​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๙๙

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนเมษายน ๒๕๕๕


              “ปีหน้าทําบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๑ มีนาคม ถ้าดูไม่ผิดวันที่ ๓๑ มีนาคม น่าจะตรงกับวันอาทิตย์
              ปีนี้ญาติโยมมามากกว่าที่คิด ทําให้พระปิดตาหมดภายใน ๓๐ นาที อีกครึ่งหนึ่งที่เข้าแถวอยู่ไม่ได้อะไรเลย
              เรื่องของวัตถุมงคล มีหลายสํานักซึ่งส่วนใหญ่เป็นสํานักเรียนด้วย กล่าวตําหนิว่าเป็นการทําให้ญาติโยมยึดติด
              ถ้าว่ากันตามแบบของ หลวงปู่ดู่วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านบอกว่า
              “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล”
              แต่ว่าความจริงแล้วเป็นเพราะ โบราณาจารย์ท่านมีความเข้าใจ สภาพของบุคคล หรือสภาพของพุทธศาสนิกชนมากกว่าคนปัจจุบัน
              เพราะถ้าใครศึกษามาเกี่ยวกับภาพสถิติของพุทธศาสนิกชน จะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนกับพีรามิด หรือว่า ๓ เหลี่ยม
              ส่วนฐานที่กว้างที่สุด ก็คือบุคคลที่ยึดติดในพิธีกรรมและสิ่งมงคล ต่าง ๆ
              ส่วนตรงกลาง คือบุคคลที่พยายามจะศึกษาให้เข้าใจว่า พระพุทธศาสนาสั่งสอนอะไรบ้าง
              ส่วนยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุด พันอย่างแท้จริง
              เมื่อเป็นดังนั้น โบราณาจารย์ท่านจําเป็นที่จะต้องหาสิ่งที่มายึดโยง กําลังใจของพุทธศาสนิกชน ให้อยู่กับพระพุทธศาสนาจนได้ ก็คือการสร้างกระโถนข้างธรรมาน วัตถุมงคลต่าง ๆ ขึ้นมา
*************************

              การสร้างวัตถุมงคลขึ้นมานั้น มีประโยชน์หลายอย่าง
              ประการแรก คือ ตัวผู้สร้างเองจะต้องทรงความดีในระดับหนึ่ง
              สมัยก่อนไม่ได้มีเครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ แต่ละขั้นตอนของการสร้างวัตถุมงคลก็คือ เขียนด้วยมือ ปั้นด้วยมือ เป็นต้น
              โดยเฉพาะถ้าหากว่าศึกษาการสร้างวัตถุมงคล ด้วยการลบผงวิเศษ ต่าง ๆ เช่น ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ผงมหาราช
              ก็ต้องเข้าสมาบัติ เขียนอักขระ เขียนยันต์ ลบยันต์ เพื่อให้เกิดผง จนกว่าจะได้จํานวนตามที่ต้องการ
              เท่ากับบังคับว่าเกจิอาจารย์ผู้สร้างนั้น จําเป็นที่จะต้องทรงความดี ให้ได้ถึงระดับหนึ่ง จึงจะสามารถสร้างวัตถุมงคลให้เกิดอานุภาพ เกิดความขลังขึ้นมาได้
              ประการที่ ๒ ก็คือพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่กําลังใจยังยึดเกาะสิ่งต่างๆ อยู่ ก็จะได้มีสิ่งที่ยึดเกาะอยู่ในกรอบ อยู่ในขอบเขตที่ถูกต้องและสมควร อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปจากกรอบของพระพุทธศาสนา
              ประการที่ ๓ การสร้างวัตถุมงคลเป็นการสืบพระพุทธศาสนาส่วนหนึ่ง
              ก็คือมีครูบาอาจารย์หลายต่อหลายรูปที่มีความสามารถ มีคนให้ความเคารพศรัทธา สนับสนุนในการสร้างวัตถุมงคลเพื่อบรรจุกรุไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ต้องสร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นต้น
              ประการที่ ๔ ก็คือวัตถุมงคลที่มีอานุภาพอย่างแท้จริงนั้นสามารถช่วยตัดเคราะห์กรรมให้แก่ผู้ที่นําไปใช้โดยเฉพาะว่าช่วยในการป้องกันรักษาประเทศชาติของเรา
              สมัยก่อนทหารเวลาออกรบ ต้องมีวัตถุมงคลที่มั่นใจว่าคุ้มครองรักษาตัวเองได้ ส่วนใหญ่ก็เน้นไปทางแคล้วคลาด หรือคงกระพันชาตรี เป็นต้น
              บรรพบุรุษของเราก็อาศัยวัตถุมงคลทั้งหลายเหล่านี้ ในการสู้รบกับข้าศึกศัตรูจนกระทั่งสามารถปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ได้หรือว่า ช่วงชิงแผ่นดินไทยของเรากลับคืนมา เป็นที่ตั้งของพุทธศาสนา เป็นเรือนอยู่เรือนตายของพวกเราทั้งหลายได้
              ฉะนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคล จะว่าไปแล้วมีคุณอนันต์ แต่ว่าปัจจุบันนี้จะมีการทําในลักษณะของเชิงพาณิชย์มากเป็นพิเศษ จะมีการกําหนดราคาเพื่อเอากําไร
              การสร้างวัตถุมงคล ส่วนใหญ่แล้ววัดไม่ได้สร้างเอง แต่ว่ามีนายหน้าที่เล็งเห็นว่า ครูบาอาจารย์วัดไหนมีชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก
              ก็จะขออนุญาตไปสร้างวัตถุมงคลจํานวนเท่านั้นเท่านี้แล้วก็จะแบ่ง ส่วนหนึ่งถวายให้แก่ทางวัดเพื่อนําไปเป็นค่าใช้จ่ายทํานุบํารุงเสนาสนะบางเจ้าที่ตรงไปตรงมาก็มี บางเจ้าที่หลอกลวงกันก็มาก”
*************************

