​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๙๗

 

      ถาม :  ถ้าจะขอสร้างวัตถุมงคลถวายท่านได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไม่เอา อะไรที่พระท่านไม่ได้สั่งอาตมาไม่ทํา ทําแล้วเหนื่อย
              ไม่เห็นหรือว่าอะไรที่ท่านสั่งเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น เรื่องวัตถุมงคล ไม่ต้องเจตนาดีมาทําให้เลย ถ้าทําก็เอาไปแจกกันเอง
*************************

      ถาม :  เป็นมะเร็งปากมดลูก ?
      ตอบ :  จริง ๆ พวกนั่งกรรมฐาน ถ้าใจสบายจะหายเลย
              พวกโรคภัยที่เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เกิดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เพราะความเครียด ถ้าหายเครียดโรคจะหายเลย
              ต่อให้เป็นมะเร็ง อย่างมะเร็งปากมดลูก มะเร็งท่อรังไข่ มะเร็งเต้านมพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหายเครียดก็จะหายเลย
              เพราะฉะนั้น...มีโอกาสเข้าวัดเข้าวาทําสมาธิบ้าง
      ถาม :  เราอุทิศส่วนกุศล ?
      ตอบ :  อุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของเรา ให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้ด้วย ขอให้เราหายจากโรคภัยนี้ไว ๆ
      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  ใช้คุณพระรัตนตรัยก็ได้ อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เพียงแต่ว่าทําด้วยความเคารพ ยึดท่านเป็นที่พึ่ง อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ พอหายเครียดก็หายป่วย
              ขนาดบางคนหมอบอกว่าอยู่ได้อีก ๖ เดือน เป็นจนกระทั่งขึ้นตามแขนตามขาเป็นตุ่มหมดแล้ว เขาตั้งใจจะไปตายอยู่ที่วัดก็ยังหายเลย
              เขาไม่ได้เจตนาให้หายหรอก เขาคิดว่าไม่รอดแล้วก็เอาแค่นั้น แต่ปรากฏว่าเพราะว่าไม่เครียดก็เลยหาย
*************************

              “ตาอินเทวดาไปยืมเงินคนนั้นคนนี้มากินเหล้า ยืมแล้วก็ไม่ใช้คืนสักที เจ้าหนี้เจอหน้าก็เข้ามากระชากแขนตาอิน
              ปรากฏว่าแขนตาอินหลุดติดมือ เจ้าหนี้ก็ตกใจวิ่งหนี ทิ้งแขนตาอินไว้ คนอื่นเห็นตาอินเดินไปเก็บแขน ซึ่งกลายเป็นผ้าขาวม้าพาดบ่า เดินหัวเราะหึ ๆ ไป
              เรื่องตาอินเทวดามีวีรกรรมเยอะ เห็นชัด ๆ เลยว่าเป็นอภิญญาโลกีย์ เพราะว่าแกกินเหล้าเป็นปกติ แบบเดียวท่านอาจารย์สุข
              ถึงเวลาตาอินก็ไปซื้อเหล้ากิน บอกเจ๊กขอซื้อเหล้าชามหนึ่ง นั่งกินกับเพื่อนอยู่ครึ่งค่อนคืน กินจนเมาหัวทิ่มบ่อแล้วก็กลับ
              เจ๊กก็สงสัยว่าตาอินกินได้อย่างไร เหล้าชามเดียวกินได้ครึ่งค่อนคืน พอไปดูที่ไหนได้ เหล้าในร้านหมดไปเป็นไหเลย...!”
      ถาม :   เขาใช้อภิญญาได้อย่างไร ในเมื่อศีลไม่ครบ ?
      ตอบ :  ตอนแกใช้อภิญญาศีลครบ ตอนที่แกกินเหล้าแกไม่ได้ใช้
              วันดีคืนดีก็บอกชาวบ้านว่า
              “อยากเห็นเทวดาไหม ?
              ชาวบ้านก็บอกอยากเห็น แกก็ให้เอาผ้ามาคนละผืน
              “เดี๋ยวข้าต่อผ้าแล้ว จะขึ้นไปเรียกเทวดามาให้ดู”
              ชาวบ้านก็เอาผ้ามาคนละผืน ผ้าขาวม้าบ้าง ผ้าดิบบ้าง มัดต่อ ๆ กัน
              ตาอินแกมัดแล้ว ตัวแกลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดผ้า แกก็ตะโกนเรียก
              “เทวดาโว้ย..!” ก็มีเสียงตอบมาว่า “โว้ย..!”
              ตาอินพูดต่อ “ชาวบ้านเขาอยากเห็น..โผล่มาให้เขาดูหน่อย”
              โอ้โห...โผล่มาตามกลีบเมฆเต็มเลย ชาวบ้านกําลังดูเพลิน ๆ ตาอิน กระตุกผ้าผลุบ เหมือนกับว่าวหลุดลอยหายไปเลย ชาวบ้านก็ตายละหว่า.. ตาอินไปไหน ?
              แต่ไม่กลัวหรอกว่าตาอินจะเป็นอะไร เพราะว่าแกเก่ง น่าจะขึ้นไปคุยกับเทวดาข้างบนกระมัง ?
              แต่ที่ไหนได้ เถ้าแก่โรงจํานําเห็นตาอินหอบผ้ามาจํานําเยอะแยะเลย แล้วตาอินก็เอาเงินไปซื้อเหล้ากินต่อ
      ถาม :  เป็นเรื่องสมัยไหนครับ ?
      ตอบ :  สมัยรัชกาลที่ ๓
      ถาม :  สมัยนี้ยังมีอย่างนี้ไหมครับ ?
      ตอบ :  มีแต่โผล่มาไม่ค่อยได้หรอก โผล่มาทีไรก็โดนรุมตอมหึ่ง
              สรุปแล้วผ้าคนละผืนเป็นค่าดู ให้ตาอินจํานําเอาเงินไปกินเหล้า
*************************

