ถาม :  อานิสงส์การซ่อมพระละครับ ?
      ตอบ :   พวกที่ซ่อมแซมพระนี่ได้เปรียบนะ เกิดเป็นนางงามจักรวาลได้ง่าย ๆ เลย
      ถาม :  ผมพยายามมานั่งปิดอยู่เรื่อย ๆ ครับ
      ตอบ :   (หัวเราะ) อยากเกิดเป็นผู้หญิงเหรอ ทรงเมตตาบารมีอย่างหนึ่ง ซ่อมแซมของเก่าให้เป็นของใหม่โดยเฉพาะของเคารพ อย่างเช่น พระพุทธรูปหรือโบสถ์วิหารอะไรพวกนี้ พวกนี้เกิดมาใหม่รูปร่างหน้าตาสวยงามกันทั้งนั้น
      ถาม :  เผื่อโดนจับไปเป็นดาราก็ซวยอีก (หัวเราะ)
      ตอบ :   ก็ตั้งใจซิว่าเราเล่นเพื่อเป็นอาชีพของเราเท่านั้น กิเลสมันมีกันทุกคนนั่นแหละตราบใดที่เรายังไม่ได้เป็นอรหันต์ คราวนี้ว่ามันสำคัญตรงที่เรารู้ว่าไม่ดีเราก็ควรจะรีบ ๆ ปล่อย แต่เห็นมันยึดกันทั้งนั้นแหละ
      ถาม :  ปีหน้าไปจนถึงเมษายังนับว่าเป็นปีมะโรงเหรอครับ ?
      ตอบ :   ถึงแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ยังเป็นปีมะโรงอยู่ พอขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ก็เป็นปีมะเส็ง
      ถาม :  พระอรหันต์นี่มีฟุ้งซ่านไหมครับ ?
      ตอบ :   จะฟุ้งซ่านอะไรล่ะ มันหมดแล้วน่ะ
      ถาม :  แล้วพระอนาคามีล่ะครับ ?
      ตอบ :   พระอนาคามียังต้องการในส่วนที่เป็นกุศลบางอย่างอยู่ เรียกว่าฟุ้งซ่านก็ได้
      ถาม :  แล้วพระโสดาบัน พระสกิทาคามี นี่ถ้าฟุ้งซ่านจะฟุ้งซ่านไปในเรื่องของอะไรครับ
      ตอบ :   จะไม่เกินในเรื่องของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องของความดี โอกาสที่จะฟุ้งซ่านเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง ของท่านน้อยนะ พระโสดาบันยังมีอยู่แต่ว่ามันน้อย โกรธ แต่ไม่ผูกโกรธ โกรธแล้วแล้วกัน หันหลังให้ก็ลืมไม่ไปตามชกหน้าใคร สกิทาคามีนี่อาจจะประเภทที่ยั่ว ๆ ตอนนี้อีก ๓ วันนึกขึ้นมาได้โกรธซะหน่อย เดี๋ยวเสียธรรมเนียมหมด
      ถาม :  สุนัขหายค่ะ
      ตอบ :   อะไรนะ หมาหาย ?
      ถาม :  ที่เคยอุ้มเอามาด้วยน่ะค่ะ
      ตอบ :   โอ๊ย ตายแล้ว ไปหายที่ไหนล่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวไปเอาที่วัดมาอีกตัวหนึ่ง หมาน่ารักอย่างนั้นไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกมันหลุดออกไปมีแต่คนเขาช่วยเลี้ยงสบาย เดี๋ยวไปเอาที่วัด เอาพันธุ์แท้ อันนั้นเพ็ดดิกรี รับรองว่าหมาไทยแท้ ๒ วันแล้วเหรอ ไปหลุดออกไปอีท่าไหนล่ะ
      ถาม :  ตอนแรกเล่นอยู่ในบ้านค่ะ แล้ววิ่งออกมา
      ตอบ :   ไม่เป็นไรหรอก ถ้าภายใน ๒ วันไม่ได้ก็แปลว่าคนเขาช่วยเลี้ยงไปแล้ว เลี้ยงหมาอย่าติดหมาสิ เลี้ยงหมาติดหมา เลี้ยงคนติดคน มันไปไม่รอดหรอก นะ เราเองต้องทำใจให้ได้ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน เคยท่องไหม กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสสรโณ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
