ถาม : เราไปไหว้บรรพบุรุษกับทําสังฆทาน ?
ตอบ : ให้ทําทั้ง ๒ อย่างเราไปไหว้บรรพบุรุษ เพื่อกันบรรพบุรุษด่าเรา โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้
อย่างแรก เราทําเพื่อรักษาประเพณี และกันคนเป็นด่า จนกว่ารุ่นเราจะเป็นรุ่นที่อาวุโสที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานอย่างเดียว แต่ถ้ามีคนใหญ่กว่า อาวุโสกว่า ก็ไหว้ไปก่อน
ผู้ใหญ่เขาทําตามประเพณีมาเรื่อย ๆ บางอย่างเขาไม่รู้ว่าทําเพื่ออะไร รู้แต่ว่าต้องทํา ในเมื่อกลายเป็นประเพณีแล้ว ถึงเวลาเราก็ทําตามเขาไป
*************************
ที่บ้านอาตมา นอกจากพี่ชายคนโตแล้ว ก็ไม่มีใครไหว้เจ้าแล้ว ที่พี่ชายคนโตยังไหว้เจ้าอยู่ เพราะว่าทํามาตั้งแต่เด็ก อายุ ๗๐ กว่าปีแล้วก็ยัง ทําต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่าฝังหัวไปแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เข้าวัดทําบุญกัน
ถ้าเริ่มจากตอนแรกเลยที่บ้านอาตมานับถือเจ้าแม่กวนอิม ไหว้เจ้า ไม่กินเนื้อ
พออาตมาเริ่มปฏิบัติทุ่มเทจริง ๆ ก็ช่วงเรียนมัธยมอายุ ๑๐ กว่าปี ช่วงแรกเขาก็ว่าอาตมาบ้ากันทั้งนั้น พอทําไปแล้วเกิดผล คนอื่นเขาก็ค่อยๆ มั่นใจ แล้วก็คล้อยตามมา
โดยเฉพาะตอนที่ถูกหวยนี่มั่นใจมาก...! พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ทํามาใช้ได้จริง ขนาดดูหวยยังถูก อย่างอื่นก็ต้องถูกสิน่า
ความจริงเขาเข้าใจผิด การดูหวยถูก แต่การตั้งกําลังใจในการปฏิบัติอาจจะผิด
แต่คราวนี้ไปทําให้เขาศรัทธาแล้ว ท้ายสุดพี่น้องลูกหลานก็ตามมาหมด แต่ถึงจะตามมาหมด กําลังใจแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
บางคนเข้าวัดก็เพราะว่าอยากได้หวย บางคนเข้าวัดเพราะอยากได้วัตถุมงคล บางคนเข้าวัดเพราะตามคนอื่นเขาไป บางคนเข้าวัดเพราะอยากจะมาปฏิบัติธรรม บางคนก็อยากเก่งเหมือนหลวงน้าหลวงตา ก็ไปกันเรื่อย โดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ อยากเก่งเหมือนหลวงน้า อยากเก่งเหมือนหลวงตา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีความอดทนไม่พอ บวชได้คนละไม่กี่วันก็สึกกันหมด
*************************
ยิ่งมาเจอรายล่าสุดที่เพิ่งบวชมาไม่นาน ญาติโยมคงไม่มีใครอยากเอาลูกมาบวชที่วัดท่าขนุนแล้ว เพราะอาตมาฟาดกบาลด้วยด้ามตาลปัตร..!
เขามาอยู่วัดก่อนล่วงหน้า ๗ วัน แต่ขานนาคไม่ได้ เพราะมัวแต่เล่นเกมส์อยู่ อาตมาก็เลยบอกว่า “ประโยคละที” บอกเสร็จประโยคหนึ่ง ก็ฟาดเปรี้ยงทีหนึ่ง กว่าจะบวชเสร็จก็นั่งร้องไห้คาโบสถ์ไปเลย
หลังจากนั้นให้เวลาเขา ๓ วันท่องให้ได้ เมื่อวานนี้ครบ ๓ วัน เขาท่องได้หมดเลย คิดดูอยู่มาตั้ง ๗ วัน ท่องไม่ได้สักคํา แต่ ๓ วันกลับท่องได้ เพราะกลัวโดนฟาดกบาลอีก ก็เลยบอกว่า
“จําไว้เลยนะไอ้พวกทําดีก็ทําได้แต่ไม่ทํา อย่าให้เจออีก...!”
บรรดาญาติ ๆ คงไปลือกันอีกเยอะ
ตอนแรกที่เข้มงวดกับพวกเขา หลวงพ่อวัดท่ามะขาม ท่านบอกว่าระวังจะต้องอยู่คนเดียว
แต่ไม่ใช่แล้ว...ตอนนี้วัดท่าขนุนเป็นวัดที่มีพระเณรมากที่สุด เพราะญาติโยมเขาเห็นว่าเข้มงวด เอาลูกเขาอยู่ ก็เลยยัดเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ
ลูกไม่อยากบวชหรอก อยากไปบวชที่อื่น เพราะว่าสบายกว่า แต่พ่อแม่อยากให้บวชที่นี่
นี่อาตมากลับไปก็มีพระใหม่ ๒ รูป ต้องมาปลงอาบัติปากเปล่า ห้ามเปิดหนังสือ กติกาวัดท่าขนุน ต้องปลงอาบัติได้ให้เวลาตั้ง ๓ วัน เพราะอาตมาเองครึ่งวันก็จําได้หมดแล้ว นี่อาตมาให้เวลาเขามากกว่าตั้ง ๖ - ๗ เท่าแล้ว ถ้ายังไม่ได้มีเฮ..!
*************************
ถาม : ขอวิธีการปฏิบัติที่ง่ายครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรมากหรอก
มองให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง
ทุกอย่างเป็นทุกข์
ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
แค่นั้นแหละ วิธีสอนง่ายที่สุด แต่วิธีทํายากฉิบ...!
