สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนเมษายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  คืนนี้ต้องลองนั่งดูบ้าง ?
      ตอบ :  ลองดูก็ได้ ตอนหลวงพ่อสอนให้นั่งมันทรมาน หัวเข่าจะขาดออกไป ใครจะนึกว่าต้องเอามาใช้ เพราะว่าช่วงนั้นเวลาวันพระหลวงพ่อจะลงเทศน์ที่ศาลา ๒ ไร่ เมื่อถึงเวลาที่หลวงพ่อเทศน์ ญาติโยมประเคนอาหารพระฉัน หลังจากสวดแล้วหลวงพ่อก็เทศน์ หลวงพ่อเทศน์ไปพระก็ฉันไป หลวงพ่อท่านฉันข้าวต้มมาต่างหากแล้วนี่ พอถึงเวลาหลวงพ่อเทศน์เสร็จท่านก็รับสังฆทานต่อ พระก็กราบลาไปกันเกลี้ยง วันนั้นท่านบอกว่าเมื่อถึงเวลาฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้พระนั่งอยู่จนกว่าข้าจะสั่งให้ลุก โอ้โห...ตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งล่อซะบ่ายสี่โมงครึ่ง รู้สึกว่าหัวเข่ามันจะหลุดอกไปน่ะ
              หลังจากนั้นท่านบอกทุกงานให้นั่งอยู่ลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าญาติโยมเขามาวัดเขาเห็นพระมาก ๆ แล้วเขาสบายใจ เขาชื่นใจ นั่งอยู่ให้เขาดูหน่อย เราก็อูย...หลังจะขาด ขาจะหลุดแล้ว หลวงพ่อท่านนั่งคุยกับโยมทั้งวันโยกหน้า โยกหลังทั้งวัน แจกของโยมไปด้วย ท่านแย่กว่าเราเท่าไหร่ ? หลังจากนั้นมาแต่ละคนก็อ้างว่ามีงานไม่ลงศาลา เราอ้างไม่ได้เพราะงานของเราก็คือเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ หลวงพ่ออยู่ไหนต้องอยู่นั่น ก็เดี้ยงคนเดียว จะมีหลวงตาแก่ ๆ อย่างหลวงปู่ทอง เทศ หลวงตาเจริญแล้วก็หลวงตาสมชาย อย่างนี้อยู่ด้วยกัน สงสารคนแก่จริง ๆ ต้องมากลุ้มกับพระลูกพระหลาน ของเราเองบางทีก็ยกมือขอเวลานอกขอไปส้วมหน่อยมันอั้นไม่อยู่จริง ๆ เลยตอนนั้น มันรู้สึกทรมานเหมือนใจจะขาด ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะให้นั่งไปทำไม
              หลังจากที่ออกจากวัดไปแล้วต้องมานั่งตรงนี้ ๑๐ ปีผ่านไปรู้แล้วว่าทำไมถึงต้องหัดนั่งตอนนั้น (หัวเราะ) ทุกอย่างหลวงพ่อท่านสายตายาวไกล ท่านเห็นแจ้งแทงตลอดไปหมด เรามันเห็นไม่ถึง นี่แค่เฉพาะหน้าก็รบกับกิเลสไม่ไหวแล้ว เลยต้องใช้วิธีประเภทที่ว่าถึงเวลาก็แล้วแต่หลวงพ่อจะสงเคราะห์เถิด
      ถาม :  งั้นก็แปลว่าต้องมาสายพุทธภูมิก่อน ?
