สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พศ.ศ ๒๕๔๓

      ตอบ:   ยึดมั่นถือมันในการปฏิบัติตน คิดว่าดีกว่าคนอื่นเขา มีความสามารถมากกว่าคนอื่นเขา ก็เลยเกาะไม่รู้ตัว ไอ้เกาะไม่รู้ตัวนี่ว่าไม่ได้ด้วยนะ ถ้าว่าเดี๋ยวเขาโกรธต้องให้เขารู้ตัวเอง
      ถาม :  ถือว่าคนเข้าไปทีหลังก็ยังได้เข้าไปหาวัดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ใครก็ตามที่สามารถนำคนเข้าวัดได้จะดีจะชั่วก็ถือว่าใช้ได้ทั้งนั้น เพราะว่าคนที่เข้าวัดก็เหมือนกับคนที่หิวแล้วเข้าร้านอาหาร ถ้ารสชาติไม่ถูกใจเดี๋ยวเขาหาร้านใหม่ของเขาเองแหละ เดี๋ยวก็ไปเจอไอ้ประเภทเชลล์ชวนชิมเข้าจนได้ แรก ๆ อาจจะกินร้านอีเหละเขละขละอะไรไปเรื่อย แต่ขอให้เข้ามากินสักทีเถอะเดี๋ยวติดใจก็กินไปเรื่อยเอง เขาใช้คำว่า “เป็นเหตุเป็นปัจจัยนำไปเบื้องหน้า” การภาวนาแค่ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้นมันก็มีอานุภาพกว่ารักษาศีลเป็นร้อยปีนะ
      ถาม :  ผมว่ามันได้แว้บเดียวจริง ๆ นะครับ อย่างไหว้พระทุกวันนี้ พอหลับตาเห็นหน้าองค์ปฐมสักแว้บรู้สึกชัดเจนแจ่มใส แต่ได้แค่ชั่ว ๒-๓ วินาทีน่ะ แล้วสักพักจะเริ่มฟุ้งซ่าน
      ตอบ:   ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็นึกได้หลายหน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร นี่นึกได้แค่แว่บเดียวแล้วตายเลย (หัวเราะ) ปัจจุบันนี้เป็นพระโสดาบันนั่งปร๋ออยู่ข้างบน พูดถึงไม่ได้หรอก...ใครพูดถึงก้มมอง ใครนินทากูวะ? (หัวเราะ) เป็นตัวอย่างที่ชัด ๆ เลย เพราะฉะนั้นในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสเอาไว้ว่า “บุคคลผู้ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา เกิดฌานสมาบัติ ได้ทิพจักขุญาณขึ้นมา ไปเห็นนรกเห็นสวรรค์แล้ว กล่าวว่า ผู้ที่ทำความดีไปสวรรค์ทั้งสิ้น ผู้ที่ทำความชั่วไปนรกทั้งสิ้น เราขอกล่าวว่าไม่ใช่” ตัวอย่างชัด ๆ ก็มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ใช่มั๊ย ? นั่นชั่วมาตลอดชีวิตเลย แต่ไปสวรรค์ ขณะเดียวกันพระนางมัลลิกาเทวีดีมาตลอดชีวิตลงนรกซะ ๗ วัน
      ถาม :  กรรมดีอันไหนล่ะครับถึงมาช่วยไว้วาระสุดท้าย ?
