าเตโชกสิณัง หายใจออกก็นึกว่าเตโชกสิณัง นึกถึงภาพนั้นแทน จับภาพนั้นเอาไว้ ถ้าหากว่าเลิกกรรมฐานแล้วจะไปทำอย่างอื่นก็กำหนดใจส่วนหนึ่งนึกเอาไว้เสมอ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งจะ ๒๐-๓๐% ก็ได้ นึกถึงภาพนั้นอยู่ตรงหน้านี่เสมอ เราจะทำอะไรจะลืมตาหลับตานึกว่าอยู่ตรงนี้ แล้วภาพนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย จากสีของไฟธรรมดาก็จะจางลง ๆ กลายเป็นสีเหลือง กลายเป็นขาว แล้วคราวนี้ความขาวมันจะสว่างขึ้น ๆ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ สว่างจ้าเลย เหมือนยังกับเราเอากระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ใส่หน้าอย่างนั้นน่ะ ถ้าหากว่าได้ขนาดนั้นแล้วก็อธิษฐานดูว่าให้ใหญ่ได้มั้ย ? ให้เล็กได้มั้ย ? ให้หายไปเลยได้มั้ย ? ให้กลับมาใหม่ได้มั้ย ? ถ้าหากว่าได้ทุกอย่างคราวนี้อธิษฐานใช้ผลได้ ทีนี้ทิพจักขุญาณนี่เรื่องเล็กเลยจ้ะ เพราะว่ามันเป็นกำลังเต็มที่ของเขาเลย แต่จำเอาไว้อีกอย่างหนึ่งว่า บัดนี้เรารู้แล้วว่ามันคืออะไร ตอนภาวนาอย่าไปอยากถ้าอยากไม่ได้เจอมันหรอก ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม ภาวนาบอกไม่อยากได้เลยกลัวตกนรกเหมือนเดิม แหละเดี๋ยวมันมาเอง....
              เพราะฉะนั้นเราต้องระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา อันนี้ก็เหมือนกัน ที่บอกว่ามันเป็นของเก่าของเรา ถ้าเราไปยินดีแล้วฟูกับมันเดี๋ยวเถอะทำไม่เจอหรอก แล้วขณะเดียวกันถ้าทำแล้วอยากให้เป็นมันก็ไม่เป็นหรอก ทำใจสบาย ๆ เรามีหน้าที่ภาวนา ถ้ามันเกิดขึ้นเรารู้อยู่ขั้นตอนต่อไปเป็นยังไงเราทำตามนั้น ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็ไม่ต้องไปอยากได้มัน ทุกอย่างเขาลองเราได้ทุกเวลา ต้องระวังให้ดี
              ตอนนี้ที่บอกว่าแข็งแรงผิดปกตินี่ล่ะปกติ ไอ้ฉันมันป่วยประจำโดยเฉพาะมาเลเรียเรื้อรังนี่มันดีเอาปางตายเลย ระยะนี้ฝนตกบ่อยมันมีอาการหวัดเข้ามาหน่อยหนึ่ง แล้วมันเป็นหวัดครั้งแรกที่ไม่มีมาเลเรียช่วยซ้ำ แล้วหลังจากนั้นมาประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมาตลอดมันก็ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไรกับใคร ชักมานั่งระแวงว่ามันจะมาไม้ไหนกับเราอีกแล้วเนี่ย ? ต้องตั้งท่าให้ดีเลยล่ะ พลาดเมื่อไหร่เดี๋ยวมันฟันเราเละ
      ถาม :  ขนาดหลวงพี่ยังเละ แล้วผมจะไปเหลือเหรอครับ ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) รักษาตัวให้ดี กว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ให้เขากราบให้เขาไหว้ได้ กว่าจะมาแนะนำสั่งสอนคนอื่นได้นี่ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัวเย็บกันจนเข็มหลง ลักษณะอย่างที่ว่ามานี่แหละ อันไหนที่เป็นประโยชน์แก่เราได้ก็เก็บไปใช้
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  มันสำคัญอยู่ตรงว่าทำจริงมั้ย ? ทำจริง ๆ อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกให้มันตายลงไปดูซักทีสิน่า (หัวเราะ) ส่วนใหญ่พวกเรามันยังทำไม่จริง จนพ่อระอาหนีไปแล้ว (หัวเราะ) มัวแต่มั่นใจว่าท่านจะอยู่อีกเป็นร้อย เออ...มั่นใจไปเหอะ อาตมาวันไหนฟ้าฝนผิดปกติลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานรอเลย...หลวงพ่อไปแล้ว หรือยังว้า...? (หัวเราะ) เตรียมส่งอยู่เสมอ แต่บอกคนอื่นไม่ได้หรอกนะ บอกคนอื่นเขาจะหาว่าเราแช่งพ่อ เขาจะด่าเอา เมื่อเช้ายังคุยกับโยมที่มาเลี้ยงอาหารเช้าบอก เขาไปบวชอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง ก็บอกเขาบอกว่าทบทวนดูซิว่าช่วงที่บวชอยู่กับช่วงนี้กำลังใจมันต่างกันอย่างไร ? ช่วงก่อนบวชกับช่วงนี้มีอะไรที่ก้าวหน้าบ้าง ?