      ตอบ :  ถ้าใครตามหลวงพ่อมามันเป็นพุทธภูมิ ตกกระไดพลอยโจนมาทั้งนั้นแหละ ที่คำว่าตกกระไดพลอยโจนก็คือว่ากำลังใจจริง ๆ ไม่ได้คิดอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า อธิษฐานตามหลวงพ่อมา หลวงพ่อท่านฟาดซะ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป พวกตามระยะแรก ๆ ล่อไป ๑๐ กว่าทั้งนั้นแหละ
              ถ้าตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้าเองเลี้ยวไปได้ ๒ รอบแล้วอยากเป็นปัญญาธิกะเลี้ยวตั้งแต่ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป อยากเป็นศรัทธาธิกะเลี้ยวไปตั้งแต่ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป นี่ประเภทตามอย่างเดียวไปไหนไปด้วยล่อซะ ๑๐ กว่า ตอนขึ้นไปกราบลาพระท่านขอลาพุทธภูมิ ท่านอนุญาตให้ลาได้ แต่ท่านบอกว่างานเก่าให้ทำไปก่อน คือเรื่องของการสงเคราะห์คน งานเก่าก็ต้องทำไปก่อนนะ มันก็เลยกลายเป็นว่าอยู่ในลักษณะ อนุญาตให้ลาได้ถ้าเอ็งแน่จริงก็เข้านิพพานไป ถ้าไม่แน่จริงต้องเหมาต่อ เพราะท่านบอกว่างานเก่าทำไปก่อนนะ พยายามหนีสุดชีวิตเลยร่างกายมันแย่ เขาเรียกว่าพุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจนไม่ได้เจตนาจะเป็นเลย เขาถีบเอาไปเป็นพระเอกเอง
              ที่มีเรื่่องที่เขาเล่ากันที่เด็กตกน้ำ เสียงร้องช่วยด้วย ๆ เด็กตกน้ำ แล้วมีชายคนหนึ่งพุ่งหลาวลงไปช่วยเด็กขึ้นมา นักข่าวตากล้องก็วิ่งกันมาเต็มไปหมดขอสัมภาษณ์หน่อยครับว่า ท่านคิดยังไงมีอะไรจะพูดกับผู้ชมทางบ้านบ้าง เขาว่าถามหน่อยซิว่าใครถีบกูลงไปวะ ? (หัวเราะ) ไม่ได้เจตนาเขาถีบไปเป็นพระเอกจนได้ ไหน ๆ ลงไปแล้วเลยช่วยเด็กขึ้นมาด้วย มันต้องเจอลักษณะอย่างนั้น
              การปรารถนาพระโพธิญาณนี่จะบอกว่าเป็นเชื้อเก่าฝังอยู่ในใจของพวกเราทุกคน เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มามากเหลือเกิน ขนาดในบทสวด สัมพุทเธบอกว่า สัมพุทเธ อเนกะ สะตะโกฏะโย เป็นร้อยโกฏิจนไม่สามารถจะนับได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เมื่อตรัสรู้แล้วก็ต้องเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา อันนี้เขาเรียกว่าเป็นพุทธธรรมเนียม เป็นประเพณี ที่พระพุทธเจ้าท่านต้องปฏิบัติอยู่แล้ว เป็นการสงเคราะห์พ่อแม่หรือญาติ หรือที่เรียกว่า ญาตะกานัญจะ สังคะโห สงเคราะห์ญาติของตน ตอนที่ท่านเสด็จลงจากดาวดึงส์หลังจากโปรดพระพุทธพระมารดา แล้วก็จะเปิดโลกทั้งหมดตั้งแต่นิพพาน ลงไปยันอเวจีให้เห็นถึงกันหมด ตอนนั้น สรรพสัตว์ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกจักรวาลก็จะเห็นว่านี่แหละ ผู้ที่เลิศประเสริฐที่สุดไม่มีใครยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากจะชื่นชมยินดีแล้ว มันยังมีใจลึก ๆ ว่า เออ...ถ้าเป็นเราบ้างก็ดี ตัวนี้แหละมันเพาะเชื้ออยู่ในใจเรา