      ตอบ:   ของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่ในตำราไม่ได้ว่าเอาไว้ แต่หลวงพ่อบอกว่าในอดีตเคยสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ ชาติปัจจุบันตัวพุทธานุสตินี่ตามมาทันในวินาทีสุดท้าย ก่อนจะขาดใจ ไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพแบบคนอื่น แต่นึกว่า ใคร ๆ เขาลือว่าพระสมณโคดมมีความสามารถ ถ้าหากว่าท่านมารักษาเราคงจะหาย อยากจะให้พระสมณโคดมมาช่วยรักษาเรา แค่นั้นแหละ..แล้วก็ตาย ไอ้ของเรานึกได้ตั้ง ๓ วินาที มันน่าจะดีกว่านั้น
      ถาม :  ฟังแล้วมันเหมือนอะไรรู้หรือเปล่าครับ? คนอื่นต้องนึกว่าโฆษณาชวนเชื่อ คือ ไม่ต้องอะไรเลย
      ตอบ:   มันต้องดูว่าเขามีปัญญาไหม? เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นบุญเล็กน้อยมาก ตอนที่อากาสจารีเทพบุตรไปประกาศว่าใครจะไปฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วเห็นวิมานถึงได้ตกใจ วิมานเขา(มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร)อับแสงตัวจะตายอยู่แล้วยังไม่รู้เลยทั้ง ๆ ที่มีความดีอยู่แค่ ๗ วันเท่านั้น
      ถาม :  ไปสวรรค์ไปได้แป๊บเดียวเหรอครับ?
      ตอบ:   ไปได้แป๊บเดียวถ้าหากว่าพลาดจากตรงนั้นเป็นอันว่านรกทุกขุมต้องผ่านหมดสำหรับรายนี้ แต่บังเอิญนะว่าบุญเก่าของท่านดีจริง ๆ พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาพอดี ตัวท่านเองก็รู้ตัวอยู่ ความเป็นทิพย์ยังมีอยู่นี่ ก็มองย้อนไป ตายละวา ไม่รอดแน่ ก็ตกใจ ขอให้อากาสจารีเทพบุตรช่วยท่านบอกว่าช่วยไม่ได้ให้ไปหานายเราคือพระอินทร์ ไปหาพระอินทร์ ๆ ท่านก็บอกว่าช่วยไม่ได้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยได้ก็พาไป พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อภิธรรมอยู่ก็ต้องเบรคก่อน เพราะว่าพิจารณาดูแล้วว่าถ้าเทศน์อภิธรรมแล้วจะไม่มีผล เลยเทศน์อุณหิสวิชัยสูตรแทน พอจบท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่ารอดตัวไปจุติเดี๋ยวนั้นเกิดใหม่สบายเลย
      ถาม :  อีก ๗ วัน กำลังจะตาย รู้ตัวปั๊บชิงลงมาเกิดไม่ได้เหรอครับ?
      ตอบ:   ได้ แต่จะเอากุศลที่ไหนส่งล่ะ ลงมานี่อ้วกแน่ บุญเก่าไม่ได้ทำไว้เลย
      ถาม :  ยังดีกว่าลงไปอ้วกในนรกน่ะครับ มันก็ยังเผื่อฟลุค ๆ ได้ทำอะไรบ้าง
      ตอบ:   แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นเทวดาที่ไหนเขาจะเป็นคนรับรองให้ เพราะว่าการลงมาเกิดจะต้องมีเทวดาผู้ใหญ่รับรองให้ว่าลงมานี่กลับไปอย่างเลวที่สุดต้องแค่เดิมน่ะ แต่ว่าจะต้องให้ดีกว่าเดิม
      ถาม :  ต้องไปขออนุญาตก่อนใช่ไหมครับ?
      ตอบ:   ต้องไปขออนุญาตก่อน
      ถาม :  อ้าว อย่างเห็นหลวงพ่อลงมาก็วิ่งตามหลวงพ่อมาเลย ไม่ได้หรือครับ ?
      ตอบ:   ไม่มีทางล่ะจ๊ะ
      ถาม :  แล้วถ้าเป็นพรหมก็ต้องไปขอหัวหน้าพรหมก่อน?
      ตอบ:   ถ้าเป็นพรหมต้องแจ้งท้าวสหัมสบดีพรหมก่อน ต้องดูว่าใครจะช่วยรับรองให้ด้วย คนรับรองน่ะจะเหนื่อย หมายความว่าต้องคอยดัดเราให้ตรงทางอยู่เรื่อยไม่งั้นคอยจะแหกคอกอยู่ตลอด
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ถ้าเราขอใครลงมาคนนั้นก็ต้องมาคอยประคองซ้าย-ขวา ถ้าเราหลุดไปอเวจีแล้วคนรับรองทำยังไงครับ?