              อย่างลืมว่ากระทั่งของเราถ้าหากว่าทำงานทำการอยู่มันยังต้องมีการประเมินผลตลอดเพื่อจะได้รู้ว่ากำไรขาดทุนเท่าไหร่ ? แล้วเราเป็นนักปฏิบัติถ้าหากว่าไม่มีการทบทวนกำลังใจของเรานี่ เราอาจจะเสียท่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาก็บอกให้ว่ากำลังใจเป็นลักษณะอย่างนั้น ๆ อยู่ เราบอกว่าพวกคุณมันประมาทอยู่จุดหนึ่ง ประมาทอยู่จุดถ้าคิดว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ ในเมื่อคิดว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ พวกคุณก็ทำกันด้วยความสบายใจเลย แต่ว่าในสมัยที่ผมอยู่กับหลวงพ่อผมคิดอยู่เสมอว่าหลวงพ่ออาจจะตาย เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมเร่งรัดได้ผมเร่งรัด อะไรที่ผมกอบโกยได้ผมกอบโกย พยายามเอาให้มันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นั่นแหละคุณประมาทเกินไป คิดอยู่เสมอว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ ตัวเองมันยังจะตายเลย ไปมั่นใจว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่
              เพราะฉะนั้นเป็นการประมาทเกินไปอะไรที่ทำได้ให้รีบทำ โดยเฉพาะพวกเรามันทันรุ่นหลวงพ่อมา สิ่งใดที่พ่อสอนเราย่อมมั่นใจแล้ว ถ้าหากว่ารุ่นลูก ๆ มาใครบอกอะไรถูกอะไรไม่ถูก เราก็จะเข้าใจเราก็จะรู้อยู่ เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีพื้นฐานดีมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อก็เร่งซะ เร่งเอาไว้ ๆ ถึงเวลาเหยีบบคันเร่งไว้ แต่ไม่ใช่เร่งอย่างเดียวนะ ให้มันมีตัวพอเหมาะพอดีของมัน ที่ปรารภกันเมื่อครู่นี้ ตัวพอเหมาะพอดีมันจะมีของมัน ถ้ารู้สึกว่าหย่อนไปก็เร่งขึ้นหน่อย ถ้ารู้สึกว่าเครียดไปก็เบาลงหน่อย คอยประคับประคองหลอกล่อมันไปเรื่อยเดี๋ยวมันก็ตามเรามาเองล่ะ
      ถาม :  ............................................
      ตอบ :  ๙ พฤศจิกาจ้ะ เป็นวันเสาร์ห้า ปีนี้มีวันเสาร์ห้า ๒ เสาร์ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ทำ เพราะว่างานเป่ายันต์แต่ละครั้งก็คืองานของพระใหญ่ท่าน ซึ่งเราไม่ต้องการที่จะรบกวนเบื้องสูงขนาดนั้น ก็ตั้งใจจะหาข้ออ้างว่าที่ไม่ทำเพราะว่าไม่มีใครเขาทำบายศรีบวงสรวงให้ ปรากฏว่าหลังจากตั้งท่าเบี้ยวได้หน่อยเดียว ต้นเดือนมีโยมอาสาทำบายศรีให้ แหะ..แหะ...บีบคอกันชัด ๆ เลย ลักษณะนี้ไม่ต้องไปปฏิเสธให้เสียเวลาเลย น้อมรับไว้แต่โดยดี (หัวเราะ) ไม่อย่างนั้นอย่างอื่นจะมาแทน
              โยมเขามีความสุขมากเลยที่ได้ปวารณาว่าจะทำบายศรีให้ เขาไม่รู้หรอกว่าเราทุกข์ขนาดไหน (หัวเราะ) ร้อยวันพันปีก็ไม่ปวารณา มาปวารณาตรงที่เราตั้งใจจะเบี้ยวงานพอดี
      ถาม :  ที่บอกว่าธูปเทียนที่ใช้ในการเป่ายันต์เกราะเพชรเอาไปจี้คนที่ .....?
      ตอบ :  ถ้าใครผีเข้าล่ะก็ได้เลยจ้ะ
      ถาม :  ต้องจุดก่อนไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจ้ะ เอาแค่ว่าแตะมันก็เผ่นแน่บแล้ว
      ถาม :  เอาไปแตะเฉย ๆ หรือคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ ถ้าไปจุดด้วยนี่คนดี ๆ ก็เผ่นจ้ะ (หัวเราะ) ไม่ต้องจุดจ้ะ ใช้ได้เลย