              เพราะฉะนั้นต่อให้มดดำ มดแดงอะไร ตอนนั้นอยากจะเชื่อว่าที่ตั้งใจอย่างนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตัวเองทำไปได้ไกลเท่าไหร่ ท่านที่กำลังใจเข้มแข็งมั่นคงจริง ๆ ก็ทำจนกระทั่งสำเร็จไป ท่านที่ไม่เข้มแข็งไม่มั่นคงหนัก ๆ เข้า ไปเจอธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเข้า เห็นว่าเออ...ทำอย่างนี้สบายใจกว่าก็เลี้ยวแว๊บหายไป
              อย่างสมัยพุทธกาลพระมหากัจจายนะ ท่านบำเพ็ญพุทธภูมิบารมีมาทางด้านพระโพธิญาณมา จนกระทั่งมีมหาปุริสสลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้า พราหมณ์พาวรี ที่เป็นอาจารย์ของมานพ ๑๖ องค์ที่ตอนหลังเป็นพระอรหันต์หมด ท่านมีแค่ ๓ อย่าง แต่ว่าพระมหากัจจายนะนี่ คล้ายพระพุทธเจ้าเลย แล้วพระอานนท์ที่เป็นน้อง (ลูกอา) ก็คล้าย พระนันทะที่เป็นน้องต่างแม่ก็คล้าย ถึงเวลาออกบิณฑบาติไปทางด้านเดียวกัน พระพุทธเจ้าเสด็จ พอถึงยามว่างจากภารกิจ พระอานนท์เสด็จ เดี๋ยวก็พระนันทะไป พระมหากัจจายนะไป คนเขาก็เลยว่า เอ๊ะสมณผู้นี้ทำไมถึงมักมากแท้มาแล้วมาอีกอย่างนี้
              พระมหากัจจายนะท่านเลยอธิษฐานให้ร่างกายท่านอ้วน คนอื่นจะได้จำได้เป็นคนละคนกัน แต่จริง ๆ แล้วท่านเองนี่มีมหาปุริสลักษณะเสียด้วยซ้ำไป แล้วเป็นพระเถระองค์เดียวที่มีความสามารถพิเศษในการขยายหัวข้อ ที่พระพุทธเจ้าย่อไว้ให้เป็นของพิสดารคือ จากของยากให้เป็นของง่ายของละเอียดได้ก็เลย เป็นพระเถระองค์เดียวที่มีพระสูตรบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะว่าพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระมหากัจจายนะแก้ในข้ออรรถ ข้อธรรมมาในลักษณะอย่างนี้ ๆ พระพุทธเจ้าประทานสาธุการบอกสาธุ ๆ ถ้าเป็นตถาคตก็แก้อย่างนี้เหมือนกัน
              เพราะฉะนั้นพระมหากัจจายนะ เป็นพระอรหันต์องค์เดียวที่มีพระสูตรที่ท่านกล่าวถึงอยู่ในพระไตรปิฎก นอกนั้นจะเป็นคำเทศน์ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เขาเรียกภัตรเทกะรัตตะสูตร สูตรของผู้มีราตรีอันเจริญ ทำอย่างไรจะเป็นผู้มีสติอยู่ทั้งหลับทั้งตื่น นั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เอาไว้สั้น ๆ พระมหากัจจายนะขยายซะยาวยืด แล้วเสร็จแล้วต้องดูลีลาครูบาอาจารย์ ลีลาของพระสมัยนั้น พระมหากัจจายนะนี่บ้านของท่านอยู่แคว้นอวันตี ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บ้านนอกสุดกู่คือสุไหงโกลกเลย ถึงเวลากลับไปแต่ละทีมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสตามมาบวชทีหนึ่ง ๑๐๐, ๒๐๐, ๕๐๐ พามากราบพระพุทธเจ้า ๆ ท่านก็ประทานสาธุการ สาธุ...กัจจายนะเธอทำดีแล้ว ๆ ...รายงานว่าปฏิบัติอย่างไรบ้าง ๆ เทศน์อย่างไรบ้าง สอนอย่างไรบ้าง พอเห็นถูกต้องสมบูรณ์ท่านประทานสาธุการให้
