เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนมีนาคม ๒๕๕๕
ถาม : กฎแห่งกรรมกับกฎสังสารวัฏ ใครเป็นผู้คุมกฎ ?
ตอบ : เราทำเอง เพราะฉะนั้น...จะเรียกว่าเราเป็นผู้คุมกฎก็ได้ เพราะถ้าเราไม่ทำก็ไม่ต้องรับกรรมนั้น ๆ ถ้าทำเมื่อไรก็ต้องรับ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว
ถาม : แต่ละคนเป็นคนรับ ไม่มีใครมาคุม ?
ตอบ : การกระทำของเรา ที่บาลีเขาเรียกว่า กรรม หรือกัมมะ นั่นแหละคือตัวควบคุม
เขาถึงได้เรียกว่ากฎแห่งกรรม ก็คือทำดีคุณได้ดี ทำชั่วคุณได้ชั่ว เพียงแต่ว่าเร็วช้าอยู่ที่ลักษณะการกระทำของเรา
ถาม : ทุกคนหรือครับ ?
ตอบ : ทุกคนไม่มีเว้น จนกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นกรรมไปแล้ว สิ่งที่ท่านกระทำเป็นเพียงจริยาหรืออาการเท่านั้น ไม่เป็นกรรม เพราะว่าจิตไม่ได้ปรุงแต่งไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง
เรื่องพวกนี้เกินความรู้คุณไปมาก พูดไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วที่ถามมาอาตมาไม่เห็นประโยชน์เลย สักแต่ว่ารู้ให้หายคัน แล้วก็เอาไปนั่งเถียงกับคนอื่นเขาต่อ
บางทีก็ไปยืนยันกับเขาว่าอาตมาว่าอย่างนั้น ถ้าคนที่เขาจะเถียงเสียอย่าง ก็เลยพลอยด่าอาตมาไปด้วย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะการเถียงกันทำให้ต้องพูดมาก
บุคคลที่พูดมากจิตย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมไม่สามารถเข้าถึงสมาธิ”
ผู้ที่ไม่เข้าถึงสมาธิ ปัญญาไม่เกิด ในเมื่อปัญญาไม่เกิด การหลุดพ้นก็ไม่มี
*************************
ถาม : สุขาวดีกับพุทธเกษตร เป็นอันเดียวกับพระนิพพานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของมหายานเขา อย่าเอามาปนกัน อย่าลืมว่าของเรานับถือพุทธศาสนาสายเถรวาท
ถาม : ตามความเชื่อของมหายาน ถ้าทำจริง ๆ แล้วมีจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มี
ถาม : ถ้ามีแล้วอยู่ในเขตภพภูมิไหน ?
ตอบ : อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วไม่ต้องไปยืนยันกับคนอื่นเขา เขาจะหาว่าคุณบ้า
สุขาวดีหรือพุทธเกษตรเป็นแดนของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะอยู่ประจำที่ชั้นดุสิตเป็นปกติ
พระพุทธเจ้าไม่ใช่ไม่รู้เรื่องทั้งหลายนี้ พระองค์ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ท่านหมายเอามรรคผลนิพพานเป็นที่ตั้ง
การที่ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกนับชาติไม่ได้ พระองค์ท่านก็เลยไม่สอน
แต่ว่าครูบาอาจารย์รุ่นหลังท่านไปพบเข้าแล้วเกิดชอบใจ เอามาสอน ก็เลยกลายเป็นพุทธศาสนามหายานขึ้นมาเท่านั้นเอง
ถาม : อรูปพรหมสื่อไม่ได้หรือสื่อไม่ถึง จริงไหมครับ ?
ตอบ : ลองไปสื่อดู ท่านไม่มีอายตนะรับรู้ มีแต่จิตเฉย ๆ ก็เลยรับอะไรไม่ได้ จนกว่าจะหมดบุญหมดกรรม แล้วมามีขันธ์ ๕ ใหม่
ไม่ว่าจะเป็นขันธ์ทิพย์หรือขันธ์หยาบก็ตาม ต้องประกอบไปด้วยอายตนะ ถึงจะรับรู้ต่อไปได้
*************************
“ช่วงที่อาตมาไปฝึกอบรมนักเทศน์ เขาบอกว่าการประกาศศักราชไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่ถ้าใครมีได้ก็จะดี
ยังดีที่ยุคหลังนี้ การประกาศศักราชเพียงแต่บอกว่าผ่านไปแล้วเท่าไร ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ นอกจากบอกว่าผ่านไปแล้วเท่าไร ยังบอกอีกว่าเหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี
ความจริงเป็นการเตือนสติให้คนรู้ว่า ระยะเวลาของพระพุทธศาสนาสั้นลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าเราไม่เร่งทำความดีไว้ อาจจะไม่ทัน
เนื่องจากว่าการประกาศศักราชนั้นเขาประกาศเป็นบาลี ก็มีการเปลี่ยนปี เปลี่ยนเดือน เปลี่ยนวันอยู่บ่อย ๆ พวกขี้เกียจจำหรือขาดความคล่องตัว ก็เลยเบื่อที่จะประกาศศักราช เพราะกลายเป็นของยาก
ปกติแล้วช่วงเช้าวันเสาร์ - อาทิตย์ ที่บ้านวิริยบารมีคนจะมาน้อย ก็เลยพอที่จะหลบไปช่วยท่านอาจารย์ ดร.พระมหาณรงค์ศักดิ์ประกาศศักราชแล้วค่อยกลับมารับสังฆทาน
อย่างน้อย ๆ เวลาที่พวกเราไปกัน เห็นคนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ยังพอดูแล้วชื่นใจหน่อย ว่คนที่สนใจทำความดียังพอมีอยู่ ไม่ใช่กลายเป็นสาวน้อย แปลกแยกจากสังคม ทำแล้วบ้า...!
