เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนมีนาคม ๒๕๕๕
“จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นความจริงแท้ใครก็เถียงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระองค์ท่านตรัสว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ใช้ไมโครโฟน อยู่ ๆ ถ่านก็หมดอีกแล้ว
ถ้าหากว่าใครมองเห็นความเสื่อมตรงนี้ก็เป็นปัญญา ถึงแม้เป็นแค่ปัญญาเล็กน้อย แต่ก็ทําให้เราเห็นคุณของพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงว่า
โอหนอ...พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะมนุษย์สุดประเสริฐจนถึงปานนี้ สิ่งที่ละเอียด เห็นได้ยากอย่างธรรมะ พระองค์ทรงเห็นแจ้ง แล้วนํามาสั่งสอนเราให้เห็นตามไปด้วย
สิ่งที่พระท่านสอน คือพระธรรมซึ่งป้องกันเราไม่ให้ตกลงไปสู่ที่ชั่ว นําเราไปสู่ความพ้นทุกข์
ผู้ที่นําพระธรรมมาสั่งสอนเรา ก็คือพระอริยสงฆ์ ที่ท่านปฏิบัติตามพระธรรมนั้น จนกระทั่งเสวยวิมุตติรสแห่งพระนิพพานแล้ว จึงนําสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาสอนเรา
เมื่อพิจารณาดังนี้ ก็จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง
ไม่ใช่กราบพระติดอยู่ที่พระพุทธรูป กราบพระธรรมติดที่ใบลาน กราบพระสงฆ์ติดที่ลูกชาวบ้าน แบบนั้นก็แย่กันพอดี
กราบพระรัตนตรัยต้องเข้าถึงคุณจริง ๆ การเข้าถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ต้องมีปัญญา แต่เป็นปัญญาเบื้องต้น ไม่ได้มากมายอะไร เพียงแต่ว่าต้องมองให้เห็นเท่านั้น”
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : มีคนเขาพูดคล้อง ๆ กันว่า
กราบพระพุทธรูป ติดที่ทองคํา
กราบพระธรรม ติดที่ใบลาน
กราบพระสงฆ์ ติดที่ลูกหลานชาวบ้าน
เหมือนกับพรรคการเมืองบางพรรคที่ติดอยู่กับอดีตผู้นําคนเดียว เขาจะสมานสามัคคีอย่างไรไม่รู้แต่กูจะต่อต้านอดีตนายกฯ คนนี้อย่างเดียว
ถาม : เขาทําบุญอะไรมาถึงมีอํานาจมาก ?
ตอบ : พุทธะบูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้า ทําให้มีเดชมี อํานาจมาก เกิดมาเมื่อไรก็เป็นผู้นําเขา
แต่ว่าผู้นําบางท่าน บูชาพระพุทธแล้วลืมบูชาพระธรรม จึงขาดปัญญา ธัมมะบูชา มหาปัญญะวันโต ในเมื่อขาดการบูชาพระธรรม จึงทําให้มีปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง
“ปีนี้สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ พระบรมราชินีนาถ ทรงครองราชย์ ๖๐ ปีแล้ว ส่วนในหลวงของเราครองราชย์ ๖๖ ปีแล้ว ถ้าถึง ๗๕ ปีนี่ ไม่ทราบว่าจะไหวหรือไม่ จะได้มีการฉลองวัชราภิเษกบ้าง
วันนี้อาตมาไปสนามหลวงมา เห็นเขาสร้างพระเมรุมาศถวาย สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทําได้สมพระเกียรติ
แล้วในหลวงก็พระราชทานยศสูงสุดให้เลย โปรดเกล้าให้ยกฉัตร ขาว ๗ ชั้น ประดับยอดพระเมรุ ก็คือ สัปตปฎลเศวตฉัตร เป็นรองแค่ในหลวงเท่านั้น
ส่วนเครื่องยศของสมเด็จพระสังฆราช เป็นฉัตร ๓ ชั้น ไม่แน่ใจว่า ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์ จะมีการเพิ่มหรือไม่ ?
อย่างสมเด็จพระสังฆราชรุ่นเก่า ๆ ที่เป็นหม่อมเจ้า หรือพระองค์เจ้า อย่างสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านเป็นพระองค์เจ้า ก็เลยได้รับมหาสมณุตมาภิเษก ขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรส
พระมารดาท่านมีโอรสธิดา ๕ องค์ มี
พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์
พระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณ
พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์
พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ
พระองค์เจ้าบรรจบปัญจมา
พระองค์ท่านก็คือ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ
มีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ โดนถอดยศลงเป็นหม่อมยิ่งเฉย ๆ
ที่โดนถอดยศเพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านอยู่ในศีลกินในธรรม นิมนต์พระเข้าไปเทศน์โปรดอยู่เรื่อย ๆ พระองค์ท่านไม่ทราบว่าพระภิกษุกับ พระองค์หญิงเล็งกันอยู่
พอพระองค์หญิงเห็นพระภิกษุเข้าไปหน้าตาไม่คุ้นก็ให้ความสนใจ ต้องบอกว่ามีเวรมีกรรมด้วย ท้ายที่สุดก็ลักลอบเข้าหากันจนตั้งครรภ์
พอความทราบถึงพระเนตรพระกรรณก็โดนถอดยศจากพระองค์ เจ้าลงไปเป็นสามัญชน”
“ศัพท์ทหารบางอย่างก็ไม่เหมือนกับศัพท์ชาวบ้าน ถ้าได้ยินก็จะรู้เลยว่าเคยเป็นทหารมาหรือเปล่า ?