              “หลวงปู่พระศีลมงคล (หลวงปู่เจ้าคุณทอง) วัดสําเภาเชย อําเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี
              ความจริงสนิทสนมคุ้นเคยกันกับอาตมามาก ลงปักษ์ใต้แต่ละครั้ง ถ้าผ่านปัตตานี อาตมาต้องแวะไปกราบท่านก่อน
              ปรากฏว่าวันนั้นอาตมาโทรศัพท์เข้าไป ลูกศิษย์บอกว่า “ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งมาเลยครับ พ่อหลวงกําลังเครียด”
              อาตมาถามว่า เครียดเรื่องอะไร ?
              เขาบอกว่ามีคนมาขออนุญาตสร้างวัตถุมงคล แล้วจะถวายพ่อหลวงเพื่อสร้างเจดีย์ ๒๐ ล้าน พ่อหลวงก็อนุญาตให้ไป
              ปรากฏว่าเขาก็ไปออกวัตถุมงคล แล้วเปิดรับจอง ทั้งทางศูนย์พระเครื่อง และสื่อมวลชนต่าง ๆ ได้เงินไปเท่าไรไม่รู้ แต่เขาไปแล้วไปลับไม่กลับมา
              อาตมาถามว่า “ไอ้คนที่มาขอสร้างวัตถุมงคลเป็นใคร? หลวงพ่อท่านถึงได้เชื่อถือ และยอมอนุญาตให้เขาสร้างได้ ?”
              ลูกศิษย์ก็บอกว่า “อย่าไปเอ่ยถึงเลยครับเขาเป็นคุณนายของท่านแม่ทัพภาค”
              แม่ทัพภาค ก็แปลว่าคุมทั้งภาค เขามาจึงน่าเชื่อถือ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้ว ก็ทนโลกธรรมไม่ได้
*************************

              แรก ๆ ทุกคนที่เข้าวัดเข้าวาก็จะเหมือนกัน คือตั้งใจทําความดี
              แต่พอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่ากําลังของตัวเองนั้นสามารถรับได้เท่าไร ถ้าหากว่าภูมิต้านทานน้อย ก็จะเป็นอย่างที่ว่า นี่แหละ..ตั้งใจจะทําความดีแท้ ๆ ท้ายสุดก็มีอเวจีเป็นที่ไป..!
              ดังนั้น..พวกเราเข้าวัด ให้ระมัดระวังไว้อย่าให้ขาดทุน
              โดยเฉพาะบุคคลบางจําพวก พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้วก็ลืมตัว เห็นพระเป็นเพื่อน ไม่ได้เห็นพระเป็นพระ
              อันนี้ก็แปลว่ากําลังหานรกใส่ตัวโดยใช่เหตุ แล้วก็มีทุกที่
              ท่านที่ลืมตัวเพราะขาดสติยังพอให้อภัย
              มีบุคคลบางจําพวกตั้งใจลืมตัว คือทําท่าสนิทสนมคุ้นเคย เพื่อที่จะอวดคนอื่นในเมื่อตั้งใจจะลืมตัวก็แปลว่าตั้งใจที่จะลงนรก
*************************

              เรื่องของพระ ถึงจะมีคุณอนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์ ถ้าหากว่าเราทําดีทําถูก ก็จะมีคุณมาก
              แต่ถ้าเราทําผิดพลาด จะเกิดโทษใหญ่แก่ตนเองขึ้นมา
              จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องสังวรระวังเอาไว้เสมอ”
*************************

              “อย่างที่อาตมาเคยพูดว่า ให้ทําตัวเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ คือต้องรู้จักเกรงใจกัน
              อย่างที่สมัยก่อนเขาบอกว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี
              เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ได้ศึกษาสมบัติผู้ดีแล้ว รุ่นอาตมานี่เวลาผู้ใหญ่ด่า ท่านด่าเจ็บมากเลย แต่เราสมัยนี้ฟังอาจจะเฉย ๆ
              เขาด่าว่า “ไปเอาสมบัติผู้ดีมาต้มกินบ้างนะ”
              เพราะว่าหนังสือสมบัติผู้ดีสมัยก่อนนี้ เขาจะระบุว่า ทําตัวอย่างไร ถึงจะเหมาะสมกับกาลเทศะของสังคม ในช่วงนั้นแบ่งออกเป็น ๑๐ ตอนด้วยกัน อาตมายังจําได้แม่นอยู่ว่า
              “สมบัติผู้ดีมีข้อ กล่าวย่อขอยกหยิบอ้าง
              ภาคหนึ่งระวังท่าทางรู้วางไว้ตัวชั่วดี
              ภาคสองสํารวมนิสัย มิให้เสื่อมเสียราศี
              ภาคสามน้อมกายวจี ท่วงทีคารวะผู้ควร
              ภาคสี่มีกริยาวาจาน่ารักเสสรวล
              ภาคห้ากว้างขวางทางชวน ชักมวลหมู่เพื่อนนิยม ฯลฯ”
เป็นต้น
              ถ้าเราไปศึกษา จะเห็นว่าในแต่ละด้านต้องปฏิบัติตัวอย่างไร รวมแล้ว ๑๐ ด้านด้วยกัน แล้วท่านผู้รู้ก็ประพันธ์เป็นโคลงเป็นกลอนไว้จะได้จําง่ายขึ้น
              เพราะฉะนั้น...เวลารุ่นอาตมาโดนด่าว่า “ให้ไปเอาสมบัติผู้ดีต้มกินบ้าง” นี่อายหัวหูแดงหมด ก็แปลว่าเขาด่ายันพ่อยันแม่ยันครูบาอาจารย์ เลยว่าไม่ได้อบรมเรามา สมัยนี้ด่าเด็กไม่รู้จักสมบัติผู้ดี เด็กก็นั่งหัวเราะกัน
              สมัยที่เรียนหนังสือชั้นมัธยมอยู่ มี ท่านอาจารย์สง่า เดชารัตน์ เวลาด่าเด็กแรงมาก คําด่าของอาจารย์ก็คือ “น่าอายมาก”
              คราวนี้เด็กหน้าด้านไม่อายขึ้นมา แล้วท่านอาจารย์จะทําอย่างไร ได้ ? ก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม”
*************************