ใครที่ทำตัวมีสติ ในสายตาของคนไร้สติเขาจะว่าบ้าทุกคน ให้ทนไปก่อน เดี๋ยวต่างคนต่างตายไปก็รู้เองว่าใครเป็นใคร
แบบเดียวกับคุณยายเมื่อเช้านี้ บอกว่าเจอผีอิสลามอุ้มลูกมาอยู่หน้าบ้าน ผีเรียกให้ออกไป คุณยายก็ออกไปดูหน้า แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะกลัวว่าอุทิศส่วนกุศลไปแล้วผีจะไม่รับ โธ่...ผีเขาอุตส่าห์มาแล้ว
อาตมาบอกคุณยายว่า ผีเวลาตายเขาฉลาดทุกตัว ไม่เหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โง่บรรลัยเลย เพราะไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พอตายแล้วรู้ทุกตัว รู้ว่าอะไรดีมีที่ไหนก็พยายามที่จะไปหา”
*************************
“ท่านอาจารย์ ดร.พระมหาณรงค์ศักดิ์ ท่านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น โดนไฟช็อตตาย พอฟื้นขึ้นมา ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาจัดงานสาธยายพระไตรปิฎก
จัดเป็นการกุศลจริง ๆ ใครจะทำบุญกับท่านอย่าถาม เอาเงินไปส่งให้ท่านเลยก็จบแค่นั้น เพราะถ้าถามท่านจะบอกว่าไม่รับ
ท่านจัดสาธยายพระไตรปิฎกมาหลายปีแล้ว เข้าเนื้อท่านอยู่บ่อย ๆ แต่ก็จัดไปเรื่อย เงินเดือนผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ น่าจะอยู่ที่ ๓๐,๐๐๐ บาทเศษ ๆ แต่เกลี้ยงไม่เหลือหรอก
ถึงเวลท่านเช่าเต็นท์จัดงานที ๗ วัน ค่าเต็นท์หลังใหญ่เท่าศาลาเขาคิดวันละ ๒,๕๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท ๗ วันก็ตกสองหมื่นบาทแล้ว ไหนจะค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก”
*************************
“มีพวกเซียนพระบางคนเล่นเฉพาะพระเนื้อทองคำ เขายืนยันว่าอย่างไรเขาก็มีกำไร
มีอยู่รายหนึ่งได้พระเป็นมรดกจากพ่อ ๓๐๐ กว่าองค์ อยากจะได้เงินไปลงทุนทำธุรกิจ ก็เลยเอาพระไปให้เซียนเขาดู ปรากฎว่าปลอมทุกองค์
แต่พอแกะกรอบไปขายแล้ว ได้มาเกือบ ๓ ล้านบาท เพราะว่าพ่อเลี่ยมทองไว้ทุกองค์เลย แสดงว่าพ่อรักพระจริง
พระ ๓๐๐ กว่าองค์เลี่ยมทองนี่ปาไปเท่าไรแล้ว ตีเสียอย่างน้อยทอง ๑๕๐ บาทแล้ว สรุปว่าพระปลอมแต่ทองแท้ ได้เงินไปลงทุนจนได้
จะว่าไปแล้วคำว่าปลอมหรือไม่ปลอมอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้ากำลังใจเราเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า มีความเคารพเป็นปกติ ต่อให้ปลอมแค่ไหนก็เป็นของจริง
แต่ถ้าหากว่าไม่มีความเคารพพระ คิดอยู่แต่เรื่องของการค้าขายเอากำไรอย่างเดียว จริงแค่ไหนก็เหมือนกับปลอม เพราะว่าไม่ได้ประโยชน์จากพระเลย นอกจากขายเอาเงินมาใช้
วงการพระเครื่องเป็นวงการของเสือสิงห์กระทิงแรด หาคนที่ซื่อสัตย์จริงใจยากมาก ใครที่มีของต่อให้แท้แค่ไหน เข้าไปถ้าเจอพวกขี้โกงก็กลายเป็นของปลอม
เขาจะมีพวกเขาอยู่ ๘ - ๑๐ คน พอเขาบอกว่าปลอม ส่งต่อไปทำท่าไม่สนใจ รายที่ ๒ ก็บอกปลอม รายที่ ๓ ก็บอกปลอม รายที่ ๔ ก็บอกปลอม
พอเจ้าของหมดกำลังใจ เก็บพระลงกระเป๋าทำท่าจะกลับ
“พี่ ๆ ปลอมได้เจ๋งมากเลย ขอซื้อไว้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยเถอะ พี่จะเอาเท่าไร ?”
