“วันที่ ๒๙ มีนาคมนี้ ใครจะเอาอาหารมาเลี้ยงโรงทานที่นี่คิดให้ดี ๆ นะ คนอาจจะเยอะกว่าที่คิด ถ้าเราตั้งใจมากินจะปลอดภัยกว่า อาตมาแนะนําถูกหรือเปล่านี่ ?
ถ้าคิดจะเลี้ยงโรงทาน แจ้งมาล่วงหน้าก่อนก็ดี ทางนี้จะได้เตรียมโต๊ะไว้ให้
ปกติอยากจะทําบุญให้ตรงวัน คือ ๓๑ มีนาคม แต่วันนั้นอาตมา ติดงานอยู่ที่วัดพระธาตุดอยกวางคํา ก็เลยต้องมาทําบุญวันที่ ๒๙ แทน”
*************************
“เรื่องของภาษา มีฝรั่งอยู่คนหนึ่ง น่าจะมีพื้นฐานเดิมของนิรุกติปฏิสัมภิทา พูดได้ ๒๐๐ กว่าภาษา โดยเฉพาะภาษาเผ่าพื้นเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแอฟริกัน เขาพูดได้ทั้งนั้นเลย”
*************************
“โยมประเคนพระเลยธงไปหน่อย วางเลยขึ้นมาบนกองหนังสือเลย คําว่า “เลยธง” เป็นศัพท์เก่า สมัยนี้เราเรียกว่า “ออฟไซด์” พวกทําอะไร เลยธง ก็คือพวกเกิน ไม่มีขาด
มีคําศัพท์หลายคําที่ไม่ติดตลาด คนยังนิยมใช้คําเดิมของเขา เช่น
“คอมพิวเตอร์” เขาบัญญัติว่า “สมองกล”
จนป่านนี้ก็ไม่มีใครใช้กัน เขาก็เรียกทับศัพท์ว่าคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนี้เปลี่ยนใหม่เป็น “คณิตกรณ์” ฟังแล้วบ้าไปเลย แสดงว่าทําอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคิดเลขอย่างเดียว ตอนนี้ราชบัณฑิตฯ บัญญัติยังเป็น คณิตกรณ์อยู่นะ
คําว่า “สอบไล่” สมัยนี้เรียกว่า “สอบไฟนอล”
ความจริงคําว่าสอบไล่มาจาก “ไล่ระดับความรู้" เขาเรียกย่อลง มาเหลือแค่สอบไล่”
*************************
ถาม : เปิดร้านอยู่ที่เยอรมัน แต่กิจการไม่ค่อยดี ?
ตอบ : ภาวนาคาถาเงินล้านเยอะ ๆ
ถาม : เครื่องบวงสรวง เราต้องทําไหม ?
ตอบ : จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเขาว่า ขอให้กิจการเราเจริญรุ่งเรือง แล้วจะถวายสังฆทานให้เขาเป็นประจํา
จะถวายปีละครั้งหรือเดือนละครั้งอยู่ที่เราถ้าทําเองไม่ได้ก็โทรมาบอกทางนี้ให้ทําแทน บอกเทวดาว่าเอา “หมาก” เยอะ ๆ
ถาม : หมาก ?
ตอบ : เงินมาร์ก สกุลเงินของเยอรมัน บอกเทวดาว่าเอาหมากเยอะ ๆ อาตมาพูดศัพท์แสลง โยมเลยไม่เข้าใจ
สมัยนี้คําที่หายไปอีกคําหนึ่งก็คือ แจกหมากแจกแว่น
สมัยก่อนเวลาตีกัน ต่อยกันจนปากแตกตาเขียว เขาเรียกว่าแจกหมากแจกแว่น ต่อยกันปากแตกเลือดแดงเหมือนคนกินหมาก เจอกําปั้นเข้าไป เบ้าตาเขียวเป็นเบ้าขนมครกอย่างกับใส่แว่น
*************************
ประเทศเยอรมันมีวัดสาขาของวัดท่าซุงอยู่ด้วยนะ ท่านพระครูประสิทธิ์สรการหรือหลวงพ่อาจินต์ธมฺมจิตฺโต รักษาการณ์เจ้าอาวาสอยู่
หลวงพ่อาจินต์ท่านได้ตําแหน่งพระครูฐานานุกรมของ ท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิ วัดสระเกศ เป็นพระครูคู่สวด
มหาปิง เรียนถามท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิว่า
“ตําแหน่งพระครูวินัยธร พระครูธรรมธร ใหญ่กว่าตั้งเยอะ ทําไมไม่ให้ไปให้พระคู่สวด”
เจ้าคุณพรหมสิทธิท่านบอกว่า “ตําแหน่งพระคู่สวดของเจ้าคุณชั้นธรรม ชื่อเหมือนกับพระครูสัญญาบัตร คนได้ยินจะให้ความเกรงใจมากกว่า”
ถ้าเป็นพระครูวินัยธร พระครูธรรมธร เขาฟังดูก็รู้ว่าเป็นพระครู ฐานานุกรม
แบบเดียวกับท่านเจ้าคุณพิพัฒน์ศึกษากร ก่อนนั้นท่านเป็นพระครูพินิจสุนทร อาตมาก็นึกว่าท่านเป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ไหนได้ ท่านเป็นพระครูฐานานุกรม เป็นพระครูคู่สวด
สมัยก่อนพระครูคู่สวดมีนิตยภัตให้ สมัยนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ?