อย่างเช่นคําว่า “จําหน่าย” อย่างของพวกเราจําหน่ายก็คือขาย แต่การจําหน่ายของทหาร ก็คือตัดออกจากบัญชี
เช่น จําหน่ายได้ ๕ เปอร์เซ็นต์ของการฝึก โดยผู้บังคับบัญชาไม่มีความผิด แปลว่าในการฝึกทหาร ๑๐๐ คน ตายได้ ๕ คน เป็นแค่การฝึกนะ แต่ก็มีคนตายจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่น
รุ่นอาตมารอด ไม่มีคนตาย แต่รุ่นน้องตาย รุ่นจ่าตุ๋ย (จ.ส.อ.ศุภชัย เลิศมงคล) ที่เฝ้าวัด คอยดูแลหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นก็ตาย ตายกันแทบทุกรุ่น
มีรุ่นน้องถัดไป ๒ รุ่น ที่ตายน่าเกลียดมาก เพราะว่าไปสะดุดแฟร์ แฟร์ก็คือพลุส่องสว่างเดินสะดุดแล้วล้มทับ พลุจึงระเบิดใส่ตัวไหม้ไปทั้งแถบ เลยติดเชื้อตาย แสดงให้เห็นได้ชัด ๆ เลยว่า ในอดีตเขาต้องเคยไปเผาใคร มาก่อน
ส่วนรุ่นน้องรุ่นติดกัน ตายเพราะโดน เอ็ม.๖๐ ถ้าอยากรู้ว่า เอ็ม. ๖๐ หน้าตาเป็นอย่างไร ให้นึกถึงปืนที่คุณแรมโบ้ถือ ที่มีกระสุนเป็นสาย ๆ นั่นแหละ
โดนเข้าตรงที่หัวไหล่ ขาดสะพายแล่งเหมือนกับขวานจาม แสดงว่าเมื่อก่อนต้องเคยออกรบ ไปฟันเขาขาดสะพายแล่งมาเหมือนกัน
พลทหารสมพงษ์พินิจมนตรีนี้ไม่น่าตาย ต้องบอกว่าวาระกรรมมาถึงจริง ๆ ระหว่างที่กําลังคลานลอดวิถีกระสุน ทหารเขายิงด้วยกระสุน จริง ๆ ระเบิดก็ระเบิดจริง แต่ถ้าทําตามขั้นตอนการฝึกจะไม่มีอันตราย
คราวนี้ตอนที่ครูฝึกเขากดระเบิดที่ฝังไว้ งูตกใจระเบิดพรวดออกจากรูมาตรงหน้าที่พลทหารสมพงษ์อยู่พอดี เขาก็ผวาลุกขึ้นตกใจกลัวงูจนลืมลูกปืน ก็เลยโดน เอ็ม.๖๐ เข้าไป นัดเดียวขาดสะพายแล่งตายคาที่เลย”
ถาม : ครอบครัวได้เงินช่วยหรือไม่ ?
ตอบ : ครอบครัวได้เงินช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ คนละ ๒ บาท
จริง ๆ แล้วจะไม่ให้เลยก็ได้ เพราะกฎกระทรวงเขากําหนดชัดแล้วว่า จําหน่ายในการฝึกได้ร้อยละ ๕ โดยที่ผู้บังคับบัญชาไม่มีความผิด
ถาม : ถ้าเขาไล่ความผิด ?
ตอบ : ต้องสอบสวนก่อนว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเปล่า ? ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย ขึ้นมาก็ยกคําฟ้อง
*************************
รุ่นของจ่าตุ๋ย ตอนฝึกจู่โจมต้องโหนเชือกลงจากหน้าผา แล้วทิ้งตัวลงน้ํา เขาดันลงผิดจังหวะ ปกติเวลาโหนเชือก ตัวจะแกว่งขึ้นหน้าถอยหลัง จังหวะที่แกว่งสุดหลังกําลังจะขึ้นหน้า เขาให้ปล่อยมือ แล้วเท้าจะลงล่างพอดีๆ
แต่เขาดันแกว่งผิด แกว่งขึ้นหน้าสุด กําลังจะกลับหลัง แล้วเขาไปปล่อยตัวก็ฟาดลงตรง ๆ กับพื้นน้ําที่สูงเกือบ ๔๐ เมตร
สูงขนาดนั้น น้ําก็คือดินดี ๆ นี่เอง ตายคาที่เหมือนกัน งมศพขึ้นมา ข้าวเต็มปากเต็มจมูกไปหมดเลย เพราะกระแทกกับพื้นน้ํา แล้วขย้อนจากกระเพาะออกมา
ครูฝึกเขามักจะด่าว่า “อย่าทํามึน” มึนคือทําไม่รู้ไม่ชี้ให้ผ่านไป สิ่งที่ครูฝึกบอกมาทั้งหมดนั้น ถ้าคุณจําได้ คุณจะเอาชีวิตรอดได้ พวกที่ทํามึนไปวัน ๆ รอให้การฝึกพัน ๆ ไปนั่น ตายมาเยอะแล้ว
การฝึกของทหารช่วยสร้างความอดทน คล้าย ๆ กับพระธุดงค์เหมือนกัน เพราะว่าบางทีทหารจะมีปัญหาในการฝึกที่ทําให้ต้องอด ๓ วัน ๕ วัน
เช่น ตลอดระยะ ๗๒ ชั่วโมง จะต้องไปตามปัญหาที่ครูฝึกกําหนด จากจุดนี้ไปจุดนั้น เพื่อไปรับคําสั่ง บางทีคําสั่งก็เป็นเศษกระดาษเขียนแปะ บนพื้นเฉย ๆ ว่าต้องไปต่อที่ไหน แล้วก็มีข้าศึกสมมุติคอยตามที่อยู่ตลอดเวลา ทําให้ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน
บางคนเขาถึงบอกว่า เป็นหลักสูตรฝึกคนให้เป็นควาย แล้วอาตมาก็เห็นจริง ๆ ว่าร่ายกายไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้เลย
พอไปถึงชั่วโมงท้าย ๆ อาตมาเดินอยู่บนถนนเห็นว่าทางเลี้ยวโค้ง สมองอาตมาก็สั่งให้เลี้ยว แต่ตีนไม่เลี้ยวตาม เดินตกถนนไปเลย เพราะว่าประสาทชาไปหมด สั่งงานไม่ได้แล้ว
พอเวลาอดมาก ๆ เข้า เจออะไรก็จะกิน แต่เหมือนกับครูฝึกเขาแกลัง เขาให้ปัญหาที่ต้องเดินผ่านสวน มีสวนมะม่วง มะละกอยั้วเยี้ยไปหมดเลย
แต่อย่าไปกินเข้าเชียวนะ...เขาปรับตกทั้งรุ่นมาแล้ว ครูฝึกไปเดินนับไว้หมดแล้ว ว่าแต่ละต้นมีกี่ลูก ถ้าเดินผ่านไร่สับปะรด แล้วหายไปสักลูกเดียว โดนปรับตกทั้งรุ่น...!
