“ดังนั้นขอให้พวกเราทุกคนรู้ว่า ต่อให้เราแอบฆ่าสัตว์ทําร้ายสัตว์ แอบลักขโมยเขา แอบขโมยของ แย่งของหรือคนที่เขารัก หรือว่าตั้งใจโกหก แอบกินเหล้าเมายาอะไรก็ตาม ต่อให้ครูไม่เห็น พ่อแม่ไม่เห็น เพื่อนไม่เห็น แต่ผีทุกตัวเห็นหมดเลย
ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี ผีก็จะไม่คบกับเราเลย คนไหนที่ไม่โดนผีหลอกมี ๒ อย่าง
อย่างแรกคือ วาระยังมาไม่ถึง
อย่างที่สองก็คือ ชั่วเกินกว่าที่ผีเขาจะคบ เขาไปหาคนที่ดีกว่า
นี่คือเรื่องที่หลวงตาอยากบอกพวกเราว่า ต่อให้ทําชั่วลับหลัง ผีหรือเทวดาเขาก็รู้
เพราะฉะนั้น...ต้องระวังรักษากาย วาจา ใจ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้นะจ๊ะ
หลวงตามีหนังสือ เดี๋ยวจะมอบให้พวกเราคนละเล่ม ตอนช่วงหน้า จะเป็นเรื่องที่หลวงตาออกธุดงค์ ตอนนี้เป็นเล่มที่ ๔๗ แล้ว เป็นตอนไปทุ่งใหญ่และไปหัวยขาแข้ง
ถ้าใครอยากได้อีกต้องแวะมาทุกเดือนเพราะว่าหนังสือนี้ออกเดือนละเล่ม จะได้อ่านต่อเนื่องกัน ถ้าอ่านไม่ต่อเนื่องบางทีก็ไม่สนุก แล้วก็มีวัตถุมงคลเป็นพระองค์เล็ก ๆ ให้คนละ ๑ องค์ เก็บไว้เองก็ได้ ให้พ่อแม่เลี่ยม แขวนคอให้ก็ได้
ได้พระไปแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เรารักษาศีล ปฏิบัติ สมาธิ ใช้ปัญญาเห็นความเป็นจริงว่า โลกนี้มีแต่ความทุกข์ จะได้หาทางหลุดพ้น
หลวงปู่หลวงพ่อท่านสอนเรา เพื่อให้เราเป็นเด็กดี พ่อแม่ครูบาอาจารย์จะได้รัก
ถ้าอย่างนี้เราพกพระเครื่องไป เราก็จะพกแบบคนมีปัญญา พระเครื่องและความดีก็จะคุ้มครองเรา แต่ถ้าหากว่าเราสักแต่ว่าพกพระเครื่อง ศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี พระก็คุ้มครองเราไม่ได้หรอก
หลวงตากําลังสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๑ วา ๓๖ องค์ แล้วก็ปิดทองอยู่ เงินที่พวกเราทําบุญมาทั้งหมดนี้ พวกเราร่วมกันสร้างพระพุทธรูป กับหลวงตานะจ๊ะ ขอให้ทุกคนได้บุญมาก ๆ ผีจะได้มากวนเยอะ ๆ..!”
*************************
ถาม : บูชาแหวนจักรพรรดิของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา เป็นแหวนผู้หญิง แต่ผมอยากเอามาใส่มีสองวิธีคือ เลี่ยมคล้องคอ กับแกะเพชรแล้วไปเข้าแหวนใหม่เป็นแบบผู้ชาย วิธีที่สองทําได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ไม่มีปัญหา สําคัญที่ตรงหัวแหวน ส่วนวงแหวนถึงเวลาเขาหล่อพระที่ไหน เราก็เอาไปร่วมหล่อกับเขา
ถาม : ทําได้ทั้งสองวิธีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...เขาแกะกันมาเยอะแล้ว แบบไม่ถูกใจ เขาก็เอาไปให้ช่างออกแบบกันใหม่
*************************
ถาม : ภาวนาแล้วพวกยักษ์มารจะมา ?
ตอบ : ไม่ต้องทําอะไร ให้ภาวนาต่อไป ไม่มีอะไรสู้พุทธานุภาพได้ ให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าคลุมกายของเราลงมา ขยายได้กว้างเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ยิ่งขยายได้กว้างเท่าไร เขาก็ยิ่งเข้าใกล้เราได้ยากขึ้น
แรก ๆ อาตมาก็กังวลเพราะไม่รู้วิธี พอรู้วิธีก็สบายขยายภาพพระกว้าง ๆ แล้วเราก็นอนในฐานพระสบายใจเฉิบ
ใครที่ปฏิบัติแล้วสิ่งเหล่านี้มากวนเยอะ แสดงว่าถ้าปฏิบัติแล้วจะได้ผลเร็ว เขาก็เลยพยายามที่จะมาขวางเรา
*************************
ถาม : คนที่ป่วยเป็นมะเร็งขั้นที่สามแล้ว อยู่ ๆ อาการก็หายไปโดยไม่ได้ ทําอะไรเลย เป็นเพราะ ?
ตอบ : ถ้าหมดกรรมก็หาย ถ้าไม่หมดกรรมก็เป็นต่อไป
*************************
“ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี วัดพระงาม ท่านเป็นคนที่ ความรู้แน่นจริง ๆ แล้วท่านเป็นคนไม่มีมานะด้วย ท่านเก่งบาลี แต่วิชาอื่นท่านไม่เก่ง
พอต้องมาสอนวิชาทั่ว ๆ ไปในระดับปริญญาตรี ท่านเองเป็นเจ้าคุณ จบประโยค ๙ เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ไม่มีเลยที่จะวางท่า มาถึงคว้าไมโครโฟนได้ก็...