      ถาม :  ตอนใช้อภิญญา อยู่ที่กําลังใจอย่างเดียวหรือครับ ?
      ตอบ :  อยู่ที่ความมั่นใจของเรา และความคล่องตัวของสมาธิ ถ้าหากว่ามีความคล่องตัว มีความมั่นใจ จะใช้อภิญญาเมื่อไรก็ได้
      ถาม :  อย่างนี้ก็อยู่ที่ตัวมั่นใจของแต่ละคนสิครับ ?
      ตอบ :  ใช่...ซักซ้อมให้คล่องตัว ไม่อย่างนั้นต้องตั้งหลักกันนาน ถ้าตั้งหลักนานไม่ใช่อภิญญาหรอก อภิญญาไม่ต้องตั้งหลัก แค่คิดก็เป็นแล้ว
      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าผิดศีลก็เสื่อม หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมกําลังใจได้ใหม่ เพราะว่าผิดจนชิน
              พวกนี้จะหน้าด้าน พอผิดจนชินถึงเวลาก็รู้นี่ ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ก็ทําได้ เขาก็ตั้งใจว่าตอนนี้ศีลของเราบริสุทธิ์ ก็ทําได้เดี๋ยวนั้นเลย
      ถาม :   (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  อย่างน้อย ๆ ช่วงที่เขาทําได้ กําลังใจเขาก็สะอาด
              แล้วอีกอย่าง พวกนี้พอตอนช่วงหลัง ๆ ก็มาอยู่ในศีลกินในธรรมกันหมด แรก ๆ ก็ประเภทร้อนวิชา เฮี้ยนไปอย่างนั้นเอง พอ “ท่าน” ที่ควบคุม อยู่เล่นเอาหนัก ๆ ก็ต้องเลิกไปเอง
*************************

      ถาม :  คนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้ ใครมีอภิญญามากกว่ากัน ?
      ตอบ :  สมัยก่อนสภาพจิตของเขาสงบง่ายกว่า สังเกตดูรุ่นปู่ย่าตาทวดของเราสิ อยู่ในศีลกินในธรรมสวดมนต์ไหว้พระ ทําบุญเข้าวัดเข้าวาเป็นประจํา ในเมื่อจิตเย็น สงบ สมาธิก็เกิดได้ง่าย วิสัยเดิมถ้ามีมาในด้านอภิญญาก็จะโผล่มาเอง
*************************

      ถาม :  สายสิญจน์ที่อยู่ในพิธี จะมีพุทธคุณเหมือนกับวัตถุมงคลที่อยู่ในพิธี ไหมครับ ?
      ตอบ :  พุทธคุณมีแน่นอน แต่บางอย่างก็ต่างกันไป
              อย่างเช่นลูกแก้วกับพระศรีอาริยเมตไตรยก็ต่างกันแล้ว เพราะว่าท่านที่เสกเป็นคนละองค์กัน
      ถาม :  ไม่ใช่พระท่านเสกทั้งหมดหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ทั้งหมดหรอก บางทีเจ้าของงานมาเอง ก็ต้องยกให้ท่านไปจัดการเอง
*************************

              “ประเทศไทยเราเรื่องรากเหง้าของบรรพบุรุษไม่ค่อยจะศึกษากันให้ลึกซึ้ง ก็เลยไม่เห็นคุณค่าของพิพิธภัณฑ์
              ต่างประเทศอย่างอเมริกา เขาต่อคิวกันเข้าพิพิธภัณฑ์ยาวเป็น กิโลฯ เด็ก ๆ ขนาดใช้คอมพิวเตอร์เป็นว่าเล่น แต่ถึงเวลาต้องต่อคิวเข้าห้องสมุดยาวเป็นกิโลฯ เพื่อยืมหนังสือ เนื่องจากอาจารย์บังคับว่าต้องอ้างอิงจาก หนังสือเท่านั้น อ้างอิงจากในอินเตอร์เน็ตไม่ได้
              ในเมื่อบ้านเราไม่เห็นคุณค่า พิพิธภัณฑ์ดี ๆ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ รายจ่ายมากกว่ารายรับ แบบเดียวกับพิพิธภัณฑ์จ่าทวี ที่พิษณุโลก สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ถ้าทางการไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย อาจจะต้องปิดไปเลย
              จ่าทวีท่านสะสมพวกข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านเอาไว้มาก เปิดบ้านตัวเองเป็นพิพิธภัณฑ์ได้เลย”
*************************