แต่อาตมากินพุงกางไปเลย ไม่หายสักลูกเดียว เพราะว่าทหารทุกคนจะต้องพกซ้อนติดตัวของใครของมัน แล้วห้ามกระทบกันจนมีเสียงด้วย
ก็แค่ใช้ซ้อนเสียบ คว้านเนื้อสับปะรดจากข้างล่างมากิน แล้วเอาเปลือกแปะไว้เหมือนเดิม ครูฝึกเขาไม่ทันสังเกตหรอก เขาแค่เดินนับว่ามีลูกอยู่ครบหรือเปล่า ? แต่ถ้าสังเกตจะรู้สึกว่ากลิ่นสับปะรดแรงขึ้น
แต่ที่น่าชื่นชมมากที่สุดคือเด็ก ๆ เด็กแถววัดเขาสมอระบัง จังหวัดเพชรบุรี เด็กพวกนี้เก่งมากเลย ครูฝึกเขี้ยวแค่ไหนก็ตาม เด็กก็ยังแอบเอาอาหารไปขายให้พวกเราได้ สุดยอดจริง ๆ ต้องบอกว่าทุกครั้งที่มีการฝึก เด็กพวกนั้นก็ได้รับการฝึกด้วย เด็กจึงเก่งกว่าครูฝึกอีก
มีเด็กอยู่รายหนึ่งเอาน้ําอัดลมเข้าไป 5 ขวด ห่อผ้าห่อกระดาษพันอย่างดี ใส่ย่ามพระด้วยนะ สะพายเข้าไป ไม่มีเสียงสักกริกเดียว เล็ดลอดผ่านด่านครูฝึกเข้าไปได้
บางคนเอาข้าวผัดเข้าไปเอาก๋วยเตี๋ยวเข้าไปขาย พวกนี้เขาได้บทเรียนว่า ต้องทําอาหารที่มีกลิ่นน้อย ๆ ถ้ากลิ่นแรงเดี่ยวครูฝึกจับได้
เวลาไปขายบางทีทหารก็ไม่มีเงินหรอก ใครมีสร้อยก็ถอดสร้อยให้ มีแหวนก็ถอดแหวนให้ มีนาฬิกาก็ถอดนาฬิกาให้อะไรก็ได้ขอให้ได้กินก็พอ เพราะอดมาหลายวันแล้ว พวกเด็ก ๆ ไม่รังเกียจหรอก เขารับทั้งนั้นแหละ
ขากลับเก็บขยะให้ด้วย เขากระซิบว่าถ้าไม่อยากเดือดร้อนทั้งเขาและเรา อย่าทิ้งขยะแม้แต่ชิ้นเดียว อาหารที่เขาทํามาจะไม่มีก้าง ไม่มีกระดูก ทั้งนั้นเพราะกลัวว่าเราจะเผลอทิ้งไว้แล้วถูกครูฝึกจับได้ นั่นเขาเซียนขนาดนั้นเลยนะ
ถ้าเราเพลีย ๆ หลับอยู่ แล้วมีมือยื่นมาสะกิด ถามได้เลยว่ามีอะไรบ้าง เดี๋ยวเขาก็ยื่นมาให้ดู มีเพื่อนชื่อโสภณ อยากได้น้ําอัดลมเย็น ๆ เพื่อนๆ พอได้ยินต้องเอามืออุดหู
“มึงอย่าพูดได้ไหม ? กูพลอยอยากไปด้วย”
ไม่รู้ว่ารุ่นต่อไปจะได้หรือเปล่า ? แต่รุ่นของอาตมาอดไปก่อน เพราะว่าเด็กเขาไม่ได้แช่เย็นมาให้”
ถาม : พวกผีทั่วไป ถ้าอุทิศกุศลให้ เขาจะรับได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเขามาขอได้ก็รับได้
ถาม : ถ้าเห็นเขามา ?
ตอบ : ก็อยู่ที่ว่าเขาจะยอมรับไหม ?
บางตัวเขาไม่ได้ตั้งใจมาเอาบุญเอากุศลกับเรา เขามาตามจองล้าง จองผลาญเราก็มี แต่อุทิศบุญให้เขาดีกว่าไม่ให้ ส่วนให้แล้วจะเป็นอย่างไรก็ ช่างเขาเถอะ เราได้ให้ไปแล้ว
ถาม : พวกที่มาขอข้าวกิน เราต้องตักให้เขาต่างหากไหมครับ ?
ตอบ : ลองถามเขาดูว่า มีบุญมีกุศลให้ทําไมไม่เอา จะเอาแค่ข้าวหรือ อย่างไร ?