ก็ต้องขายให้เขาถูก ๆ เขาจะเอาเป็น “องค์ครู” ว่าอย่างนั้น ใช้คำว่าซื้อความรู้ แต่ถ้าขายเมื่อไร เราเองจะกลายเป็นฝ่ายซื้อความรู้ ซื้อแพงด้วย เพราะมารู้ทีหลังว่าโดนหลอก”
*************************
“มีพระบางรุ่นเขาตีว่าแท้ สร้างประวัติขึ้นมา พอคนฮือฮาก็ขายต่อในราคาสูง คนรับช่วงก็จุกไปตามระเบียบ
หรือไม่ก็เที่ยวไปกว้านซื้อพระใหม่นี่แหละ สมมติว่าเป็นพระของวัดท่าขนุนก็แล้วกัน ไปถึงก็กว้านซื้อพระปิดตามมหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ ไว้
พอถึงเวลากว้านซื้อไปเยอะ ๆ เข้า คนเห็นว่าเซียนใหญ่กว้านซื้อต้องมีราคาแน่ ก็วิ่งไล่ซื้อเอาบ้าง จนราคาสูงไปเรื่อย ๆ
พอสูงได้ระดับที่เขาต้องการ เขาก็ปล่อยที่ซื้อมา คนที่รับช่วงต่อไปก็จุกสนิท เพราะราคาสูงจนกระทั่งคนเขาไม่ตามกันแล้ว ก็เลยมีอนาคตแน่ ๆ เพียงแต่เป็นอนาคตลงดิ่งเหว วงการนี้เขี้ยวลากดิน ไม่จำเป็นอย่าเข้าไป หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่คบกับพวกนี้เลย
ประมาณปี ๒๕๑๘ อาจจะหลังจากปีนั้นหน่อยหนึ่งก็ได้ หลวงพ่อท่านสร้างพระปิดตา ตชด.เป็นปิดตาลักษณะเดียวกับพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านที่อาตมาทำองค์เล็กนั่นแหละ เพียงแต่ของท่านตัดมุมเป็นเหลี่ยมไม่ได้ทำมุมมนแบบพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน
ท่านสั่ง ๓๐,๐๐๐ องค์ ปรากฎว่าเขาทำเกินเก็บไว้ถึง ๒๐,๐๐๐ องค์ พอเอาพระไปส่ง หลวงพ่อท่านสั่งเก็บเลย ท่านบอกว่าทางโรงงานผลิตเกินจะว่าปลอมก็ไม่ได้ เพราะว่าเนื้อก็ใช่ พิมพ์ก็ใช่
ตอนนั้นหนังสือลานโพธิ์เขาไปลงว่า
“ฤๅษีลิงดำรู้ด้วยญาณโรงงานโกง สร้างพระเกินจำนวนที่สั่งไว้ จึงระงับการพุทธาภิเษก”
หลังจากนั้นหลายปี พอเรื่องซาลงแล้ว ไม่มีใครใส่ใจแล้ว หลวงพ่อท่านค่อยเอาออกมาแจก ไม่อย่างนั้นทันทีที่ออกท้องตลาด เขาก็จะวางขายตามไปเลย
แบบเดียวกับ พระขรรค์โสฬส วัดท่าขนุน ขนาดทำสัญญารัดกุมมากเลยว่าห้ามทำซ้ำ เขาก็ยังทำหน้าตาเฉย เพียงแต่เขาลดขนาดลง เขาทำเล็กกว่าของทางวัดหน่อยหนึ่ง เพียงแต่ชื่อเดียวกัน วัดเดียวกัน โรงงานเดียวกันอีกต่างหาก
แล้วที่แสบกว่านั้นคือ มีการถวายวัดมาอีก ๒๐๐ เล่ม เขาจะดูว่าวัดปล่อยออกมาราคาเท่าไร เขาจะได้ใช้ราคานั้นเป็นหลัก
อาตมาก็เลยให้โยมไปถาม ว่าที่โรงงานเขาออกราคาเท่าไร เขาบอกว่าโรงงานออก ๑๙๙ บาท จึงให้ทางวัดออก ๒๐๐ บาท ให้กำไรเขา ๑ บาท
ในเมื่อเขาให้มา เราก็เลยช่วยเขาหน่อย ช่วยให้เขาได้กำไรไป ๑ บาท หลังจากนั้นมาอาตมากับโรงงานนี้ก็เลิกคบกัน ความดีเขาเยอะเกินไป ถ้าคบต่อไปเดี๋ยวจะดีตามไปด้วย...!
*************************
“พออาตมาไปถึง หลวงตาวัชรชัยก็ส่งไมค์ให้
“เอ้า..เล็ก...ช่วยเชียร์น้ำมนต์ให้หน่อย”
ทำอย่างกับอาตมาเป็นเด็กเชียร์เบียร์ไปได้...!