              ลองครูบาอาจารย์สมัยนี้ดูบ้างซิเอาแค่ทองผาภูมิก็พอ อาจารย์สมจิตร พระครูสุจิณ บุญกาญจนํ เจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๓ บวชพระมาตั้งแต่ ๒๕๓๖ จนป่านนี้เจ้าคณะอำเภอยังไม่ยอมออกใบสุทธิให้สักองค์ เพราะกลัวว่าถ้าลูกศิษย์ของอาจารย์จิตรมาก ๆ เดี๋ยวจะไปแข่งบุญกับตัวเอง เอากับพ่อซิ แล้วพ่อท่านประกาศไว้เลยว่า เขตของอำเภอทองผาภูมิห้ามคนอื่นนั่งอุปัชฌาย์ ต้องเป็นท่านถึงนั่งได้องค์เดียว
              อาตมาไปถึงครั้งแรกก็กัดกันเขี้ยวบิ่นเลย เพราะว่าเด็กมอญจะบวช ๔ คนก็ไปติดต่อท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านกำหนดมาเลยว่าค่านั่งอุปัชฌาย์ท่าน อย่างต่ำองค์ละสามพัน ๔ องค์ล่อไปหมื่นกว่าก็เลยเช่ารถพาทั้ง ๔ องค์ไปบวชกับหลวงพ่ออุตตะมะไม่เสียเลยซักตังค์แล้วแต่โยมจะถวาย พระดีทำอย่างหนึ่ง พระดีมาก ๆ ทำอีกอย่างหนึ่งนั่นน่ะเป็นอย่างนั้น
              เพราะฉะนั้นถ้าหากเราดูในพระไตรปิฎก ดูอย่างไรเสียก็จะเห็นตัวมุทิตาจิตอย่างชัดเจนเลย โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่มีมุทิตาจิตกับผู้น้อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามุทิตาต่อภิกษุสามเณรตลอดถึงญาติโยมทั้งหมด
              สมัยนี้มันดีแต่ขัดคอกัน หลวงวิจิตรวาทการท่านว่า อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน ขาดตัวมุทิตาจิต
              ตอนฝึกพรหมวิหาร ๔ ใหม่ ๆ นี่สนุกมากเลย พรหมวิหาร ๔ มัน เมตตารักเขาเสมอตัวเอง กรุณา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข อุเบกขาวางเฉย ถ้าหากว่าเป็นกฎของกรรมไม่สามารถจะแก้ไขได้ ที่ปล้ำ ๆ มาในกรรมฐาน ๔๐ นี่ยอมรับว่า อรูปฌาน ๔ กับพรหมวิหาร ๔ นี่สาหัสที่สุด เพราะว่าเป็นเรื่องที่ทำยากจริง ๆ ทำไป ๆ ถึงตัวมุทิตาจิตมันบอกไม่ถูก อธิบายให้เป็นคำ พูดมันยากจริง ๆ เอาแค่เป็นเลา ๆ ก็แล้วกัน
              เดินบิณฑบาตอยู่เสียงรถแล่นพรืดมา โอ้หนอ เขาทำบุญมาดีจริง ๆ เนอะ เกิดมาชาตินี้เขาร่ำ ๆ รวย ๆ มีรถขี่น่ายินดีจังเนอะ มันไปโน่นน่ะ มันยินดีกับเขาไปหมด เห็นหมูหมากาไก่ดีใจกับเขาไปหมด ถึงเวลาเสียงไก่ขันว่า เออหนอขอให้เธอเป็นผู้ที่พ้นจากความทุกข์มีแต่ความสุข ขอให้หากินอิ่มปากอิ่มท้องทุกวันนะ ใจมันไปโน่นน่ะ มันไปของมันเรื่อยเปื่อย