*************************
ถาม : อัญเชิญท้าวมหาราช กับอากาศเทวดา ไปอยู่ในกุฏิของภูมิเทวดา ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากตั้งศาล จะเสาเดียวหรือสี่เสาก็แล้วแต่ ถ้าตั้งถูกทิศแล้วไม่เป็นไร เพราะท่านมีวิมานของตนเองอยู่แล้ว ไม่ได้เข้าไปเบียดกันในศาลที่เราตั้งให้หรอก
ถาม : ได้แค่ทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ?
ตอบ : ทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อนถ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือไม่ได้ค่อย เอาทิศเหนือ ถ้าทิศเหนือไม่ได้แล้วค่อยเอาทิศตะวันออก
เทวดาก็เหมือนกับมนุษย์ แต่ละท่านจริตนิสัยไม่เหมือนกัน บางท่านค่อนข้างจะถือตัว ถ้าเราเป็นเด็กกะโปโลไปเชิญท่าน บางทีท่านก็ไม่แยแสเหมือนกัน
ก็ต้องอ้างท้าวมหาราช เหมือนกับเรามีนามบัตร ผบ.เหล่าทัพมา ถึงคุณจะเป็นผู้บังคับกองร้อยก็จริง แต่ผมถือนามบัตรของเจ้านายใหญ่มา จะรับผมหรือไม่ครับ ?
*************************
ถาม : ตะกรุดกําลังพระแม่ธรณี จารอักขระอะไรครับ ?
ตอบ : จารคําว่า “ปะ ฐะ วี วิ สุน ทะ รี”
ถาม : ต้องแยกแผ่นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แยกแผ่น...แผ่นละ ๑ ตัว หลวงปู่เนป่องมรณภาพตอนอายุ ๙๗ ปี แสดงว่าถ่ายทอดให้อาตมาไม่กี่ปีท่านก็ไป
*************************
“ถ้าสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญขึ้นด้วยคําว่า “ศรี” ให้รู้เลยว่าท่านจบประโยค ๙ ยกเว้นพระศรีสุธรรมมุนี เพราะว่าพระศรีสุธรรมมุนี จบแค่ประโยค ๘
ถาม : ทําไมยกเว้นครับ ?
ตอบ : เป็นตําแหน่งโบราณ ท่านเป็นประโยค ๘ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดฯ ให้เป็นเจ้าคุณศรีฯ ก็เลยกลายเป็นตําแหน่งเดียวที่คนไม่รู้จะนึกว่า จบประโยค ๙
ถ้าขึ้นด้วย “ศรี” หรือ “เมธี” นี่ ปกติต้องเป็นประโยค ๙ เท่านั้น
*************************
“ปล่อยให้ลูกเขาไปกลิ้งคลุกดินคลุกทรายเสียบ้าง เขาจะได้แข็งแรง ไม่ต้องไปดูแลอะไรมากหรอก มอมเป็นหมามา เราอาบน้ําให้ก็จบแล้ว
มัวแต่ไปดูแลกันทุกฝีก้าว เด็กจะไม่มีภูมิต้านทานอะไรเลย เป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่รอดหรอก”
*************************
ถาม : สงสัยเรื่องของดวงดาว ?
ตอบ : เกี่ยวกับการกําเนิดโลก พระพุทธเจ้าตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและ สามเณรภารทวาชะ อยู่ในอัคคัญญสูตร
ส่วนเรื่องของจักรวาลอื่น ๆ ทรงตรัสถึงฤาษีที่มีฤทธิ์ เหาะไปจนกระทั่งสิ้นชีวิตก็ยังไม่สุดเขตของจักรวาล
แต่ถ้าหากว่าถึงขนาดมานับเม็ดฝน เขาว่าเป็นพระสารีบุตร ท่านมีปัญญามากขนาดนับเม็ดฝนได้
*************************
“การฝึกจู่โจมของทหาร พอเข้าวัดเขาสมอระบังได้ก็ต้องไปนอนในป่าช้า ไปค้นแผนที่จากศพ ครูฝึกจะเอาแผนที่ไปยัดไว้ในโลงศพที่เน่าเละ ๆ เลย พวกเราต้องไปค้นหาแผนที่ เพื่อดูว่าต้องเดินทางต่อไปที่ไหน
จ่าสิบเอกมนูญ วะลัยศรี บอกว่า “ไอ้ห่ ....รุ่นกูค้นจนผีแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ก็ยังหาไม่เจอ หมดสภาพเหม็นหึ่งไปทั้งตัวนอนหงาย ก่ายหน้าผาก ไอ้ฉิ..หาย....ดันเอาไปเสียบไว้ที่คบไม้....!”
ถ้าไม่หมดสภาพนอนหงายก่ายหน้าผาก ก็ไม่เห็นหรอกว่าครูฝึก เขาเสียบปัญหาไว้ที่คบไม้ เห็นเด่น ๆ เลย
เขาจะบอกพิกัดให้ทีละจุด ๆ ให้พวกเราตามแก้ปัญหาไป ดูว่าเราใช้แผนที่เข็มทิศเป็นหรือไม่ จนสุดท้ายไปเจอส้วมหลุมเก่า ๆ
ครูฝึกแสบมากเลย อุตส่าห์ตามล่ากันแทบตาย สุดท้ายให้ตามล่าส้วมหลุมเก่า ๆ เป็นส้วมซึมสักหน่อยก็ไม่ได้...!”
“เป็นทหารเขาโกรธกันไม่นานหรอกรักกันจะตายไป เขามีสารพัดวิธีที่ทําให้รักกัน อย่างอาตมากับเพื่อนชกกันกองร้อยแทบถล่ม ตึงตัง โครมคราม อัดกันเละ สิบเวรวิ่งมาถึง เป่านกหวีดปรื้ดดดด...!
“เฮ้ย...หยุด...! พวกมึงไปเขียน กร.๑๐ มาเลยนะ” ก็คือติดคุกแน่
อาตมาถามว่า “เขียนทําไมครับ ?