              “เวลาอาตมาไปกรุงเทพฯ ชอบนั่งรถแท็กซี่ไป เพื่อนพระหลายคน เขาว่าอาตมาเพี้ยน มีรถดี ๆ ไม่รู้จักใช้อาตมาก็ต้องแยกแยะให้ฟังว่า ไม่ว่ารถแท็กซี่หรือว่ารถส่วนตัวก็ตาม
              ประการแรก...ค่าเชื้อเพลิงและค่ารถใช้ใกล้เคียงกัน
              ประการที่ ๒ ถ้าใช้รถส่วนตัว ต้องห่วงคนขับอีก ๑ คนว่าถ้าเราไปงานของเรา แล้วเขาจะอยู่อย่างไร จะกินอย่างไร
              ประการที่ ๓ ที่จอดรถในกรุงเทพฯ หายากมาก ถ้าขึ้นแท็กซี่ ลงได้ก็สะบัดกันไปเลย ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าเป็นรถส่วนตัว หาที่จอดไม่ได้แล้วไปจอดในที่ห้าม ก็อาจจะจ่ายค่าจอดแพงเป็นพิเศษ
              ประการสุดท้าย...เอารถของตัวเองออกไป ถ้าเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน อะไรขึ้นมา ค่าใช้จ่ายอาจจะมหาศาลกว่าที่คิด
              ดังนั้น..เวลาเดินทางในกรุงเทพฯ อาตมามักจะไปรถโดยสาร หรือรถอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าได้เกาะมอเตอร์ไซค์วันไหน จะมีความสุขมากเป็นพิเศษ
              ถ้าหากว่าญาติโยมมาที่บ้านวิริยบารมีแล้ว รถแท็กซี่น่าจะสะดวก แต่ถ้ารอว่าสถานีรถไฟฟ้าเสร็จ ก็จะเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น
              เพราะว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นมาบนพื้นที่ซึ่งราคาแพงมาก เนื่องจากเขารู้ว่าสถานีรถไฟฟ้าจะลงตรงจุดนี้ แต่ว่าที่ยอมจ่ายแพง ก็เพื่อความ สะดวกในการเดินทางของญาติโยมในอนาคต
              ต่อไปถ้าใครยังนํารถส่วนตัวมา ก็ด้วยสาเหตุ ๒ ประการ
              ประการแรก ก็คือใช้รถโดยสารสาธารณะไม่เป็นจริง ๆ
              ประการที่ ๒ ก็คือไม่กลัวลําบาก เพราะว่าที่นี่หาที่จอดรถยากมาก
              สถานที่ซึ่งเห็นว่าจอดสะดวกมักจะเป็นจังหวะที่รถเขาจะต้องเลี้ยว จะต้องเข้าออก พอเราไปจอดขวางเสียคันหนึ่งคันอื่นก็หมดสิทธิ์ที่จะไปเลย
              อย่างเช่นท่านที่นํารถมอเตอร์ไซค์มา มักจะจอดแอบตรงมุมเสาไฟฟ้า แต่ว่ามุมที่จอดแอบนั่นแหละ เป็นมุมที่รถเขาจะต้องตีวงเข้าซอย เขาก็จะต้องขยับแล้วขยับอีก นั่นนับว่ายังดี ถ้าวันไหนเขาเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา ก็คงปาดกลิ้งไปเลย..!
              ที่ประกาศบอกกับญาติโยมก็เพื่อให้ทราบไว้ว่า ถ้าจอดแล้วไม่มีปัญหา เขาไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าเขาว่า แปลว่ามีปัญหาแน่ ๆ” “งานอะไรที่เป็นงานโบราณ โดยเฉพาะพระราชประเพณี มีโอกาส พวกเราควรไปดูเป็นขวัญหูขวัญตาไว้ เพราะในชีวิตหนึ่งไม่ใช่จะหาดูได้ ง่าย ๆ แต่ทําไมถึงประดังมาในช่วงอายุของอาตมาก็ไม่รู้ ?
              สมัยก่อนหลวงปู่หลวงพ่ออายุ ๘๐ - ๙๐ ปี เป็นพระเถระ ๔ - ๕ แผ่นดิน
              สมัยนี้อายุ ๖๐ ปี ยังได้แค่ ๑ แผ่นดินเท่านั้น ถ้ายิ่งนับตั้งแต่รัชกาล ที่ ๙ ประสูติด้วยแล้ว ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ๘๕ ปีได้แค่แผ่นดินเดียว..!”
*************************