สมัยนี้ถ้าเป็นพระครูปลัดของรองสมเด็จพระราชาคณะขึ้นไปมี นิตยภัต
“นิตยภัต” ก็คือค่าอาหารที่จ่ายให้ประจํา
เมื่อก่อนเขาจะขีดกากบาทแล้วก็ลงตัวเลข ลงผิดช่องนี่จ่ายหนักเลย เพราะจะมี ชั่ง ตําลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ
เด็กรุ่นหลังไปดูไม่รู้หรอกว่าขีดอะไรถ้าลงผิดช่อง แทนที่จะเป็น ๔ ตําลึง กลายเป็น ๔ ชั่งนี่จ่ายกันตายเลย..!
*************************
“ท่านี้ของสุนัขคือยอมแพ้ท่านอนหงายเปิดพุง คือไม่มีอะไรป้องกัน ส่วนอันตรายของตัวเอง แปลว่ายอมแล้วจ้ะ
แต่ถ้าเป็นมวยไทยรุ่นเก่า ล้มแล้วหงายเขาซ้ำนะ เขาถือว่ายังป้องกันตัวได้ ถ้าล้มแล้วไม่อยากโดนซ้ำให้รีบพลิกคว่ำ
เพราะว่าคนที่ล้มนอนหงาย เขาสามารถใช้เท้าข้างหนึ่งเกี่ยวส้นเท้า แล้วเท้าอีกข้างหนึ่งถีบใส่หัวเข่า คู่ต่อสู้อาจจะบาดเจ็บถึงพิการเอา ง่าย ๆ เลย”
“สมัยเด็ก ๆ เวลาเล่นประทัดกันถึงเวลาจุดประทัดแล้ว จะไปเก็บเอานัดที่ไม่ระเบิดมา เพราะว่าไส้ประทัดบางอันเขาใส่ดินปืนไม่ต่อเนื่องกัน เวลาจุดเท่ากับไหม้กระดาษเปล่า ๆ
เด็ก ๆ ก็เก็บมาจุดเล่นกัน จุดเฉย ๆ ไม่สนุก ก็ใช้วิธีกอบดินขึ้นมา เอาประทัดเสียบไว้เอากะลาครอบแล้วจุด เวลาระเบิดแล้วกะลาจะลอยสูงดี
มีพวกวิตถารกว่านั้นอีก เอายัดใส่ปากคางคกแล้วก็จุด...! คางคก ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย อยู่ ๆ ก็โดนจนไส้ไหลลิ้นห้อย
เวลาเด็ก ๆ เล่นจะนึกถึงแต่ความสนุกอย่างเดียวไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่น
ฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า การทําอะไรพิลึกพิลั่น บางทีก็ทําให้คนอื่นสัตว์อื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว
กว่าจะรู้บุญรู้บาป ก็ต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาระยะหนึ่ง แต่เด็กสมัยก่อนรู้บุญรู้บาปง่าย เพราะอยู่ใกล้วัด
สมัยหลังพอเขาแยกโรงเรียนกับวัดออกจากกันก็แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วยิ่งโดนตัดหลักสูตรศีลธรรมออกไป ก็ยิ่งบรรลัยใหญ่
สมัยที่โดนตัดหลักสูตรศีลธรรมออกไป เพราะว่ารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการท่านเป็นคริสต์..!”
*************************
ถาม : คิดอย่างไรกับการเช่าพระเพื่อเก็งกําไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา ทําไปได้เลย
ถาม : การเช่าพระที่แท้จริง ควรเช่าเพื่ออะไรคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือ ติดตัวไว้เป็นอนุสติ
แต่มีส่วนหนึ่งที่เขาตั้งใจทํากําไรโดยตรง แต่ก็ว่ากันไม่ได้เพราะว่า ถ้าคนไม่ต้องการ เขาก็ไม่มาซื้อ ต้องเรียกว่าสมยอมด้วยกัน คือถ้าราคาไม่เกินความสามารถ เขาก็ซื้ออยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าให้ทําด้วยความเคารพ ไม่ใช่ไปวางเกะกะเกลื่อนกลาดหมด อย่างสมัยนี้เขาบังคับ แถวท่าพระจันทร์ ถ้าหากว่าไม่วางพระบนโต๊ะ ก็ห้ามตั้งขาย สมัยก่อนเขาวางบนทางเท้าเลย สมัยนี้ถูกบังคับก็เลยดีขึ้น มาหน่อย
ถาม : คนที่เช่าพระเพื่อเก็งกําไรอย่างเดียว โดยไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นอนุสติเลย ?
ตอบ : ปล่อยให้เขาทํามาหากินตามปกติไป ไม่ได้ไปปล้น ไปจี้ ไปโกงใคร แต่อย่างน้อยก็ให้ปฏิบัติด้วยความเคารพ
มีสมัยหนึ่งเขาเอาพระไปเล่นกําถั่วทายกัน จะออกคู่ออกเล่นได้ เสียกันอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นมีหวังลงนรกหมดถ้าจะทําก็ให้ทําด้วยความเคารพ
มีบางร้านเขาทําดีมากก่อนที่จะเอาพระออกมาให้ลูกค้าดู เขาล้างมือให้สะอาด แล้วก็ปูผ้าขาว แล้วค่อยหยิบพระออกมาวางให้ลูกค้าดูเขาทําขนาดนั้น แสดงว่าเคารพพระจริง ๆ
ถาม : อย่างในสมัยอดีต ที่เขาไปตกพระตามกรุล่ะครับ ?