แล้วหันไปกอดคอเพื่อน “ก็พวกผมเล่นกัน”
สิบเวรหันไปถามเพื่อนว่า “จริงหรือวะ ?
เพื่อนชื่อ ศุภชัย บานเย็น บอกว่า “จริงครับ”
ครูฝึกก็มองหน้าปากแตกตาเขียวทั้งคู่ “รุ่นมึงเล่นกันรุนแรงดีนะ”
ถ้าไม่ยืนยันอย่างนั้น นอกจากติดคุกแล้ว เขาจะล่ามให้ติดกัน ถึงเวลากินก็ต้องกินด้วยกัน ถ่ายก็ต้องถ่ายด้วยกัน เราไม่ปวดท้องก็ต้องเข้าส้วมไปกับเขา
ถึงเวลาอาหารวางตรงหน้า ต้องผลัดกันถ่มน้ําลายใส่ เขาก็ถ่มน้ําลายใส่จานเรา เราก็ถ่มน้ําลายใส่จานเขา แล้วก็คลุกกินกันไป จนกว่าจะบอกว่ารักกันถึงจะปล่อย เขาทําจนเรารักกันทุกคนแหละ ถ้าเป็นสมัยนี้ถ่มน้ําลายใส่แบบนั้น คงได้ติดโรคเอดส์ตายกันบ้าง
ถึงเวลาเขาเข้าส้วม เราถึงไม่ปวดก็ต้องเข้ากับเขาด้วย เพราะมือถูกล่ามติดกัน บางทีก็ด่าหรือชกกันในส้วมต่อ “ไอ้ห่ช้าฉิบหา...!”
ถ้าโดนลงโทษขัดส้วม รู้ชะตากรรมเลยว่ามือถลอกแน่นอน เขาไม่มีเครื่องมืออะไรทั้งสิ้น นอกจากมือเปล่า ๆ กับน้ํา ต้องลูบให้ลื่น..!
ชีวิตทหารกับชีวิตนักบวชเหมือนกันก็คือต้องอดทนกับสิ่งกระทบ ต่าง ๆ ถ้าหากเราฟังโอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้าที่ว่า
ขันติ ปรมัง ตโป ตีติกขา
ประโยคแรกพระองค์เอ่ยเลยว่า
ความอดทน เป็นสุดยอดตบะของนักปราชญ์
อยากเป็นผู้รู้ อยากเป็นคนเก่ง ความอดทนจะต้องมาก่อน ถ้าทนได้ในทุกสถานการณ์ ต่อไปถึงจะสบาย”
*************************
“มีเหตุการณ์ในชีวิตหลายครั้งที่ทําให้อาตมาเชื่อว่าอาถรรพ์ป่านั้นมีจริง ทั้งตอนที่เป็นทหาร และตอนที่เป็นพระ
ตอนที่เป็นทหาร วันนั้นเดินตามปัญหา เป้าหมายคือ เขาช้างร้อง ช้างร้องคือคร่ำครวญว่าขึ้นไม่ไหว แต่นี่เขาให้ทหารไปขึ้น
เชื่อไหมว่าเดินตั้งแต่ตอน ๑ ทุ่ม จนถึงตี ๕ แล้วยังหาเขาช้างร้องไม่เจอ จึงตัดสินใจว่าโดนซ่อมทั้งหน่วยก็เอาวะ...นอนดีกว่า ว่าแล้วก็นอน สุมหัวกันระเกะระกะ
ตื่นเช้าขึ้นมาปรากฏว่านอนอยู่ตีนเขาช้างร้อง แต่ทําไมเมื่อคืนไม่มีใครเห็นภูเขาเลย เดินอยู่ที่ตีนเขากันได้ทั้งคืน
ส่วนตอนที่เป็นพระ มีหลายวาระด้วยกันที่เจอลักษณะนั้น ตอนนั้นจะข้ามจากห้วยขาแข้ง ไปอุ้มผาง เพื่อออกไปเปิงเคลิ่ง จะได้ข้ามไปพระธาตุมอละอิต
จากหัวยขาแข้ง จะมียอดเขายอดหนึ่งที่เป็นรูปกรวยอยู่ เป็นเป้าหมายว่าขึ้นไปตรงนั้นจะเป็นอุ้มผาง
เชื่อไหมว่าเล็งอย่างดีแล้ว แต่เดินกี่ที ๆ เขาลูกนั้นก็หายไปทุกทีเลย พอย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ ก็เห็นอยู่ตรงนั้นแหละ จนกระทั่งท้ายสุดต้องตัดสินใจว่าไม่ไปแล้ว..กลับดีกว่า
ถ้าเขายอมให้เราไป เดิน ๓ วันต้องไปถึงแล้ว แต่นี่ ๓ วันไม่ได้ไปไหนหรอก วนอยู่แค่ตรงแถวนั้นแหละ เดินจนไม่มีที่ให้เดินแล้ว เดินจนทับรอยตัวเอง
ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ ตอนพาท่านมหาเค ท่านยุ้ย ท่านกอล์ฟ ไปที่บ้านตะเพินคี่ พาพวกท่านไปดูถ้ำงูใหญ่ ใหญ่ขนาดท่านชาติชายไปนอนอยู่บนหลังงูได้ เพราะคิดว่าเป็นแท่นหิน
อาตมาเจอตอนดึก กะว่างูตัวนั้นใหญ่ประมาณกระติกน้ํา ปรากฏว่าพระที่เคยเห็นตัวจริงเขาบอกว่า “ใหญ่กว่านั้นอีกครับท่านอาจารย์ ใหญ่กว่าถังสังฆทานอีก....!”
ถามว่า “คุณเจอมาแล้วใช่ไหม ?”