*************************
“หลวงพ่อยืนองค์ใหญ่ที่วัดท่าซุง ชื่อของท่านคือ “หลวงพ่อไหลมาเทมา”
เท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้ เขาลงว่า “หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา”
บางรายก็บอกชื่อว่า “หลวงพ่อเงินไหลมา” ต้องบอกว่าเขาพอใจแค่นั้น
ถ้าอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงว่าไว้ก็จะเป็น “หลวงพ่อไหลมาเทมา”
คือสิ่งที่ดีทุกเรื่องจะไหลมาเทมา แต่พวกนั้นเขาจํากัดจะเอาเรื่องเดียว พอนาน ๆ ไปแล้วชื่อก็จะเพี้ยน...เปลี่ยนไปเรื่อย”
*************************
“พวกมีดที่ทําจาก Cold Steel จะอยู่ในลักษณะขึ้นรูปด้วยเครื่องมือ ไม่ใช่เหล็กที่ใช้วิธีอบความร้อนแล้วตีขึ้นมา ก็เลยเป็น Cold Steel
เทคโนโลยีของฝรั่งด้านนี้เหนือชั้นกว่า แต่ว่าความประณีตและ ความคิดของเขาสู้เราไม่ได้
มีดของคนไทยเราทําทีละเล่ม ฝีมือดีกว่ากันเยอะเลย ของเขามีเครื่องขึ้นคม ตั้งองศาได้เลยว่าจะเอาความคมขนาดไหน
เวลาจะเก็บควรเช็ดให้สะอาดก่อน เพราะเวลาที่มือเราจับจะมีเหงื่อเค็ม ๆ ถึงเป็นเหล็กสเตนเลสก็จะขึ้นสนิม
วิธีการใช้มีดสั้น หลัก ๆ ก็มี แทง เชือด ปาด ฟัน ถ้าไม่ใช่ระดับสุดยอดจริง ๆ ประเภทที่ใช้ เกี่ยว ดึง กด ดัน เรายังทําไม่เป็นหรอก”
*************************
ถาม : มีดสั้นฟันอย่างไร ?
ตอบ : ใช้ฟันตรง ๆ ขึ้นอยู่กับจังหวะ
อย่างพวกเรา เวลาจะใช้ต้องชักมีดออกมาก่อน แล้วค่อยใช้
ส่วนคนที่เป็น เขาไม่ทําอย่างนั้นหรอก พอชักออกมาเขาปาดใส่เลย เอากําไร ๑ ทีก่อน ลักษณะกึ่งปาดกิ่งฟัน ดึงพรวดขึ้นมาก็ไปแล้ว ๑ ที ชักปาดขึ้น
ถ้าหากว่าพลาด ก็ก้าวตามฟันลงซ้ำอีกที
ถ้าหากว่า ๒ ที แล้วยังพลาด ก็ก้าวตาม ครั้งที่ ๓ แทง
หัดแค่ ๓ ท่าพอ เอาให้ชินเท่านั้นแหละ
อย่าลืมสืบเท้าตามไปนะ ถ้าไม่สืบเท้าตามไป เป้าจะออกห่าง
ปาดขึ้น ฟันลง แล้วก็แทง
เอาแค่ ๓ ท่าก่อน ถ้าใครหลบได้ทั้ง ๓ ท่านั่นต้องระดับสุดยอดแล้ว
*************************
การสู้กับมีดสั้น ถ้าไม่ใช่คนชํานาญจริง ๆ มักจะต้องถอยห่าง ซึ่งเป็นจังหวะให้เราโจมตีซ้ำได้
ถ้าพวกชํานาญจริง ๆ จะประชิดตัวเข้ามา ทําให้มีดยิ่งใช้ยากขึ้น
เราต้องหัดหักข้อมือพับแขนตัวเองให้ได้จังหวะ ไม่อย่างนั้นจะทําอันตรายเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาอยู่ใกล้
อย่างเช่นเราปาดขึ้น ถ้าเขาประชิดเข้ามา เราต้องพลิกข้อมือให้เป็น ถ้าพลิกข้อมือเป็น คมอาวุธจะพลิกเข้าหาเขา เขาต้องถอยออก หรือไม่ก็ต้องพลิกตัวเปลี่ยนเป็นมุมอื่นเหลี่ยมอื่น
ต้องซ้อมบ่อย ๆ เหมือนกับตีเทนนิส ใครตีเทนนิสบ่อย ๆ นี่ ตบใครเข้าไปทีหนึ่งก็เสร็จแล้ว ตบเสร็จเราอาจจะเจ็บมือ แต่อีกฝ่ายร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว
*************************
“เมื่อปลายเดือนมีนาคม ไปกราบหลวงพ่อมณฑล (พระครูสุชาต กาญจนโกศล) ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่สายรุ่นแรก ๆ เลย อยู่วัดท่าขนุนจนสอบได้นักธรรมเอก แล้วท่านถึงออกธุดงค์ ปัจจุบันที่อยู่ของท่านถือว่าอยู่ในป่า
ก่อนหน้านี้ที่อาตมายังไม่ได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับท่าน รู้แต่ว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์รูปหนึ่งของทองผาภูมิที่มีคนเคารพนับถือมาก
ด้วยความที่ท่านเป็นคนเด็ดขาด ทําอะไรทําจริง ดูแลพื้นที่ป่าอยู่ ๖,๐๐๐ กว่าไร่ คราวนี้ก็มีพวกล่าสัตว์บ้าง พวกตัดไม้บ้าง เข้ามาบุกรุกพื้นที่ท่านบ่อย ท่านก็จัดการพวกนั้นเสียสะบักสะบอมเลย พวกนั้นทําอะไรด้วยอาวุธไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีทําไสยศาสตร์
ท่านบอกว่านั่งอยู่ดี ๆ ก็ปวดท้องมาก หมดแรงนอนแผ่ ท้องก็โตขึ้น ๆ ต่อหน้าต่อตาเลย ท่านก็ทําอะไรไม่ถูก
พอดีแม่ชีดาว เคยมารับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน เอาน้ํามันมาเข้าพิธี แม่ชีดาวก็เลยเอาน้ํามันทาให้ ท้องก็ยุบไปต่อหน้าต่อตา
ท่านจึงถามแม่ชีดาวว่าน้ํามันของใคร แม่ชีบอกว่าของหลวงพ่อเล็ก ก็เลยเป็นอันว่ารู้จักกันครั้งแรกโดยที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน
พออาตมาขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ปีแรกก็นิมนต์ท่านมาเป็นประธานงานทําบุญหลวงปู่สาย ถือว่าท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสของหลวงปู่
พอปีต่อ ๆ มานิมนต์แล้วไม่ได้ตัว เพราะท่านไปจําพรรษาต่างประเทศ ปีละ ๑ ประเทศ ปีนี้ยังไม่แน่ว่าท่านจะไปไหน พูดง่าย ๆ ว่าออกพรรษาแล้วถึงกลับเมืองไทย
ที่พูดมาถึงตรงนี้คือว่า หลวงพ่อมณฑลตั้งแต่โดนไสยศาสตร์ครั้งนั้นเข้าไป ด้วยความที่รู้ว่าของพวกนี้อันตรายแบบไหน ท่านก็เลยพกวัตถุมงคลรอบตัวเลย ถ้าถามว่ารอบตัวมากแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าน่าจะถึงร้อยองค์...!