              “วันก่อนเด็กทองผาภูมิบวช ๓ รูปด้วยกัน อาตมาคุยกับบรรดาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ว่า ปี ๒๕๕๗ หลวงปู่สาย อคฺควํโส ครบ ๑๐๐ ปีเกิด จะบวชพระถวายท่าน ๑๐๐ รูป ให้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ จะเฒ่าชะแรแก่ชรา อย่างไรก็ให้เข็นมา ถ้าบวชแล้วตายคาวัดก็จะสวดให้ฟรี..!
              ทางด้านเทศบาลตําบลท่าขนุนเขายืนยันว่า ๑๐๐ คนไม่น่าจะมีปัญหา ใคร ๆ ก็อยากจะบวชถวายหลวงปู่ทั้งนั้น ก็เลยลองดูว่าถึงเวลาใคร จะสมัครก่อน งานนี้เกินจํานวนก็ไม่รับ เพราะว่าไม่มีที่ให้นอน เอาแค่ร้อยเดียวจริง ๆ
              ไล่ตามประวัติแล้ว หลวงปู่สาย อคฺควํโส ในประวัติเดิมเขาบอกว่า เกิด ๑๗ ตุลาคม ๒๔๕๗ ความจริงไม่ใช่ท่านต้องเกิด ๑๘ ตุลาคม เพราะ ว่าฉายา อคฺควํโส เป็นฉายาของคนเกิดวันอาทิตย์ ส่วน ๑๗ ตุลาคมเป็น วันเสาร์
              อาตมาไปเปลี่ยนความเชื่อของเขาหลายอย่าง ประวัติเดิมท่าน บอกว่าบิดาชื่อนายเพิ่ม อาตมาดูลายมือหลวงปู่ที่เขียน “โยมพ่อนายนิ่ม”แต่เขาอ่านนิ่มเป็นเพิ่มไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ลายมือหลวงปู่สวยมากเลยนะ ลักษณะลายมืออาลักษณ์เลย เขายังอุตส่าห์อ่านเป็นนายเพิ่มไปได้
              โดยเฉพาะมีกระดาษเตือนความจําสั้น ๆ อยู่แผ่นหนึ่ง ที่ท่านหนีบเข้าแฟ้มไว้ เขียนว่า
              “ลําพอง ดูโลงกระจกให้ด้วย มิถุนา ๓๔”
              แสดงว่าหลวงปู่ท่านรู้ตัวว่าท่านจะมรณภาพเมื่อไร สั่งเตรียมโลงแก้วไว้เลย บอกล่วงหน้าตั้งครึ่งค่อนปี หลวงปู่ท่านทํางานรอบคอบมากถึงเวลาเขียนเตือนความจํา แล้วลงวันที่เอาไว้ด้วยโยมลําพองเป็นมัคนายกวัด ท่าขนุนในช่วงนั้นอยู่”
*************************

              “เมื่อวานมีโยมเขาถวายสมเด็จวัดระฆังมา ให้ไปบรรจุในสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ จําไว้เลยนะสมเด็จวัดระฆังหรือสมเด็จวัดบางขุนพรหม ถ้าหากว่าแตกลายงา จะแตกเฉพาะด้านหน้าด้านเดียว เจอองค์ไหนหลังแตกลายงาด้วย ก็ส่งคืนเจ้าของไปเลย..!”
*************************

              “ความจริงคนไม่มีลูกสบายที่สุดแล้ว แต่ทําไมคนถึงอยากมีกันจัง ??
              มีครอบครัวหนึ่งก็คือ คุณวินกับคุณติ๊ก เขาพยายามสุดชีวิตที่จะมีลูกมาโดยตลอด ตั้งแต่แต่งงานอยู่กันมา ๒๐ กว่าปีก็ยังไม่มีลูกเลย หมอเก่งมีที่ไหนก็ไปหามาจนหมด แต่ไม่สําเร็จ เป็นประเภทเดียวกับพระเจ้าโพธิราช
              พระเจ้าโพธิราชอยากมีลูกก็ไม่มี ทั้งที่มีสนมเป็นร้อยเป็นพัน จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไปฉันในวัง ปูลาดผ้าขาวตั้งแต่ ประตูวังไปถึงที่ฉัน อธิษฐานว่าถ้ามีลูกได้ ขอให้พระพุทธเจ้าเดินมาบนลาดพระบาทสีขาวนี้
              พระพุทธเจ้าไปถึง สั่งพระอานนท์รื้อผ้าขาวออกเกลี้ยงเลย แล้วก็เดินเข้าไป พระเจ้าโพธิราชถึงกับนั่งร้องไห้
              พระพุทธเจ้าฉันเสร็จ เทศน์ให้ฟังว่า พระเจ้าโพธิราชสร้างกรรมหนักไว้ในอดีต ชาตินี้มีลูกไม่ได้หรอก
              ในอดีตชาติเกิดเป็นพ่อค้าทางเรือ วันหนึ่งเรือแตกแล้วไปติดเกาะ อยู่บนเกาะนั้นก็เก็บไข่นกกิน พอกินไข่นกหมด ก็เอาลูกนกมากิน พอลูกนกหมด ก็กินพ่อนกแม่นก
              นกพวกนั้นไม่เคยเจอใครทําร้าย ก็เลยไม่กลัว ไม่หนี ขนาดพ่อนกแม่นกยังโดนกินจนหมด
              พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้ากินเฉพาะไข่นก จะไม่มีลูกในวัยหนุ่มสาว แต่จะมีลูกตอนวัยกลางคน
              แต่ถ้ากินเฉพาะไข่นกกับลูกนก จะไม่มีลูกตอนหนุ่มสาวและวัยกลางคน แต่จะมีลูกตอนแก่
              นี่พ่อนกแม่นกก็กินไปด้วย ก็ไม่มีแล้วแหละ...กรรมนี้ติดตามไปตั้ง ๕๐๐ ชาติ
              คุณวินกับคุณติ๊กก็คงแบบเดียวกัน ทุกวันนี้ก็ปลงแล้ว เขาพยายามขนาดนี้แล้วยังมีไม่ได้ หมอตรวจดูปกติทุกอย่างทั้งสามีภรรยา แต่ก็ไม่มีลูก
              ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งที่อาตมารู้จัก เมียท้องแล้วแท้งไป ๔ ครั้ง เลยตัดใจว่าไม่มีดีกว่า
              หมอบอกว่า มดลูกอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะเก็บเด็กไว้ได้ ถ้าหากท้องอีกเท่ากับฆ่าเด็กโดยตรง เขาก็เลยตัดใจว่าไม่เอาแล้ว
              อันนั้นก็คงสร้างกรรมมาใกล้เคียงกัน แต่ว่ารายหลังนี่น่าจะเป็นกรรมของเด็กด้วย คือเด็กสร้างกรรมใหญ่เกี่ยวกับปาณาติบาตไว้ยัง ไม่ทันจะเป็นตัวเป็นตนเลยก็แท้งแล้ว
              อาตมากลัวอย่างเดียว...กลัวว่าลูกของโยมจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยพูด แถมดุอีกต่างหาก ถ้าใช่อย่างนั้นจริง ๆ พามาหาอาตมานะ เดี๋ยว จะบอกวิธีจัดการให้!”
*************************