ท่านบอกว่า “ผมเจอกลางวันแสก ๆ เลยครับ งูใหญ่ตัวนั้น นอนหลับขวางทางอยู่”
พระรูปนั้นชื่อ จันทิมา ท่านเป็นพระมอญ เดินธุดงค์อยู่เส้นนั้นเหมือนกัน
ถามว่า “แล้วคุณทําอย่างไร ?”
“ผมเดินตามเกล็ดไปเรื่อยครับ ไกลน่าดูเลยกว่าจะข้ามไปได้”
อาตมาก็แปลกใจที่ได้ยินเขาบอกว่าเดินตามเกล็ด จึงถามว่า “ทําไมต้องเดินตามเกล็ดด้วย ?”
ท่านตอบว่า “ถ้าเดินย้อนเกล็ดก็เจอหัวงูสิครับ ถ้าเดินตามเกล็ดไปจะเจอหาง”
ถามต่อว่า “แล้วทําไมไม่ก้าวข้ามไปเลย ?”
ท่านบอกว่า “โอ้โห....งูตัวใหญ่จนผมไม่แน่ใจว่าจะก้าวข้ามได้ ถ้าเกิดไปสะดุดเข้า ก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดหรือเปล่า ?”
พอพาพวกท่านมหาเคเข้าไปในถ้ำนั้น ท่านชาติชายก็ชี้ให้ดูว่า เคยนอนอยู่ตรงนี้ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็จะกลับออกมา เพราะกลัวว่างูย้ายที่นอนไปรอพวกเราอยู่ข้างใน
กลับหลังหันมาปากถ้ำหายไปไหนไม่รู้ กลายเป็นหินตัน ๆ หมดเลย..! ต่อหน้าต่อตาเลยนะ ทุกคนก็งงว่าเราหลงทิศได้ขนาดนี้เลยหรือ ? แล้วพวกเราเข้ามาทางไหน ? เพราะจริง ๆ แล้วพวกเราเข้าปากถ้ำไปไม่ลึก อย่างไรก็ต้องมองเห็นทางออก
ท้ายสุดไม่รู้จะทําอย่างไรก็ต้องตะเกียกตะกายลึกเข้าไปเรื่อยเพื่อหาทางออก ท้ายสุดไปเจอซอกแตก ความกว้างประมาณตัวคน เดินมุดไปมุดมา อ้อมไปโผล่ถ้ำที่อาตมาเคยไปพักแล้วโดนงูมารัด
ถึงได้รู้ว่างูใหญ่นอนที่ถ้ำนั้น พอเวลาหากินจะออกมาทางถ้ำนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่างูมาจากทางไหน
อาจจะเป็นเจตนาดีของท่านก็ได้ อยากให้พวกเรารู้ ก็เลยปิดทางออกซะ ให้ตะเกียกตะกายมาออกอีกทางหนึ่งแทน
เพราะฉะนั้น...เรื่องเหล่านี้ถึงได้เชื่อที่โบราณว่า ป่ามีอาถรรพ์นั้นมี จริง ๆ ถ้าเราตั้งสติไม่ได้นี่ก็ปางตายเลยนะ
อาตมาเคยเดินออกมาจากบึงลับแลตอนตี ๒ ขอบอกว่าอย่าเลียนแบบเป็นอันขาด เดินป่ากลางคืนอันตรายมาก เพราะว่าสัตว์ป่ามักจะหากินเวลากลางคืน
ด้วยความที่มั่นใจตัวเองมาก ก็เดินออกมาตอนตี ๒ ตัวคนเดียวด้วย เดินออกมาตั้งนาน แปลกใจว่าทําไมไม่ถึงถนนสักที ปกติอาตมาเดิน ประมาณ ๔๕ นาทีก็ถึง นี่เดินมา ๒ ชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง หลงได้อย่างไรก็ ไม่รู้ ?
ป่าช่วงนั้นเป็นดงไผ่ ซึ่งหลงง่ายที่สุด เพราะว่าหาจุดจําได้ยากมอง ไปทางไหนเหมือนกันหมด แล้วแต่ละช่องก็โล่งน่าเดินทั้งนั้น
เดินเปะปะไปเปะปะมา ไปเจอไม้ยืนต้นเข้าต้นหนึ่ง เอาละ...ได้ที่แล้ว เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีคาถาเทวดาชี้ทางอยู่ ให้พิงต้นไม้แล้ว ภาวนาคาถา เทวดาจะบอกทางให้
อาตมาก็พิงต้นไม้ว่าคาถา เสียงเทวดาท่านบอกว่า
“เดินไปข้างหน้าอีก ๓ ก้าว”
อาตมาก็เดินไปข้างหน้า ๓ ก้าว เชื่อไหมว่าทางเบ้อเริ่มอยู่ตรงนั้นเอง ปล่อยให้หลงอยู่ได้เป็นชั่วโมง ๆ หลงได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?”
*************************
“พวกชนกลุ่มน้อยอย่างกะเหรี่ยง มอญ ทวาย เขาจะขี้กลัวกว่าเรา อย่างท่านโมเช่ เขาเก่ง แค่ตวาดทีเดียว ควายทั้งฝูง ๒๐ - ๓๐ ตัวยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาหมดเลย
แต่ท่านจะหนีท่าเดียว พอเห็นอาตมาไม่หนีก็ถึงได้แสดงฝีมือออกมาให้เห็น พูดง่าย ๆ ก็คือ “หนีไว้ก่อนพ่อสอนไว้”
นี่ท่านโมเช่หายไป ๒ ปีเพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ามไปสร้างเจดีย์ที่พม่าเสร็จไปอีกหนึ่งหลัง
อาตมาบอกไว้แล้วว่าถ้าท่านขาดเงินเมื่อไรก็จะมาหา น่ารักมาก แล้วรู้ด้วยว่าถ้ามาแล้วอาตมาจะมีให้ตรงนี้ทําให้ปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าท่านไปไหนจะถามเทวดาก่อน
“ไปตอนนี้ อาจางมีเงินหรือเปล่า ?”