ตอบ : อันนั้นติดหนี้สงฆ์แน่นอนถ้าตกพระ ก็มีกรุเดียวคือกรุบางขุนพรหม
*************************
“เรื่องของเด็ก ๆ เราควรทําให้เขารู้สึกว่า มาวัดหรือมาหาพระแล้ว ได้อะไรไปบ้าง โดยเฉพาะในวันเกิดของเขา
เด็กรุ่นหลังนี้วันเกิดเป็นเรื่องสําคัญบางคนเป็นเด็กอนุบาลอยู่ยัง ไม่ทันจะรู้เรื่องเลย ก็จัดงานวัดเกิดแล้ว
บางทีเด็ก ๆ เขามาจัดงานวันเกิดให้อาตมา เขาปักเทียนแบบที่เป่าแล้วติดใหม่ช่วยกันจุดกลั่นแกล้งหลวงตา อาตมาเป่าพรวดเดียวเทียนดับเกลี้ยง...!
เด็ก ๆ บอกว่าหลวงตาใช้ไสยศาสตร์ แล้วสงสัยว่าอาตมาเป่าดับได้อย่างไร เพราะว่าตัวเขาเองเป่าเท่าไรก็ไม่ดับ พอดับแล้วก็ติดใหม่
คนสมัยก่อนจะจัดงานวันเกิดก็ต่อเมื่ออายุครบ ๖๐ ปี เพราะว่าการสาธารณสุขต่าง ๆ ช่วงนั้นยังไม่เจริญ คนมักจะตายตั้งแต่อายุน้อย ๆ
อีกอย่างหนึ่ง เขานิยมแต่งงานกันตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ฉะนั้น...คนสมัย ก่อนพออายุ ๓๐ ปีนี่ดูแก่มากเลย อายุ ๖๐ ปี ก็คือคุณปู่ คุณตา คุณทวดแล้ว จึงมีการจัดงานวันเกิด แล้วก็จัดงานทําบุญ
คนจีนเขาเรียกวันเกิดว่า “แซยิด” จริง ๆ เขานิยมจัดแซยิดตอน อายุ ๖๐ ปี
พอจัดงาน ๖๐ ปีไปแล้ว ต่อไปก็อยู่ในลักษณะแบ่งเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือ จัดทุก ๑๐ ปี เช่นว่า ๗๐, ๘๐ , ๙๐
อีกอย่างหนึ่ง ก็จัดทุก ๑๒ ปี ก็เป็น ๗๒ , ๘๔ , ๙๖ เป็นต้น
ที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าคนโบราณเขารอบคอบ คนที่จะจัดงานบุญ ฉลองอายุใหญ่ ๆ โต ๆ ได้ ส่วนใหญ่เป็นท่านที่มียศมีอํานาจ
คราวนี้คนที่มียศมีอํานาจส่วนใหญ่ก็มีบริวารมาก เวลาจัดงาน บริวารก็ต้องมา บางทีบริวารอยู่หัวเมืองไกล ๆ ต้องพายเรือ ต้องขี่เกวียน ต้องเดินเท้ามา ทําให้เขาลําบาก
ฉะนั้น..การจัดงานทุกปี จึงเป็นการรบกวนบริวารตัวเองมากจนเกินไป ก็เลยเปลี่ยนเป็นจัด ๑๐ ปีครั้งหนึ่ง หรือว่า ๑๒ ปีครั้งหนึ่ง
สมัยนี้รถราม้าช้างไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวกัน เดินทางสะดวก ผู้ใหญ่ท่านจะจัดงานวัดเกิดทุกปีก็ไม่มีใครว่าอะไร ไปให้ท่านเห็นหน้าเสียหน่อย
“ไม่ไปก็ไม่ว่า....แต่ผมจําแม่นนะ...!” อะไรอย่างนี้ มีการขู่อีกด้วย
เพราะฉะนั้น...งานวันเกิดก็เลยกลายเป็นงานที่ค่อนข้างเกร่อ เป็นสาธารณะไม่เหมือนโบราณ ที่โอกาสจัดงานวันเกิดของคนหนึ่งมีแค่ไม่กี่ครั้ง
สมัยนี้เด็ก ๆ ปักเทียน ๒ เล่มก็เป่าเค้กกันแล้ว ต่อไปถ้าจะให้อาตมาเป่าเค้ก ขอให้เปลี่ยนเป็นขนมครกนะ ถ้าไม่ใช่ขนมครกจะเป็นขนมชั้นก็ได้
อาตมาฉันเค้กได้อย่างเดียวก็คือ เค้กผลไม้ ต้องใส่ผลไม้เยอะ ๆ ด้วย เวลาอาตมาสั่งเค้กผลไม้พิเศษ จะเป็นเค้ก ๑ ปอนด์ ใส่ผลไม้ไป ๓ ปอนด์
เค้กเป็นอาหารฝรั่ง เด็กรุ่นหลัง ๆ กินอาหารตามแบบฝรั่ง โดยที่ ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศบ้านเขาอากาศหนาว ก็ต้องกินนมกินเนย กินไอศกรีม เพื่อที่จะเอาพลังงานไปสู่ความหนาวบ้านเราอากาศร้อนกินเข้าไปร่างกาย ก็เก็บหมด จึงกลายเป็นโรคอ้วนกันมาก
วันเกิดอาตมาไม่ค่อยได้นึกถึงหรอก บางคนมาบอกว่าวันนี้วันเกิดอาจารย์ อาตมาถึงนึกได้เพราะไม่ได้ให้ความสําคัญเลย ที่ให้ความสําคัญคือ วันตาย กําลังรออยู่ ถึงคิวเมื่อไรก็ไปละนะ”
*************************
ถาม : ตะกรุดโสฬสมหามงคล เวลาเลี่ยมให้เอาห่วงตรงหัวท้ายออกหรือ เปล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา เอาออกก็ได้ไม่มีใครเขาว่า เขาทํามาไว้สําหรับแขวน เราจะไม่แขวนก็เอาออกไป
เอาห่วงไปหล่อพระก็ได้ เก็บไว้เป็นชนวน ต่อไปนาน ๆ ถ้าไม่มี ชนวนก็มาเอาไปนิดหนึ่ง ตอนหลวงพ่อยังอยู่ไม่เท่าไรหรอก ตอนหลวงพ่อมรณภาพเมื่อไร กลายเป็นของวิเศษทุกอย่างแหละ แย่งกันจะเป็นจะตาย
ถาม : ตะกรุดโสฬสไม่ได้บังคับใช่ไหมครับ ว่าต้องเป็นทอง นาก เงิน ?
ตอบ : ตะกรุดโสฬสของหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหา เถร) วัดสุทัศน์ฯ ท่านใช้ทองคํา เขียนแล้วไม่ได้ม้วนด้วยนะ ท่านสอดเอาไว้ ใต้หมอนนอนหนุนทุกวัน
หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์ฯ ต้องบอกว่าท่านแหวกฟ้ามาปรากฏ เพราะว่า ๗๐ กว่าปีที่ตําแหน่งพระสังฆราชเป็นฝ่ายธรรมยุติมาตลอด
มีอยู่ ๑๑ ปีที่ว่างเว้นตําแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ที่ไม่ทรงแต่งตั้ง เนื่องจากรอสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งตอนนั้นยังอาวุโสไม่พอ รอให้อาวุโสได้ก่อนแล้วถึงทรงตั้งขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ความเด็ดขาดของสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) วัด สุทัศน์ฯ เกิดขึ้นจากการที่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อน ตั้งใจจะให้พระทั้งประเทศห่มผ้าแบบธรรมยุติทั้งหมด
หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์ฯ เอง ท่านห่มมังกรแบบมหานิกาย ท่านบอกว่าห่มอย่างนี้มาตลอด ถ้าจะให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วจะลงโทษก็ยินดีรับโทษ
เล่นเอาท่านที่ออกคําสั่งไปไม่เป็นเหมือนกัน ตอนนั้นถ้าจําไม่ผิด รู้สึกว่าสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์ฯ ท่านยังเป็นสมเด็จพระวันรัตอยู่
เพราะท่านเด็ดขาดแบบนี้แหละจึงได้แหวกวงธรรมยุติขึ้นมาเป็น พระสังฆราชองค์แรกของมหานิกายในรอบ ๘๐ ปี
*************************
“เรียนหนังสืออย่าไปกลัว ถ้ากลัวแล้วเรียนไม่สนุกหรอก ต้องเรียนเพราะอยากรู้
อยากรู้ว่าชั่วโมงนี้อาจารย์จะสอนอะไรเรา อยากรู้ว่าชั่วโมงนี้เราจะเถียงอาจารย์ได้ไหม ถ้าแบบนี้จะสนุกมากเลย เถียงให้มีศิลปะด้วยนะ ถ้าเถียงไม่มีศิลปะเดี๋ยวอาจารย์โกรธ เราก็หมดอนาคตอีก
อาตมาเถียงอาจารย์ทุกชั่วโมงแหละ แต่เถียงในลักษณะที่ว่า
“ท่านอาจารย์ครับ เป็นไปได้ไหมครับว่า...”
หรือไม่ก็ “ท่านอาจารย์ครับ คิดว่าเป็นอย่างนี้ได้ไหมครับ”
เป็นลูกศิษย์ที่นั่งเถียงอาจารย์ทุกชั่วโมง แต่เถียงแล้วอาจารย์โกรธไม่ได้ เพราะว่าไม่มีความคิดของอาตมาเลย ที่เถียงกันมีแต่ความคิดอาจารย์
จนกระทั่งท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ ท่านบอกว่า “ถ้าพระคุณเจ้าทักท้วงนี้ ผมต้องพิจารณาทันทีเลยว่า ผมพลาดแล้วแน่นอน”
*************************
ถาม : เวลากฎแห่งกรรมเล่นงาน ทําไมถึงรวม ๆ เล่นมาทีเดียวเลย ?
ตอบ : เราไปปิดกั้นเขาไว้ด้วยกุศลมานาน อกุศลเหมือนกับแขก ไปไหนไม่ได้ ก็ยืนรออยู่หน้าบ้าน ยิ่งรอนานก็ยิ่งมาก เราเปิดประตูเมื่อไร อกุศลก็พรวดเข้ามาพร้อม ๆ กัน
ถาม : แสดงว่าไม่ได้ดึงไว้ แต่อกุศลรออยู่แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รออยู่แล้ว ทางรอดก็คือ ต่อกุศลของเราไว้อย่าให้ขาด ขาดช่วงเมื่อไหร่โดนแน่..!
*************************
ถาม : เซ้งตึกไว้ที่หนึ่ง มีเจ้าที่เป็นศาลตี่จู่เอี้ยของเจ้าของเดิม ถ้าจะถอน ต้องทําอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นที่จู่เอี้ย เราก็บูชาต่อได้เลย ไม่เป็นไร
ถาม : แต่ศาลเก่ามากแล้วค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเก่ามาก เราจุดธูปบอกท่านแล้วขอเปลี่ยนของใหม่ให้ท่านไป ของเก่าเราก็เอาไปลอยน้ํา หรือไปไว้โคนไม้ใหญ่
ถาม : ต้องบวงสรวงไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง เพราะว่าตี่จู่เอี้ยพิธีท่านไม่มากหรอกประเภทถวายน้ําชา ๔ เหล้า ๔ โหงวก้วย ซาแซเท่านั้นเอง ทําแบบจีนไปเลย
ถาม : วันศุกร์ที่ ๒ เป็นวันฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เตรียมงานไม่ทันค่ะ ?