      ตอบ:   ก็ซวยไป (หัวเราะ) รับรองได้ว่าขึ้นมาโดนซ้ำแน่ (หัวเราะ) อีตอนลง ๆ ไปก่อน ขึ้นมาขอสักฉาดเถอะ (หัวเราะ) ทำให้เสียชื่อหมด
      ถาม :  แล้วไม่มีสิทธิ์หนีลงมาเองได้เลยหรือครับ?
      ตอบ:   ไม่ได้เลย มันเป็นการฝืนกฎของกรรม บรรดาผู้ที่มีความเป็นทิพย์อยู่ในระดับนั้นมีความดีสูงระดับนั้นเขาจะไม่ฝืนกัน มีอะไรก็ว่ากันตามกฎตามระเบียบ เปิดช่องให้ขนาดนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเขาว่าเราชิงหมาเกิดก็อย่าไปโกรธเขานะมันจริง ๆ หมามันจะเกิดก็แย่งโควต้ามันซะงั้นล่ะ
      ถาม :  อุณหิสวิชัยสูตรนี่เกี่ยวกับอะไรครับ?
      ตอบ:   เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าจะต้องทำอย่างไร แล้วก็ตัดสินใจทำตาม สุทฺธสีลังสมาทายะ – รักษาศีลให้บริสุทธิ์นะ ธัมมังสุจริตังจเร – ปฏิบัติในธรรมะอันสุจริตเอาไว้ สอนง่ายจะตายไป ในความเป็นทิพย์ของเทวดาเท่ากับมนุษย์ที่เป็นอุคฆฏตัญญู- ฟังหัวข้อก็เข้าใจแล้ว ว่าต้องทำอย่างไร ท่านตัดสินใจว่า “เราทำตาม” เดี๋ยวนั้น ก็เป็นเดี๋ยวนั้นเลย สมัยหลังมานี่เขาก็เลยใช้อุณหิสวิชัยสูตรเป็นคาถาต่ออายุ เพราะเห็นว่าขนาดหมดอายุแล้วมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรยังรอดมาได้ ถ้าเขาบอกว่า “สวดต่อนาม” รีบท่องบทนี้ไว้ต้องใช้แน่ ๆ เลย เคยได้ยินไหม? โบราณเขาฉลาดตั้งแต่เกิดยันตายเขาผูกพันเราไว้กับพระตลอด ขนาดใกล้ตายยังให้จิตเกาะพระด้วยการไปสวดต่ออายุ สวดต่อนาม
          ในสมัยนี้มันว่าโบราณโง่ สู้โบราณไม่ได้สักราย ตัวอย่างชัด ๆ ก็หลวงตานา หลวงตานา อยู่วัดท่าซุง สมัยก่อนวัดท่าซุงเขาจะมีอยู่ ๒ องค์ คือหลวงตาผ่องกับหลวงตานา แล้วก็จะมีหลวงพี่โอ หลวงพี่ทีป หลวงพี่นันต์ สมัยนั้นถ้าใครเขาจะนิมนต์พระเขาจะเอาหลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่ทีป เขาจะว่ามาอย่างนี้เลยก็ต้องจัดไปให้ หลวงตานานี่แกสวดปาติโมกข์ โอ้โห คล่องปาติโมกข์มากเลยน่ะ แล้วเวลาแกสวดนี่ถ้าหากว่าสมาธิไม่ดีนี่หัวเราะกันโบสถ์แตก ท่าทางของแกยังกับนักแสดง บางทีก็กระทุ้งเสียงซะ จัตตุก ขัตตุง ปัญจัก ขัตตุง ฉักขัตตุง ปรมัง ตุณหี ฯลฯ (หัวเราะ) เขาเล่นของเขาสนุก แต่ว่าไอ้กุศลตัวนี้มันกลับช่วยได้ หลวงตานาแกฟาดเหล้าทุกวันนั่นแหละแต่คนไม่รู้
      ถาม :  กินเหล้า เป็นพระเนี่ยนะครับ?