              ตอนที่จะฝึกขอข้าวเทวดากิน หลวงพ่อท่านก็ให้ ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้เต็มที่ โดยเฉพาะตัวเมตตาต้องเป็นปกติ ทรงได้ทั้งวันต้องไม่ให้พร่อง ถ้าหากว่าพร่องแม้แต่วินาทีเดียวอด หลวงพ่อท่านก็เลยสอนให้ขอในวัดก่อน ของเราหน้ากุฏิต้นมะม่วงเบ้อเร่อเลย เออ...เอาตรงนี้แหละ ถ้าหากว่าอดขึ้นมาก็โน่น โยมเอี่ยมจ๋า ขอข้าวกินหน่อย โรงครัวเรามีไม่ต้องไปกลัวเสียฟอร์ม ก็มันขอไม่ได้นี่หว่า (หัวเราะ) แต่ว่าหลวงพ่อสพฤกษ์ท่านไม่อย่างนั้นน่ะซิ พอท่านรู้ว่าเรารู้วิธีขอข้าวเทวดา ขออะไรขึ้นมาท่านก็ขอเรียนบ้าง แต่นี่ท่านเผ่นไปบึงลับแลเลย แล้วก็อธิษฐานผิดด้วย ท่านอธิษฐานว่าถ้าไม่ใช่ข้าวที่ตกลงปากบาตรที่คนอื่นใส่มาจริง ๆ จะไม่ฉันอะไรเลย โอ้โห...เราทิ้งนม ทิ้งกาแฟ ทิ้งน้ำหวานไว้ ท่านไม่ฉันเลยจริง ๆ จิตใจเด็ดเดี่ยวมาก ตายเป็นตาย ท่านบอกอีก ๑๕ วันนะน้องแล้วค่อยมาดูพี่ ...เข้าไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกปะแง็บ ๆ ไม่มีแรงจะหายใจ เราบังเอิญมียาโด๊ปดีของจีน สกัดมาจากโปรตีนของพืช ลักษณะของพวกถั่วฉันไป ๔ เม็ด ๑๕ นาที ลุกขึ้นมาสะบัดแข้งสะบัดขาได้ เอาล่ะพี่คงรอดตายแล้วล่ะ อีก ๗ วัน ๑๐ วันค่อยมาดูใหม่ เอาใหม่อีกเหมือนเดิม ลักษณะนั้นโทษเขาไม่ได้นะ
              การขอข้าวเทวดากินมี ๒ วิธี ๆ แรกนี่เรากำหนดเจาะจงลงไปเลย ว่าเราจะขอกับต้นไม้ต้นนี้ ต้นไม้ที่มีรุกขเทวดา จะเป็นต้นไม้ ที่มีแก่นสูงตั้งแต่ ๑ ศอกขึ้นไป โบราณว่าสูง ๑ คืบ คืบหนึ่งก็คือฟุตหนึ่ง
              คราวนี้เราก็ไปตั้งใจแผ่เมตตาอยู่ตรงนั้น ฝาบาตรไม่ต้องเปิด ปิดไว้อย่างนั้น เทวดาใส่เขาไม่ห่วงเปิดฝาหรอก ถึงเวลาใส่ทะลุลงไปเลย ถึงเวลาหลับตาแผ่เมตตาอย่างเดียว ถ้าหากว่าซัก ๑๐ นาที ๑๕ นาที ถ้าใส่บาตรเสร็จเขาจะเคาะฝาบาตรเสียงดังตุ๊บ เราก็เก็บบาตรมาได้ เปิดดูข้างในจะมีข้าวเทวดาอยู่สีเหลืองอ่อน ๆ แล้วมีดอกไม้มาดอกหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้แปลก ๆ มีกลิ่นหอมมาก หอมชนิดที่แห้งแล้วกลิ่นหอมยังติดจมูกอยู่เลย
              อีกวิธีหนึ่งก็คือ กำหนดระยะทาง คือจากต้นไม้ต้นนี้ ถึงต้นไม้ต้นนั้นเราจะเดิน ถ้าหากว่ามีผู้ใดใส่บาตรเราจะยอมรับ ถ้าไม่มีผู้ใดใส่บาตรเราจะยอมอด ถ้าหากว่าทำลักษณะนี้ถ้าหากว่าเขาตั้งใจสงเคราะห์จะออกมาใส่บาตรให้ออกมาเป็นตัว ๆ เนื้อ ๆ อย่างนี้แหละ
      ถาม :  ตาจันทร์แกอดีตมัคทายกวัด ๆ หนึ่ง พระครูวิชาญไชยคุณท่านได้เล่าว่า แกเอาเงินวัดไปปล่อยกู้ออกดอก หลังจากนั้นเมียและลูก ๔ คนก็ค่อย ๆ ตายทีละคน และสุดท้ายเมียก็ตาย แล้วตอนหลังมาแกก็หันมากินอุจจาระตัวเอง แกบอกว่าต้องประหยัดและตอนกลางคืนก็ร้องว่า อย่าทำฉันเลยฉันกลัวแล้ว ด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้นประมาณ ๗ วัน แกก็ตาย อยากเรียนถามท่านว่า การที่ลูกและเมียแกตายเพราะกรรมของบุคคลนั้นหรือว่ากรรมที่เอาเงินวัดไปปล่อยกู้และทำไมแกต้องกินอุจจาระแทนข้าว กลางคืนทำไมต้องร้องเจ็บปวด พระครูวิชาญไชยคุณท่านเป็นใคร ...