“เฮ้ย...เล็กเว้ย มาช่วยกูหน่อยวิชานี้กูไม่เป็น”
ไม่มีการวางท่าเลย ไม่เป็นก็คือไม่เป็นท่านยอมรับตรง ๆ แบบคนไม่มีมานะ ใครเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ จะไปงานข้างนอกมาดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหน ท่านต้องทําวัตรสวดมนต์ก่อน แล้วค่อยเข้านอน
ท่านบอกว่าครูบาอาจารย์สอนมาอย่างนี้ สั่งมาอย่างนี้ ก็ต้องทํา ตามครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทําตามใจตัวเอง
ท่านบอกว่าสมัยนี้ความเป็นพระอริยเจ้าเข้าถึงยาก ไม่เหมือนสมัยพุทธกาล เพราะบารมีเราไม่เหมือนคนยุคนั้นแต่พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้เราเป็นพระอย่างไร ผมก็จะเป็นพระอย่างนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทําได้
ท่านชอบพระเครื่อง พวกลูกศิษย์แสบ ๆ ก็รู้อยู่ว่าอาจารย์ท่านไม่ค่อยถือเนื้อถือตัว ก็สอยอาจารย์เลย
“แล้วเจ้าคุณอาจารย์ส่องพระทุกวันนี้ ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าบอกหรือเปล่าครับ ?”
ท่านบอกว่า “เฮ้ย...กูส่องพระใจกูเกาะพระถ้าตาย....กูมั่นใจว่า กูไปดีโว้ย...”
ท่านไม่เป็นกรรมฐาน ท่านไม่พูดถึงพุทธานุสติอะไรทั้งนั้นแหละ ท่านว่าของท่านซื่อ ๆ
ท่านบอกว่า “เล็ก....พอกูเป็นเจ้าคณะภาคแล้ว มึงมาเป็นเลขาฯ ให้ทีนะ”
กราบเรียนท่านไปว่า “ไม่ต้องหรอกครับอย่างพระเดชพระคุณ ถ้าเป็นก็ภาค ๑๙ โน่นแหละ..!”
เขามีกันแค่ ๑๔ ภาค แล้วก็จริง ๆ ด้วยท่านมรณภาพก่อน เพราะท่านเป็นมะเร็งตับ สังเกตมาหลายรายแล้ว คนเป็นมะเร็งตับไปเร็วจริง ๆ เพราะว่าตับเป็นแหล่งสํารองพลังงาน เล่นโจมตีคลังเสบียงเลย แล้วจะไปเหลืออะไร
พออาตมาโทรศัพท์ไป “เจ้าคุณอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างครับ? ลูกศิษย์จะไปเยี่ยม”
ท่านบอกว่า “มึงไม่ต้องเสือกมากันเลย”
ถามว่า “ทําไมละครับ ?”
ท่านบอกว่า “มันฉายแสงกูผมร่วงหมดเกลี้ยง ถึงเป็นพระหัวล้านกูก็อายว่ะ...! กูยังทําใจไม่ได้ จึงไม่ต้องมาหรอก ขอบใจมากนะ”
ท่านว่าเสียตรง ๆ รู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเลย ชอบใจท่านจริง ๆ ท่านอายท่านก็บอกว่าอาย ทําใจไม่ได้ท่านก็บอกทําใจไม่ได้ คนเราที่รู้ตัวแล้ว ยอมรับสภาพตัวเองนั้นหายาก เพราะว่าส่วนใหญ่ตัวกูของกูมักจะแรง ต้องวางท่าไว้ก่อน แต่ของท่านนี้ไม่มีเลย
สงสารก็แต่หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านรักการปฏิบัติ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวไม่เอาอะไรกับใครเลย ไม่อยากเป็นเจ้าคณะจังหวัดด้วย
ก็เลยจับท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามยัดให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ท่านกะว่าให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ๒ ปี แล้วท่านจะลาออก ให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามเป็นเจ้าคณะจังหวัดแทน
ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามเป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ได้ ๕-๖ เดือนก็โดนมะเร็งกินจนมรณภาพ หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัด ยังหาคนเป็นแทนไม่ได้มาจนทุกวันนี้”
*************************
“มีอยู่หนึ่งตําแหน่งที่ปัจจุบันนี้ไม่มีการแต่งตั้งเลย ก็คือตําแหน่งพระราชาคณะชั้นสามัญเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่คือ พระนพีสีพิศาลคุณ
เพราะว่าในอดีตรับตําแหน่งนี้แล้วมรณภาพติด ๆ กันทั้ง ๓ รูป เขาจึงตัดทิ้งตําแหน่งนี้ไปเลย
“นพีสี” นี่บอกชัด ๆ เลยว่าเมืองเชียงใหม่ เมืองใหม่ที่ฤาษีสร้าง ที่เขาเรียก “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่”
พระธิดาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็น พระองค์เจ้าวิมล นาคนพีสี บอกชัด ๆ ว่ามาจากเชียงใหม่ แต่คราวนี้ถ้าคนอ่านไม่เป็น ก็จะ อ่านเป็น วิ-มน-นา-คน-พี-สี
จริง ๆ คือ วิ-มน-นาค-นะ-พิ-สี
วิมล แปลว่า งดงามไร้ตําหนิ
นาค แปลว่า ผู้ประเสริฐ
นว แปลว่า ใหม่
อิสิ แปลว่า ฤาษี
วิมลนาคนพีสี แปลว่า ผู้ประเสริฐที่งดงามยิ่งของเมืองใหม่ที่พระฤาษีสร้าง”
*************************
“ส่วนตําแหน่งที่เป็นมงคล เป็นแล้วอายุยืนก็มี คือตําแหน่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
อย่างของวัดสามพระยา ก็อายุยืนถึง ๙๐ กว่าปี
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม ก็อยู่ถึง ๑๐๐ กว่าปี
ส่วนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสุทัศน์เทพวรารามทั้ง ๆ ที่ทั้งแบกทั้งหาม พอรับตําแหน่งกลับออกงานได้เฉยเลย
เพราะฉะนั้น...ตําแหน่งมหามงคลต้องเป็นตําแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ แล้วเป็นตําแหน่งโบราณด้วย
ตําแหน่งสมเด็จพระวันรัตและตําแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นตําแหน่งโบราณแต่ตั้งแต่เดิม สุดยอดของพระสายปฏิบัติจะได้ตําแหน่ง สมเด็จพระวันรัต และสุดยอดของพระฝ่ายปริยัติจะได้ตําแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
จริง ๆ แล้วตอนนี้ตําแหน่งสมเด็จพระวันรัตกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ต้องไขว้กัน เพราะว่าแต่เดิมสมเด็จพระวันรัตเป็นของมหานิกาย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นของธรรมยุติ
ปัจจุบันนี้ไขว้กันมาน่าจะตั้งแต่สมัยหลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยา สมเด็จพระวันรัตไปอยู่ฝ่ายธรรมยุติ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์หลุดมามหานิกาย พระท่านไม่ได้เลือกหรอก ในหลวงทรงสถาปนาตําแหน่งอะไร มาก็รับไว้”
*************************
“เมื่อวานใครตามไปงานพุทธาภิเษกที่ชลบุรีบ้าง ?