              แบตเตอรี่ไมโครโฟนเสื่อม พระอาจารย์กล่าวว่า
              “นี่แหละคืออัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า
              สัพเพ สังขารา อนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
              ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ บุคคลผู้มีปัญญาจึงมองเห็นได้
              อะถะนิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา การเข้าถึงความดับแห่งทุกข์ จึงเป็นหนทางให้เข้าสู่ความบริสุทธิ์
              เพราะฉะนั้น... เมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง จะให้ไมโครโฟนดังตลอดไปก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าพังเร็วไปหน่อย
              ฟัง ๆ ดูธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วรู้สึกว่าพระองค์ท่านอาจหาญเหลือเกิน
              ประกาศในสิ่งที่เป็นจริง ซึ่งคนมองไม่เห็น และไม่รู้ว่าเขาจะเห็นตามได้หรือเปล่า แต่ว่าพระองค์ท่านก็กล้าประกาศ
              แบบเดียวกับตอนที่ส่งพระอรหันต์รุ่นแรก ๖๐ องค์ ออกประกาศพระศาสนา
              มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง
              มุตตะ กับ อะหัง คือตัวเราพ้นแล้ว คนที่พูดได้เต็มปากเต็มคําอย่างนี้มีหรือในตอนนั้น ?
              เย ทิพพา เยจะ มะนุสสา ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์
              อะไร ๆ ก็เอาไม่อยู่แล้ว พระองค์ท่านถึงได้ส่งออกไปประกาศพระศาสนา แล้วก็ได้ผลมหาศาล ประชาชนหันมานับถือศาสนาพุทธ จนกระทั่งกลายเป็นศาสนาหนึ่งที่คนนับถือเป็นจํานวนมากในโลกปัจจุบันนี้
              เราลองไปนึกถึงความอาจหาญของบุคคลที่กล้าประกาศอย่างชัดเจน เอาอย่าง พระปิณโฑลภารทวาชะ ก็ได้
              “ใครไม่รู้ธรรม จงมาถามเรา ใครมีข้อสงสัยในธรรมจงมาถามเรา”
              ประกาศแบบนี้ในสมัยนี้ สงสัยว่าจะโดนชกหน้า..!
              ในเมื่อพระองค์ท่านอาจหาญกล้าประกาศ เขาจึงใช้คําว่าบันลือสีหนาท ประหนึ่งราชสีห์คํารณ
              คราวนี้เราเห็นว่าในปัจจุบันของเรา การที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าเป็นท่านที่ปฏิบัติจนหลุดพ้นแล้วก็ไม่เป็นไร ท่านทําหน้าที่ได้เต็มสติกําลังของท่านอย่างแน่นอน
              แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่มุตตาหัง ตนเองยังไม่ได้หลุดพ้น แทนที่จะเป็น
              “เราทั้งหลายพ้นจากบ่วงทั้งปวง”
              ก็เป็น “เราทั้งหลายยังไม่พ้นจากบ่วงอะไรเลย ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์”
              จะให้ไปประกาศศาสนา แล้วให้ได้ผลชัดเจน เหมือนอย่างกับในสมัยพุทธกาลก็เป็นเรื่องยาก
              ดังนั้น..ญาติโยมจึงต้องมีปุพเพกะตะปุญญะตา บุญที่สร้างสมมาแต่ปางบรรพ์ ทําให้เราได้เข้าไปสู่สํานักที่ครูบาอาจารย์ท่านทําจริง ได้ผลจริง แล้วจึงนํามาสั่งสอน
              อย่างนั้นต้องถือว่าบุญเก่าเราดี หนุนเสริมให้ไปถูกที่ถูกทาง
              หลายท่านที่อยากจะทําจริงประพฤติจริง แต่ว่าไปเจอสํานักที่ท่าน ไม่เป็นมวยอะไร นอกจากมั่วไปเรื่อย ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมไป "
*************************

              “สัพพะปาเสหิ พ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว
              สัพพะ คือทั้งหลาย
              ปาสะก็คือบ่วง ที่เราเรียกบ่วงบาศ บาลีเป็นตัว ป พอมาเป็นไทยใช้ บ ที่เราเรียกหัตถบาส
              ฉะนั้น...เห็นความอาจหาญ กล้าทําในสิ่งที่ดี เพื่อประโยชน์คนอื่นล้วน ๆ เลย ไม่ได้เพื่อประโยชน์ของพระองค์ท่านเองเลย
              พหุชะนะหิตายะ พหุซะนะสุขายะ เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของชนหมู่มาก
              โลกานุกัมปายะ เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
              อัตถายะหิตายะ เทวะมะนุสสานัง เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
              ลําพังพระองค์ท่านเองพ้นแล้ว จะไปนอนตีพุงเฉย ๆ ก็ได้ แต่ว่าด้วยความเมตตากรุณาที่มีอยู่ ก็ยอมเหนื่อยยากทนสั่งสอนพวกเรามา
              คราวนี้พวกเรามีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้อยู่ในช่วงที่พระธรรมของพระองค์ท่านยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ควรจะรีบตักตวงกอบโกยความดีให้มากที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้เวลาล่วงพันไปวันหนึ่ง ๆ
              ปฏิบัติธรรมไป ฟุ้งซ่านแค่ไหนก็ให้รู้ว่าเราฟุ้ง ควบคุมความฟุ้งซ่านไว้ อย่าให้หลุดกรอบของศีลก็ใช้ได้แล้ว
              เพราะถ้าเรายังมีสติรู้ ควบคุมตัวเองอยู่ ตัวกามาวจรจิตมหากุศล จะเกิดขึ้นจากสตินั่นเอง
              ชั่วให้รู้ว่าชั่วระมัดระวังไว้อย่าให้หลุดออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม
              ดีให้รู้ว่าดี พยายามสร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้เจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ
              เดี๋ยวพอความดีมากขึ้น ๆ ก็จะกลบกลืนความชั่วไปเอง

              เหมือนกับเติมน้ําสะอาดไปเรื่อย เดี๋ยวน้ําเกลือก็จางลง ๆ ต่อให้มี เกลือปนอยู่ ก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นรสของเกลือ
              เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราสร้างความดีมากขึ้น ๆ ความชั่วไม่มีโอกาสโต เดี๋ยวก็โดนเบียดเฉาตายไปเอง
              ถ้าหากทําแล้วรู้ว่าเราชั่ว ถือว่ามาถูกทาง ถ้าหากมาไม่ถูกทาง ก็เห็นว่าตัวเองดี
              เพราะฉะนั้น...ให้ตั้งหน้าตั้งตาทําต่อไป พยายามลด ละ เลิก ให้ความชั่วเหลือน้อยลง ๆ ท้ายที่สุดก็จะหมดไปเอง
              สําคัญที่ต้องสู้จริง ๆ
              พระองค์ท่านอุตส่าห์เหนื่อยยากสั่งสอน เพราะประโยชน์ เพราะความสุขของเราแท้ ๆ เราเองที่เป็นผู้รับคําสั่งสอนนั้นมาปฏิบัติ ถ้าไม่ยอมทําเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของตัวเอง ก็ถือว่าเสียชาติเกิด”
*************************

              “มุตตะ แปลว่า ความพ้น
              วิมุตตะ พันอย่างยิ่ง พ้นอย่างวิเศษ
              พอ มุตตะ บวกกับ อะหัง เสียงรัสสะคือเสียงอะของตะ กับเสียงอะ ของอะหังรัสสะกับรัสสะรวมกันเป็นทีฆะก็เป็นเสียงยาวกลายเป็นมุตตาหัง
              ถ้าหากว่าเราดูรูปประโยคออกก็ง่าย ถ้าดูไม่ออกก็มืดแปดด้าน คลําไม่ถูก โดยเฉพาะนักเรียนบาลีจะแปลบาลีต้องรอบคอบสุด ๆ เลยกาล บท วจนะ บุรุษ วาจก ปัจจัย ยุ่งไปหมด”
*************************