เวลาอาตมาเห็นคนอื่นพกวัตถุมงคลเยอะ ๆ อาตมาก็รู้สึกว่าหนัก ถึงได้บอกว่ามีเยอะ ๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าตายก็ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นมาก อะไรที่เผาได้ก็เผาตัวเองไปเลย อะไรที่เผาไม่ได้ก็เอาไว้แจกในงานศพ..!”
*************************
“เขาโทรมาบอกยกเลิกการอบรมครูที่อาตมาต้องเป็นวิทยากร แหม..ดีใจ เพราะเขามีคติกันว่า บุคคลที่อบรมยากที่สุด
หนึ่ง..พระ
สอง..ครู
ยิ่ง “พระครู” นี่ยิ่งอบรมยากเข้าไปใหญ่ เป็นทั้งพระเป็นทั้งครู..!
ส่วนใหญ่ครูจะชินกับการสอนคนอื่น พอต้องไปเข้ารับการอบรม ซึ่งตัวเองโดนสอนก็ไม่เคยชิน ส่วนพระนี่ใหญ่จนเคยตัว ไม่ค่อยจะฟังใครอยู่แล้ว”
*************************
“กรุงรัตนโกสินทร์อายุครบ ๑๕๐ ปี เมื่อปี ๒๔๗๕
เนื่องจากว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์มาอย่างลึกซึ้ง ตรวจดูดวงเมืองแล้ว ถ้าหากว่าเป็นดวงเมืองเดิมอยู่ จะมีอายุ แค่ ๑๕๐ ปีเท่านั้น ก็เลยทรงทําการเปลี่ยนแปลงผูกดวงเมืองเสียใหม่ ปักเสาหลักเมืองใหม่
ดังนั้น...เราจะเห็นว่ามีเสาหลักเมือง ๒ ต้นเคียงกันอยู่ ก็แปลว่า ทําให้อายุของราชวงศ์จักรียืนยาวต่อไปได้อีก
แต่มีนักโหราศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า เนื่องจากดวงเมืองแบ่งเป็น ๒ เพราะฉะนั้น...จะมีการแตกแยกในบ้านเมืองเป็นปกติ
วันนี้เป็นวันสถาปนาราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนาราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕
นับมาถึงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ก็เป็นเวลา ๒๓๐ ปีถ้วน ใครกัดฟันทนอยู่อีก ๒๐ ปี ก็จะได้เห็นงานฉลองใหญ่ ๆ
เสาหลักเมืองหายาก เพราะว่าส่วนใหญ่จะใช้เสาไม้ราชพฤกษ์ ก็คือต้นคูณ ต้นคูณขนาดใหญ่พอจะกลึงเป็นเสาหลักเมืองได้นั้นหายากมาก
เสาหลักเมืองนครศรีธรรมราช พ่อปู่ขุนพันธฯ เอาไม้ตะเคียนทองเลย
สําหรับไม้ตะเคียนนั้นพอจะหาง่าย ต้นขนาดใหญ่มี แต่เชิญยาก เพราะว่าส่วนใหญ่นางตะเคียนฤทธิ์มาก ไม่ค่อยจะยอมใคร
จริง ๆ น่าจะเอาเสาไม้สักทองไปเลยนะ เอาต้นไหนไม่ได้ก็เอาต้นที่น้ําปาด ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อําเภอน้ําปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ไหนๆ ก็ทําลายสถิติโลกแล้ว ตัดมากลึงเสาหลักเมืองไปเลย..!”
*************************
“ก่อนหน้านี้ต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในประเทศพม่า เป็นเพราะความใหญ่ ต้นสักต้นนั้นก็เลยโดนฟ้าผ่าตาย ต้นสักของไทยจึงกลายเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน
แต่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เห็นอยู่นั่น ไม่ใหญ่เท่าของสมัยก่อน ภาษิตจีนโบราณเขาบอกว่า
“ยามเมื่อท้องทะเลไร้ปูปลา กุ้งฝอยก็หาญกล้าเป็นราชันย์”
เพราะไม่มีใครอีกแล้ว จึงต้องเป็นคนตัวสูงที่สุดในหมู่คนแคระ...