              เราเลี้ยงเขาดีแล้วถึงเวลาถ้าวาระมันมาถึงเขาจำเป็นต้องไปเราก็ต้องวางอุเบกขาด้วย เราเมตตาเราสงเคราะห์เขาแล้วนี่ ถ้ามัวแต่ไปใจหมอง ๆ เดี๋ยวตอนนี้เป็นอะไรไปเราแย่เอง ไปเลี้ยงหมาติดหมาเลี้ยงคนติดคนเดี๋ยวไปไม่รอด ไม่เป็นไรเอาค่าอาหารมาเลี้ยงน้องบัวแทน ได้ค่าขนมเยอะขึ้น หมาที่วัดมีแต่ตัวเมีย มีตัวผู้อยู่ตัวเดียว ไอ้สิบกว่าตัวนั่นน่ะ เพราะว่าเวลามีตัวผู้มาจะโดนเขาเอาไปหมด มันไม่เอาตัวเมีย มันทิ้งตัวเมียไว้ให้พระเลี้ยง ปรากฏว่าไอ้ที่พึ่งได้ก็หมาตัวเมียนั่นแหละ เขาไม่ไปไกลนี่ ไอ้ตัวผู้ถึงเวลาติดสาวไปแน่บเลย
      ถาม :  (เสียงไม่ชัด)
      ตอบ :   พอเข้าถึงตัวสุขมันจะเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากว่าถัดจากนั้นอีกนิดเีดียวมันจะเป็นการทรงฌานไปเลย สังเกตดูตอนนั้นว่าการภาวนาของเรามันทรงตัวอยู่ ลมหายใจจะยาวจะสั้นเรารู้อยู่ ภาวนาไว้อย่างไรรู้อยู่ ตัวฟุ้งซ่านอารมณ์ข้างนอกมันเหลือน้อยมาก อาการรับรู้ทางด้านนอกรู้อยู่แต่ไม่รำคาญ มันเข้าถึงตัุวสุขจะเป็นเอกัคตารมณ์ ขยับจากนั้นอีกนิดเดียวจะเป็นปฐมฌานไปเลย
      ถาม :  ช่วงนั้นก็จะเห็นรูปพระองค์ที่จับ เห็นอยู่ค่ะ
      ตอบ :   เห็นอยู่จ๊ะ
      ถาม :  แต่มันมีความรู้สึกว่ามีความเย็นเกิดขึ้น
      ตอบ :   อย่าไปติดอยู่ตรงนั้นก็แล้วกัน ถ้าทำใหม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอีกจะไม่เป็น เราต้องทำใจให้สบาย ๆ คิดว่าเรามีหน้าที่ภาวนาอารมณ์ใจอย่างนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตามเป็นเรื่องของเขา เราทำได้เท่าไหร่เป็นเรื่องของเรา ถ้าทำอย่างนั้นก็จะก้าวหน้าเร็วจ๊ะ
              แต่ถ้าทำเมื่อไหร่ต้องการให้ถึงอารมณ์ตรงจุดนั้นไอ้ตัวต้องการตัวอยากมันนำหน้าอยู่มันจะไปไม่ได้ อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียวความเป็นพระโสดาบันเหลือไม่ยากแล้ว เพราะกำลังของพระโสดาบันแค่ปฐมฌานเท่านั้นเอง สามารถตัดกิเลสระดับนั้นได้สบายเลย ขยับอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เออ เดี๋ยวนี้เก่งกันเยอะนะทำป๊อบแป๊บ ๆ ก็ได้ดีกันเป็นแถว
              ไอ้ประเภทอยากรวยแล้วขี้เกียจน่ะ มันน่าจะรวยไหมล่ะ กรรมฐานสำหรับคนขี้เกียจหายาก กรรมฐานต้องขยันทำจริงจังและสม่ำเสมอด้วย ขยันเป็นพัก ก็ไม่ได้ ไปโหมเอาเหมือนกับทำงานใช่ไหม วันนี้จะเอาค่าแรงให้ได้สักพันหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาทำไป พรุ่งนี้ก็ไปไหนไม่รอด อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำอยู่ อย่างเช่นว่าความคิดว่าจะไปนิพพานก็เป็นอุปสมานิสติอยู่ใช่ไหม กรรมฐานกองใหญ่มากด้วย
              เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าถามว่า ไม่ทำกรรมฐานไปนิพพานได้ไหม ? ไปไม่ได้ แต่เราอาจทำกรรมฐานอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว ความอยากไปนิพพานนั่นมันเป็นกรรมฐานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไอ้ตัวอยากน่ะลดให้มันน้อย ๆ ลงหน่อย ให้มันเหลือความรักนิพพานที่มันเต็มอยู่ในจิตในใจของเราก็พอ จะได้ไม่ต้องไปอยากมันมาก อยากแล้วมันขวางบังหน้าอยู่ไปไม่รอด
      ถาม :  กรรมฐานกองไหนเหมาะนักปฏิบัติที่หวังจะให้หลุดอย่างจริงจัง ?