              “พวกนักสัตววิทยารุ่นหลัง ๆ ไปจากนี้ ถ้ามาขุดเจอโครงกระดูกสัตว์ คงกลุ้มใจมากเลยว่าตัวอะไรกันแน่ อย่างขุดได้กะโหลกหมาปั๊ก คงงง มากว่าเป็นตัวอะไร หน้าตาประหลาด ๆ
              สมัยก่อนเขาเจอโครงกระดูกตัวลีเมอร์ไม่รู้ว่าคือตัวอะไร ระยะหลัง พอไปเจอตัวจริงเข้า เอามาเพาะเลี้ยงจนมีมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าเป็นพวกแมว กระรอกนี่เอง แมวก็ไม่ใช่ กระรอกก็ไม่ใช่ ก็เลยเรียกว่าแมวกระรอก
              ส่วนที่มีข่าวว่าหมาพิทบูลกัดคนตาย ต้องบอกว่าเขาตั้งใจผสมพันธุ์มาให้เป็นอย่างนั้น ก็คือเขาผสมพันธุ์จนได้พันธุ์หมาที่เวลางับแล้วปากจะล็อกเลย
              เพราะสมัยก่อนเขาให้หมาช่วยล่าวัว บูลก็แปลว่าวัวอยู่แล้ว คราวนี้ถ้างับไม่แน่น เวลาวัวสลัดออก อาจจะโดนเหยียบโดนขวิดได้
              ฉะนั้น..ตัวไหนปากเหนียวแน่นงับติด ถึงเวลาเจ้านายล่าวัวได้ หมาตัวนั้นก็ได้รางวัลเยอะหน่อย ท้ายสุดเขาก็เลยผสมมาเรื่อย ๆ ตัวไหนเก่งก็เอาตัวนั้นเป็นพ่อพันธุ์
              ระยะหลัง ๆ พอผสมเป็นพิทบูล ก็เลยกลายเป็นหมาล่าวัว ที่เวลางับแล้วปากล็อกเลย อย่างไรก็ไม่ปล่อย ที่งับเจ้าของติดแล้วดึงไปเรื่อย เพราะว่าปากอ้าไม่ออก ถ้าไม่คายซะเองก็ไม่หลุดหรอก
              อย่างที่เขาบอกว่า ถ้าเต่ากัดแล้ว ฟ้าไม่ร้องก็ไม่ปล่อย อาตมาไม่เชื่อใครหรอก ถ้าอาตมามีไฟแช็กอยู่ก็จุดลนคาง ดูซิว่าจะปล่อยไหม ?
              เคยเจอหมาปั๊กอยู่ตัวหนึ่ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ากล้ามเนื้อลิ้นไม่ทํางาน เจ้าของซื้อไปเพราะเห็นว่าน่ารัก เห็นแลบลิ้นแฮ่ก ๆ อยู่ ไม่รู้หรอกว่าเป็นหมาป่วย
              ซื้อไปแล้วก็ข้องใจว่า ทําไมแลบลิ้นได้ทั้งวัน ไม่หดซะที เอาไปให้หมอตรวจ จึงรู้ว่ากล้ามเนื้อไม่รั้ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอด เลยกลายเป็นหมาน่าสงสารไป ตอนแรกเป็นลูกหมาน่ารักเชียว”
*************************

              “อย่าลืมว่าสัตว์ทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากสัตว์ป่า ถึงเวลาสัญชาตญาณป่าก็คืนมา
              อย่างแถว ๆ ชายแดนไทย - พม่า พวกวัวพวกควายเจอหน้าคนนี่ ตื่นครืนเหมือนกับพวกวัวป่าควายป่าเลย เพราะว่าถึงเวลาเขาก็ปล่อยให้ไปหากินในป่า พอต้องการค่อยไปต้อนคืนจึงแทบจะกลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว
              เวลาเลี้ยงสัตว์ที่เราเห็นชัดที่สุดก็ตอนติดสัด ช่วงฤดูจะผสมพันธุ์ ขนาดนางอายที่ว่าน่ารัก ๆ ตัวมเตี้ยม ๆ ยังกัดเจ้าของถลอกปอกเปิกมาแล้ว เพราะว่าสัตว์เขามีกติกาของเขา เราไม่เข้าใจกติกาของเขาหรอก
              โยมถาวรสองเมือง อยู่ที่ศูนย์ฯ ต้นน้ํา แมวกัดกันแล้วเข้าไปห้าม ตัวเองต้องโดนเย็บ ๒๐ กว่าเข็ม ตอนที่จะเอาแพ้เอาชนะกัน พวกเขาฟังเสียเมื่อไรเล่า เข้าไปผิดจังหวะก็เจอลูกหลง”
*************************

      ถาม :  (ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนเราพัฒนาขึ้นมาถึงระดับมีมโนธรรม ก็คือ จิตใต้สํานึกที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แม้ว่าไม่มีข้อห้ามอยู่ก็รู้ว่าควรหรือไม่ควร
              เพราะฉะนั้น...เราจะเห็นได้ว่า ต่อให้เด็ก ๆ เขาไม่รู้ว่าสิ่งไหนผิดศีล แต่ถ้าหากว่าทําไปแล้วเขาเองก็มานั่งโศกเศร้าเสียใจ เพราะรู้สึกผิดเหมือนกัน
              อย่างเช่น เด็กไม่รู้ว่าฆ่าสัตว์แล้วเป็นบาป แต่ถ้าตัวเองเผลอพลั้ง ฆ่าสัตว์ไป เด็กบางคนช็อกไปเลย ทําอะไรไม่ถูก เพราะว่าเขามีมโนธรรมอยู่ ถ้าหากว่าได้รับการขัดเกลา ก็จะหันเข้าหาเรื่องของศีลของธรรมได้ง่าย
              แต่สัตว์เขาไม่มีตรงนี้ มีแต่สัญชาตญาณมากกว่า ในเมื่อเป็นสัญชาตญาณมากกว่า ก็ต้องปล่อยตามแรงขับของ รัก โลภ โกรธ หลง ไป
      ถาม :  มโนธรรมเสื่อมไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  เสื่อมไปเรื่อย พอถึงเวลาท้าย ๆ พระศาสนา ก็กลายเป็นมิคสัญญี
              มิคคะ แปลว่า เนื้อ สัตว์ป่านั่นแหละ
              มิคสัญญี คือ สําคัญว่าเป็นสัตว์เนื้อที่ล่าได้
              ถึงเวลาก็เข่นฆ่าทําลายกัน ปัจจุบันนี้ยังไม่ทันจะถึงปลายพระศาสนาเลย แค่กลาง ๆ เท่านั้นยังเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น
*************************