ตอบ : นิมนต์พระเข้าไปวันนั้น ส่วนวันอื่นจะทําอะไรก็ช่าง
วันที่นิมนต์พระท่านเข้าไป ถือว่าเป็นการขึ้นบ้านใหม่
วันไหนฤกษ์ดีเรานิมนต์พระเข้าวันนั้นแหละ เพราะอย่างไรเสียหิ้งพระก็ตั้งทันอยู่แล้ว ส่วนงานอื่นเราก็ทําของเราไปก่อน สะดวกเมื่อไรค่อย จัดทําบุญบ้านอย่างเป็นทางการอีกที
*************************
ถาม : ตี่จู่เอี้ยเป็นภูมิเทวดาไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : เขาก็บอกชัด ๆ ว่า ภูมิเทวดา แต่ธรรมเนียมจีนเขาตั้งบนพื้น
คําว่า “ตี่จู้” คือ เจ้าของที่ดิน
เขาก็เลยให้วางแปะติดดิน ส่วนธรรมเนียมของเรานิยมตั้งเสมอดวงตา ก็เลยกลายเป็นศาลเพียงตา
*************************
“ณญาดา” แปลว่า ไม่มีญาติ
ณ แปลว่า ไม่
ญาดาหรือญาตะ ก็คือญาติ
ฉะนั้น..ณญาดา แปลว่า คนไร้ญาติ
ณเดช แปลว่า ไม่มีอํานาจ
ณพล แปลว่า ไม่มีกําลัง
คนไหนชื่อขึ้นด้วย ณ หรือ นิ ให้รีบเปลี่ยน อย่างนิโรจน์ แปลว่า ไม่รุ่งเรือง
มี นิ คําที่ถูกก็คือ นิรัช แปลว่า ไร้ธุลี ก็คือสะอาด ผ่องใส
เพราะฉะนั้น...ตั้งชื่ออย่าไปตั้งส่งเดช ชื่อไพเราะ แต่พอแปลออก มากลายเป็นคนไร้ญาติแสดงว่าชื่อเล่นไม่ได้ชื่อยุ้ย ถ้าชื่อยุ้ยต้องญาติเยอะ...!
ภาษาบาลีวรรค ตะ กับวรรค ฏะ ใช้แทนกันได้ ต ถ ท ธ น แล้ว ก็ ฏ ฐ ธ ฒ ณ
ฉะนั้น...บาลีจะมีคําหนึ่งคือ นัตถิ แปลว่า ไม่มี ฉิบหาย หมดสิ้นแล้ว
พอมาแปลงข้ามวรรคอีกทีเป็น ณัฏฐิ แต่ถ้าเราเขียนเป็น ณัฐ ก็ แปลว่านักปราชญ์”
*************************
“มีใครได้อ่านข่าวขอทานทําบุญเป็นล้านบ้างไหม ?
ลุงเลี่ยมทําบุญ ๙๙๙,๙๙๙ บาท เป็นขอทานที่วัดไร่ขิง ทําบุญร่วมบูรณะฐานชุกชีโบสถ์หลวงพ่อวัดไร่ขิง ขาดไป ๑ บาทก็ครบหนึ่งล้าน
ความจริงเขามีเงินเกินกว่านั้น แต่เขาให้แค่นั้น ทําเลข ๙ หกตัว เรียงเป็นตับ ท่านเจ้าคุณแย้ม (พระราชวิริยาลังการ) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงติด ป้ายยกย่องให้เลย
คนแถวนั้นเขาเคารพและรักหลวงพ่อวัดไร่ขิงมากถึงขนาดอาตมา เรียนปริญญาตรีอยู่ ๒ ปีกว่า ไปฉันข้าวร้านไหน ๆ ก็ไม่เก็บเงิน เขาบอกว่า อยู่ได้เพราะหลวงพ่อวัดไร่ขิง เพราะฉะนั้น...ขอเขาเลี้ยงพระเถอะ
จนสุดท้ายไปเป็นลูกค้าร้านประจําร้านหนึ่ง เพราะว่าตกลงกันไว้ว่า มาฉันอาหารเขาจะเก็บมื้อละ ๑๐ บาท ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ไม่เข้าร้าน มีปัญญาฉันเท่าไรก็ฉันไป เขาเก็บแค่ ๑๐ บาท แต่ร้านอื่นไม่เก็บ อาตมาเลยไม่เข้า”
ถาม : ขอทานคนนั้นจะได้บุญกุศลไหมครับ ?
ตอบ : เขาตั้งใจทําบุญเขาต้องได้แน่เขาถือว่าได้เงินเพราะอาศัยบารมีหลวงพ่อวัดไร่ขิง เวลานั่งขอทาน คนเข้าคนออกวันหนึ่งเป็นหมื่น ได้คนละบาท ก็เหลือเฟือแล้ว
ฉะนั้น..จะไปดูถูกขอทานไม่ได้นะ เคยมีการ์ตูนของอาวัฒน์เขียนภาพว่า มีผู้จัดการธนาคารขับรถมา จอดรถแล้วลงไปพินอบพิเทากับขอทาน
“ท่านครับ...ท่านจะเบิกเท่าไรครับ ?”