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  เสียดายนะตาจันทร์แกน่าจะอยู่จะได้ถามแกเอง เรื่องของตาจันทร์ ลูกเมียของแกที่ตายไม่เกี่ยวกับแกหรอก เรื่องของกรรมใคร ใครทำใครได้ มันทำแทนกันไม่ได้ คนเราถ้าหากว่าหมดอายุขัยหรืออุปฆาตกรรมเข้ามาก็ต้องตายไปตามเวรตามกรรมที่ตัวเองทำมา แต่ว่าที่ตาจันทร์แกเอาเงินสงฆ์ไปใช้จะเกิดโทษหนักมาก ทีนี้โทษหนักพอถึงเวลาใกล้ตายสติสัมปชัญญะไม่ดีมันก็จะมีอาการเพ้อคลั่ง แสดงอะไรออกมาหลายอย่างตามกรรมที่ตัวเองทำมา อาการหนึ่งที่ตาจันทร์แกเป็นก็คือ แกจะร้องเอะอะโวยวายว่าเหมือนอย่างกับมีใครมาทำร้ายแก จำไว้ให้แม่นเลยคนเราก่อนตาย ๓ วัน ๗ วันนี่ส่วนใหญ่จะเห็นว่าตัวเองจะตาย ตัวเองจะไปไหน ในเมื่อเห็นว่าตัวเองจะตาย ตัวเองจะไปไหน สภาพของตนเองเป็นอย่างไร ตัวเองในเมื่อเอาเงินสงฆ์ของสงฆ์ไปใช้ โทษจะต้องลงอเวจีมหานรก จะต้องทุกข์ทรมานโดนเขาลงโทษตามแบบที่ตัวเองเห็นก็เลยร้องขึ้นมาด้วยความตกใจตามแบบที่ตัวเองเห็น เพราะคิดว่าอันนั้นคือตัวของตัวเองแล้ว แต่จริง ๆ ตัวเองยังไม่ตาย ภาพที่เห็นล่วงหน้าไปภายในระยะเวลาอันสั้นก่อนที่จะสิ้นชีวิตเท่านั้น ประมาณ ๓ วันหรือ ๗ วัน ส่วนใหญ่จะรู้วาระของตัวเอง ถ้าหากว่ายิ่งปฏิบัติในอาณาปานสติจนทรงตัว มีความคล่องตัวนี่สามารถบอกล่วงหน้าได้เป็นปี ๆ กว่าจะตายเมื่อไหร่
      ถาม :  แล้วท่านพอจะทราบมั้ยครับว่าพระครูวิชาญไชยคุณท่านเป็นใคร ?
      ตอบพระครูวิชาญไชยคุณ ปัจจุบันท่านคือเจ้าคุณพระมงคลชัยสิทธิ์ วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ก่อนหน้านั้นเคยเป็นคู่เทศน์กับหลวงพ่อมา ตอนนี้ยังอยู่ ๘๐ กว่าใกล้จจะ ๙๐ แล้ว เริ่มได้ยินคนเขาบอกว่าท่านเริ่มหลงแล้วเหมือนกัน อายุุมากแล้วนี่ ก็ต้องมีลืมโน่นลืมนี่บ้าง
      ถาม :  การใช้อารมณ์กรรมฐานที่คนมองเห็นภาพพระพุทธเจ้าหรือ พระพุทธรูปอย่างนั้นเป็นอารมณ์ที่คิดเอง หรือเป็นเพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าท่านทรงโปรดเสด็จมาครับ ?
      ตอบมี ๒ อย่าง ๆ หนึ่งท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีมาโปรดเฉพาะหน้าเหมือนกับท่านเสด็จมาเอง อีกอย่างหนึ่งก็คือ จิตของเราเกาะภาพพระเป็นปกติเขาเรียกว่า พุทธนิมิตร ลักษณะเหมือนอย่างกับกสิณ เป็นไปได้ทั้ง ๒ อย่าง
              ถ้าหากว่าท่านตั้งใจจะสงเคราะห์ ก็จะปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าเรา เหมือนกับองค์ท่านเองทุกอย่าง แล้วอีกอย่างหนึ่งเราจับภาพพระเป็นปกติ ภาพนั้นก็จะปรากฏขึ้นได้ตามที่เราต้องการ
      ถาม :  แล้วเรื่องพระเตมีย์ใบ้ที่ท่านเห็นบิดาตัดสินโทษประหารชีวิตบุคคลอื่นและตนเองต้องยอมเป็นใบ้เพราะมองเห็นว่า ในอดีตตัวเองเคยตกอยู่ในนรกมาแล้ว อยากจะเรียนถามว่าการที่ผู้พิพากษาตัดสินคดีคนมีความผิดและต้องรู้ถึงผลการตัดสิน แล้วจะต้องได้รับผลเช่นเดียวกันนี้หรือไม่ ?