              “หลวงพี่หนู...นิมนต์ครับ.. พวกเรารุ่นหลังน่าจะรู้จัก หลวงพ่อศักดิ์พิตชัย ธมมวโร (หลวงพ่อหนู) ลูกศิษย์หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านมาตลอด
              ก่อนหน้านั้นเวลาออกกิจนิมนต์นั่งชนกัน อาตมาก็นั่งบ่น
              “ไอ้อาหารที่เขาทําซะสวย แต่รสไม่เอาอ่าวเลยเพราะว่าเขาตั้งไว้ตั้งแต่ ๘ โมง กว่าจะถวายพระก็ ๑๐ โมงครึ่ง”
              บอกหลวงพี่หนูว่า “เราออกไปหาก๋วยเตี๋ยวกินกันข้างนอกเถอะ”
              หลวงพี่ท่านบอกว่า “กินไปเถอะ ตามสังคม” เข้าสังคม ก็ต้องว่าตามเขา
              สมัยก่อนหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา ไปไหนมาไหนก็มีหลวงพี่หนูนี่แหละ ท่านคอยช่วยเหลือดูแลอยู่ตลอดเวลา
              (หลวงพ่อหนู) ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านเอาไปเป็นไม้เท้า ไม้เท้าไม่ได้หายใจ ไม้เท้าไม่ดื้อ ไม้เท้าไม่เกี่ยงงอน ไม้เท้าที่ไหนเกี่ยงงอนได้? ไม้เท้า ช่วยกันล้มได้
              (พระอาจารย์) ที่บาลีท่านว่า “ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู”
              พราหมณ์พอแบ่งสมบัติไปแล้ว ลูก ๆ ทิ้งหมด พอลูกทิ้ง ตัวเองก็ต้องขอทานเร่ร่อนไปเจอพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็ตรัสว่า
              “พราหมณ์เคยเป็นที่นับถือของหมู่ชนมาก่อน ให้ไปเล่าประวัติให้เขาฟังในท่ามกลางที่ชุมชนนั่นแหละ แล้วอย่าลืมประโยคทีเด็ดว่า ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู”
              แล้วคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?
              พราหมณ์ก็ไปเล่าให้ฟัง พอชาวบ้านไปได้ยินก็รวมหัวกันคว่ำบาตร พวกลูก ๆ ไม่มีใครคบด้วยท้ายสุดก็ต้องมาขอขมา แล้วก็รับพ่อกลับไปเลี้ยงตามเดิม
              ความจริงถ้าพ่อไม่แบ่งสมบัติให้ แกก็เป็นมหาเศรษฐีนะ แต่คราวนี้พอแบ่งสมบัติให้ลูกทั้ง ๗ คนหมดแล้ว ลูกก็ทิ้งไปเลย ไม่มีใครเลี้ยงพ่อ
              เพราะฉะนั้น...ไม้เท้านี่ต้องกตัญญูมากกว่า ๒ เท่า ใช้งานได้ทุกอย่าง ไม่มีบ่น ไม่มีเกี่ยง
              (หลวงพ่อหนู) ถ้าจะบอกว่าเป็นพินัยกรรมก็ไม่ชัด เพราะว่าพ่อยังไม่เสีย พ่อบอกว่า
              “พ่อแก่แล้ว หลวงปู่แก่กว่าพ่อ พ่อเคยช่วยเหลือหลวงปู่ เพราะฉะนั้น..ไปบวชแล้วอยู่รับใช้หลวงปู่แทนพ่อ”
              ก็เลยต้องทํา ตอนนั้นเรียนบริหารธุรกิจอยู่
              (พระอาจารย์) นี่กตัญญูยังไม่พอ ต้องกตเวทีด้วย พอโยมพ่อบอกก็บวชเลย อยู่รับใช้หลวงปู่จนกระทั่งหลวงปู่สมเด็จฯ สิ้น ก็ยังครองสมณเพศยาวมาจนบัดนี้”
*************************