ขอทานมีเงินเยอะขนาดนั้น ผู้จัดการต้องไปหาด้วยตัวเองเลย
“กรุณาฝากกับสาขาของผมต่อไปก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเบิกเลย”
*************************
อย่างชูชกมีเทคนิคในการขอทาน ยกยอปอปั้นจนคนต้องให้ เหมือนกับเรื่องที่ชายหนุ่มยอคนหัวล้านจนได้วัวไป
ชายหัวล้านกําลังจูงวัวจะไปขาย ชายหนุ่มคนนี้ผ่านมาถึงก็บอกว่า
“พ่อผมดกปรกไหล่ พ่อจะจูงวัวไปไหน ?”
ชายหัวล้านก็ว่า “พ่อตั้งใจจะเอาวัวไปขาย แต่เห็นเจ้าน่ารัก พ่อก็เลยยกให้” ชายหนุ่มได้วัวไปแบบง่าย ๆ
พอจูงวัวเดินไปเจอเพื่อน เพื่อนถามว่าได้วัวมาจากไหน ?
ชายหนุ่มบอกว่า “ไอ้หัวล้านให้มา”
เพื่อนปากหมาก็วิ่งไปบอกชายหัวล้าน ชายหัวล้านโมโหถือปฏัก ไล่ตามมาจะฟาดกบาล ชายหนุ่มหันมาเจอ รู้ทางก็ตะโกนทักแต่ไกลเลย
“พ่อผมดกปรกไหล่ พ่อถือปฏักวิ่งทะเลิ่กทะลั่กไปทําอะไร?”
ชายหัวล้านได้ยินหายโกรธเลยพูดว่า “ลูกเอ๋ยลูกรัก เห็นเจ้าลืมปฏัก พ่อเลยเอามาให้”
เสร็จอีกจนได้ ถ้าขึ้นไปบ่อย ๆ มีหวังหมดตัวแน่นอน
*************************
อย่างที่โบราณบอก “ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย ถึงรู้มากไม่มีปากลําบากตาย มีอุบายพูดไม่เป็นเห็นป่วยการ” แบบเดียวกับซูฉิน
ซูฉินเกิดในสมัยรัฐสงคราม (จ้านกว๋อ) ยุคนั้นรบกันแหลก ซูฉินจบมาจากหุบเขาปิศาจ ถือว่าเป็นสุดยอดของสถาบันวิชาการสมัยนั้น
จบออกมาก็อาสาเป็นนักการทูต แต่ดันไปพูดผิดหู เพราะดันไปแนะนําเขาให้สงบศึก ทําสัญญาเป็นพันธมิตรกัน
อีกฝ่ายเขาต้องการรบ จึงสั่งจับเฆี่ยนซูฉินจนปางตาย หอบหิ้วสังขารกลับบ้านไป ฝ่ายภรรยาก็ใส่ยาไปร้องห่มร้องไห้ไป บอกกับซูฉินว่า
“พี่เลิกเถอะ...อาชีพนักการทูตไม่รุ่งหรอกเดี๋ยวโดนเขาตีตาย”
ซูฉินแลบลิ้นให้ดู แล้วถามว่า “ลิ้นของพี่ยังปกติอยู่หรือเปล่า ?
เมียก็บอกว่าปกตินะสิ ไม่ได้โดนอะไร
ซูฉินบอกว่า “ถ้าลิ้นยังอยู่ไม่ต้องกลัวหรอกพี่เอาดีจนได้แหละ”
เขามั่นใจตัวเองขนาดนั้น แล้วในที่สุดเขาก็ทําสําเร็จ เพราะว่าเขาใช้กลวิธี “ร่วมประสานแนวดิ่ง”
คือให้รัฐที่อยู่ทางด้านทางตรงประสานจับมือหมด เพื่อโดดเดี่ยวรัฐฉินของฉินซีฮ่องเต้
*************************
“คุณโอรสเบิกเงินมาถวาย เงินจากการให้บูชาพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ชุดกรรมการ ๑๙๙ ชุด เป็นเงิน ๑,๖๕๕,๘๐๐ บาท
และญาติโยมที่ร่วมบุญตามกําลังศรัทธา ๑๐๔,๒๐๐ บาท
รวมทั้งสิ้น ๑,๗๖๐,๐๐๐ บาท
เกือบจะพอแล้ว เพราะว่าอาตมาต้องการแค่ ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น.... ต้องการเจ็ดล้าน ได้มาล้านเจ็ด ถือว่าได้ตามเป้าแล้ว
ท่านใดที่จองพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการ หรือพระนาคปรกไว้รีบมารับนะ ขึ้นช้าเดี๋ยวโดนยึดเป็นของกลางหมด จ่ายเงินแล้ว ไม่มาเอาสักที เจ้าหน้าที่ก็มารอแล้วรออีก”
*************************
“ตอนนี้กําลังวางแผนที่เป็นไปไม่ได้ก็คือพออายุ ๖๐ ปีแล้วอาตมาจะเกษียณ พระที่วัดพอเวลาอาตมาพูดถึงตําแหน่งเจ้าอาวาสนี่ยอมให้พระอาจารย์ไล่ออกจากวัดเลย ไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาสกันเด็ดขาด..!”
ถาม : ต้องไปนมัสการหลวงปู่ปานให้ลงมา ?