โอกาสที่พี่น้องจะไปรวมกันแบบนั้นจะยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแต่ละคนต่างก็มีภารกิจ ยกเว้นว่าจะกำหนดล่งหน้าเป็นงานประเพณีเฉพาะไปเลย ถ้าอย่างนั้นจะกำหนดวันล่วงหน้าได้
อย่างงานวันแม่ ๑๒ สิงหาคมของวัดท่าขนุน พี่ ๆ เขามักจะไปกันไม่ได้ เพราะวัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมต้องจัดงานกันทั้งนั้น อย่างวัดท่าซุง วัดเขาวง วัดศาลพันท้ายฯ ถึงเลาก็ต้องจัดงานของตัวเอง ไปงานวัดท่าขนุนไม่ได้
พี่ ๆ แต่ละคนนี่เหลือเกินจริง ๆ เวลาพุทธาภิเษกก็นั่งรออาตมาเลย ปล่อยให้พระอาจารย์เล็กนำไปเถอะ ส่วนตนเองนั่งเชียร์ พอเสร็จพิธีเรียบร้อยเมื่อไรก็รอดตายไปที
เคยได้ยินภาษิตจีนไหมที่บอกว่า
“เมื่อขึ้นมาจากน้ำ ไยต้องกลัวเปียกฝน”
หรือไม่ก็ “คนอยู่ในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเอง”
งานอย่างนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึง ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึง ก็โดดใส่งานเสียแต่แรกก็หมดเรื่อง จะเสียเวลาไปหลบไปหนีทำไม
ประเภทหนีจนแทบล้มประดาตาย แล้วในที่สุดก็เสร็จจนได้นี่เสียชื่อ วิ่งใส่เสียแต่แรกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ว่าใครจะอยู่ใครจะไป
บางท่านก็กลัวว่ามางานอย่างนี้แล้ว ต่อไปจะเสียความเป็นส่วนตัว เพราะคนจะรู้จักเยอะ นั่นไม่ใช่...ความเป็นส่วนตัวขึ้นอยู่กับเรา ถ้าความโหดเพียงพอ ก็จะไม่เสียความเป็นส่วนตัว ใครโผล่มาผิดจังหวะก็งับหัวให้ เดี๋ยวเขาก็ถอยไปเอง...!
ในเมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งของลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ก็เท่ากับเป็นบุคคลในยุทธจักร ต่อให้คุณต้องการความสงบขนาดไหน อย่างไรก็หาความเป็นตัวของตัวเองยาก
ในฐานะที่เกิดมาจากวัดท่าซุง ก็เหมือนกับอยู่ในน้ำแล้ว ในเมื่อขึ้นมาจากน้ำ เปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว จะไปกลัวฝนทำไม ? ว่าแล้วก็เดินลุยไปเลย
เพราะฉะนั้น...ภาษิตจีนนี่มีความหมายลึกซึ้งนะ ขึ้นมาจากน้ำแล้ว ไยต้องไปกลัวเปียกฝน”
*************************
ถาม : ลูกแก้วจักรพรรดิในงาน เป็นของหลวงพ่อฤๅษีฯ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่…ความจริงอาตมาจะหยิบมาแล้ว เพราะว่าตอนหลวงพ่อมรณภาพ ย่ามของหลวงพ่ออยู่กับอาตมา
แล้วอาตมาเป็นคนเอาไปถวายหลวงพ่ออนันต์ท่านเอง ถ้าจะอมไว้เองตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าว่า เพราะว่าตอนนั้นอาตมาเป็นมาเฟียคุมวัดอยู่...!
ถ้าหากว่าเอามาก็คงจะเหนื่อยรากเลือดอีก ความจริงแก้วทั้ง ๒ ดวงนั้น ถ้าหากว่าดูในแสงปกติจะทึบ ต้องส่องไฟใส่ถึงจะใส
เพราะฉะนั้น...ถ้าหากอยู่ ๆ เห็นใครเขาถ่ายรูปดวงแก้วทึบ ๆ มาแล้วเราก็ไปบอกไม่ใช่ มีหวังเถียงกันตายเลย เพราะว่าถ้าไม่ส่องไฟใส่จะสีทึบ
ถาม : ทำไมไม่เอามาครับ ?
ตอบ : อาตมายังอยากมีชีวิตอยู่อีกพักหนึ่ง...ถ้าเอามาก็ตายเร็ว เท่ากับแบกงานไว้ทั้งหมด ตอนนี้งานของอาตมาก็เท่ากับเสี้ยวเดียว แหม...รื่นเริงมาก
ถาม : มีดูดมาบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ดูดเฉย ๆ เผื่อหมดทุกคนเลย แบ่งกัน...พวกเอ็งรวย ข้าก็สบายไปด้วย
แต่ที่พิธีพุทธาภิเษกช้า เพราะว่าการเสกแก้วให้มีอานุภาพเหมือนพระเป็นเรื่องยากจริง ๆ ขนาดบารมีพระท่านสงเคราะห์ และมีแก้ว จักรพรรดิอยู่ด้วยยังยาก ไม่อย่างนั้นมีหวังปาเข้าไปอย่างน้อย ๒ - ๓ ชั่วโมง
*************************
“มีงานทําบุญบ้านวิริยบารมี วันที่ ๒๙ มีนาคม นี้ สวดมนต์ฉันเพล น่าจะเริ่มงานสัก ๑๐ โมง ถ้าใครว่างก็แวะมาช่วยกันเลี้ยงพระหน่อย
ปีที่แล้วทําบุญเปิดบ้านวันที่ ๓๑ มีนาคม ปีนี้วันที่ ๓๑ อาตมาติดงาน จึงต้องเลื่อนมาวันที่ ๒๙ แทน”
*************************
“เกี่ยวกับบรรดาคําทํานายต่าง ๆ พวกเราอย่าเพิ่งไปแตกตื่นตามนั้น เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงรู้ดีที่สุด ถ้าพระองค์ท่านขยับเรื่องใดแล้ว เราค่อยขยับตาม
อย่างพระองค์ท่านให้ทําทางด่วนระบายน้ํามาตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ แต่ไม่มีใครทํา พอน้ําท่วมแล้วค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า ในหลวงมีรับสั่งไว้นานแล้ว
ขอให้พยายามช่วยกันประคับประคองในหลวงของเราอยู่ไปให้นานที่สุด เพราะว่าบุคคลที่เป็นใหญ่ในแผ่นดินซึ่งผีและเทวดาเกรงใจตอนนี้มีอยู่ไม่มากแล้ว ถ้าสิ้นพระองค์ท่านไปแล้วเขาเลิกเกรงใจ พวกเราจะเดือดร้อนหนักกว่านี้...!”