              “อาตมารู้จักหลวงพี่หนูมาเกิน ๒๐ ปีแล้วนะ เพียงแต่ว่าโอกาสที่เจอกันน้อยมาก เพราะว่าท่านอยู่วัดสามพระยา ส่วนอาตมาตะลอนไปทั่วประเทศไทย
              ถึงเวลาไปเจอที่วัดสามพระยากันทีก็ดีอกดีใจ นาน ๆ เจอกันที บางทีเจอหน้าท่านแล้วยืนคุยกันจนหลวงพี่หนูท่านลืมเลยว่าจะไปธุระอะไร แล้วก็ถามว่า
              “เอ๊ะ นี่ผมมาทําอะไร ?”
              วันก่อนที่วัดเขาวงของหลวงตาวัชรชัย เขารวมลูกศิษย์สายหลวงพ่อ ขาดหลวงพี่เจ้าคุณชุบไปรูปหนึ่ง ท่านไปอยู่ที่คลองสะท้อน ที่โคราช
              นิมนต์ไปแล้ว แต่ว่าท่านไม่ได้ให้เบอร์โทรไว้ ท่านบอกว่าเดี๋ยวมาเอง พอถึงวันก็รอท่านจนเลยเวลา จึงต้องเริ่มพิธี ไม่สามารถที่จะสอบถามได้ว่าติดธุระอะไร
              น่าเสียดายว่าตอนนั้นก็มี เจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี มีท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี หรือหลวงพี่มหาดํา แล้วก็มหาวิจิตร สามท่านเป็นมือเป็นไม้ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่
              (หลวงพ่อหนู) ตอนนั้นพอเจอท่านแล้ว ลืมหมดเลยว่าจะไปทําอะไร เพราะว่าสิ่งที่วางแผนไว้ไม่สําคัญแล้ว
              ทําไมไม่สําคัญ ?
              เพราะว่าความหยาบถูกกลบไปด้วยความละเอียด ที่เล่านี่คือความรู้สึกตรงนั้น ตอนนั้นได้อะไรเยอะ แค่ไม่กี่นาทีตรงนั้น
              จริง ๆ ไม่ต้องไปหาเหตุผลหรอก หาก็ไม่เจอถึงเจอก็ไม่ตรง อย่างที่หลวงพี่เคยไปซักไซ้ไล่เลียงเขาว่า ทําไมเอานี่มาถวายของมีตั้งหลากหลาย ทําไมต้องเป็นอันนี้
              (พระอาจารย์) จะว่าไปแล้วในพระพุทธศาสนา คําว่าบังเอิญไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามบุญตามกรรมทั้งนั้น
              หลวงพี่หนูท่านสร้างบุญอย่างนั้น ต้องการแบบนั้น ถึงเวลาก็ได้อย่างนั้น เขาทําขายตั้งเยอะแยะ แต่เขาเอาแบบนี้มาถวาย แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านชอบพอดี
              เราชาวพุทธจําเป็นต้องเชื่อกรรม ต้องเชื่อการส่งผลของกรรม
              ท้ายที่สุดก็เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าท่านตรัสรู้จริง
              เมื่อเป็นอย่างนั้น ความเชื่อก็ทําให้เราสรุปลงได้ว่า
              “ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว”
              แต่คราวนี้เราเกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน การที่เราทําก็มีดีชั่วสลับกันมา บางคนอาจจะเห็นว่าทําไมคนที่ทําไม่ดี แต่ปัจจุบันฐานะชื่อเสียง เกียรติยศเขาเยอะแยะ อันนั้นเขากินบุญเก่าอยู่ หมดเมื่อไรสาหัสแน่นอน
              เพียงแต่ว่าเราไม่เข้าใจ สายตายาวไปไม่ถึงเราก็ไปคิดว่าทําไมคนนั้นทําชั่วได้ดี
              ไม่จริงหรอก...ทําชั่วได้ชั่วนั้นแหละ เพียงแต่ว่าความชั่วที่ทํายังไม่ปรากฏ ปรากฏเมื่อไร ดีเอาไม่อยู่ก็เรียบร้อย”
*************************

              “หลวงปู่สมเด็จฯวัดสามพระยา เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่หาได้ยาก ที่หาได้ยาก เพราะว่า
              อันดับแรก ท่านอยู่กรุงเทพฯ พระกรุงเทพฯ จะปฏิบัติดีปฏิบัติให้ เข้าถึงได้จริง ๆ นั้นยาก เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างไม่อํานวยเลย ต้องทุ่มเทหนักหน่วงกว่าคนอื่นหลายเท่า
              ประการที่ ๒ ท่านเป็นเจ้าคณะปกครอง โดยเฉพาะเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นสมเด็จพระราชาคณะ งานหนักมหาศาล แต่ความที่เอาจริงเอาจัง และไม่ทิ้งในการปฏิบัติ ทําให้ท่านสามารถทําได้
              ฉะนั้น... ก็มาเปรียบกับพวกเราว่า เราเองส่วนใหญ่ก็ทํามาหากิน อยู่กรุงเทพฯ อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออํานวย แต่ถึงเวลาเราก็มาปฏิบัติธรรมกัน
              เราก็มีหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเป็นผู้เดินนําไปแล้ว เราก็ตามรอยเท้าท่านไป อย่างไรเสียก็ทําตามแล้วไม่ผิดทางแน่
              ในเมื่อไม่ผิดทาง ตั้งหน้าตั้งตาทําไปเราก็จะมีความหวังว่า ทําแล้ว จะได้ดีอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเหมือนกัน
              ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ บุคคลใดที่ประกอบไปด้วยความเพียรเป็นปกติ ย่อมได้ดื่มซึ่งอมตรสแห่งพระนิพพานนั้น
              อันนี้เป็นบาลีที่เป็นพุทธวจนะ พระองค์ท่านยืนยันกับเรา
              พวกเรายังเกิดทันในสมัยที่ธรรมะยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสกับสุภัททะปริพาชกว่า
              “ศาสนาใดก็ตามถ้าหากประกอบไปด้วยมรรคมีองค์ ๘ ย่อม มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นปกติ”
              ก็คือย่อมมีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นปกติ
              พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าศาสนาพุทธจะมีอย่างนี้
              แล้วไม่ได้บอกว่าศาสนาอื่นจะไม่มีอย่างนี้
              แต่พระองค์ท่านบอกว่า ศาสนาใดถ้าหากว่าประกอบด้วยมรรคมี องค์ ๘ ศาสนานั้นย่อมมีสมณะทั้ง ๔ ที่ว่ามาสมบูรณ์บริบูรณ์
              (หลวงพ่อหนู) ขอเสริมสักนิดหนึ่งว่า สถานที่ ๆ จะปฏิบัติธรรม เป็นองค์ประกอบเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่องค์ประกอบหลัก
              หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเคยบอกว่า ท่านอยู่กลางบางลําภู กระแสโลกียะครอบเหมือนฝาชี
              ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่งจริง ๆ ถึงจะสามารถพลิกได้ผ่านได้ เชื่อมโยงได้กับอารมณ์พระนิพพานก็ดี หรือสิ่งที่ละเอียด ยิ่งขึ้นไป