พระเกจิอาจารย์ ๔๙ รูป อายุรวมกันเกือบสี่พันปี แต่ละท่าน ๙๐ กว่าปีแทบทั้งนั้นเลย อายุ ๕๐ กว่าอย่างอาตมาอยู่เกือบท้ายแถว ถ้าไม่มีครูบาเหนือชัย ครูบาอริยชาติ ไม่มีพระอาจารย์เล็ก วัดศรีมงคล อาตมาก็คงอยู่ท้ายแถวสุด
แต่ฝ่ายต้อนรับเขาแม่นมาก ไม่รู้ไปเอารูปมาจากไหน เห็นหน้าก็รู้ เลยว่าเป็นใคร
อาตมาไม่ได้มีโอกาสคุยกับหลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรย์ หลวงปู่เพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน หลวงปู่สิน วัดละหาร พอท่านเข้ามา เขาก็นิมนต์เข้านั่งปรกเลย เพราะว่าท่านมีธุระต่อ ก็ต้องไปนั่งก่อน
ส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ใช้กําลังของตัวเอง...น่าเสียดาย หลวงปู่ ฟูวัดบางสมัคร ท่านเข้าก่อนประมาณ ๑๐ นาที
พอถึงเวลาพระบอกว่าพอแล้ว หลวงปู่ก็ลืมตามาพรมน้ํามนต์ เจิมเสร็จ หันมาบอกอาตมาว่า พอแล้ว เต็มแล้ว ไปเถอะ แสดงว่าท่านเบาแรง ตัวเองเหมือนกัน ขอบารมีพระท่านช่วย
อาตมาก็ประคองท่านออกมาข้างนอก ญาติโยมนึกว่าจะไปเข้าห้องน้ํา ไม่นึกว่าจะกลับ ในเมื่อเสร็จธุระแล้วจะอยู่ไปทําไม ของเต็มแล้ว เติมไปก็ล้นเปล่า ๆ”
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วใช้เวลาไม่นาน บางทีพระท่านชวนคุยด้วย เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ให้รอเวลานิดหนึ่ง เสกเร็วเกินไปเดี๋ยวญาติโยมเขาไม่เชื่อ
ถาม : เชื่อยากจริง ๆ นะ บางคนนั่งเสก ๔ ชั่วโมงก็มี ?
ตอบ : แบบเดียวกับหลวงปู่สีหรือหลวงปู่บุดดา พอเอาของไปให้เสก “ขอ บารมีหลวงปู่ด้วยครับ”
ท่านเอามือแปะทีเดียว “เอ้า..ไปได้แล้ว”
คือกําลังใจที่เต็มที่อยู่แล้ว พอถึงเวลาก็เหมือนกับไฟเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ช็อตทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก
อย่างที่หลวงปู่แหวนบอกว่า “หลวงปู่สีเอามือแตะสามที ดีกว่าฉันเสกสามเดือน”
*************************
“ตําแหน่งพระครูปริมานุรักษ์ เป็นตําแหน่งพระครูรักษาพระปฐมเจดีย์ ด้านทิศตะวันออก
สมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะตั้งพระครูสัญญาบัตร รักษาพระปฐมเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ มี พระครูปริมานุรักษ์พระครูทักษิณานุกิจ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร พระครูอุตรการบดี
พระครูปริมานุรักษ์ รักษาทิศตะวันออก
พระครูทักษิณานุกิจ รักษาด้านทิศใต้
พระครูปัจฉิมทิศบริหาร รักษาด้านทิศตะวันตก
พระครูอุตรการบดี รักษาด้านทิศเหนือ
คราวนี้ตําแหน่งพระครูทั้ง ๔ นี้ ที่ดังที่สุดคือ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ท่านเป็นพระครูอุตรการบดี
ที่เขาเรียกหลวงพ่อวัดพะเนียงแตก เพราะว่าเขาทําพลุตะไล ปิดถนนจุดฉลองกันในงาน ปรากฏว่าคนไปเที่ยววัดเมามาย ทะเลาะกัน ตีกัน หลวงพ่อทาเบื่อพวกนี้เต็มที่
เขาจุดพลุท่านก็เลยเอามืออุดกระบอกไว้พลุพุ่งขึ้นไม่ได้ก็ระเบิด ออกด้านข้าง หลวงพ่อท่านยืนเฉยไม่เห็นเป็นอะไร คนเขาก็เลยเรียกว่า หลวงพ่อพะเนียงแตก
พระครูทักษิณานุกิจที่ดังมาก ๆ เลยคือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม แต่ตอนหลังหลวงพ่อเงินเลื่อนเป็นเจ้าคุณพระราชธรรมมาภรณ์
พระครูปริมานุรักษ์ที่ดังที่สุด คือ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม
พระมหาธาตุเมืองนครก็มีตําแหน่ง พระครูกาแก้ว พระครูกาชาด พระครูกาเดิม และพระครูการาม ปักษ์ใต้เขามีพระครูกามาจาก คําว่าลังกา สมัยนั้นเขาเป็นแผ่นดินลังกาสุกะ
ด้านกาญจนบุรี สมัยก่อนก็มีตําแหน่งที่คล้องจองกันเป็นโคลงเป็นกลอนเลย มี