ตอบ : ไม่ทันแล้ว ช่วงจังหวะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว เพราะว่าอาตมาทันเห็นของโบราณ และทันเห็นของทันสมัย ยืนอยู่ตรงกลางพอดี คนมาใหม่ก็เห็นแต่ของทันสมัย ไม่รู้อะไรที่เป็นโบราณเลย
*************************
ถาม : งานพุทธาภิเษกที่วัดเนินสุทธาวาสบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ?
ตอบ : อาตมาแอบดูครูบาอาจารย์ทุกท่าน ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙ ใช้กําลัง ของตัวเองทั้งนั้น
แต่ว่าดูถูกไม่ได้เลยนะ บางท่านกําลังใจพุ่งเป็นเข็มเลย บางท่านไปเป็นลําอย่างกับไฟฉายแรงสูง ถือว่ากําลังสูงมากเลย
แต่ประเภทที่จะครอบคลุมทีเดียวหมด แบบกําลังของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี
ถาม : แล้วท่านละครับ ?
ตอบ : อ๋อ นั่งดูพระท่านอย่างเดียว พอท่านบอกว่าพอแล้วก็ลืมตาได้
ถาม : ทําไมท่านอื่น ๆ ไม่ใช้วิธีอาราธนาบารมีพระบ้าง ?
ตอบ : ท่านไม่รู้วิธี
ถาม : จริงหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ตามสายครูบาอาจารย์ของท่านไม่ได้สอนมาอย่างนี้
ถึงได้บอกว่าพวกเรานี่โชคดีสุด ๆ เลย ครูบาอาจารย์ของพวกเรา รู้จักพระพุทธเจ้าก็เลยสอนลูก ๆ ให้รู้จัก แล้วก็ขอบารมีท่านสงเคราะห์ได้ เหมือนอย่างกับเด็กมีเส้น
ส่วนท่านอื่นไม่มีเส้น ท่านไม่รู้จัก ก็ต้องปล่อยไปเรื่อย ท่านก็คงไปสอนลูกศิษย์หลานศิษย์ต่อ ๆ กันไปแบบเดิม
ถาม : เหมือนลูกคนรวย แล้วไม่ยอมทํามาหากินเองเลยครับ ?
ตอบ : แบบนั้นเลยแต่ของเราต้องไม่ประมาทนะ เรารวยก็จริง แต่ถ้ารวย แล้วประมาท นักปราชญ์จีนเขาว่าก็ไม่เกิน ๓ รุ่นเจ๊งแน่นอน..!
*************************
ถาม : การขอบารมีพระตั้งแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมา ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับเลยนะครับ ?
ตอบ : คนอาจจะรู้วิธีมากขึ้น แต่คนที่รู้วิธีแล้วขอได้ถูกต้องกลับมีน้อยลง
ถาม : ยากหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนกับคุณไปขอในหลวงให้เสด็จฯ
ถาม : รู้ว่าขอได้ แต่จะขออย่างไร ?
ตอบ : จะขออย่างไรให้ท่านเสด็จฯ
แบบเดียวกับสมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุง ไปขอหลวงพ่อออกธุดงค์ ขอทีไรได้ทุกที่ คนอื่นไปขอนี่หัวหดกลับมาไม่ได้สักคน ขึ้นอยู่กับการใช้ คําพูดนิดเดียว
อาตมามอบความไว้วางใจว่า ไม่ว่าจะไปทําอะไรที่ไหน พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านรู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเข้าไปถึงส่งใบลาก็กราบเรียนว่า
“หลวงพ่อครับ..ผมขออนุญาตไปกาญจนบุรี ๑๐ วันครับ”
ท่านก็ “เออ...ไปเถอะ”
บางทีก็ “หลวงพ่อครับ..ผมขออนุญาตไปบ้านไร่ อุทัยธานี ๑๕ วันครับ”
ท่านก็ “เออ...ไปเถอะ” ก็แค่นั้น
ท่านอื่นเข้าไปถึง ส่งใบลาแล้วกราบเรียนว่า “หลวงพ่อครับ...ขออนุญาตไปธุดงค์ ๑๕ วันครับ”
หลวงพ่อท่านก็พูดเสียงเข้มเลยว่า “แกแน่ใจแล้วนะ ?”
เรียบร้อย...หงายท้องตึงกลับมา คนหนึ่งขอไปธุดงค์ คนหนึ่งขอไป เฉย ๆ แต่หอบอะไรต่อมิอะไรออกไปธุดงค์
จนกระทั่งเป็นที่อิจฉามารศรีของพระพี่พระน้องว่าทําไมอาตมาขอทีไรได้ทุกที อยู่ที่ใช้คําพูดนิดเดียว แล้วท่านก็รู้กลับมาท่านก็ถามทุกทีแหละ
“แกไปตรงนั้นตรงนี้มาใช้ไหม ?”
ไม่ต้องไปเถียงเลย ถูกต้องทุกครั้ง
ถาม : ถ้าพระที่วัดท่าขนุนไปธุดงค์ ท่านจะรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่อยากรู้หรอก แต่เขาพยายามจะให้รู้
เตือนเขาอย่างหนึ่งว่า
“ที่ต้องไปแล้วบอกครูบาอาจารย์ เพราะว่าบางสถานที่ พวกคุณจะเอาตัวไม่รอด
ครูบาอาจารย์ส่งใจไปล่วงหน้าอุทิศส่วนกุศลให้ท่านแถวนั้นจนทั่ว แล้วฝากท่านว่า ถ้าลูกศิษย์ผมมาช่วยดูแลให้ด้วย
คุณไปถึงก็นอนตีพุงสบายใจเฉิบ ลําพังคุณไปเองอาจจะโดนตื้บกลับมา
*************************
ถาม : เอาสร้อยพระไปวางแล้วคนอื่นเดินข้าม เกิดไม่มั่นใจ ขอหลวงพ่อเสกให้หน่อยค่ะ ?