ต้นสักใหญ่ ๆ โดนบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าของอังกฤษตัดเสียเกลี้ยงแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้นเล็ก ๆ ของสมัยก่อนก็เลยกลายเป็นต้นใหญ่แทน
ถ้าพวกเรามีโอกาสก็แวะไปดูต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พอไปดูต้นสักใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ก็จะได้แวะดูเขื่อนสิริกิติ์ แวะบ่อเหล็กน้ําพี้ ไปครั้งหนึ่งเอาให้ครบไปเลย ต้นสักอยู่อําเภอน้ําปาดบ่อเหล็ก น้ําพี้อยู่อําเภอทองแสนขัน
อุตระ แปลว่า ทิศเหนือ ภาคเหนือ ด้านเหนือ
ดิตถะ แปลว่า ท่าเรือ
แสดงว่าสมัยก่อนเขามีท่าเรืออยู่ทางด้านนั้น เพื่อนอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าพูด ก็เลยเป็น พระครูวรดิตถานุยุต
คําว่า วรดิตถะ แปลว่า ท่าเรืออันประเสริฐ
*************************
“พระที่นั่งอภิเษกดุสิต เก็บงานฝีมือระดับสุดยอดของศิลปาชีพ เอาไว้ลองเข้าไปดูได้จะได้ภูมิใจว่าคนไทยเรามีความประณีตละเอียดอ่อนขนาดไหน
ในพระที่นั่งวิมานเมฆ เก็บเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกเอาไว้ด้วย เขาทําเป็นคทาถวายในหลวงร.๙ ถ้าจําไม่ผิดน่าจะเป็นตอนฉลองกาญจนาภิเษก อาตมาเข้าไปแล้ว ได้แต่ชะโงกดูไกล ๆ มีคนนั่งเฝ้าอยู่ ๒ ข้าง
อาตมาเดินเข้าพระที่นั่งวิมานเมฆนี้ไม่มีความสุขเลย ต้องคอยตะแคงข้างไป เพราะว่าเขาปูพรมแดงแทบทุกห้อง เป็นลาดพระบาท
พอเป็นลาดพระบาทแล้ว อาตมาถือตามแบบคนโบราณ เดินบน ลาดพระบาทไม่ได้ ต้องเขย่งข้างไป คนอื่นเขาก็ย่ำกันโครม ๆ
พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นพระที่นั่งไม้สักทองใหญ่ที่สุดในโลก ตอนสร้างก็ไม่ได้คิดจะให้ใหญ่ที่สุดในโลกหรอก เอาแค่พออยู่สบาย พอหาไม้สักทองไม่ได้ ในปัจจุบันจึงกลายเป็นใหญ่ที่สุดในโลก เพราะว่าไม่มีใครสร้างแข่งด้วย”
ถาม : สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือคะ ?
ตอบ : สมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อรัชกาลที่ ๖
เพราะช่วงนั้นพระองค์มีโอรสธิดามาก ถึงเวลาก็ต้องสร้างวังตรงนั้นหลังหนึ่ง ตรงนี้หลังหนึ่ง
พอสมัยรัชกาลที่ 5 ต้องบอกว่าเกิดดอกออกผล ก็คือบรรดาพระญาติพระวงศ์ที่ไปเรียนต่างประเทศจบกลับมารับราชการ ทรงกรมกันเป็นแถว เพื่อให้สมพระเกียรติก็ต้องมีวังให้
ถาม : สมัยก่อนประทับในพระบรมมหาราชวังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประทับในพระบรมมหาราชวังก็มีอยู่ แต่ว่าไม่มาก ส่วนใหญ่จะใช้พระบรมมหาราชวังตอนงานพระราชพิธีเท่านั้น
*************************
“ช่วงที่ผ่านมาไปปฏิบัติธรรมของมหาวิทยาลัยรอบสุดท้าย ๑๕ วัน สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า
คนอื่นมาปฏิบัติแล้วทุกข์ทรมานมาก เพราะใจไม่ยอมรับ
ส่วนอาตมารู้ว่าต้องทําตามกติกาก็ทําไป แค่นั้นก็จบแล้ว
คนอื่นก็ไปนั่งกลุ้มใจ เครียดไม่เป็นอันเดิน ไม่เป็นอันนั่ง ส่วนอาตมาทําเต็มที่เลย ชาร์จแบ็ตฯ จนกระทั่งหม้อแบ็ตฯ เกือบจะไหม้
วันดีคืนดีก็ไปเดินเหยียบผึ้งหลวงเข้า ผึ้งมาเล่นไฟแล้วตกอยู่บนพื้น พอเหยียบก็โดนต่อยที่ง่ามนิ้วเท้าพอดี ตรงที่เขาเรียกประตูลม จนเท้าบวมอึด
ที่ขำที่สุดก็คือ บวมได้แค่ข้อเท้า ขึ้นสูงกว่านี้ไม่ได้ คนอื่นเห็นก็ขํา กันว่าทําไมบวมแปลก ๆ
สรุปว่ายันต์เกราะเพชรยันอยู่ เจ็บก็ไม่เจ็บ ได้แต่คันอย่างเดียว เดินไม่ถนัดอยู่ ๒ วัน จึงขออนุญาตพระวิปัสสนาจารย์นั่งภาวนาแทน คราวนี้สบาย เพราะว่านั่งยาวไปเลย ตั้งแต่ตีสี่ครึ่งจนถึงเจ็ดโมงเช้า
พอฉันเช้าเสร็จ ได้พักผ่อนหน่อย แล้วก็ไปปฏิบัติอีก ตั้งแต่ ๘ โมงครึ่ง ถึง ๑๐ โมงครึ่ง
ที่เขาให้เวลาถึงแค่ ๑๐ โมงครึ่ง เพราะว่าตอนเดินไปหอฉัน นักปฏิบัติเขาให้เดินช้า ๆ เดินครึ่งชั่วโมงยังไปไม่ถึงเลย
หลังจากฉันเพลพักผ่อนแล้ว เวลาบ่ายโมงยันสี่โมงเย็นก็มาปฏิบัติอีก จากนั้นก็มีเวลาสรงน้ําซักผ้า แล้วก็มาปฏิบัติช่วงหกโมงครึ่งถึงสี่ทุ่มทุกวัน
ระยะหลังพระนิสิตต่อรองขอเวลาทําวิทยานิพนธ์ อาจารย์จึงให้เลิกสามทุ่ม
ตอนแรกผู้อํานวยการขอให้พระนิสิตเลิกทุ่มครึ่ง พระวิปัสสนาจารย์ไม่ยอม ลากไปจนถึงสามทุ่ม ให้เอาเวลาที่เหลือไปถ่างตาทําวิทยานิพนธ์กันเอง
มีแต่พระครูธรรมธรเล็กนั่นแหละ (ในบัญชีเขายังไม่เปลี่ยนชื่อให้) เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก อยู่แต่ในหอกรรมฐาน เพราะว่าทําวิทยานิพนธ์เสร็จนานแล้ว ได้แต่นั่งมองคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไป”
*************************
“สมัยก่อนตอนเรียนปริญญาตรี เวลาอาตมาทํารายงาน จะเขียนบรรทัดท้าย ๆ ไว้ว่า
“ผู้ใดเห็นประโยชน์ของรายงานเล่มนี้ สามารถคัดลอกเอาไปใช้ได้โดยผู้จัดทําไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์แม้แต่ประการใด”
ไป ๆ มา ๆ ท่านอาจารย์เอาผลงานของอาตมา ไปขอตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้ แล้วก็มาชวนไปเลี้ยง ไม่ได้เลี้ยงอาตมาคนเดียว เลี้ยงทั้งห้องเลย
อาตมาช่วยท่านอาจารย์แก้ตําราเรียนไปเล่มหนึ่ง อาจารย์ท่านจะสั่งพิมพ์แต่ท่านไม่แน่ใจ จึงส่งเนื้อหามาให้อาตมาช่วยตรวจให้หน่อย ตรวจไปตรวจมาทนอ่านไปได้ครึ่งบท บอกกับท่านว่า
“ท่านอาจารย์ครับ ขออนุญาตล้มข้อมูล แล้วเขียนใหม่ได้หรือเปล่าครับ ?”