              “สมัยอาตมาเป็นฆราวาสไปวัดแต่ละที่พาญาติโยมไปวัดกันหลายคน ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวรุ่น ๆ เรียนหนังสืออยู่บ้างเรียนจบ แต่ยังหางานทําไม่ได้บ้าง อยากไปทําบุญ แต่หาคนที่ไว้ใจไม่ได้
              คราวนี้พอพ่อแม่เขาเห็นว่าไปกับอาตมา เขาก็ไว้ใจเพราะว่าไปรับ และไปส่งตรงเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะต้องรับส่งตรงเวลา จึงเป็นที่น่าเชื่อถือ มีแต่คนฝากลูกสาวมาคณะก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
              พูดเรื่องนี้ก็นึกถึงหลวงพ่อสมคิด วัดตะเคียนงาม หลวงพ่อสมคิดบวชก่อนอาตมาประมาณ ๔ เดือนครึ่ง รู้จักกับอาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว
              อาตมาเป็นคนสอนมโนมยิทธิให้ท่านเอง ทั้ง ๆ ที่ท่านบวชก่อน แต่ท่านกราบอาตมาทุกครั้ง ท่านบอกว่าท่านกราบในฐานะอาจารย์ จะรับหรือไม่รับท่านก็กราบ
              หลวงพ่อสมคิดท่านบอกว่า “ผมนึกว่าอย่างไรชาตินี้อาจารย์ไม่ได้บวชแน่แล้ว สาว ๆ ไปด้วยเยอะปานนั้น”
              ไปกันที่ไปเป็นหมู่คณะขึ้นรถโดยสารครั้งหนึ่งเต็มไปครึ่งคัน เวลาไปต่างจังหวัดตามหลวงพ่อวัดท่าซุง เขาจะมีการจัดรถตามไป พวกเราไปร่วมบุญด้วยได้ไปทําบุญวัดต่างจังหวัดด้วย อย่างวัดหลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์วัดหลวงพ่อบุญรัตน์
              อาตมาเหมือนพี่ใหญ่ของคณะ มีหน้าที่ซื้อตั๋วแจก เหมาทีครึ่งคัน มีอยู่เที่ยวหนึ่งช้ำใจมาก ซื้อตั๋วแล้วน้องคนหนึ่งติดธุระสําคัญไปไม่ได้ ขากลับเลยซื้อตุ๊กตาชาวเขาตัวเท่าคนมานั่งแทน..!
              ที่ไปลักษณะนั้น ก็ตั้งใจว่าเป็นการสงเคราะห์น้อง ๆ เขาจริง ๆ เพราะว่าบางคนเรียนหนังสืออยู่บ้าง บางคนเรียนจบแล้วยังไม่ได้ทํางานบ้าง
              อาตมาบอกว่าเงินที่พวกเขามีอยู่ให้เอาไว้ทําบุญ เงินที่เหลืออยากจะซื้อของอะไรก็จะได้ซื้อ ส่วนเรื่องค่ารถ ค่ากิน ค่าอยู่ อาตมารับผิดชอบให้ ทั้งหมด
              ตอนนั้นอาตมาทํางานไม่ได้เงินเดือนเยอะแยะอะไรหรอกประมาณ ๗ พันบาท แต่ว่า ๗ พันบาทประมาณปี ๒๕๒๐ ถือว่ามาก เพราะว่าอาตมากินไม่เป็น เที่ยวไม่เป็น ไปวัดเป็นอย่างเดียว”
*************************

              “เพื่อน ๆ ที่ทํางานด้วยกันชอบมายืมเงินอยู่เรื่อย เพราะเขารู้ว่า ยืมแล้วไม่ทวงคืน แทนที่จะขอยืม เขาก็มักจะ “ขอลืม” ไปเรื่อย
              พอประมาณ ๔ โมงเย็น มองซ้ายมองขวา ถ้าท่านผู้จัดการไม่อยู่ก็พยักหน้าส่งสัญญาณกัน อาตมาเด็กที่สุดในแผนกก็ไปเอาถังสี ๒๐ ลิตรมาต่อขา ยื่นหน้าโผล่ข้ามรั้วออกไปที่ร้านค้าข้างนอก
              “ป้า ๆ เอาเหมือนเดิม”
              เหมือนเดิมของเขาก็คือ เหล้าขาว ๒ ขวด น้ําอัดลมครึ่งโหล ส่วนกับแกล้มแล้วแต่ป้าจะมีในตอนนั้น ส่วนใหญ่ก็ไข่เจียว
              อาตมาได้วิธีทอดไข่เจียวจากป้าที่อยู่หน้าโรงงานไทย-ญี่ปุ่นเมตัล อุตสาหกรรม ป้าสามารถทอดไข่ฟองเดียวได้จานมหึมาใหญ่มาก ไปถามเคล็ดลับของป้าจนได้มา แล้วอาตมาก็ทอดไข่เจียวฟองเดียวได้เต็มกระทะเหมือนกัน
              พอสั่งเสร็จป้าเขาก็เอามาส่ง เคาะประตูเรียกยามก็เปิดประตูเล็ก แอบเอาเข้ามาจนกระทั่ง ๕ โมงเย็น กริ่งเลิกงานดังขึ้นก็ติดลมยาวไปยันค่ำ
              อาตมาเองกินเหล้าไม่เป็น ก็กินแต่กับแกล้ม พักเดียวก็โดนเขาไล่ออกมา เพราะว่าคนที่ไม่กินเหล้า เอาแต่กินกับทําให้เปลืองมาก”
*************************