ตอบ : จําเอาไว้นะ มีคนไปถาม หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ว่า
“หลวงพ่อครับ แขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดใต้ถุนบ้านได้ ไหม ?
“หลวงพ่อครับแขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดราวผ้าได้ไหม?
หลวงพ่อเดิมบอกว่า “งูเห่าเลื้อยลอดใต้ถุนบ้าน เลื้อยลอดราวผ้า มากัดเอ็ง เอ็งตายห่..ไหม ?”
ตายสิครับ...
หลวงพ่อเดิมบอกว่า “เออ..พระที่ข้าเสกก็เหมือนกันนั่นแหละ ลอดไปเถอะ ถ้าไม่ได้เจตนาจะลอดให้เสื่อมก็ไม่เป็นไร”
แสดงว่ากําลังใจยังไม่พอ แค่นี้เราก็ฝ่อแล้ว
พระที่เสกด้วยพุทธานุภาพ อยู่ที่ต่ำอย่างไรก็ไม่เสื่อม แต่อย่าไปตั้งใจทํา อย่างเช่นตั้งใจเดินข้าม ตั้งใจลอดใต้ถุนบ้าน ตั้งใจลอดราวผ้าเพื่อให้เสื่อม ถ้าอย่างนั้นจะเสื่อมจริง ๆ
แต่เสื่อมแล้วคนทําลงนรก เพราะข้อหาปรามาสพระรัตนตรัยด้วย ถ้าไม่ได้เจตนาก็มุดไปเถอะ ตรงไหนก็ไปได้
ต้องบอกว่าใจเสื่อมจากคุณพระ ตั้งใจทําให้เสื่อม แปลว่าไม่เคารพ แล้วในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เสื่อมจริง ๆ แต่ตัวเองลงอเวจีไปด้วย
ถาม : งานพุทธาภิเษกวัดเขาวงเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : พี่ ๆ ทุกท่านมอบความไว้วางใจให้ นั่งรอเลยว่าอาตมาจะบอกว่า เต็มเมื่อไร
ถาม : พอท่านลืมตาปุ๊บ หลวงพ่อมนัสก็ลืมตาปั้บ ?
ตอบ : พวกท่านที่รู้นะรู้เท่ากัน แต่ท่านที่ไม่รู้ก็รอจังหวะว่าอาตมาจะให้ สัญญาณเมื่อไร
ถาม : ทําไมหลวงตาท่านไม่ใช้ฤกษ์เสาร์ ๕ ครับ ?
ตอบ : ฤกษ์เสาร์ ๕ รวมลูกศิษย์สายหลวงพ่อไม่ได้นะสิ ต่างคนต่างจัดงานไหว้ครู
ถาม : วัตถุมงคลพุทธานุภาพเท่ากันไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่พระท่านจะมาสงเคราะห์ไหม ? ถ้าพระท่านมาสงเคราะห์ก็เหมือนกันนั่นแหละ
ถาม : ลูกแก้วที่เข้าพิธีที่วัดเขาวงนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : รีบไปหาไว้ อาตมานาน ๆ จะโดนประเภทยาวไม่เลิกสักที
เพราะว่าเสกแก้วเป็นพระจะเสกยาก ถ้าหากว่าปกติไม่ได้มีแก้วจักรพรรดิเป็นองค์ประธานอยู่ด้วย ไม่หนี ๒ ชั่วโมง นั่นยังดีประมาณ ๔๐ - ๔๕ นาที
ถาม : ใครพกลูกแก้วไปในบริเวณงานก็ได้ด้วย ?
ตอบ : อยู่ที่คุณตั้งใจหรือเปล่า ? แต่วันนั้นอาตมาตั้งใจขอให้หมดเลย แม้กระทั่งที่อยู่ที่บ้านก็ให้ ถ้าเขาตั้งใจรับ
ถาม : ขอตอนนี้ยังทันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ทันแล้ว
โดยเฉพาะว่าขออนุญาตท่านปู่ท่านย่า ขอบารมีองค์แก้วจักรพรรดิ ช่วยสงเคราะห์พวกเราให้มีความสะดวกคล่องตัว
เพราะว่าสถานการณ์ประเทศชาติดียาก คนเราไม่อยากให้ดีว่า อย่างนั้นมีแต่คนเอาเท้าราน้ํา
ถาม : กําลังใจที่พวกเราตั้งใจทําสมาธิล่ะครับ ?
ตอบ : ช่วยได้เฉพาะพวกเรา เหมือนอย่างกับน้ําถังหนึ่งเทลงในทะเล ก็หายเค็มแค่จุดนั้นหน่อยหนึ่ง ที่อื่นก็ยังเค็มปี๋เหมือนเดิม
ตรงนี้ทําให้ไปนึกถึงหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ ญาติโยมไปเล่าให้ท่านฟัง เรื่องหลวงปู่ทวดเหยียบน้ําทะเลจืด
หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ บอกว่า ข้าเหยียบน้ําจืดเป็นน้ําทะเลได้
ลูกศิษย์ก็ตาลุก บอกว่า “หลวงพ่อทําได้จริงหรือครับ?
ท่านบอกว่า “จริงสิวะ...แค่เอาตีนแหย่ลงท่าน้ําตรงนี้เดี๋ยวพอไหล ถึงปากอ่าวก็เค็มแล้ว”
*************************
|