*************************
ถาม : ช่วงนี้มีผู้ชายไม่แท้อยู่เยอะ จะทําอย่างไรให้เขาเปลี่ยนเป็นผู้ชายแท้ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปเปลี่ยน อย่าไปทะลึ่งอุตริ...!
จําไว้ว่าอะไรที่มีมากจะเป็นปกติ ต่อไปพวกคุณแหละที่จะผิดปกติ เพราะว่าพวกเขามีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่พวกเขามาสร้างบารมีกัน จึงมีมากขึ้น ๆ พอถึงอุปบารมีขั้นปลาย ก็จะกลายเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไปเอง
อุปบารมีขั้นกลาง ยังเป็นกึ่งหญิงกึ่งชายอยู่
พวกผู้หญิงใกล้จะเป็นผู้ชายจะเอานิสัยห้าวมาใช้เราก็ไปเรียกเขา ว่า ทอม
พวกที่ข้ามมาเป็นผู้ชายแล้ว ยังติดจริตนิสัยผู้หญิง ก็ไปเรียกเขา ว่า ตุ๊ด
ความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติ พวกคุณก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
*************************
ถาม : ไปกราบหลวงปู่หลวงพ่อ แล้วขอให้ท่านสงเคราะห์เจิมนั่นเจิมนี่ถือว่า เราใช้ท่านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่.. พูดง่าย ๆ ว่าเวลาไปหาพระ เอ่ยปากให้ท่านทําอะไร ก็คือใช้ท่านนั่นแหละ
ถาม : มีโทษถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปพิจารณาเอาเองแล้วกัน ถ้าอาตมาบอกเดี๋ยวจะเป็นลมไปก่อน ประเภทใช้ให้ท่านทํามาจนนับไม่ถ้วนแล้ว ดันมากลัวเอาตอนนี้
*************************
ถาม : พระปิดตาจัมโบ้หมดแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ยังไม่หมด แต่ไม่มีให้ตอนนี้ อาตมาแจกเฉพาะในงานเป่ายันต์เกราะเพชรเท่านั้น อยากได้ก็ไปงานเป่ายันต์ฯ ไม่ใช่ไปงานแล้วจะได้ทุกคนนะต้อง อยู่แถวหน้า ๆ ด้วย
ถาม : ราคาแพงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่แพงหรอก ออกจากวัดแค่ ๕๐๐ บาท แต่เขาไปประมูลกันในเว็บ จนตอนนี้ราคายืนพื้นอยู่ที่ ๒๐,๐๐๐ บาท
ถาม : ผมไปบูชามาสักลังหนึ่งเลยได้ไหมครับ ?
ตอบ : พระอาจารย์ไม่ว่าหรอก ขึ้นอยู่กับว่าคนข้างหลังเขาจะถีบคุณออก จากแถวไหม...!
ตอนนี้เหลือพระปิดตาสีเหลือง สีแดง สีเขียวอยู่ รุ่นนี้ที่ทําไม่มาก เพราะว่าตะกรุดบังคับอยู่ คุณเขียนตะกรุดไหวไหมเล่า ?
อักขระแค่ ๙ ตัวก็จริง แต่อาตมาเขียนจนมือหงิก พระ ๔,๐๐๐ องค์ ก็เขียนตะกรุดไป ๑๒,๐๐๐ ดอกแล้ว
เพราะฉะนั้น...จึงเป็นบทเรียนว่าครั้งต่อไปทําพระอย่าฝังตะกรุด เพราะว่าจะได้พระจํานวนน้อย แต่อะไรที่น้อย ๆ คนก็แย่งกันดี พวกตัดสินใจช้าก็ปล่อยเขาไป
บางคนบอกว่าสร้างน้อย ลองให้มาเขียนตะกรุดเองสัก ๑๐๐ ดอก ก็ตายแล้ว
ถ้าใครต้องการพระปิดตารุ่นนี้ ก็ต้องไปงานเป่ายันต์ฯ อย่างเดียว แล้วต้องรีบไปด้วย เพราะถ้าช้าเดี๋ยวเจอคนยกลังไปหมด
ถาม : รีบไปก็ต้องรอหลังพุทธาภิเษก ?
ตอบ : ครั้งหน้าไม่ต้องรอพุทธาภิเษก เพราะว่าเอาเข้าพิธีไปตั้งแต่ครั้งที่แล้ว
ถาม : อย่างนี้ก็หมดเร็วมากสิ ?
ตอบ : จะเร็วจะช้าก็ช่าง หมดแล้วก็จะได้หมดภาระแล้วก็รองานต่อไป งานละสีก็พอ
แต่ถ้าใครบูชาแล้วดันไปถูกหวย ๓๐ ใบอีกก็บรรลัยเลย คนที่ซื้อหวยทีหนึ่ง ๓๐ ใบนี้ต้องบ้าพอ ถ้าไม่บ้าพอซื้อไม่ได้หรอก แล้วเขาก็ดันถูก เสียอีก
ถาม : ต้องกําลังใจขนาดนั้นด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะบ้าขนาดไหน ถ้าไม่มีพื้นฐานทานบารมีก็ไม่ได้หรอก ลาภผลจะไปออกทางงานแทน แล้วก็เหนื่อยลิ้นห้อย
*************************
ถาม : ปางมือในนิยายจีน เป็นท่ามือ ?