      ตอบ :   จริง ๆ แล้วกรรมฐานทุกกองใช้ได้ทั้งหมด สมัยที่ปฏิบัติอยู่นะ พอพูดถึงเรื่องกามราคะขึ้นมามันจะหนักใจมาก โดยเฉพาะผู้ชายทุกคนน่ะเป็นเหมือนกันหมด คราวนี้ว่าตัวกรรมฐานคู่ศึกของมันจริง ๆ คือกายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน แต่ปรากฏว่า อสุภกรรมทฐานนี่ถึงขนาดพี่สุรินทร์น่ะ พี่สุรินทร์ตอนนั้นแกอยู่ห้องผ่าตัดของนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน นั่นขนาดเขาเปิดห้องผ่าตัดให้พระเข้าไปดูเลยนะ เข้าไปใหม่ ๆ นี่อ้วกแตกอ้วกแตนกินข้าวกันไม่ได้ไป ๒-๓ วันเลย แต่พอนานไป ๆ ความระยำของจิตมันก็ปรากฏ มันเลือกดูแต่ที่ดี ๆ ไอ้ตรงที่ผ่ามันก็ไม่ดู ยิ่งวันไหนมีศพสวย ๆ นี่พี่สุรินทร์เขาจะโทรบอกเลย รีบมา เดี๋ยวจะผ่าให้ นั่นเจตนาดีของเขา
              แต่คราวนี้ไอ้ของเรานี่แรก ๆ มันก็ไม่ชิน มันก็ได้ผล แต่ปรากฏว่าดูไปดูมามันตายด้าน มันชักจะชินกับสภาพของมัน พอชินกับสภาพของมัน ๆ ก็เลือกไปดูตรงที่ดี ๆ ตรงผ่าเราก็ไม่ดู มันก็แย่ละวา กรรมฐานคู่ศึกมันก็ทำไม่ได้ ตัวกายคตานุสสติพยายามแยกทุกอย่างเลยนะ ก็ทำไม่ได้ อสุภกรรมฐานนี่ทำถึงขนาดนอนอยู่กับโครงกระดูก ๓ ปี น่ะ พิจารณาอยู่ เวลาคุยกับผู้หญิงสวย ๆ นี่เอากระดูกใส่มันครึ่งหนึ่ง ให้มันเป็นกระดูกครึ่งหนึ่งเป็นเนื้อครึ่งหนึ่ง นั่งดูมันอ้าปากแง็บ ๆๆ อยู่มันรู้สึกตลกก็ตลก แต่อีกครึ่งมันก็ยังสวย เอากะมันสิวะ ถึงเวลาแล้วใจมันสู้ไม่ได้
              ปรากฏว่า ...พอดีปีนั้นเรียนนักธรรมโท ก็จะมีอนุพุทธประวัติ คือ ประวัติของพระอรหันต์อสีติมหาสาวก ๘๐ องค์ ไปถึงประวัติของพระรัฐบาลเถระ พระเจ้าอุเทนก็อย่างว่าพระราชาใช่ไหม นางสนมเยอะ ท่านก็สงสัยมากถามพระรัฐบาลเถระว่า “ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงทรงอยู่ในพรหมจรรย์ได้” ท่านข้องใจมากเลยตัวท่านเองท่านไปไม่รอดแน่แล้วทำไมพระทำได้ พระรัฐบาลเถระตรัสว่า “มหาราชะ ดูก่อนมหาราช ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาดังนี้ มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งมารดาก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาวก็ตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาวก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาวก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ดูก่อน มหาราชะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาดังนี้จึงตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ได้” โอ้โห พออ่านมาถึงตรงนี้ ๓ โลกสว่างหมดเลย เห็นชัดเลยว่าเนี่ยเป็นตัวเมตตาบารมี เห็นผู้อื่นเป็นคนครอบครัวเดียวกับเราก็เลยรักเขาเสมือนคนครอบครัวเดียวกับเรา ไอ้อารมณ์ใจที่มันจะไปคิดเรื่องระหว่างเพศแบบคนอื่นเขาก็เลยไม่มี
              พอเห็นตรงนี้นี่รู้แจ้งแทงตลอดไปเลยว่า อ๋อ มิน่าล่ะ ว่ากรรมฐาน ๔๐ กอง ๆ ใดกองหนึ่งก็สามารถไปนิพพานได้ทั้งนั้น เพราะว่าจริตของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ไอ้ของเรานี่จะเอาตัวนี้ไปสู้มันสู้ไม่ได้หรอก กรรมฐานคู่ศึกมันสู้ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าตัวพรหมวิหาร ๔ กลับสู้ได้ มันกลายเป็นเราไปถนัดอย่างนั้นแทน เพราะฉะนั้นถ้าถามว่า ไอ้ตัวไหนที่มันเด็ดขาด มันก็ต้องดูว่าตัวเราถนัดแบบไหน แล้วก็ใช้กรรมฐานกองนั้น
      ถาม :  จะรู้ได้ยังไงครับ ?