พระวิสุทธิรังษี พระครูสิงคิคุณธาดา พระครูจริยาภิรัต พระครูยติวัตรวิบูล พระครูอดุลสมณกิจ พระครูนิวิฐสมาจาร พระครูวัตตสารโสภณ
ตั้งแต่ตําแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ก็คือพระวิสุทธิรังษี ที่ดังที่สุดคือ หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้
พระครูสิงคิคุณธาดา ที่ดังที่สุดคือ หลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวน
พระครูจริยาภิรัต วัดหนองขาว
พระครูยติวัตรวิบูล วัดศรีโลหะราษฎร์บํารุง
พระครูอดุลสมณกิจ ที่ดังที่สุดคือ หลวงปู่ดี วัดเหนือ
พระครูนิวิฐสมาจาร วัดหนองบัว
และพระครูวัตตสารโสภณ วัดดอนเจดีย์”
*************************
ถาม : คนเราถ้าธรรมไม่เสมอกัน ไปด้วยกันไม่ได้ รวมถึงการใช้ชีวิตคู่ของสามีภรรยาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แน่นอน..ไปเปิดตําราหาคําว่า “สมชีวิธรรม” ดู แล้วจะรู้ว่าคนที่เป็นคู่ครองกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ควรจะต้องมีอะไรบ้าง ถ้าอาตมาบอกหมดเดี๋ยวเราจะขี้เกียจ ให้ไปค้นเอาเองบ้าง
โบราณเขาบอกว่า ปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย เพราะฉะนั้น...ถ้าแต่งงานผิด ก็คิดจนตัวตาย ปล่อยให้เขาตายไปเองนะ อย่าไปทําให้เขาตาย
*************************
ถาม : อาวุธมีดดาบคู่บารมี ให้วัดตามความยาวข้อนิ้ว วัดอย่างไรครับ ?
ตอบ : วางนิ้วหัวแม่มือลงไปบนใบมีด แล้วก็ไล่วัดไปสิ
ราศรีวิชัย ภัยนิรันดร์ สุพรรณลาภ ปราบนคร จรประสิทธิ์ ฤทธิเดชวิเศษสมบัติ พลัดบ้านเมือง เลื่องลือยศ
ถ้าไม่สุดใบมีด ก็ไปขึ้นศรีวิชัยใหม่อย่าให้ไปลงภัยนิรันดร์หรือพลัดบ้านเมืองก็แล้วกัน
ดาบง้าวโบราณก็มีการวัดนะ มีร่มโพธิ์ร่มไทรไกวแขนไปก่อนท้าว น้าวของท่านมาเรือน ง้าวคมเบือนฟันเจ้า ง้าวไม่เข้าฟันเมีย ฟันเมียเสียลูกแท้ง ก้อนคําแห้งใส่ถุง
ถ้าปืนโบราณ ก็เริ่มจาก ตูมตายเสี้ยง เขียงหน้าก่อง น่องยานดาย ไปตายไพรอื่น แห่เจ้าหมื่นเข้าเมือง เก็บผักเหลืองใส่ซ้า ง้างี้แบกคืนดาย
ถ้าหากว่าเก็บผักเหลืองใส่ซ้าก็เผาทิ้งไปเถอะ แล้วน่องยานดายก็ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะว่าเดินจนน่องยานแล้วยังไม่เจออะไรเลย ปืนนี่เขาวัดจากลํากล้อง
ถาม : มีดดาบคือวัดตั้งแต่ ?
ตอบ : โคนใบตรงชิดกระบังมือ ถ้ามีดที่ประกอบเป็นเล่มแล้ววัดจากกระบังมือ
แสดงว่าสองตําราหลังมาจากเขตลาว เพราะภาษาเป็นภาษาลาว หรือภาษาเหนือ
ตายเสี้ยง ก็แปลว่าตายหมด
ตูมตายเสี้ยง คือยิงเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น
เขียงหน้าก่อง คือได้เนื้อมามาก สับจนหน้าเขียงกร่อนไปเลย
น่องยานดาย ประเภทเดินไปเมื่อยขาเปล่า ๆ
ไปตายไพรอื่น คือยิงโดนก็ไม่ตาย หนีไปตายที่อื่น
แห่เจ้าหมื่นเข้าเมือง นี่น่ากลัว ทั้งแบกทั้งหามมาเลย ได้เยอะขนาดนั้น
เก็บผักเหลืองใส่ซ้า นี่น่าเบื่อหน่ายมาก แบกปืนเข้าป่า แต่ต้องเก็บผักเที่ยว ๆ ใส่ตะกร้ากลับมา
ง้างี้แบกคืนดาย อุตส่าห์ง้างนกออกจากบ้านไปแล้วยังไม่ได้ยิง จนต้องแบกปืนกลับมา
ยังดีที่คุณมาถาม คนอื่นจะได้จําได้ไปด้วย เพราะเรื่องแบบนี้ ค่อย ๆ สาบสูญไป ถึงเวลาจําหรือจดบันทึกเอาไว้ คนรุ่นใหม่ ๆ อ่านเจอ จะได้รู้ไว้บ้าง
*************************
ถาม : ผมพิจารณาว่า ในความสุขก็มีความทุกข์ และในความทุกข์ก็มี ความสุขบนโลกนี้ แต่ได้ยินเสียงหลวงพ่อบอกว่า ความสุขที่แท้จริงใน โลกนี้ไม่มี อยากถามว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า โลกนี้ไม่มีความสุข จริงไหมครับ ?