ตอบ : นั่นท่ามือ เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดสมาธิในลักษณะของอิริยาบถ เป็นอิริยาบถและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร
พอเคลื่อนไหวเกิดสมาธิขึ้นมาก็จะกลายเป็นพลังจิตบวกกับคาถา ก็คือคําภาวนา ถ้าใช้ออกถูกจังหวะก็จะเกิดผล บางทีเหมือนกับว่าใช้ความเคลื่อนไหวดึงดูดความสนใจ พออีกฝ่ายเผลอสติก็เรียบร้อย
ถาม : ทําได้จริง ๆ ?
ตอบ : ทําได้ เป็นการผสานพลังจิตเข้าไป มวยไทยก็ยังมี
ถ้าหากว่าฝึกมวยไทยจนอยู่ตัวแล้ว ก็อยู่ในลักษณะม้าย่อง ทุกอิริยาบถสามารถจะพลิกเหลี่ยมพลิกมุม รุกรับคู่ต่อสู้ได้หมด
แล้วก็มีเสือย่าง อันนี้ผสานพลังจิตเข้าไปถ้าคู่ต่อสู้มืออ่อนกว่า แค่เห็นก็ไม่มีกําลังใจจะสู้ด้วย
ถ้าถึงระดับสีหยาตรก็คือเดินแบบราชสีห์นี้หมดเลย คู่ต่อสู้ไม่เอาด้วยแล้ว เห็นก็มืออ่อนตีนอ่อนแล้ว เพราะว่าพลังจิตข่มกันอยู่
จะเห็นว่ารุ่นหลัง ๆ ในปัจจุบันเรียนมวยไม่แตก เอาแต่กําลังเข้าปะทะกัน ในเมื่อเอาแต่กําลังเข้าปะทะ ไม่ได้ฝึกจิตเข้าไปช่วย พออายุมากแล้วไม่มีพลังจิตเข้าไปเสริม ก็ไม่สามารถขึ้นเวทีได้
เราลองนึกอย่างสมัยก่อน สุข ปราสาทหินพิมาย หรือ ผล พระประแดง อายุ ๔๐ - ๕๐ ปี ยังขึ้นชกมวยเป็นปกติ เพราะว่ายิ่งชกจะยิ่งเก่ง สมาธิยิ่งดีขึ้นเรื่อย
ถาม : การเอากําลังสมาธิ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วทั้งหมดเป้าหมายก็คือ ชนะคู่ต่อสู้
การที่เราจะใช้พลังจิตของเราเพื่อชนะกิเลสนั่นเท่ากับว่าเราต้องฝึกฝนมาอย่างเพียงพอ มีความคล่องตัว แหลมคม ว่องไวรู้เท่าทันระมัดระวังป้องกันไม่ให้กิเลสทําอันตรายเราได้
ถ้าอย่างนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับแค่ใช้ได้เท่านั้น เพราะว่าแค่ฝีมือทันกัน แต่คู่ต่อสู้ยังอยู่เต็ม ๆ ร้อยเลย
ทําอย่างไรที่จะให้คู่ต่อสู้ออกอาวุธได้น้อยที่สุด ลักษณะนั้นเราก็ต้องมีสติรู้เท่าทัน ไม่ไปสร้างเหตุทําให้กิเลสกําเริบ
แล้วท้ายที่สุด จะทําอย่างไรจะกําจัดคู่ต่อสู้ไปได้เลย ก็คือการที่เราชําระจิตผ่องใส จนกิเลสไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าในสนามต่อสู้ทางโลกหรือทางธรรมก็เหมือนกัน
*************************
“ถ้านิยายจีนกําลังภายในรุ่นเก่าที่เป็นพวกฤทธิ์อภิญญา จะมีเรื่องนักบู๊กู่ก้องฟ้า ลองไปหาอ่านดูประเภทถูกขังอยู่ใต้ดินหลายร้อยปี พอแกะแผ่นยันต์ออกก็ทะลวงขึ้นมา ถล่มยุทธจักรพังราบไปอีกแล้ว”
*************************
“เผอิญเทอมนี้อาตมาสอนกฎหมายเกี่ยวกับพระสงฆ์อยู่ ได้ยกตัวอย่างกฎหมายฎีกาให้พระนิสิตเขาดู แล้วอธิบายให้ฟัง
แต่ละคนนั่งอ้าปากหวอกันทั้งนั้น ซึ่งตรงที่ว่าผู้พิพากษาเขา รอบคอบขนาดนี้เลยหรือ ? เพราะการตัดสินแต่ละอย่างต้องรอบคอบที่สุด
คําพิพากษาศาลฎีกา ตราบใดที่ยังไม่โดนพิพากษาทับ ตราบนั้นจะเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันอย่างนี้ตลอดไป
แล้วมีหลายคดีที่ต้องประชุมใหญ่ มีคดีหนึ่งเกี่ยวกับพระภิกษุวัดเขาวัง ร่วมประเวณีกับผู้หญิงบนกุฏิ มีคนแอบถ่ายรูปแล้วก็ไปแจ้งความ