ข้อมูลเดิมของท่านอาจารย์นั่นแหละ แต่ขอล้มรูปแบบแล้วทําใหม่ เพราะจัดเรียงแบบอาตมาจะอ่านได้ง่ายกว่า
สรุปแล้วเนื้อหาของท่านอาจารย์บทหนึ่ง อาตมาหยิบมาได้แค่ ๒ บรรทัด เล่นเอาท่านอาจารย์เครียดไปเลย
พอย่อเหลือ ๗ บรรทัด พิมพ์ไปให้ท่านดู บอกว่า
“ท่านอาจารย์อ่าน ๗ บรรทัดนี้ เท่ากับอ่านเนื้อหาของท่านอาจารย์ทั้งบทไหมครับ ?”
อาตมามองว่าไม่จําเป็นต้องน้ําท่วมทุ่ง วนไปวนมาเยอะขนาดนั้น คนเรียนจะรําคาญเปล่า ๆ เนื้อหาหลักทั้งหมดเท่ากับ ๒ บรรทัดแค่นั้นเอง
ที่บังอาจที่สุดก็คือ อาตมาไปแก้เนื้อหาของท่านเจ้าคุณพระ พรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เอาเนื้อหาของท่านมา ๑๔ หน้า เปลี่ยนแปลงเหลือแค่ ๗ หน้า หายไปครึ่งหนึ่ง...!
ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ถือว่าเป็นสุดยอดของ มจร. แล้ว ยังโดนอาตมาแก้เลย
เพราะว่าท่านเจ้าคุณฯ มีความรู้มาก เวลาท่านเขียนอธิบาย ก็จะแลบไปทางนั้นแลบไปทางนี้ กว่าจะเลี้ยวกลับมา บางทีคนลืมไปแล้วว่า หัวข้อเดิมคืออะไร
เพราะฉะนั้น ...ส่วนที่แลบไปก็ไม่จําเป็นต้องมี อาตมาจึงตัดทิ้งหมด เอาเฉพาะเนื้อมาแล้วเกลาให้เข้ากัน
ส่วนท่านอาจารย์ ดร.สมชัย ศรีนอก ทําตําราพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ สรุปแล้วว่าตําราของท่านอาจารย์อาตมาเป็นคนเขียนเอง เพราะท่านอาจารย์เอารายงานของอาตมาไปทั้งเล่มเลย แล้วท่านให้เครดิต ตรงคํานําไว้นิดหนึ่งว่า
“ได้รับข้อมูลจากพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ นิสิตปริญญาตรี ห้องเรียนวัดไร่ขิง”
แต่ขายตําราแล้วเงินเข้ากระเป๋าของท่านอาจารย์เอง...!”
ถาม : ติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ติด...เพราะว่าอาตมาบอกแล้วว่าไม่สงวนลิขสิทธิ์
*************************
ท่านอาจารย์ดร.สมชัย ศรีนอก ท่านเป็นนักกลอนนามปากกา ช.ศรีนอก ได้ทุนไปเรียนด็อกเตอร์แต่ไม่จบ ทุนหมดต้องกลับมาเมืองไทย
ต้องควักกระเป๋าแม่ยายไปเรียนด็อกเตอร์ที่ มจร.ให้จบ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถจะใช้วุฒิด็อกเตอร์ได้ เพราะว่าทางมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศไม่ได้แจ้งจบการศึกษา กลับมาเป็นอะไรที่อนาถมากเลย
พอท่านอาจารย์ ดร.สมชัย เรียนปริญญาเอกที่ มจร. ต้องไปเข้ากรรมฐาน ๔๕ วัน กลับมาท่านบอกว่า
“ผมเกือบจะเสียคนแล้ว”
อาตมาถามว่า ทําไม ?
ท่านบอกว่า “ไปบ้ากับคําถามเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่ง คิดฟุ้งซ่านไปเป็นอาทิตย์ ๆ เลย”
ท่านอาจารย์เล่าว่า พอถึงเวลาปฏิบัติ เขาให้แยกปฏิบัติกันคนละห้อง ตอนเดินออกไปกินอาหาร เพื่อนนักศึกษาผู้หญิงร่วมชั้นเรียนเดียวกัน เขามากระซิบว่า
“จําได้ไหม...ชาติก่อนเราเป็นอะไรกัน ?”