ตอบ : ความสุขมีแต่ที่พระนิพพานที่เดียว ในโลกนี้ที่ว่าสุข คือความทุกข์ที่ลดน้อยลงเท่านั้น
*************************
“ถ้าไปอ่านลีลาวดี ภาค ๑ ในเว็บวัดท่าขนุน ตอนนี้จะสนุกมาก พระเรวัตตะกําลังโดนกามราคะตีจนเอียงกะเท่เร่เลย ตั้งท่าจะสึกแล้ว
ความจริงเนื้อเรื่องลีลาวดีตอนนี้ขาดความสมจริงอยู่จุดหนึ่ง แต่จะไปตําหนิท่านอาจารย์แสงก็ไม่ได้ เพราะว่าเนื้อเรื่องเป็นบ้านเมืองของอินเดีย ในเมื่อเป็นบ้านเมืองเขา ธรรมเนียมบางอย่างเราก็ไม่รู้
สมัยอินเดียยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าหัวหน้าครอบครัวตายลง แล้วไม่มีลูกชายสืบทอด จะโดนหลวงยึดสมบัติหมด
ตอนนั้นท่านสุมังคลคฤหบดีกับชัยเสน ซึ่งเป็นพ่อและพี่ชายของลีลาวดีตายไปแล้วทั้งคู่ ท่านบอกว่าเหลือแต่แม่กับลูกสาว รอพระเรวัตตะ สึกไปเพื่อครองสมบัติ ความจริงแล้วไม่ได้หรอก ถ้าเป็นจริงโดนยึดสมบัติ ไปหมดแล้ว”
ถาม : เมื่อก่อนเวลานอนแล้วภาวนา ก่อนจะตื่นผมจะภาวนาต่อ ๔-๕ ครั้ง แล้วค่อยตื่น แต่ช่วงนี้ไม่เป็นแล้วครับ ?
ตอบ : กําลังใจตก...เพราะว่าถ้าเข้าถึงสมาธิขั้นละเอียดหลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ จะตื่นยังต้องบอกตัวเองให้ตื่นก่อน
ถ้าสมาธิหยาบมาอีกหน่อยหนึ่ง...ก่อนตื่นจะรู้ตัว จับคําภาวนาก่อนตื่น
ถ้าหยาบกว่านั้นอีกหน่อย...ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ตัว จับคําภาวนาต่อ
ถ้าหยาบยิ่งกว่านั้นตื่นแล้วแคะขี้ตาอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงนึกขึ้นได้ ว่าต้องภาวนา
แสดงว่าของเราถอยหลังไปแล้ว ให้เร่งขึ้นหน้าอีกหน่อย
*************************
ถาม : คาถาตะกรุดมหาสะท้อน ต้องภาวนาวันหนึ่งมากแค่ไหนครับ ?
ตอบ : เอาแค่ช่วงเช้าให้อารมณ์ใจทรงตัวก็พอแล้ว
*************************
“ทําสังฆทานให้ยกพระพุทธรูปมาด้วย ทําบุญอย่าให้ขาดทุน เดี๋ยวเกิดเป็นเทวดา รัศมีกายจะสว่างน้อยกว่าเขา โลกอื่นเขาวัดกําลังบุญด้วยรัศมีกาย ใครสว่างมาก ก็แสดงว่ามีบุญมาก
น่าเห็นใจโยมเหมือนกัน เพราะถังสังฆทานก็หนักพออยู่แล้ว ไหนจะพระพุทธรูปอีก ทําให้ยกมาที่เดียวไม่ได้ บางทีก็ลืมไปเลย
บางที่อาตมายกข้าวของชนิดที่ ๓ - ๔ คนเขายก แต่อาตมายกคนเดียว มีคนถามว่าไม่หนักหรือ ?
อาตมาบอกไปว่า ไม่ถามได้ไหม ?
ดันทะลึงถาม จากที่ไม่หนัก เลยทําให้รู้สึกว่าหนัก...!”
*************************
ถาม : ถวายสังฆทานกับหลวงตาวัดป่า แล้วถวายพระพุทธรูปไปด้วยท่าน บอกว่าพระพุทธรูปท่านรับแล้ว ให้เอากลับไปบูชาที่บ้านได้ อย่างนี้ผมต้องชําระหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง เพราะท่านให้เราเอง ส่วนหลวงตาก็เป็นหนี้สงฆ์ไป เราไม่ได้เป็นหนี้สงฆ์ สําหรับพระป่าอะไรที่ดูแลยาก รุงรังเกินไป ท่านก็มักจะให้วัดอื่น หรือให้คนอื่นไป
ไม่ต้องอะไรมากหรอก นึกถึงงานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวงก็แล้วกัน คนที่ทําบุญ เขาจะทําบุญอย่างเดียว เขาไม่ได้ดูว่าอาตมาจะเอาไปได้หรือเปล่า
ย่ามของอาตมามีคนใส่น้ํามา ๑ ขวด สมุดบันทึกไดอารี่ ๔ เล่ม แล้วจะเหลืออะไรให้คนอื่นใส่ ?
นั่นลักษณะทําบุญแบบไร้สติกจะทําอย่างเดียว ไม่ได้ดูว่าคนรับจะเอาไปได้หรือเปล่า ?
ส่วนอีกรายหนึ่งใส่ลักษณะเหมือนกับเป็นไฟฉาย คราวนี้มาในกรอบกระดาษแก้ว ซึ่งเป็นที่ครอบด้วย ใส่มาคนเดียว ๓ อัน แล้วย่ามใบแค่นี้จะใส่อย่างไร คนอื่นเขาก็จ้องใส่
กว่าอาตมาจะเดินหลุดออกมาได้แทบตาย ยังดีได้ถุงก๊อบแก๊บมา อีก ๓ ใบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะใส่อะไร เพราะว่าเต็มจนล้นแล้ว
สรุปแล้วกลับจากวัดเขาวงมา นอกเหนือจากปัจจัยส่วนที่ถวายหลวงตาไปแล้ว ยังมีติดกลับมาอีกหนึ่งแสนสองหมื่นกว่าบาท
คนจํานวนหนึ่งเขามาเพื่อดูหน้าอาตมาเท่านั้นเพราะได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้า
ส่วนอีกจํานวนหนึ่ง ถ้าอาตมาเป็นสาว ๆ ต้องบอกว่าโดนลวนลาม เพราะเขาเล่นจับ ๆ คลํา ๆ แล้วเอามือไปลูบหัว อาตมาว่าถ้ามือสากหน่อย คงลูบอาตมาจนสึกไปเป็นแถบ ๆ ไปแล้ว..!