คราวนี้การแจ้งความมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๖ ข้อหาเหยียดหยามพระศาสนา พูดง่าย ๆ ว่าไหน ๆ จะเอาเรื่องแล้ว ก็จัดการให้ครบ เล่นทุกคดีไปเลย
แต่ผู้พิพากษาเขาพิจารณาแล้วว่าการเหยียดหยามต่อพระศาสนา ก็คือการกระทําต่อบุคคลวัตถุรูปเคารพ หรือสถานที่ที่มีคนกราบไหว้บูชาหรือยึดถือเป็นที่พึ่ง
กุฏิพระไม่ใช่สถานที่อันควรเคารพเหมือนโบสถ์หรือมัสยิด ดังนั้น จะกล่าวหาว่ากระทําการเหยียดหยามต่อศาสนาก็ไม่ถนัด สรุปว่าข้อหานี้ตกไป
อาตมาก็บอกว่าดวงเขายังดี ถ้าขยับขึ้นไปบนยอดเขาอีกนิดเดียวนี่ชวยเลย เพราะว่ามีรอยพระพุทธบาทอยู่ ถ้าอย่างนั้นชัดเลยว่าเหยียด หยามพระพุทธศาสนา
ศาลท่านตัดสินรอบคอบจริง ๆ ไม่ได้รอบคอบเฉย ๆ ชัดเจนอีกด้วย
*************************
อีกคดีหนึ่ง โยมขอให้เณรไปขอเทียนพรรษาจากพระมาให้ตัวเองนั่นแหละ แล้วเณรไม่ไป เขาก็เลยบอกว่า
“ถ้ากูไม่เห็นแก่ผ้าเหลือง จะเตะให้ตกกุฏิเลย”
ทายกได้ฟังแล้วทนไม่ได้ไปแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทซึ่งหน้า
ฝ่ายนั้นสู้ความบอกว่า ตัวเองเดินลงจากกุฏิไป ๑๐ วาแล้วถึงพูด จะว่าหมิ่นประมาทซึ่งหน้าไม่ได้ ทนายเขาก็เก่งนะ
แต่ศาลเขาตัดสินว่า ในเมื่อสามเณรทั้งสองยังได้ยินเสียงที่เขากล่าว คําอาฆาตอย่างชัดเจนเช่นนั้น ยังถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทซึ่งหน้าอยู่
และสามเณรเป็นบุคคลที่ผู้อื่นให้ความเคารพมากกว่าคนปกติอยู่แล้ว จึงโดนข้อหาเหยียดหยามพระศาสนาด้วย เจอ ๒ เด้ง ทั้งจําทั้งปรับ ติดคุกด้วย เสียค่าปรับด้วย
ต้องบอกว่าคดีนี้อัยการช่วยซ้ำ เพิ่มให้อีก ๑ ข้อหา เขาฟ้องแค่หมิ่นประมาทซึ่งหน้าเฉย ๆ อัยการช่วยซ้ำให้อีกดอกหนึ่ง ว่าเหยียดหยามพระศาสนาด้วย เพราะกระทําต่อตัวบุคคล บอกแล้วว่ากระทําต่อตัวบุคคลวัตถุ สถานที่ รูปเคารพ จึงโดนไปเต็ม ๆ”
*************************
“แต่ละคดีที่เขาตัดสินมา ดูแล้วมีเหตุมีผลดีมาก อาจารย์ท่านอื่น เขาก็นั่งสงสัย บอกว่าผมสอนกฎหมายเขาหลับกันตลอด พระอาจารย์เล็ก สอนอย่างไรไม่เห็นเขาหลับกันเลย
อาตมาก็บอกว่าอย่าดึงไปให้ไกลตัวสิเราก็ดึงให้มาใกล้ตัว เอาเรื่องเกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับพระมีตัวอย่างคําพิพากษา
ตัวอย่างคําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เยอะแยะไปหมด
เอามาอธิบายให้ลูกศิษย์ฟัง แล้วก็ถามเขาว่า ใครเคยเจอเหตุการณ์ ลักษณะอย่างนี้บ้าง แล้วถ้าหากว่าเขาฟ้องร้องอย่างนี้ เราจะมีวิธีหลบหลีก แก้ไขอย่างไรก็ว่าไป
อาตมาสรุปตอนท้ายว่า กฎหมายเขาตัดสินตามข้อเท็จจริง คือ ทั้งเท็จและจริง เพียงแต่ว่าคุณจะเอาขึ้นมาสู้ความได้ไหม
ถ้าคุณสามารถหาพยานหลักฐานมาสู้ความได้ต่อให้เป็นความเท็จ ศาลก็ตัดสินว่าคุณชนะเขาไม่ได้ตัดสินตามความเป็นจริง แต่เขาตัดสินตาม ข้อเท็จและจริง
มีคนบอกว่าในประเทศอเมริกาขึ้นไปบนยอดตึก แล้วเอาหินขว้างลงมา ๑ ใน ๓ คนที่โดนจะเป็นทนาย
ส่วนประเทศเกาหลี ถ้าหากขว้างหินลงมาโดน ๓ คน ถ้าไม่โดนคนแซ่ลี ก็จะโดนคนแซ่คิม ถ้าไม่โดนคนแซ่คิม ก็จะโดนคนแซปัก (ปาร์ค) เพราะว่าสามแซ่นี้มีเยอะกว่าเพื่อน”
ถาม : หนูจะต้องตายหรือไม่ ?