      ตอบ:   ใช่ ใส่ในโอเลี้ยง เย็น ๆ แกก็เล่นกาแฟเย็นหรือโอเลี้ยงของแกหน้าแดง
      ถาม :  หลวงพ่อก็ต้องรู้สิครับ?
      ตอบ:   รู้อยู่ แต่ว่าไปถ้าไปห้ามแล้วเขาโกรธหลวงพ่อมันจะหนักกว่านั้นอีก อีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของพระอย่างหลวงพ่อท่านไม่ยุ่งกับจริยาของคนอื่นอยู่แล้ว ก็ปล่อยเขา ปรากฏก่อนตายเขาป่วยหนักลูกหลานเอาไปรักษาเห็นว่ารักษาไม่ไหวก็เอาไปบ้าน คือกะจะให้ตายที่บ้าน เอาพระไปสวดต่อนาม หลวงตานาแกฟังพระสวดน้ำตาไหล คงจะพิจารณาดูแล้วว่าไม่น่าเลยอะไรที่ทำ ๆ มาใช่ไหม? มันบกพร่องในศีล แต่ว่าจิตของแกเกาะพระ ตายตอนนั้นเลยรอดไป หลวงพ่อบอกว่าถ้าไม่ได้อานิสงส์ปาติโมกข์ที่สงเคราะห์พระส่วนรวมอยู่นี่ไม่รอดนะ อานิสงส์ปาติโมกข์ช่วยได้
      ถาม :  แกทำยังไงล่ะครับที่สงเคราะห์พระอื่น?
      ตอบ:   ปาติโมกข์ก็คือการทวนศีลพระ ทวนศีล เขาจะสวดไปทีละบท เรียกว่าอุเทศน์หนึ่ง ๆ พอจบแต่ละอุเทศน์ก็จะถามเป็นภาษาบาลีใครแปลออกนี่เหงื่อหยดทุกรายน่ะ “ตัตถา ยัสมันเต ปัจฉามิ กัจจิตถะ ปริสุทธา?” เราขอถามว่าสิกขาบททั้งหลายเหล่านี้บริสุทธิ์แล้วหรือ “ทุติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปริสุทธา ?” ขอถามเป็นวาระที่สองว่าเธอบริสุทธิ์แล้วแน่หรือ “ตติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปริสุทธา?” ขอถามเป็นวาระที่สามว่าเธอบริสุทธิ์แล้วแน่หรือ ไอ้คนที่ทวนศีลตัวเองอยู่จะรู้เลยว่าตัวเองศีลขาดหรือเปล่า
        เขาถึงได้มีข้อแนะนำว่าก่อนจะลงปาติโมกข์ควรจะปลงอาบัติกันซะก่อน แสดงอาบัติเพื่อให้ศีลบริสุทธิ์ก่อน แต่ที่แสดงอาบัติได้มันได้แต่ศีลเล็ก ๆไง ศีลใหญ่ ๆ อย่างปาราชิกนี่โดนขาดความเป็นพระไปเลย สังฆาทิเสสนี่โดนขาดความเป็นพระชั่วคราวจนกว่าจะได้รับโทษตามนั้นก่อน โดนกักบริเวณ เขาเรียกอยู่ปริวาส ปัจุบันนี้ไม่รู้ว่าใครมันไปเป่าหูซะจนคนเขาเชื่อว่าทำบุญกับพระอยู่ปริวาสจะได้บุญมากเป็นพิเศษ ความจริงทำบุญกับเณรดีกว่า ถ้าเณรศีลบริสุทธิ์ใช่ไหม?
      ถาม :  หลวงพ่อเคยเล่า ผมจำได้ หนังสือหลวงพ่อบอกว่าถ้าผิดแค่สังฆาทิเสสท่านก็นับว่าขาดแล้วไม่ใช่หรือครับ?