แค่นั้นแหละ ท่านฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย อาตมาจึงบอกกับท่านไปว่า
“ท่านอาจารย์ตอบเขาไม่ทัน ถ้าเป็นผม..ผมจะบอกว่าชาติก่อนแกเป็นหนี้ฉัน ยังไม่ได้จ่ายคืน แล้วยอดเท่าไรเราก็แจ้งไปเลย”
นี่เป็นเรื่องจริงนะ ถ้าอยู่ ๆ พวกเราโดนอย่างนั้น ก็ต้องฟังเหมือนกัน ปฏิบัติไปไม่คิดว่าอยู่ ๆ เขาจะมาถาม เล่นเอาฟุ้งไปเป็นอาทิตย์เลย ดีเหมือนกัน เวลา ๔๕ วันมีอะไรให้คิดเยอะดี
*************************
ท่านแบงก์ เป็นพระใหม่ที่วัดท่าขนุน จบปริญญาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มา ไฟแรงมาก มาปรึกษาว่า
“ท่านอาจารย์ครับ...หนังสือวัดเราต้องทําเป็นอีบุ๊กอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาเอาไปฝากที่ตู้หนังสือ เวลาใครจะมาดูก็โหลดไปเลย ไม่ต้องไปแจกเขาให้เสียเวลา”
อาตมาบอกว่า “เออ...ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ว่ะเอาไว้เดี๋ยวหายเหนื่อยก่อน”
ท่านก็รอจังหวะ พอเห็นว่าอาตมาหายเหนื่อยก็วิ่งมาอีกแล้ว
“ท่านอาจารย์ครับ ผมเอาหนังสือที่ผมทํามาเสนอครับ”
ท่านก็ทําให้ดูอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาก็เปิดในไอแพดได้ที่ละหน้า ๆ ให้ ดูว่าต้องไปฝากตู้หนังสือที่นี่
อาตมาจึงถามว่า “ดี...ตอนนี้ทําวัตรเช้าเย็นท่องได้ครบหรือยัง?”
“ยังครับ” “ไปท่องซะ..!”
อีกสองสามวันก็ค่อยมาใหม่
“ท่านอาจารย์ครับ...ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมฟุ้งซ่านขนาดนั้น ถ้าท่านอาจารย์ไม่ถามว่าทําวัตรเช้าเย็นได้หรือยัง ผมยังฟุ้งไปอีกนานเลย”
เห็นหรือยังว่าหลงออกนอกงานตัวเองไปไกลแค่ไหน ?
หน้าที่ของพระใหม่ การสวดมนต์ ทําวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ทําให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ไปฟุ้งซ่านจะทําหนังสือให้กับทางวัด
นั่นต้องบอกว่าท่านเป็นคนรู้ตัวเร็ว โดนแค่นั้นท่านคิดทัน ถ้าเป็นคนอื่นจะคิดทันไหม ?
ไปเจอประเภท “ยังครับ...ยังท่องไม่ได้ ผมจะทําหนังสือให้กับ ท่านอาจารย์ก่อน” ก็บรรลัยสิ.. ไม่ดูตัวเอง
พระพุทธเจ้าถึงได้กําหนดไว้ว่า พระใหม่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษา ยังต้องถือนิสัยคือรับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลงไปไกล สร้างบ้านแปลงเมืองไปเลย
หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชวรเวที วัดราชคฤห์ ท่านนึกถึงขนาดเจาะภูเขาทํากุฏิเสร็จสรรพเลย
เวลาทํากรรมฐาน นั่งนึกว่าจะปรับถ้ำสักหน่อยหนึ่ง ตรงนี้ทําเป็นห้องโถงปฏิบัติธรรม ตรงนั้นทําเป็นห้องพระ ตรงนั้นทําเป็นหอฉัน นึกเจาะภูเขาเป็นลูก ๆ เลย ท่านบอกว่าคิดได้เป็นคืน ๆ
ดังนั้น...เวลาพวกเราโดนหลอกให้คิดนี่ ต้องรู้เท่าทัน ถ้าไม่รู้ทันเดี๋ยว ก็ได้สร้างวิมานกลางอากาศเป็นหลัง ๆ
*************************
ถาม : วันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมฝัน แล้วก็คิดว่าน่าเป็นจะนิมิต ฝันว่าได้ไปสถานที่กว้างใหญ่มาก คล้ายถ้ำรู้สึกกลัวมากว่าในนั้นคืออะไร จิตคิดว่าอาจจะเป็นนรกหรือที่ซึ่งไม่เคยไป พอมองทางซ้ายเจอผู้ชายท่านหนึ่ง ก็ถามไปว่าผมต้องมาที่นี่หรือเปล่าครับ ท่านบอกว่าเดี๋ยวตรวจดูให้ แล้วกลายร่างคล้ายยมทูต เปิดสมุดถามว่าชื่ออะไร ผมบอกชื่อท่านไป ท่านบอกว่า ๑๑ เดือน สักพักผมก็ค่อย ๆ ตื่น ไม่แน่ใจว่าตรงนั้นจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : สรุปว่าฝัน ?
ถาม : ครับ ?
ตอบ : แล้วคุณจะไปเอาอะไรกับฝันเล่า ?