ตอบ : อาตมาก็ตาย มีใครไม่ตายบ้างเล่า ? ถามมาได้ว่าหนูจะต้องตายไหม..!
ถาม : ถ้าคิดเรื่องนี้จะทําอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่เลิกคิด..!
ถาม : อะไรเป็นที่พึ่งได้บ้าง ?
ตอบ : อยู่กับพระ หัดสวดมนต์ภาวนานั่งสมาธิก็จบแล้ว
ถาม : โดนผีหลอกเวลาสวดมนต์ ?
ตอบ : แสดงว่าเขาเก่งกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องเก่งให้ได้มากกว่าเขา ไม่เห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือ ?
ถึงเวลาท่านสวดคาถาไล่เขา เขาบอกว่าถึงสวดได้ครึ่งเดียวแล้ว เขาก็สวดต่อให้อีกครึ่งหนึ่ง แค่เก่งกว่าเขาให้ได้ก็เท่านั้น
ถาม : จะขอพึ่งบารมีท่าน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลา ไปนั่งภาวนาเอา สมาธิทรงตัวเมื่อไรก็เก่งกว่าเขาเมื่อนั้นแหละ
จะเอาน้ํามนต์ไปกินไปอาบ จะไปทําอะไรก็ไป แล้วก็หมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ ทําสมาธิภาวนาไว้บ้าง
เขามาเพื่อที่จะตักเตือน ให้เรารู้ว่าความดียังไม่พอ
เพราะฉะนั้น..เร่งทําความดีเข้าไว้ หายากจะตายที่มีอาจารย์ดี ๆ แบบนั้น ขึ้นไปท่องคาถาไล่เขา เขาก็ท่องเพิ่มให้ ต่อไปบอกเขาว่ามีคาถารวย ๆ ไหม ? ขอคาถาเขาเลย
เอาน้ํามนต์ไปเติมสัก ๗ - ๘ โอ่งก็ได้ จะได้ใช้ไปเรื่อย ๆ พอเวลาผีมา ถ้าไม่รู้จะไปที่ไหน ก็โดดลงไปแช่ในโอ่งเลย...!
*************************
เรื่องของผีต่าง ๆ ที่มารบกวนถ้าเราทําสมาธิทรงตัวแค่ปฐมฌานหยาบ เขาก็กวนไม่ได้แล้ว
เพราะว่าปฐมฌานหยาบมีกําลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ เหนือกว่า เทวดาไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วผีที่ไหนจะมากวนได้ ยกเว้นผีที่มีฤทธิ์มากกว่า พรหมชั้นที่ ๑ ขึ้นไปเท่านั้น
ถ้ากําลังใจทรงตัวแล้วยังกวนได้ก็จุดธูปกราบงาม ๆ ไปเลยแสดง ว่าท่านตั้งใจจะมาให้อะไรเราบางอย่างแล้ว
ฉะนั้น...ถ้าใครทรงฌานทรงสมาบัติได้เกินปฐมฌานหยาบไปแล้วยังมีผีกวน ให้รู้ว่าเป็นผีปลอมทั้งนั้นแหละ
ถ้าเราไม่เคยสร้างกําลังใจมาจนเข้มแข็งขนาดนั้น เขาก็ไม่มาลอง
ในเมื่อเขามาลอง ก็แปลว่าเราเป็นนักเรียนที่มีความดีพอที่จะได้ทําข้อสอบตรงนั้น ในเมื่อครูเมตตาออกข้อสอบมาแล้ว ก็ลุยไปเลย อาตมาโดนกวนมาเป็นปี ๆ โดนเสียจนไม่มีที่จะไป
ไม่ว่าจะทําอะไร ผีเขาก็เก่งกว่า อาตมานั้นวิชาการต่อสู้ที่เรียนมาไม่น้อยหน้าใคร ปรากฏว่าเสียท่าผีทุกทีเลย
เพราะเราแค่คิดเขาก็รู้แล้ว คิดจะชกซ้าย เขาก็กดแขนซ้ายไว้ คิดจะชกขวา เขาก็กดแขนขวาไว้
จะเตะซ้าย เขาก็จับขาซ้ายไว้จะเตะขวา เขาก็จับขาขวาไว้เลยทํา อะไรเขาไม่ได้สักอย่าง นั่นแสดงว่าไม่ใช่ผีจริง
โดนกันอยู่เป็นปี ๆ โดนจนกระทั่งจากกลัวก็หายกลัวไปเอง
เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลหรอก ถ้าเขามากวนเราได้ ถือว่าเราต้องมีคุณค่าเพียงพอแก่การทดสอบของเขา
สรุปว่าถ้าไม่บ้าพอ ผีจะไม่หลอกคนกลัวผีเขาไม่หลอก เพราะกลัวแล้วอาจจะเกิดเสียสติ บ้า ๆ บอ ๆ ไปเลย โทษก็จะเกิดแก่เขา
ประเภทกล้าจนบ้าไปเลย เขาก็ไม่หลอก เพราะกล้าไปเลยนี่จะสู้ทุกรูปแบบ แบบเดียวกับอาตมานี่ เขาชอบหลอกพวกครึ่งกลัวครึ่งกล้า หลอกแล้วสนุกดี
*************************
|