              สถานที่ไม่ใช่องค์ประกอบหลัก และหน้าที่การงานก็ไม่เสีย
              คําว่าปลีกวิเวกที่เราเข้าใจกัน ไม่ใช่การอยู่คนเดียว หรืออยู่ในป่า ไม่เสมอไป
              หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ได้ไปเดินธุดงค์ ไม่ใช่ว่าธุดงค์ไม่ดี ไม่ได้พูดกดฝ่ายหนึ่ง เจริญอีกฝ่ายหนึ่ง...เปล่า
              ที่เดิมตั้งแต่หนุ่มท่านก็อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งท่านชราภาพงานเสีย อีกที่มากขึ้น ๆ รับผิดชอบ ๒๓ จังหวัด ก่อนนั้นทั่วประเทศ แล้วค่อยมาแบ่งๆ กันไป ๒๓ จังหวัดของหนกลาง
              สถานที่ไม่ใช่แล้วก็ไม่ใช่ว่าจําเป็นต้องเดินธุดงค์ แต่ศึกษาจนกระทั่งเป็นครูบาอาจารย์สอนเขา ออกข้อสอบเขา ตรวจเขา ให้เขาได้ผ่านประโยค ๙ ทฤษฎีนี่เข้มแน่นอนสําหรับหลวงปู่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ท่านก็พลิกทฤษฎีนั่นแหละ เอาหลักเขามาใช้งานจริง
              สถานที่ไม่ต้องอยู่ในป่าก็ได้ แล้วก็ยังทําธุดงควัตรอย่างอุกฤษฎ์ด้วย กลางกรุงนั่นแหละ ถือธุดงควัตรอย่างอุกฤษฎ์ ไม่ได้ฉันในบาตร ฉันในจาน มีซ้อนมีส้อม บางทีเขาก็มีตะเกียบมาให้ด้วย แต่ท่านทําอารมณ์จิตที่ธุดงควัตรกําหนดไว้
              เพราะฉะนั้น....ไม่แปลกเลยที่ท่านไม่ได้ผ่านการไปอยู่ป่าอยู่โคนไม้
              แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในเรือนเป็นคามวาสี ท่านก็สามารถที่จะรักษา หรือประคองจิตด้วยอารมณ์อุกฤษฎของธุดงควัตร ๑๓ ได้ด้วย คือให้เห็นว่าการงานไม่เสีย ทําไปด้วย และจิตก็ได้พัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย
              สถานที่อาจจะสําคัญสําหรับพวกเราเพราะเรายังมีความแกร่งยังไม่พอ
              แต่หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านพลิกจากทฤษฎี ถ้าภาษาอย่างคุณโยมก็ คือ “ทฤษฎีจ๋า” ที่ช่ำชองมาก ความจําแตกฉาน เรื่องบัญญัติ เรื่องภาษา ท่านพลิกมาจับต้องได้แล้ว เป็นนามธรรมละเอียด แต่สภาวะนั้นเชื่อมกันในดวงจิตของท่าน งานก็สําเร็จ สภาวะจิตท่านก็ไม่ได้ตกต่ำ
              จึงเป็นตัวอย่างให้ว่า ไม่ต้องหนีไปไหน หลักการมีอยู่อย่างหนึ่งว่า จะออกจากสิ่งใด ต้องอยู่ในสิ่งนั้นก่อน
              อย่างคุณโยมนั่งอยู่ในพรมจะออกจากพรม โยมต้องนั่งอยู่ในนั้นก่อน
              แล้วจะมาบอกว่าอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ อาตมาออกมาจากพรมที่โยมนั่ง นั่นเป็นไปไม่ได้ ยังไม่ได้ไปนั่งที่พรมเลย แล้วบอกว่าออกจากสิ่งนั้นไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่เห็นทางว่าจะเป็นได้
              ทุกคนจะออกจากห้องนี้ต้องผ่านประตูแปลว่าทุกคนต้องอยู่ในห้องนี้ก่อน
              จิตของทุกคนจะออกจากกิเลส ก็ต้องแช่ในกิเลสนั้นก่อน แล้วรู้ว่ากําลังแช่อยู่ เห็นบันไดขั้นตอนของกิเลสเห็นกิเลสว่ากําลังแช่อยู่กับตัวไหน
              เริ่มเห็นชัดแล้วว่ามีเยอะแยะหลากหลาย เห็นว่าเรามีตรงนี้อยู่ จะกิเลสเข้มข้นหรือเจือจางก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่ความละเอียดของสติปัญญา แล้วจะออกไปอย่างไร ก็คือรู้เท่านั้นแหละ
              อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชโช) เจ้าของ นามปากกา “ปิยโสภณ” ท่านพูดไว้ว่า “ฟอร์แมตจิต ดีลีทกรรม”
              นั่นคือศัพท์ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุบายก็มีแค่เพียง “รู้เท่านั้นแหละ
              รู้ว่ากําลังมีอะไรอยู่จะไม่ให้เกิดหรือพัฒนาไปในทางที่เสื่อมมากกว่านี้ ก็เพียง “รู้ แล้วก็จบการรู้เท่านั้นแหละ
              รู้ว่ามีอะไรอยู่จะคิดอะไรก็ช่างมันเถอะแล้วก็จบการรู้เพราะ ทุกอย่างก็อยู่ไม่ได้ทั้งการรู้และถูกรู้

              (พระอาจารย์) สรุปลงตรงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้เสมอว่า
              “เรียนให้รู้ดูให้จํา แล้วทําให้จริง”
              ถ้าทําจริงได้ผลทุกคนเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันนี้ พอพวกเราลําบากนิดหนึ่ง เราก็ท้อแล้ว อันนั้นยังเรียกว่าทําไม่จริงถ้าหากว่าทําจริงเราต้องได้”
*************************