              “จะเห็นได้ว่า เรื่องของการคบหาสมาคมกับหมู่ผู้ที่อยู่ในอบายมุข ไม่ใช่ว่าเราจะคบไม่ได้ คบได้แต่ว่าคบแล้วให้เราไปแค่กรอบของศีล
              พวกนั้นกินเหล้า สูบกัญชา เล่นไพ่เล่นไฮโล อาตมาดูจนเป็นหมด พวกนั้นชวนเล่นก็ไม่เล่น บางทีรําคาญขึ้นมา ก็บอกว่า “เออ...มึงถือไป.. เล่นไป เดี๋ยวกูบอกให้”
              อาตมาก็บอกจนเพื่อนกินคนอื่นหมด เพื่อนเป็นคนถือไพ่ เขาหัวคํานวณไม่เก่ง อาตมาต้องเป็นคนบอก
              อาตมาเคยเล่นพวกนี้กับคุณยายมา คุณยายเป็นสุดยอดมือดัมมี่เลย อายุ ๘๐ กว่านั่งตาใสแจ๋ว
              ถึงเวลายายจะแจกเงินหลาน ๆ คนละ ๒๐๐ บาท เรียกมาเข้าวงเล่นดัมมี่ แล้วก็โดนยายกินคืนไปหมด ไม่เหลือหรอก ยายให้ก็เท่ากับไม่ได้ให้
              ยายจําแม่นขนาดว่าใครเก็บตัวไหนขึ้นไป และควรจะมีตัวอะไรอยู่ในมือ ยายบอกได้หมดเลย แล้วเราจะไปเหลืออะไร ?..!
              บางที่อาตมาคิดว่ายายโกงหรือเปล่า ?
              ก็ขอเปลี่ยนสํารับ ซื้อไพ่ใหม่ไป ยายก็กินพวกเราเกลี้ยงเหมือนเดิม คิดว่าถ้าเป็นสํารับเก่ายายอาจจะจําหลังไพ่ได้
              ความจริงไม่ใช่หรอก..ยายจําแม่น ใครเก็บตัวไหนขึ้นไป ถ้ามีคู่กันสองตัว แสดงว่าคนนี้ต้องมีตัวที่สาม ไม่อย่างนั้นเขาไม่เก็บหรอก ยายคํานวณได้หมด
              อาตมาเองเจอยอดเซียนอย่างยายมาแล้ว พอมาเจอประเภทเด็กโรงงาน จะไปเหลือหรือ ?
              อุตส่าห์ไม่เล่นกับเขาแล้ว ยังมายั่วกิเลส จึงบอกเพื่อนว่า “มึงถือไว้..เล่นไป เดี๋ยวกูบอกให้”
              กินเสียให้เข็ด จะได้ไม่มาชวนอีก”
*************************

              “ตอนอาตมาไปอยู่ชายแดน เล่นหมากรุกไม่เป็น เล่นเป็นแต่หมากฮอส พอเล่นหมากรุกไม่เป็น เพื่อนก็รําคาญ
              เพราะว่าเวลาอยู่ชายแดนถ้าไม่มีเหตุการณ์ปะทะก็ต้องมานั่งเซ็งเงียบ ๆ กันทั้งวัน เพื่อนจึงสอนการเล่นหมากรุกให้ พอเพื่อนสอนวิธีเดินเสร็จ เล่นกันกระดานแรกก็เสมอกัน
              สําหรับหมากรุก ถ้ากินขุนไม่ได้ อย่างไรก็เสมอกัน ต่อให้เหลือขุน ตัวเดียวก็เสมอกัน นับศักดิ์กระดาน ๖๔ ตา ถ้าไล่แล้วไม่จนก็เสมอกัน
              พอกระดานที่สอง อาตมาก็กินเพื่อนหมด จึงบอกว่า “มึงนี่เสียเวลาเล่นจริง ๆ”
              เดินหมากแล้วผูกกันไปผูกกันมา แล้วดันเผลอเอง เพื่อนดูหมากไม่ทั่วกระดาน หรือว่าสมองเขาจําไม่ทั่วทุกตัวก็ไม่รู้ พอเขาเผลอขยับก็เสร็จ
              เพราะว่าหมากผูกยันกันอยู่ ถ้าหากเขาขยับตัวนี้มา เราก็เอาตัวนี้ เข้าไปผูกไว้เอ็งกินตัวนี้ของข้า ข้ากินตัวนี้ของเอ็ง ถ้าขาดทุนก็ไม่กินหรอก ใครลงมือเสี่ยงก่อนคนนั้นก็โดน...!”
*************************

              “เวลาพวกนั้นสูบกัญชา อาตมาไม่ได้สูบกับเขา ไปนั่งลุ้นเวลาพวกนั้นหัวเราะดิ้นพราด ๆ ไม่มีอะไรหรอก ขนาดกระดาษหนังสือพิมพ์โดน พัดลมเป่า เขายังนั่งหัวเราะเลย สูบกัญชาเสียจนเป็นอย่างนั้น
              ตอนไปแจกของกับหลวงพ่อสมปองที่ป่าแม่วงก์ นครสวรรค์ ชาวบ้านเดินมา อาตมาหันขวับไปหาทิดแม็ก ลูกศิษย์หลวงพ่อสมปอง
              “เฮ้ย..แม็ก ใช่ไหม ?”
              “ชัดเลยครับหลวงพี่”
              “กูก็ว่าใช่”

              กลิ่นกัญชาชัด ๆ เลย ชาวบ้านเขาดูดกัญชามารับของ รับผ้าห่มที่แจกให้”
*************************

              “เรื่องอบายมุข ศึกษาไว้บ้างก็ดี คนจะได้หลอกเราไม่ได้ แต่ไม่ต้องเอาตัวไปลงทุน
              เล่นไพ่หรือ ?
              ข้าไม่เล่นกับเอ็งหรอก เพราะว่าสมัยนั้นฝึกงานอยู่ ๓ เดือน เด็กฝึกงานไม่มีอะไรให้นะ นอกจากอาหารถ้าหากว่าทํากะกลางคืนก็จะมีอาหารมื้อกลางคืนให้
              พอเริ่มบรรจุ ตอนนั้นอาตมาได้วันละ ๒๕ บาท อาทิตย์หนึ่งทํางาน ๖ วันเงินเดือนออก ๑๕๐ บาทรู้สึกว่าโคตรรวยเลย เอาเงินไปให้แม่จนหมด
              ทํางานอยู่ตั้งหลายปีเหมือนกับคนไม่มีเงิน เพราะว่าได้มาเท่าไรก็ให้แม่จนหมด จนกระทั่งเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก ทําอยู่ ๒ เดือน ไล่จากเด็กฝึกงานไป
              ช่วง ๓ เดือนแรกไม่มีเงินเดือน ที่อยู่ ๗ เดือน เขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนก เพราะว่าเพื่อนพลิกแพลงปรับปรุงงานไม่เป็น เขาเห็นว่าอาตมามีแววเลยให้เป็นหัวหน้าแผนก ทีนี้เงินเดือนขึ้นก็ยิ่งรวยเข้าไปใหญ่”
*************************