ถ้าคิดแบบไม่ประมาท มีเวลา ๑๑ เดือน ก็ทําความดีให้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง ฝันดีเอาไว้เป็นกําลังใจของตัวเอง ฝันไม่ดีก็ลืมเสียอย่าเก็บมาวิตก
ฝันว่าจะตาย ก็เร่งทําความดีให้มากที่สุด หลุดพ้นไปพระนิพพานได้เลยยิ่งดี
*************************
ถาม : เจ็บหมอนรองกระดูก เป็นนานแล้วยังไม่หาย เจ้ากรรมนายเวร ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น ไปหาหมอที่เป็นหมอนวดจัดกระดูก
อย่าไปหาหมอสมัยใหม่ไปหาหมอสมัยใหม่เดี๋ยวโดนผ่า หมอนวดจัดกระดูกดี ๆ มีอยู่หลายที่ ราคาไม่กี่สตางค์ จับ ๆ ดัน ๆ กด ๆ เหยียบ ๆ เดี๋ยวก็หาย
สังเกตไหมว่าสมัยนี้เขานิยมโรคกรดไหลย้อน อะไร ๆ ก็วินิจฉัย ว่ากรดไหลย้อนไว้ก่อน เป็นโรคอะไรไม่รู้ แต่บอกกรดไหลย้อนไว้ก่อน
สมัยก่อนก็นิยมโรคอาหารเป็นพิษ อะไร ๆ ก็วินิจฉัยว่าอาหารเป็นพิษ สรุปแล้วคือป่วยตามแฟชั่น
*************************
มีโยมอยู่คนหนึ่งเป็นมะเร็ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น ไปให้หมอเขาตรวจ แล้วผลออกมาค่าตัวเลขสูงมาก หมอรับประกันว่าต้องมีเชื้อมะเร็งแน่นอน ถ้าเป็นเนื้อก็คือเนื้อร้ายเลย
เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเป็นเดือน ทางครอบครัวพาเขาไปตรวจใหม่อีกทีเพื่อความแน่ใจ ไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ผลออกมาเป็นลบ เขาก็งง ๆ ไปตรวจอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ผลออกมาบวกอีก บวกเยอะด้วย
ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนติดต่อเขาเก่ง เขาไล่ถามว่าห้องแล็บนั้นใช้ น้ํายาอะไร ห้องแล็บนี้ใช้น้ํายาอะไร
ไล่ไปไล่มา ผลที่เป็นบวก เพราะเขาใช้น้ํายาที่ไวต่อผลมากเป็นพิเศษ คนไม่เป็นก็รายงานว่าเป็น ก็เลยเป็นโรคที่หมอทํา ไม่ได้เป็นโรคที่เกิดจากตัวเอง
ถ้าเจ้าหน้าที่เขาไม่กระตือรือร้นสอบหาสาเหตุให้ คงเครียดตายเลย อยู่ ๆ ตัวเองเป็นมะเร็ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น..ไปหาหมอเก่า ๆ อย่าไปหาหมอสมัยใหม่
*************************
ปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บบางโรคเกิดจากแรงโฆษณา ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้เขานิยมพวกอาหารเสริมแคลเซียมสูง เราก็กินกันกระจายเลย
ปรากฏว่ากระดูกงอกทับประสาทเพราะว่าแคลเซียมเยอะก็ต้องหาที่ไป
ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรากินอาหารครบหมู่ มีการออกกําลังกายบ้าง โดนแดดบ้าง เรื่องกระดูกผุกระดูกพังอะไรไม่เป็นกันง่ายนักหรอก ปู่ย่าตายายของเราทํางานตั้งแต่เช้ายันค่ำไม่เห็นเป็นอะไรเลย
*************************
“การมีครอบครัว ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
โกวเล้งเขาเปรียบไว้ว่า มีคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดไม้ข้างป้อมศิลา คนข้างในป้อมมองออกมา อิจฉาว่าคนข้างนอกอยู่บนยอดไม้เย็นสบายเหลือเกิน
ส่วนคนที่ยอดไม้มองเข้าไปข้างในป้อมก็อิจฉาว่า เขาอยู่ในป้อมปลอดภัยดีเหลือเกิน
ต่างคนก็ต่างอยากในสิ่งที่ตัวเองไม่มี คนข้างในก็อยากออกมาปีนยอดไม้ คนข้างนอกก็อยากจะมุดเข้าไปในป้อม
คราวนี้เรื่องของชีวิตคู่ โกวเล้งเขาเปรียบว่าเหมือนกับเม่น ๒ ตัว ในฤดูหนาว ถึงเวลากลัวหนาวเบียดเข้าหากัน ขนก็แทงกัน ถ้าไม่อยากให้ขนแทงกัน ห่างออกไปก็หนาวอีก
สรุปแล้วว่าน่าเวทนามาก เขาใช้คําว่า
“ถ้าท่านมิต้องการความเจ็บปวดก็ต้องทนกับความหนาวเย็น
ถ้าท่านจะหลีกหนีความหนาวเย็น ก็ต้องยอมทนต่อความเจ็บปวด”
สรุปแล้วเละทั้งคู่ ..!
ตอนที่ระบายความในใจ เขาบอกว่า
“อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก”
พอมีคนถามกลับไปว่า ตอนนี้กําลังสนุกอยู่ใช่ไหม ? เขาดันไม่เข้าใจ
เพราะอยู่สองครองทุกข์แสนสนุกแต่ไม่สบาย
พอโดนคนเขาถามกลับ ดันไม่เข้าใจเสียนี่”
*************************
ถาม : เห็นเขาเอาอาหารหรู เช่น กุ้งมังกร มาถวายพระ แต่พระฉันไม่ได้ อาจเพราะไม่คุ้นเคย อานิสงส์เขาจะได้เป็นอาหารหรูแต่กินไม่ได้ เช่นกันหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่เขาจะได้ของดี แต่คงจะเก็บเอาไว้อวดคนมากกว่า อาจจะต้องไปเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์
โดยเฉพาะกุ้งมังกร ถ้าคนกินไม่เป็น มีหวังต้องใช้ทั้งมีดทั้งค้อน เพราะเนื้อกุ้งเหนียวอย่าบอกใคร
เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง อาตมาคิดว่าถ้าเกิดสึกออกไป หาอะไรที่สบายๆ ทํา แบบไม่ต้องให้ใครมาเป็นนายเรา เคยคิดว่าจะไปจับกุ้งมังกรมาขาย ภัตตาคารอาหารทะเล จับแค่วันละ ๒ ตัวก็พอแล้ว ก็เรารู้นี่ว่ากุ้งอยู่ตรงไหนบ้าง
สมัยก่อน ตอนที่นิตยสาร อสท. ออกได้ไม่นาน มีภาพคนงมกุ้งมังกร แล้วก็มีคําบรรยายว่า
“...สองกําเนิดเกิดมาในหล้าโลก
สุขกับโศกยังไม่สิ้นอยู่สับสน
หนึ่งเป็นกุ้งเก้งก้างกลางสายชล
หนึ่งเป็นคนคอยล่ากุ้งการัง...”