เวลาเห็นคนที่เขาศรัทธามาก ๆ แต่ปัญญายังน้อยอยู่ การแสดงออกของเขาบางทีก็รู้สึกว่าน่าสงสาร แต่ก็ยังดีที่เขายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ว่าเป็นการยึดตัวตนอยู่ ก็ต้องถือว่ายึดแล้ว
เพราะเราต้องเกาะดีไว้ก่อน ก่อนที่จะปล่อยดีทีหลัง
ประเภทนี้ยังต้องฝ่าฟันอีกหลายชั้นเลย กว่าที่จะรู้ว่าคุณพระรัตนตรัยที่แท้จริงเป็นอย่างไร ตอนนี้เขายึดตัวบุคคลเป็นเหตุ ก็ต้องให้เขายึดไปก่อน
*************************
“เมื่อวานเลี้ยงน้ํากับขนมเด็ก ๆ ด้วย ก็เลยคาดว่าเดือนหน้าจะมาหนักกว่านี้อีก ขนม ๒๐๐ ชิ้น เหลือ ๑ ชิ้น ปรากฏว่าคุณครูขอไปด้วย
เวลาเห็นเด็ก ๆ เข้าวัดเข้าวา แล้วครูบาอาจารย์เต็มอกเต็มใจพามา ก็มีความหวัง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไหลตามกระแสโลกไป แต่อย่างน้อย ๆ ส่วนหนึ่งก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
พวกนี้ถ้ามาบ่อย ๆ แล้วจะโดนอาตมาหลอก หลอกให้ทํานั่นนิดทํานี่หน่อย เมื่อวานเล่าเรื่องผีให้ฟัง แล้วบอกพวกเขาว่า ทําดีหรือทําไม่ดี พ่อแม่ไม่เห็น ครูไม่เห็น หลวงพ่อก็ไม่เห็น แต่ผีเขาเห็นทุกตัวเลย
จริง ๆ แล้วในเรื่องของเด็ก แค่รู้ว่าต้องพูดกับเขาอย่างไร แล้วเขาจะเอาไปคิดไปจํา ก็พอแล้ว”
*************************
“การเรียนบาลีมีคุณความดีมากตรงที่ว่า เราต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเรียน โดยเฉพาะการท่องจําไวยากรณ์ ถ้าเราใช้คําท่องจําเป็นคําภาวนา ก็เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเต็ม ๆ เลย
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านท่องบาลีไปเรื่อย ๆ ท่องไปท่องมาเห็นตัวเองนั่งท่องบาลีอยู่ ก็คือท่านท่องบาลี จนกายในหลุดขึ้นไปบนเพดานเมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วกายในก็มองตัวเองที่นั่งท่องบาลีอยู่
ส่วนอาจารย์มหาทองดี เวลาญาติโยมให้เจิมบ้านเจิมรถ ถามว่าอาจารย์ใช้คาถาบทไหน
ท่านบอกว่าไม่มีคาถาหรอก ผมก็ท่องไวยากรณ์บาลีนั่นแหละ ท่องไปท่องมา เกิดความเคยชิน คล่องตัว เกิดความมั่นใจก็ขลังไปเอง
ภาษาบาลีให้รายละเอียดได้เยอะมาก พูดออกมาคําหนึ่ง สามารถแยกแยะได้เลยว่า เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต เป็นอดีตใกล้ปัจจุบัน เป็นปัจจุบันใกล้อนาคต ต้องบอกว่า tense ของบาลีเยอะกว่าภาษาอังกฤษ
*************************
“สมัยก่อนพอลูกสาวอายุได้ ๑๖ - ๑๘ ปี พ่อแม่ก็มานั่งเครียดว่า เมื่อไรลูกจะแต่งงาน ส่วนสมัยนี้อายุ ๓๐ - ๔๐ ปีแล้วก็ยังไม่แต่ง
สมัยก่อนความจําเป็นบังคับ เพราะว่าผู้หญิงแทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ถ้าหากว่าพ่อแม่ชราลงแล้วไม่มีคนเลี้ยง จะอยู่ได้ก็ต้องมีครอบครัว
ถึงเวลาพอลูกอายุ ๑๕ , ๑๖, ๑๗ ปี โดยเฉพาะอายุ ๑๘ ปีแล้วไม่แต่งนี่ พ่อแม่เริ่มเครียด กลัวลูกจะค้างเรือน สมัยก่อนใช้คําว่า “ค้างเรือน”
สมัยนี้อายุ ๔๐ ปียังอยู่กันเฉย ๆ ไม่มีใครเครียดเพราะผู้หญิงสมัยนี้ทํามาหากินเอง ไม่ต้องอาศัยผู้ชายเลี้ยง
ไม่อย่างนั้นจะเหมือนโยมเมื่อสักครู่ที่มาสารภาพว่า
“หลวงพ่อครับ...ที่บอกว่าอยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบาย แต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกแต่ไม่สบาย ผมกําลังเจอเต็ม ๆ”
บอกไปว่า อ๋อ...แสดงว่าคุณกําลังสนุกอยู่ละสิแสนสนุกแต่ไม่สบาย
จะว่าไปแล้วการมีชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องที่หนักมาก เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับอาตมา อายุ ๕๓ - ๕๔ ปีนี่ เวลาไปนั่งคู่กับเขา อาตมากลายเป็นลูกชายเขาไปเลย เขาเครียดเรื่องครอบครัวจนดูแก่มาก
ตอนงานที่วัดเขาวง อาตมาเจอเพื่อน เลยเรียกมาถ่ายรูปคู่ บอกว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน คนอื่นเขายังงง ๆ ว่าใช่หรือ ?