      ตอบต้องดูว่ากำลังใจท่านเกาะอะไร ถ้าหากว่ากำลังใจท่านเกาะในทาน ศีล ภาวนา การตัดสินทุกอย่างเป็นไปโดยยุติธรรม ตามตัวบทกฎหมายไม่ได้คิดจะกลั่นแกล้งใคร ไม่ได้คิดจะลงโทษใครโดยความไม่ชอบมาพากลเฉพาะตัวอย่างนี้ สิ่งที่ท่านทำ ท่านทำเพื่อรักษาความสงบสุขของคนส่วนใหญ่ ถ้าำกำลังใจท่านเกาะในส่วนดีก็ไปดี แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าเป็นอย่างที่พระเตมีย์ท่านว่ามานั่น สมัยนั้นคงจะตัดสินกันด้วยอารมณ์ ตัดสินกันด้วยโทสะ ประเภทแหม ! มันฆ่าคนมา มันลักทรัพย์สินสิ่งของเขามาทำให้เขาต้องเดือดร้อนวุ่นวาย ทำให้กูต้องเดือดร้อนไปด้วย ในเมื่อตัวเองตัดสินในลักษณะนั้นเสร็จแล้ว เวลาก่อนตายกำลังใจเกาะในด้านที่ไม่ดีก็ไปยาวเลย ต้องดูว่าก่อนตายกำลังใจเขาเกาะอะไร แล้วสิ่งที่เขาทำ ๆ ตามหน้าที่โดยสุจริตหรือเปล่า ?
      ถาม :  การใส่แหวนพระจริง ๆ แล้วสมควรหรือไม่ เพราะว่าการใส่แหวนพระบางทีท่านก็ไปอยู่ในที่ ๆ ไม่เหมาะสมไม่บังควรเช่น ห้องน้ำ หรือการใช้มือหยิบจับสิ่งต่าง ๆ หรือล้างจานเป็นต้น ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วเราต้องดูว่า เราใส่เพื่ออะไร ถ้าเราใส่เป็นอนุสติมันก็สมควรอยู่แ้แล้ว ขณะเดียวกัน แหวนเขาทำมาลักษณะนั้นมันอยู่กับมือ ต้องทำหน้าที่การงานล้างจาน ซักผ้าถูบ้านหรือว่าหยิบจับสิ่งที่ไม่สะอาดก็เป็นเรื่องปกติ แล้วถึงเวลาเรารีบล้างให้สะอาดก็แล้วกัน ขอให้กำลังใจของเราเกาะพระเป็นปกติใช้ได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราใส่ลักษณะนั้นแล้ว ๆ มัวแต่ไปคิดไปหวาดไประแวงอยู่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขก็เปลี่ยนเป็นวิธีอื่นแทน จะแขวนพระหรือจะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแทนก็ได้ ไม่อย่างนั้นมันมัวแต่ระแวงอยู่หาความสุขไม่ได้
      ถาม :  ตอนนี้ผมก็ใส่อยู่ครับ แต่ก็คอยระแวงอยู่ แล้วมีผลอย่างอื่นอีกมั้ยครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ดี มันก็มีผล เพราะว่าจิตใจตัวเองไม่ดีแล้วมัวแต่ระวังอยู่ตรงนั้นว่าเป็นโทษแล้ว ใจก็จะเศร้าหมอง
      ถาม :  .................................................
      ตอบ :  อันนี้ยืนยันนะ เพราะว่าการพุทธาภิเษกทุกอย่างนี่ ตามสายครูบาอาจารย์ท่านสอนมาไม่เคยสอนให้เสกเองเลย เพราะฉะนั้นทุกครั้งจะเป็นเรื่องของการอาราธนาบารมีพระ ส่วนท่านจะให้ใครมานี่อีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อย ๆ จะมีพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งได้รับบัญชาให้มา แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะสงเคราะห์ต่อคนหมู่มาก หรือว่าเรื่องที่ท่านสั่งเองสมเด็จท่านจะเสด็จเอง