เทวดาก็ระยํามาแอบดูบัญชีของอาตมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ?
ท่านเป็นคนเก่งที่ไม่ยอมสู้ใครไม่แสดงฝีมือโดยไม่จําเป็นมีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคนรู้จักสังเกตก็คือ ท่านเป็นคนที่ไม่สะทกสะท้านกับทุกสังคม พาไปขึ้นเครื่องบิน ท่านก็ขึ้นหน้าตาเฉย
คุณแดงของเราพาท่านโมเช่ไปไหนรู้ไหม ?
ไปวัดท่าซุง คนเป็นแสน ๆ ท่านโมเช่แต่งตัวเป็นฤาษีนุ่งเสื้อเก่าๆ ผ้าเก่า ๆ สะพายย่าม ส่วนคุณแดงตอนนั้นใส่เสื้อกล้าม นุ่งกางเกงแม้ว
สองสหายก็เดินทั่ววัดไม่ได้สนใจใครหรอก เดินจนทั่ววัดแล้วก็มา ยืนบ่น
“อาจาง..วัดท่าซุงคงเยอะจัง” ท่านไม่เคยเห็นงานวัดที่มีคนเป็นแสน ๆ คนขนาดนั้น
ได้เห็นอย่างนั้นถึงรู้ว่าสภาพจิตใจจริง ๆ ของท่านโมเช่มั่นคงมาก ไม่รู้สึกประหม่ากับคนมากขนาดนั้น แล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกด้วย เห็นเป็นธรรมดาไปหมดเลย”
*************************
ถาม : มีคนมายืมเงิน แต่มารู้ทีหลังว่าเขาเอาไปทําแท้งค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร เราไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร ถ้าเขาบอกว่าขอยืมเงินให้ฉันไปทําแท้งที ถ้าให้ไปอย่างนั้นละก็ผิดเต็ม ๆ
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : บอกแล้วว่า ถ้ากิเลสกินเราเวลากลางวันไม่ได้ ก็จะไปกินเราเวลา กลางคืน
เพราะฉะนั้น...หลับกับตื่นความรู้สึกต้องเท่ากัน จําไว้ว่าถ้ากิเลส กินเราตอนตื่นไม่ได้ ก็จะไปกินเราตอนหลับ
นักปฏิบัติถึงต้องปฏิบัติให้ถึงระดับหลับและตื่นมีความรู้สึกเท่ากัน รู้ทันกิเลสเท่ากัน
ถ้าอย่างนั้นถึงจะพอเอาตัวรอดได้ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จเขาตลอด บางคนตอนกลางวันมดสักตัวยังไม่กล้าเหยียบ พอกลางคืนฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพเลย..!
*************************
ถาม : ท่านบอกว่างานพุทธาภิเษกที่ชลบุรี ท่านออกมาก่อน ท่านอื่นใช้กําลังตัวเอง แล้วงานที่วัดเขาวงครับ ?
ตอบ : อ๋อ..ที่นั่นท่านพี่ทั้งหมดประเภทรอผมอยู่คนเดียว
ถาม : เขารู้จริง ?
ตอบ : รู้จริงผมยอมรับท่านเป็นพี่ผมได้จริง ๆ บางคนก็นั่งรอ ท่านเล็กบอกอย่างไร พี่ก็ไปแค่นั้น โคตรสบายเลย ถึงเวลาก็นั่งรอ รอผมให้สัญญาณ พอให้สัญญาณท่านก็เลิก...เต็มแล้ว
ผมโดนมาตั้งแต่สมัยเป็นพระใหม่เลย ถึงเวลาออกงานออกการ ให้เจิมให้อะไรก็
“ท่านเล็กไปทําหน่อย”
จนกระทั่งบางทีผมก็เบื่อเต็มที่ กี่งาน ๆ ก็ใช้แต่ผม ทําไมพี่ไม่ทําบ้างละ ?
พี่เขาบอกว่า “ไม่ได้หัดไว้เป็นแล้วเหนื่อยว่ะ...!”
เพิ่งจะมารู้ว่าพอสิ้นหลวงพ่อแล้ว ไม่เป็นก็ต้องเป็นให้ได้ คราวนี้ก็วิ่งหาความรู้กันทั่วประเทศจนตีนพลิก
จนป่านนี้ผมยังไม่รู้ว่าสมุดบันทึกของผมไปอยู่กับใคร ทั้งหมดที่บันทึกไว้เกี่ยวกับความรู้ที่ได้รับจากหลวงพ่อมา เขาขอไปลอกต่อกันเรื่อยๆ ตอนนี้หาคืนไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าไปอยู่กับใคร
ถ้าหากว่าเจอสมุดบันทึกไดอารี่ปกดํา ๆ หน้าปกมีสติ๊กเกอร์รูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ตัดเป็นแฉกเหมือนดอกทานตะวัน ถ้าเห็นยึดมาได้เลยนะ บอกท่านว่าจะเอาไปคืนพระอาจารย์”
*************************
ถาม : การตอบปัญหาบางคน เราต้องปรับกําลังใจลงมาเท่าเขา ?