ถ้าคิดว่าดูแลตัวเองได้การอยู่คนเดียวนั้นสบายทุกคน อาตมาเองสมัยก่อนก็ได้ยินคนแก่พูดอยู่เรื่อย
“ไม่แต่งการไม่แต่งงาน เดี่ยวแก่ตัวไปไม่มีใครดูแลนะ”
อาตมาก็ชอบคิดแผลง ๆ ถ้าแต่งไปแล้ว เราต้องไปดูแลเขา แทนที่เขาจะมาดูแลเรา จะไม่ยิ่งทุกข์กว่าหรือ ?
ตัวเลขสถิติผู้หญิงไทยปัจจุบัน ๑๘ เปอร์เซ็นต์ไม่แต่งงานนี่ยังน้อยนะ
สถิติของญี่ปุ่นน่ากลัวมาก ๓๙ เปอร์เซ็นต์ไม่แต่งงาน เขาถือว่าอยู่คนเดียวได้ เพราะผู้ชายญี่ปุ่นถ้าหากว่าแต่งงานแล้ว เขาจะเป็นเจ้านายทุกอย่างให้ผู้หญิงทําหมด เพราะฉะนั้น...ผู้หญิงญี่ปุ่นที่เขาทํางานเองได้ทํา อะไรเองได้ เขาเลยไม่แต่งงาน
หลวงตาวัชรชัยท่านเคยเปรียบไว้ว่า ทํางานเหนื่อยนอกบ้านมาด้วยกัน พอกลับมาถึงบ้าน แทนที่จะช่วยเมียถูบ้าน รดน้ําต้นไม้ ดันมานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์ รอเมียทํากับข้าวให้กิน
พอทํากับข้าวเสร็จ เมียยังต้องมาถูบ้านอีก แบบนี้ก็ตายสิ..อยู่ที่ทํางานมีเจ้านายแล้วกลับบ้านยังมาเจอเจ้านายอีก แบบนี้ไม่แต่งดีกว่าว่ะ...!”
*************************
ถาม : ช่วงนี้มีบางท่านที่ใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิด ทําให้มีผลกระทบ ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่คะ ?
ตอบ : ผู้ที่ได้มโนมยิทธิมักจะนําไปใช้ผิดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์
ต้องใช้คําว่า “เพราะเห็นจึงเชื่อ” โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งหลอกกัน
อาตมามักจะเปรียบเทียบว่า เราเห็นคนเขาวิ่งไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แต่จะโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขากําลังถ่ายหนังกันอยู่ ก็คือเราเห็นเขาไล่ฆ่ากันมาจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่จริง
บุคคลที่ปฏิบัติแล้วรู้เห็นได้มักจะโดนทดสอบ คราวนี้คนที่รู้เห็นก็มักจะขาดสติ เพราะเห็นจึงเชื่อ โดยไม่มีการไตร่ตรองก่อน
จะว่าไปแล้ว ก็เรื่องตัวกูของกูเต็ม ๆ นั่นแหละ เพราะกูเห็น..จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไร?
ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็จะมีจํานวนมากต่อมากด้วยกัน ที่โดนหลอก แล้วเป๋ออกนอกทางไปเลย
ยกตัวอย่างหลวงพ่อท่านหนึ่งที่เป็นข่าว ท่านบอกว่า เวลาพรมน้ํามนต์ พวกสัมภเวสีจะเดือดร้อนมาก โดนน้ํามนต์แล้วตัวขาดเป็นท่อน ๆ เจ็บปวดเหลือเกิน สงสารเขาอย่าไปทําเลย
เรือนชานบ้านช่องก็ไม่ควรมีวัตถุมงคล ผ้ายันต์ หรือพระพุทธรูป ไว้ เพราะทําให้ผีเข้าออกไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ท่านเห็นแล้วพูดตามที่เห็น
โยมมาถามอาตมาว่า ควรจะเชื่อดีไหม ?
อาตมาเลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่า อย่าเอาตํารวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทําให้ปล้นร้านลําบาก โยมจะเชื่อไหม ?
ถาม : คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อ ?
ตอบ : ก็เพราะอย่างนั้น พอเปรียบเทียบให้ฟังชัด ๆ แล้วเขาถึงรู้ว่า
การที่เห็นแล้วพูดเลย แสดงว่ายังรู้ไม่จริง
เพราะบุคคลที่รู้จริง เขารู้ว่าควรจะพูดแค่ไหน
ถาม : สิ่งนั้นกระทบในชีวิตประจําวัน ?
ตอบ : กระทบแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ขวัญอ่อนหน่อยนี่ไปเลย
ถาม : เมื่อถูกกระทบ ควรจะวางอย่างไร ?
ตอบ : ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง อย่าไปหวั่นไหวกับสิ่งอื่น อยู่กับทาน อยู่กับศีล อยู่กับภาวนาของเรา ได้ยินก็ถือแค่ว่าเป็นลมผ่านหูไป
พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว สิ่งนี้ตรงกับคําสอนของหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อมั่นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าไม่ตรงกัน ก็ต้องละเอา ไว้ก่อนว่ายังไม่เชื่อ
สงสัยอีกก็ไปเปิดพระไตรปิฎก แต่อย่าไปเปิดพระไตรปิฎกอย่าง หลวงพ่อท่านนั้นนะ เพราะท่านเล่นเถรตรง ก็คือไม่ได้เข้าใจความหมายอย่างแท้จริง เป็นการตีความตามตัวอักษร นั่นก็ทําให้ผิดอีก
ถาม : เราก็ปล่อยให้เขาทําสิ่งนั้นไป ?