      ตอบ :   ค่อย ๆ คลำไป เดี๋ยวถึงเวลาเมื่อไหร่มันก็อ๋อเองแหละ อันนั้นก็คลำอยู่ตั้งนานเหมือนกัน บังเอิญวันนั้นกำลังจะไปกิจนิมนต์ แล้วบ้านโยมก็แหม ลูกสาวสวยซะด้วย ไปกราบลาหลวงพ่อขออนุญาตไปกิจนิมนต์ครับ หลวงพ่อท่านว่า “อ้าวไปกิจนิมนต์เหรอ นึกว่าจะไปงานแต่ง” ไอ้เราฟังก็สะดุ้งใช่ไหม ครูบาอาจารย์ทักอย่างนี้ มันต้องยิ่งระวังตัวเองให้หนักยิ่งขึ้น ก็พอดีไปท่องตำราเจอตรงนี้เข้าพอดี พอเจอตรงนั้นปุ๊บ อารมณ์ใจมันแทงตลอดไปรุ่งขึ้นไม่หนักใจแล้วมาเท่าไหร่ก็มาเหอะ
      ถาม :  แต่ก็ยังรู้สึกว่าสวยอยู่หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :   พอหลังจากที่ทำได้แล้วนะไอ้ความรู้สึกมันเห็นก็สักแต่ว่าเห็นไป มันไม่เสียเวลาไปคิดแล้ว
      ถาม :  กลัวข้าวต้มเขาจะเสียเจ้าค่ะ ทำข้าวต้มมาถวายท่าน
      ตอบ :   ไม่ต้องห่วงจ้ะ อยู่ที่โน่นไม่ทันได้เสียหรอกเราไล่แจกดะไปตลอดทางเลย เพราะว่าอยู่ที่โน่นก็เหมือนกับเป็นที่พึ่งของเขา ถึงเวลาเขาก็จะรอแต่ของเรา แถวนั้นเขาลำบากหน่อยเพราะพระเจ้าส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตป่า เขตป่าคนเข้าถึงยากแล้วเขาเองก็ไม่ได้เข้าเมืองมาหาศรัทธาญาติโยม เรามีอะไรก็ไปสงเคราะห์เขา
      ถาม :  จอคอมพิวเตอร์ของผมเองเนี่ยครับ ผมเอารูปสมเด็จองค์ปฐมน่ะครับ เป็นแบคกราวน์ เราทำงานไปก็มองไป พอมานั่งนึกก็จำได้มั่งไม่ได้มั่ง คือรายละเอียดมันเยอะมากเลยครับ
      ตอบ :   อย่าเพิ่งเอารายละเอียด ใหม่ ๆ เราเองแค่นึกออกก็พอ ถึงได้ไม่เต็มองค์คำได้เพียงบางส่วนให้กำลังใจของเรามั่นใจว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้ แล้วขณะเดียวกันว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลงสีสัน ท่านจะเปลี่ยนบ้าง อริยาบถท่านจะเปลี่ยนบ้าง จากนั่งเป็นยืน เป็นเดิน เป็นนอนอะไรใช้ได้ทั้งนั้น เป็นพุทธานุสสติเหมือนกันแล้ว ร่างกายของเรานี่มันแย่อยู่อย่าง เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา สมาธิมันตกที่เคยชัด ๆ มันก็เลยมัวไปหมด ของเรามันต้องค่อยเป็นค่อยไป
      ถาม :  แล้วบางทีเนี่ยผมรู้สึกว่าการจำพระพุทธรูปเนี่ย จำยากเหลือเกินครับ พอดีที่บ้านที่ห้องพระมีรูปพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี่น่ะครับเป็นรูปถ่าย ผมก็เลยนึกถึงหน้าท่านแทน เพราะว่าหน้าคนนี่รู็สึกว่าจะจำได้ง่ายกว่า
      ตอบ :   อันไหนทำให้เรารู้เห็นได้ชัดเจนกว่า สะดวกกว่า ง่ายกว่า ก็อันนั้น หลวงพ่อท่านบอกเสมอว่าให้เป็นภาพพระที่เราชอบใจที่สุด มันจะได้ง่ายและก็สะดวกใจสำหรับเรา เพราะของที่เรารักพอนึกถึงมันก็ง่าย