ตอบ : ต้องปรับลงมาเท่าเขา จะได้รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แต่เราจะเหนื่อยมาก เป็นเรื่องที่คนกําลังใจสูงจะเบื่อมากเลย เพราะต้องเสียเวลาไปปรับลง และทําให้ตัวเองไม่มั่นคง รัก โลภ โกรธ หลง จะเข้าได้ง่าย
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : อาตมาก็เป็นเหมือนกัน ถึงเวลาจะไอ เพื่อกระแทกให้หัวใจกลับไปเต้นจังหวะเดิม
ถ้าไม่ไอ หัวใจจะวาย ลักษณะเหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่ควบคุม การเต้นของหัวใจสะดุดเป็นระยะ แต่หมอเขาหาสาเหตุไม่เจอ
ต้องบอกว่าโรคเวรโรคกรรม นั่ง ๆ อยู่พอหัวใจเต้นผิดจังหวะก็จะไออัตโนมัติเลย เพื่อกระแทกให้หัวใจกลับไปเต้นจังหวะเดิม
สร้างเวรสร้างกรรมไว้มาก ถึงเวลาเขาก็มาทวงเป็นปกติ โรคพวกนี้กรรมบัง หมอเขาเลยหาสาเหตุไม่เจอ
ถาม : หมอบอกว่าเกิดจากความเครียด เป็นกรดไหลย้อน ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้หมอเป็นอย่างนั้นไปหมด อะไรก็กรดไหลย้อนไว้ก่อน บอกว่าไม่ต้องกังวลหรอก นึกถึงพระไว้ ถ้าตายตอนนั้นก็ไปเลยเท่านั้นเอง
*************************
ถาม : พระโสดาบันรู้ว่าต้องตาย แล้วยังกลัวตายไหมครับ ?
ตอบ : ยังกลัวอยู่แต่กลัวแบบมีสติมากกว่าเรา เพราะรู้ว่าปกติของร่างกาย นี้จะต้องตายแน่ ๆ
*************************
ถาม : เวลานอน จะหลับก็ไม่หลับ แต่ก็นอนไปอย่างนั้น ?
ตอบ : ดี...แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ควรไปใส่ใจตรงนั้น ให้เราภาวนาไปเรื่อย ๆ จะหลับหรือไม่หลับก็ช่าง เผลอหน่อยเดียวก็จะตัดหลับเลย ถ้าไม่เผลอ ไป ตั้งใจดูว่าจะหลับเมื่อไร ก็จะอยู่แบบนั้นไปเรื่อย
ให้สังเกตว่าเราไม่ได้ง่วง เพราะว่านอนมาพอแล้ว ไม่ได้ง่วง ไม่ได้เพลีย การไม่หลับแบบนั้นเป็นลักษณะของปีติ หรือไม่ก็สติสมบูรณ์
ให้สังเกตดูเองถ้าเราภาวนาก่อนนอน ส่วนใหญ่จะเป็นปีติอยู่ สว่างโพลงอยู่
แต่ถ้าหากว่าสติสมบูรณ์ จะรู้ลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็รู้
*************************
ถาม : ขอยกลูกให้เป็นลูกท่านครับ ?
ตอบ : เลิกรับไปนานแล้ว เดี๋ยวเด็กจะซนเป็นลิงหนักกว่าเก่าอีก ไม่เป็นไร พามาบ่อย ๆ แล้วกัน
พวกนี้ถ้ายกเป็นลูกพระ เวลาดื้อแล้วเราไปตีเขา จะเป็นไข้แบบหาสาเหตุไม่ได้ จนกว่าจะขอขมาพระก่อน เพราะฉะนั้น...อย่ายกให้พระเลยจะดีที่สุด
เป็นเรื่องแปลก ลองดูได้เลย คนไหนยกเป็นลูกพระแล้วไปตีดูสิ จะเป็นไข้แบบหาสาเหตุไม่ได้ หมอก็รักษาไม่หาย จนกว่าจะขอขมาพระ ถึงจะหาย
เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่จําเป็นอย่าไปยกลูกให้เป็นลูกพระเลย เดี๋ยวจะตีไม่ได้
*************************
“มีหนังสือขอความร่วมมือจากกระทรวงวัฒนธรรม ขอวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด นําไปจําหน่ายเพื่อหารายได้เข้าสภากาชาดไทย
อาตมาก็เลยบอกว่าวัตถุมงคลของอาตมายังไม่ใช่หรอก เพราะว่ายังไม่มีชื่อเสียง แต่แหม..เขารู้ได้อย่างไร เล่นจิกมาตรงตัวเลย
ต่อไปจะมีพวกที่น่ารําคาญยิ่งกว่านั้นก็คือพวกที่มาขอความช่วย เหลือแบบไม่ดูเวล่ำเวลา ไปนึกถึงครูบาเทือง สมัยรุ่ง ๆ ท่านต้องติดป้าย ไว้เลย
“ใครมาขอ ครูบาให้ทั้งนั้น แต่ไม่จ่าย
ใครมานิมนต์ ครูบารับทั้งนั้น แต่ไม่ไป”
ติดป้ายไว้อย่างนั้นเลย เพราะท่านโดนแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น จนกระทั่งท่านเข็ด ต้องติดป้ายไว้ให้เห็น ๆ
เมื่อเช้าอาตมาไปนิมนต์หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิตเจ้าอาวาส วัดใหม่ยายนุ้ย มาสวดมนต์ฉันเพลวันที่ ๒๙ นี้ ไปเจอลูกศิษย์ท่านกําลังตื๊อจะเอากุมารทอง
ท่านมีกุมารทองอยู่ ๒ ตัว เป็นกุมารรุ่นหนึ่งของหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านเอง
ลูกศิษย์เข้าไปเห็นกุมารทองหายไปตัวหนึ่ง เขาคร่ำครวญหวนโหยจะขาดใจตาย บอกว่า
“หายไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น...ตัวนี้ผมเอาแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหายอีก”
ประเภทนี้ถ้ามาคร่ำครวญใกล้ ๆ อาตมารับรองว่าได้ทันที..!
วัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ท่านให้ไว้ โดยเฉพาะรุ่น ๑ ก็เหมือนกับของแทนตัว ยังจะไปตื๊อจะเอาให้ได้”
*************************
|