              “คนอื่นเขาคํานวณงานไม่เป็น จึงเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ ตอนนั้นสินค้าหลักที่ผลิตของโรงงาน ก็คือตู้นิรภัยยี่ห้อโตโยมิสุ
              ทุกวันนี้ถ้าใครใช้ตู้ยี่ห้อนี้ ถ้ายังไม่เปลี่ยนรหัสมาบอกได้ อาตมาเปิดได้ทุกใบ เขาจะมีรหัสของโรงงานมาทุกใบ ซึ่งจะเหมือนกันหมด แล้ว เจ้าของไปตั้งใหม่เอาเอง ใบไหนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนรหัสมาบอกได้เลย
              คนอื่นเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ เพราะว่าเวลาเถ้าแก่ใหญ่สั่งมาว่า อาทิตย์นี้ต้องออกตู้ให้ได้ ๖๐ ใบ เขาก็จะไม่รู้ว่าต้องคํานวณอย่างไรถึงได้ ๖๐ ใบ
              อาตมาจะสั่งให้แผนกปั๊ม ให้ปั๊มเปลือกนอกมาเลย ๖๐ ใบ
              แผนกทําความสะอาดและพ่นรองพื้นสี ๖๐ ใบ วันนี้เวลานี้ต้องเสร็จ
              แล้วก็ให้แผนกกุญแจ ปั้มแผ่นอะลูมิเนียมมาเลย ๖๐ ชุด ภายใน ๓ วันต้องได้
              ไล่ไปจนถึงแผนกสี ว่าคุณต้องทําวันละเท่าไร วันสุดท้ายงานถึงจะเสร็จพอดี
              พอถึงวันเสาร์ อาตมาก็จะพ่นสีขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นสีขุ่น สีนี้พอพ่นลงไปแล้วจะย่น ๆ อย่างกับหนังงู
              เพราะฉะนั้น... ไม่ต้องเก็บพื้นให้เรียบ ถ้ามัวแต่เก็บเรียบอยู่จะทําสีไม่ทัน เมื่อเป็นสีย่นอยู่แล้ว ต่อให้มี “ตามด” ใหญ่หน่อยก็ไม่เป็นไร
              ในเมื่อคนอื่นเขาคํานวณงานไม่เป็น อาตมาก็ต้องรับตําแหน่งไป เงินเดือนขึ้นจาก ๒๕ บาทต่อวัน เป็น ๗๐ บาท แล้วคนกินไม่เป็น เที่ยวไม่เป็น ทําให้เหลือเงินเยอะมาก
              สมัยนี้หรือ ? จบมาไม่ทันมีประสบการณ์เลย เงินเดือน ๙ พันกว่าบาทแล้ว
              วันเสาร์เงินเดือนออก เถ้าแก่ใหญ่จะมาเพื่อจ่ายเงินเดือน แต่ไม่ได้จ่ายเองนะ มาถึงก็เอาเงินให้สมุห์บัญชี
              สมุห์บัญชีจะจ่ายให้หัวหน้าแผนกแต่ละแผนก เอาไปจ่ายลูกน้องของตนเอง แต่ละคนแต่ละแผนกต้องจ่ายเงินเท่าไรนั้นตายตัวอยู่
              แผนกของอาตมาไม่เคยได้ช้า เพราะว่าอาตมาจะทําบัญชีและคํานวณตัวเลขส่งให้ก่อนทุกครั้ง พอถึงเวลาได้มาก็ให้ลูกน้องเซ็นรับไปเลย
              แต่ว่าส่วนใหญ่ ป้าแกจะถือบัญชีมายืนรอ พวกที่เคยโผล่หน้ามา ตะโกนสั่งโดนหมด
              “ทํางานเท่าไรก็กินกันจนหมด ไม่รู้เป็นอย่างไร เก็บเงินกันไม่อยู่เลย”
              บางทีพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ มาแซว
              “เอ็งเก็บเงินอย่างไรวะ ถึงเก็บอยู่”
*************************

              “ตรงจุดนี้ได้เห็นประโยชน์ของการปฏิบัติกรรมฐาน
              อันดับแรกคือ เรามีกําลังใจเข้มแข็งกว่า สามารถอยู่ในดงอบายมุขได้โดยไม่ไหลตามเขาไป
              อันดับที่สองก็คือ ในเรื่องของการใช้สมองคํานวณ คนที่ใจทรงสมาธิอยู่ การคํานวณจะง่าย
              บางที่อาตมามองใบเสร็จนิดเดียว ก็วางเงินลงไปได้เลย ได้ตัวเลขออกมาแล้ว
              ระยะหลัง ๆ เมื่อไปซื้อของในตลาดทองผาภูมิ ถ้าไปซื้อเอง หยิบสินค้าเสร็จสรรพ แม่ค้าจะถามอาตมาที่เป็นคนซื้อว่าเท่าไร ?
              เพราะว่าเขาเคยเอาเครื่องคิดเลขมาไล่กดแล้วไม่เคยทัน อาตมาหยิบเงินให้แล้ว บอกว่าต้องทอนเท่าไร
              ตอนแรก ๆ เขาก็ไม่เชื่อ พอเอาเครื่องคิดเลขมากดหลาย ๆ ครั้ง ได้เท่าที่อาตมาบอกทุกที ตั้งแต่นั้นมาเขาเลิกกดเลย
              อาตมาหยิบของเสร็จ เขาถามเลยว่าเท่าไร แทนที่จะเป็นคนซื้อ ก็กลายเป็นคนขายไป ขายให้กับตัวเอง
              เราจะเห็นประโยชน์ชัด ๆ ว่า สภาพจิตที่นิ่ง เรื่องของการคาดคํานวณสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องโลก ๆ นั้นเป็นของง่ายมาก
              เพราะว่าการดับกิเลส เราต้องดับกิเลสให้ทัน ซึ่งยุ่งกว่านั้น มีรายละเอียดมากกว่านั้น