              “อย่างที่เคยบอกว่า มีนักปฏิบัติอยู่จํานวนมากที่เข้าใจผิดอะไร ๆ ก็จะเอาแต่อนัตตา สุญญตา ถ้าไม่มีอัตตา ก็เป็นอนัตตาไม่ได้หรอก
              ที่หลวงพ่อหนูของเราว่ามาก็เหมือนกัน คือถ้าเราไม่ได้อยู่ในกิเลส แล้วเราจะไปออกจากกิเลสได้อย่างไร
              เพราะฉะนั้น....ถ้าเราไม่มีอัตตา ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอนัตตาได้ การที่จะก้าวขึ้นไปสู่เบื้องสูง ต้องค่อย ๆ ไม่ผ่านจากเบื้องต่ำไป
              หลายต่อหลายคนที่จะเอาแต่ธรรมะบริสุทธิ์ ขอยืนยันว่าคนพูดไม่เคยทําอย่างแน่นอน ถ้าคนพูดเคยทํา จะรู้ว่าเราจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวไม่ได้
              เพราะว่า “สมมติ” ก็เป็นสัจจะ
              “ปรมัตถธรรม” ก็เป็นสัจจะ
              คือ สมมุติก็เป็นจริงโดยสมมติ คือตัวเราชื่อนี้นี่เป็นสมมุติ
              แต่ขณะเดียวกันคําว่าตัวเราจริง ๆ ไม่มี ถ้าในสภาวะของปรมัตถธรรม ก็คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากมหาภูตรูป ดิน น้ํา ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว นี่เป็นปรมัตถสัจจะ คือความจริงแท้ เถียงไม่ได้
              คราวนี้ที่ว่าตัวเราเป็นสมมติสัจจะ ก็คือจริงเฉพาะตอนนี้
              ดังนั้น...บุคคลที่เข้าถึงธรรมะจริง ๆ จะไม่ปฏิเสธสมมติทางโลก แต่ขณะเดียวกัน กําลังใจของท่านก็อยู่กับปรมัตถสัจจะ ก็คือความจริงแท้ตลอดเวลา
              ท่านก็เลยอยู่กับโลกแบบน้ํากลิ้งบนใบบอน ก็คืออยู่กับโลก แต่ไม่ได้ติดในโลกเลย
              เพราะฉะนั้น ..ในเรื่องของการปฏิบัติ สถานที่ อากาศ อาหาร ตลอดจนเพื่อนสหธรรมิกต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสําคัญ
              ถามว่าขาดได้ไหม ?
              ได้..การเข้าถึงธรรมยังมีอยู่แต่ต้องใช้ความเพียรพยายามที่มากขึ้น
              ฉะนั้น..จึงไปลงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเอาไว้ตอนท้ายว่า “ทําให้จริง” ในเมื่อทําจริง ผลต้องได้แน่
              ท่านบอกให้หวังเป้าสูงสุดไว้ก่อน ก็คือพระนิพพาน พอตะเกียกตะกายเต็มที่ ต่อให้ไม่ถึงพระนิพพาน ก็ไปได้ไกลเต็มสติเต็มกําลังของเรา
              แต่ถ้าเราไปตั้งความหวังไว้ต่ำ ถึงเวลาก็ไปได้น้อย ระยะทางที่เราจะหลุดพ้นก็ยาวไกลออกไปอีก
              ดังนั้น...เมื่อได้ยินหลวงพ่อหนูบอกพวกเราแล้ว หลายท่านที่ปฏิบัติธรรม แล้วรู้สึกว่าทําไม รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับแรงขึ้น
              ขอยืนยันว่าไม่ได้แรงขึ้นหรอก เท่าเดิมนั่นแหละ แต่กําลังใจของเราละเอียดขึ้น สัมผัสได้ชัดเจนขึ้น
              จงดีใจเถอะที่มีกิเลส เพราะว่าจะทําให้เราเบื่อหน่าย และอยากจะไปให้พ้น ถ้าไม่มีกิเลส...เราไม่เบื่อ เราก็อาจจะอยากเกิดอีก
              ถึงได้ว่าถ้าต้องการจะหลุดพ้นก็ต้องคลุกคลีอยู่ในสถานที่นั้น แล้วก็ก้าวล่วงออกมา ไม่ใช่ว่าเราอยู่ข้างนอก แล้วเราก็บอกว่าเราอยากจะพัน ๆ นั่นไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้
              (หลวงพ่อหนู) หลวงพี่ช่วยย้ำประโยคสักครู่อีกทีครับ
              (พระอาจารย์) การจะหลุดพ้นจากกิเลส คือเราคลุกคลีอยู่กับกองกิเลสเป็นปกติ เพราะว่ากรรมนํามาให้เราเกิดในกองกิเลสนี้
              ในเมื่อเราก้าวล่วงพ้นออกไป ถึงจะกล่าวได้ว่าเราพ้นจากกิเลส ถ้าเราไม่ได้อยู่ในกองกิเลส แล้วไปบอกว่าเราก้าวพ้นจากกองกิเลสมา ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้
              กิเลสชัดเจนขึ้นเลยทําให้เรารู้สึกว่ามีมากขึ้นจริง ๆ แล้วไม่ได้มาก ขึ้นหรอก มีเท่าเดิม เพราะฉะนั้น..สู้ต่อไปไอ้มดแดง อย่าถอยเสียก่อนนะ..!
              วันนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่เราได้บุคคลรุ่นที่ทันหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา ทันหลวงพ่อวัดท่าซุง
              ท่านได้มาบอกกล่าวในสิ่งที่ท่านได้รับไปจากหลวงปู่หลวงพ่อทั้ง ๒ องค์ ได้ทําความเข้าใจในสิ่งนั้น แล้วนํามาบอกพวกเรา
              ทําให้พวกเรารู้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้ชัดเจนขึ้น แล้วการที่เราจะก้าวเดินต่อไปในเบื้องหน้าก็จะง่ายและสะดวกขึ้น เรียกว่าพอวาระบุญมาถึง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็มาบรรจบกัน
              เพราะว่าปกติแล้วหลวงพ่อหนูของเราท่านมาตรงนี้ไม่ถูกหรอก ท่านไม่ค่อยได้ออกไปไหนนอกจากไปเรียนแล้วท่านก็กลับกุฏิมีแค่นั้นจริงๆ
              ยังดีว่าวันนี้ ดร.เอ อุตส่าห์พาท่านมา คนเยอะ ๆ แบบนี้ปกติท่าน เผ่นแน่บไปแล้ว ไม่เอาหรอก เข้ากุฏิหาความสงบดีกว่า”
*************************