      ตอบ:   ขาดแล้ว ขาดจากความเป็นพระ ต้องอยู่ชดใช้กรรม เราปิดบังไว้นานเท่าไหร่ โดนกักบริเวณอยู่นานเท่านั้น แล้วใช้อีก ๖ คืน ถ้าบอกเดี๋ยวนั้นเลยก็อยู่ ๖ คืน เสร็จแล้วต้องให้พระ ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระอีกทีหนึ่ง คราวนี้บรรดาพวกนักเรียนนักศึกษาท่านก็ฟาดข้าวเย็นแล้วปลงอาบัติกัน เขาถือว่ามันแสดงคืนได้ ไอ้นั่นชั่วอยู่ทุกวันแหละ
      ถาม :  ถ้าฟังอย่างนี้แสดงว่าพระที่ปาราชิกก็ไม่ใช่ว่าท่านตายแล้วจะต้องลงนรก?
      ตอบ:   ไม่ใช่ เพราะว่าปาราชิกนี่ปิดมรรคผลแต่ไม่ปิดสวรรค์ ปิดมรรคผลหมายความว่า ท่านจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนี่ไม่ได้ แต่ไม่ได้ปิดสวรรค์ถ้าหากว่าล่วงโดยไม่ได้เจตนาตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ทาน ศีล ภาวนา ถ้าจิตมันเกาะมั่นคงยังมีโอกาสขึ้นข้างบนได้ แต่ว่าเรื่องของมรรคผลนี่ต้องรอชาติใหม่ก่อน มันไม่เหมือนกับไอ้ อนันตริยกรรม ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภทคือยุสงฆ์ให้แตกกัน ถ้าพวกนี้นี่จะปิดมรรคผล ปิดสวรรค์ หมดเลย ลงอบายภูมิอย่างเดียว
        หลวงพ่อท่านเคยแนะนำว่าถ้ารู้ตัวว่าโดน แก้ไขไม่ได้แล้วอย่างปาราชิกเนี่ยนะ ให้นุ่งขาวห่มขาวอยู่กับวัดเลย อยู่รับใช้พระ ทำงานเพื่อสงฆ์ทุกอย่าง ชนิดที่ว่าไม่ต้องย่อท้อ แล้วมีเวลาว่างก็เจริญกรรมฐานภาวนาของเราโอกาสรอดยังมี ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ส่วนใหญ่แล้วโทษมันหนักจะดึงลงต่ำ คือ ไอ้เรื่องปาราชิกขาดความเป็นพระไปเลยไม่ว่ากัน แต่ว่า...สังฆาทิเสส-ขาดความเป็นพระชั่วคราว ถ้าหากว่าเราไปปกปิดเอาไว้ ไปอยู่ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรม ทำให้พระอื่นเขาลำบากไปด้วย สังฆกรรมมันไม่บริสุทธิ์ทำไปเท่าไหร่ไม่มีผลโทษมันจะทับซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามวาระและเวลา
        โดยเฉพาะมีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านบอกว่าพวกโดนอาบัติสังฆาทิเสสนี่ไสยศาสตร์พวกลมเพลมพัดมันชอบ ลมเพลมพัดก็คือว่า พอวันเสาร์หรือวันอังคารพวกบรรดาหมอไสยศาสตร์ที่ร้อนวิชาเขาจะต้องปล่อยของ ๆ เขาออกไป ถ้าไม่ปล่อยแล้วมันหงุดหงิดปล่อยออกไปซะครั้งหนึ่งพวกโดนอาบัติสังฆาทิเสสท่านบอกว่ามันเหมือนกับแม่เหล็กดูดเศษเหล็กน่ะ วิ่งเข้าใส่เลยน่ะ ไอ้ของคนอื่นนี่ต้องดวงตกกุศลขาดจริง ๆ เป็นช่วงอุปฆาตกรรมเข้าอะไรอย่างนี้ถึงจะโดน แต่สังฆาทิเสสนี่โอกาสโดนเต็ม ๆ เลย