ตอบ : สรุปก็คือ อย่าไปยุ่งกับเขา รักษากําลังใจของเราให้ดีที่สุด
ไปยุ่งกับเขาเมื่อไรกําลังใจของเราจะหมอง ถ้าหากว่าตายตอนนั้น เราจะขาดทุนมาก
*************************
“คนเราพอแก่ตัวมากขึ้น หน้าที่ความรับผิดชอบก็มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันสังขารก็อยู่ในทิศทางตรงกันข้าม คือเสื่อมลงไปทุกที งานที่สมัยหนุ่ม ๆ เคยทําแล้วไม่หนัก ตอนนี้ก็กลายเป็นหนักไปแล้ว”
*************************
“สุนัขมีจมูกที่ไวกว่าเรา ๔๐ เท่า แต่สมัยนี้เสื่อมสภาพหมดแล้ว สมัยอาตมาเด็ก ๆ อยู่บ้านต่างจังหวัด เอากระดูกขาไก่ยกขึ้นให้สุนัขดูแล้ว ขว้างเข้าไปในดงหญ้า
สุนัขวิ่งตามเข้าไปไม่ถึงนาทีก็เอากระดูกออกมากิน ส่วนสุนัขสมัย นี้โยนขนมเลยหัวไปหน่อยเดียว ก็หาไม่เจอแล้ว
ถาม : เป็นเพราะอะไรคะ ?
ตอบ : เพราะอยู่สบายกินสบาย จึงเสื่อมสมรรถภาพ ถ้าปล่อยให้เข้าป่า อด ๆ อยาก ๆ บ้างแล้วจะเก่ง
เพราะการอยู่ในป่าถ้าไม่กินเขา ก็จะโดนเขากินการฝึกที่โหดระดับนั้น ตัวที่อยู่รอดได้ จึงต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ลักษณะเดียวกับการปฏิบัติธรรมของเรา เปอร์เซ็นต์ที่รอดไปนิพพานได้มีนิดเดียว แต่ก็มี..!
มีช่วงหนึ่งที่อาตมาต้องรบกับพระยามารฟาดกันชนิดฟ้าถล่มดินทลาย เขายกพหลพลโยธามามากจนนับไม่ได้
เขาบอกว่า ที่ปล่อยให้พระพุทธเจ้ารอดไปได้ เพราะว่าเป็นเพื่อนกัน ถ้าเขาไม่ปล่อย ไม่มีทางรอดมือเขาไปได้แน่นอน แล้วอาตมาเป็นใคร ถึงจะไปคิดสู้กับเขา ?
ตอนที่พระยามารมาอยู่ต่อหน้า พลังของเขาที่แผ่ออกมาความรู้สึก ของอาตมาเหมือนกับว่าใจจะขาดรอน ๆ เหมือนลูกไก่อยู่ต่อหน้าพญางู มีอนุสติสุดท้ายอยู่นิดเดียวเท่านั้นว่า
พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี ท่านไปพระนิพพานกันจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้ามารเก่งจริง ทําไมขวางท่านไม่อยู่ ?
เพราะฉะนั้นมารไม่เก่งจริงหรอก ดีแต่เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเท่านั้น แล้วมาเจอเด็กที่สู้อย่างอาตมาอีกด้วย.!
อาตมาบอกกับมารไปว่า “ถ้าโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า กูจะยอมไหว้มึง แต่ตอนนี้เอ็งมา ข้าสู้...!”
แต่สู้กับเขา..ขอโทษเถอะ ประตูชนะแทบจะไม่มีเลย จะแผ่เมตตาให้ กําลังเราก็ไม่เท่าพระพุทธเจ้า ระดับพระพุทธเจ้าเขายังไม่รับเลย
แล้วจะไปใช้กําลังอภิญญาสมาบัติอะไรก็ไม่ไหว เพราะเขาถนัดกว่าเราเยอะเลย เขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ เรื่องพวกนี้เขาชํานาญคล่องตัวกว่าจนนับไม่ได้
เลยอยู่ในลักษณะที่สู้ก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ ตื๊อกันจนวินาทีสุดท้าย มีปัญญาตีก็ตีไป เราอึดให้ได้ก็แล้วกัน
ท้ายที่สุดหลังจากฟาดกันอยู่เป็นอาทิตย์ เขาก็รามือถอยไปเอง เพราะว่าหมดวาระแล้ว และอาตมาไม่ยอมแพ้สักที
เรื่องพวกนี้ปกติไม่น่าเล่าให้คนอื่นฟัง แต่ว่าใครสักคนหนึ่งที่ถ้ามีวาสนาบารมีทางด้านนี้ ก็คือสามารถรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ถ้าเขามาข่มขู่ในลักษณะนี้ให้รู้ไว้ว่า
เขาทําเราให้ตายไม่ได้ ในเมื่อเขาทําเราให้ตายไม่ได้ก็ไม่ต้องไปกลัวเขา
เขาจะกลั่นแกล้ง จะทุบตี จะฆ่าฟัน หวดเราจมดินลงไปเป็นกิโลเมตรก็ช่างเถอะ ตี๊อสู้เขาอย่างเดียว
เพราะถ้าเขาทําเราตายเท่ากับผิดกฏ เขาได้แต่ข่มขู่ให้เราเลิกปฏิบัติความดีเท่านั้น
นี่อาตมาเปิดเผยความลับมากไปเดี๋ยวก็โดนอีก ในเมื่อทําเราให้ตายไม่ได้ ไม่ตายซะอย่าง ไม่ต้องกลัวหรอก เจ็บแค่ไหนก็ทนได้
สมัยก่อนเขาบอกว่า “ศรีทนได้” ถ้าใครมีวาสนามาทางนี้ ตื๊อไปเลย ยื้อเข้าไว้ เดี๋ยวเขาเบื่อหน่ายหรือหมดวาระ เขาก็เลิกไปเอง
*************************
|