              ดังนั้นถึงได้กล้าบอกกับเด็ก ๆ เต็มปากเต็มคําว่า ในเรื่องของการเรียน ถ้าเราฝึกสมาธิมา จะเรียนเก่งทุกคน
              ตอนนี้อาตมาจบปริญญาโทแล้ว ยังสามารถรักษาที่ ๑ เอาไว้ได้ แต่ปริญญาโทไม่มีเกียรตินิยม ไม่อย่างนั้นจะเอาเกียรตินิยมมาอวดอีกใบ”
*************************

              “ถึงเวลาแล้วกําลังใจที่ฝึกมา สามารถต่อสู้กับกิเลสหยาบ ๆ ก็คือ พวกอบายมุขต่าง ๆ ได้แต่เพื่อน ๆ สู้ไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่เคยฝึกเรื่องนี้มา
              แต่ว่าเรื่องความจํา ที่เห็นผลชัดที่สุดคือ ถึงเวลาเลิกงานต้องไปเล่า เรื่อง “เพชรพระอุมา” ให้เพื่อนทั้งแผนกฟัง
              หนังสือเพชรพระอุมา ๑๘ เล่มใหญ่ ๆ (ตอนนั้นภาค ๑ ยังเป็นชุด ปกแข็ง ๑๙ เล่ม ต่อมาปรับเป็น ๒๒ เล่ม แล้วถึงมาปรับเป็น ๒๔ เล่ม) ต้อง ไปนั่งเล่าให้เพื่อนฟัง
              เพื่อนนั่งฟังแน่นไม่ไปไหนเลย เพราะว่าสามารถที่จะเล่าได้เหมือน อย่างกับเปิดหนังสืออ่านเอง เพราะฉะนั้น ถ้าจําทั้ง ๑๘ เล่มได้นี่ อย่างอื่น ไม่ต้องพูดถึงหรอก”
*************************

      ถาม :  เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทุกวันนี้อยู่มาได้ก็ดูลมหายใจเข้าออก ?
      ตอบ :  นั่นแหละดีแล้ว เราต้องตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา
              ถ้าเราจับลมหายใจเข้าออกได้เป็นปกติ โรคต่าง ๆ ก็เหมือนกับไม่มี เพราะว่าใจไม่ได้ไปอยู่ที่ร่างกาย ใจไปอยู่ที่ลมหายใจแทน
              ถ้าโยมเป็นอย่างอาตมา คงไม่อยากมีชีวิตอยู่หรอก เพราะว่าทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน อาการจะกําเริบ แล้วคิดดูว่าช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย ขนาดไหน ?
              ครึ้มฟ้าครึ้มฝนหน่อย อาตมาก็หมดสภาพไปแล้ว
*************************

      ถาม :  วิธีที่ถูกต้องคือ ?
      ตอบพยายามให้เห็นโทษของร่างกายนี้ จนไม่อยากอยู่กับร่างกายนี้อีก เราไปพระนิพพานดีกว่า
              ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ต้องการอีกแล้ว เกิดมาในโลกที่มีแต่ความทุกข์ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว
              เป็นพรหมเทวดาพ้นทุกข์ชั่วคราวเราก็ไม่เอาเพราะเกิดใหม่ เราก็ทุกข์อีก
              ฉะนั้น…เราไปพระนิพพานที่เดียว
              เอากําลังใจเกาะภาพพระหรือลมหายใจเข้าออกไว้ คิดว่าตายเมื่อไร เราขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ส่วนโรคจะหายหรือไม่หายก็เรื่องของโรค ไม่ใช่เรื่องของเรา
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  เอาแค่ว่าถ้ารัก โลภ โกรธ หลงมาแล้วเราดูทันก็พอ ไม่ต้องไปดูอย่างอื่น รู้ทันแล้วก็ไม่ต้องไปไล่ฆ่าไล่ฟัน พวกนี้อาย พอรู้ทันเขาก็เลิก
              มีสติรู้เท่าทันอยู่กับปัจจุบันก็พอ ควบคุมกายวาจาใจให้อยู่ในกรอบของศีล ถ้าหากความชั่วจะล้นออกมาก็อย่าให้ล้นออกไปหาคนอื่น ยอมอกแตกตายอยู่คนเดียวดีกว่า
*************************

      ถาม :  เพียงแค่สวดโพชฌงค์ แล้วหายจากอาการป่วยได้หรือครับ ?
      ตอบ :  เนื้อหาของโพชฌงค์ ท่านบอกให้เราวางกําลังใจอยู่กับหลักธรรม
              ในเมื่อเอาใจอยู่กับธรรมะ ไม่ได้อยู่กับร่างกาย อาการป่วยหนักก็กลายเป็นเบา อาการป่วยเบาก็กลายเป็นหาย เพราะว่าสภาพจิตทรงตัวขึ้นมา
      ถาม :  ฟังแล้วเกิดความสบายใจ ?
      ตอบ :  ฟังแล้วเหมือนกับอาศัยเสียงสวดมนต์โยงใจให้เป็นสมาธิ สวดไว้ได้ทุกวันแหละดี เพราะว่าเป็นอานิสงส์แก่ตัวเอง อย่างน้อยที่เราทําเป็นการเคารพพระรัตนตรัย ใจเราเกาะพระอยู่แล้ว
*************************