เขาทําหนังสือ อสท. เป็นหนังสือกฎแห่งกรรมไปเลย แต่ว่าหนังสือยุคนั้นเขาบรรยายเป็นกลอนหมด อย่างเช่น ภาพปกเป็นคนปาดตาล เพชรบุรี
“...พะองโยนก้าวตีนปืนทะยาน
กระบอกตาลแขวนก้นคนละพวง...”
หนังสือสมัยเก่าเทคโนโลยีการพิมพ์ยังไม่ค่อยดี จําได้ว่าพอพิมพ์ ๔ สีได้ครั้งแรก โอ้โห...ที่โฆษณากันสนั่นหวั่นไหว
แต่ความละเมียดละไมเขามีเยอะกว่ามาก อย่างหนังสือนิตยสารสมัยก่อน หน้าปกใช้รูปวาดแข่งกัน คุณเปี๊ยก โปสเตอร์ รวยอื้อไปเลย
อีกรายคือ คุณพรเทพ วาดรูปพวกนิยายกําลังภายในเท่ากับเขา ได้อ่านนิยายฟรีเลย
อย่างเล่มหนึ่งคุณต้องการที่หน้า เอาเท่านั้นหน้าไปให้เขาอ่าน เขาอ่านเสร็จแล้ว เขาก็จะตัดสินใจว่าจะวาดรูปตอนไหนดีในเรื่องช่วงนั้น เพราะฉะนั้น..เนื้อหารูปปกกับเนื้อหาข้างในจะตรงกัน
*************************
“คนจีนเขามีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งก็คือ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวได้รับการแนะนําตัวจากแม่สื่อให้แต่งงานกัน ด้วยความรอบคอบ ต่างฝ่ายก็ต่างขอพบอีกฝ่ายหนึ่ง
แล้วแม่สื่อก็นัดวันเวลาให้เจ้าบ่าวขี่ม้ามา เจ้าสาวยืนอยู่หน้าประตูถือดอกไม้ดมอยู่ ต่างคนต่างเห็นก็ตกลงแต่งงานกันเดี๋ยวนั้นเลย
ปรากฏว่าแต่งงานกันไป ฝ่ายเจ้าสาวจมูกแหว่ง ที่ถือดอกไม้ไว้ก็เพื่อบังจมูก ส่วนเจ้าบ่าวขาเป๋ ที่ขี่ม้ามาเพราะว่าไม่กล้าเดินเอง...!
สรุปได้ว่า...อะไรก็ตามที่ฉาบฉวยผิวเผินมักจะไม่ดี
สมัยนี้ยังมีไหม ? ไม่มีแล้วนะสมัยนี้เขาตกลงกันเองทั้งนั้น พ่อสื่อ แม่สื่อไม่เกี่ยว...ไปห่าง ๆ เลย
*************************
แต่สําหรับพระ พระพุทธเจ้าทรงห้ามเด็ดขาดเลยนะ
ภิกษุชักสื่อชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ขาดความเป็นพระไปเลย จนกว่าจะไปอยู่ปริวาสชดใช้คืนครบถ้วน แล้วให้สงฆ์ ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระได้อีก
ต้นเหตุมาจากพระอุทายี ท่านไปบ้านนั้นก็ชมว่าลูกสาวบ้านนี้สวย ไปบ้านนี้ก็ชมว่าลูกชายบ้านนี้หล่อ ท้ายสุดเขาก็ขอให้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้หน่อย
ปรากฏว่าพอแต่งงานไปแล้วไม่ดีจริงอย่างที่ว่า เขาก็ไปด่าพระสิ ท่านก็เลยกลายเป็นต้นบัญญัติศีลข้อนี้
การชักสื่อน่ากลัวตรงพระหมอดู พระที่เป็นหมอดูแล้วเขามาถาม ว่า ดวงสมพงศ์กันไหม ?
ถ้าเราไปพูดว่าดวงสมพงศ์กัน แล้วเขาไปแต่งงานกัน โดนอาบัติสังฆาทิเสสเลย เพราะถือว่าไปชักสื่อ
แต่ถ้าอย่างหลวงพ่อพระครูสุมนสุนทรกิจ วัดทะเลบก พวกเราฟังแล้วหัวเราะกันแทบตาย โยมเขาก็พาซื่อ เอาวันเดือนปีเกิดของทั้งผู้ชาย และผู้หญิงมาให้ แล้วก็ถามว่า
“หลวงพ่อ..ไอ้คู่นี้มันเข้ากันได้ไหม ?”
หลวงพ่อบอกว่า “โอ๊ยมันเข้ากันได้ทุกคู่แหละ..!”
จบเลย...แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง”
*************************
ถาม : ถ้าเขามาขอฤกษ์หมั้น ฤกษ์แต่งจากพระ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเขาตกลงกันแล้ว ให้ฤกษ์เขาไปได้ จะขอฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งอะไรก็ให้เขาไปเถอะ
แต่ถ้าหากว่าเราไปบอกว่าดวงสมพงศ์กัน คู่นี้แต่งแล้วจะดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แล้วเขาไปแต่งกันนี่ซวยจริง ๆ
ถาม : ไปอยู่ปริวาส อยู่กี่วัน ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสารภาพในวันนั้นเลย ก็โดน ๖ วัน ๖ คืน
ถ้าปิดบังไว้เท่าไร ก็ใช้เท่านั้นบวกอีก ๖ วัน ๖ คืน
ถ้าจําไม่ได้ ท่านให้นับตั้งแต่วันที่บวชจนถึงอายุปัจจุบัน ถ้าเป็นอาตมาก็หวิด ๓๐ ปี อยู่ปริวาสกันจนอ้วกไปเลย...!
ถาม : ถ้าไปอยู่ปริวาส ๕๐ วัน ต้องอยู่ติดต่อกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ติดต่อกัน ถ้าหากว่าจะขาดเพราะมีธุระสําคัญ เขาใช้คําว่าตัดรัตติเฉท เสร็จแล้วก็มานับต่อได้
*************************
|