​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๙๕

 

เก็บตกบ้านวิริยาบารมี เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕


              “บรรดาโรคต่าง ๆ ที่โบราณว่าเกิดจากลม ก็คือเลือดลมในร่างกายของเราเดินไม่ปกติ ทำให้เป็นโรคได้หลายโรค เรื่องของโยคะช่วยเรื่องพวกนี้ได้เยอะมากทีเดียว”
*************************

      ถาม :  จะรู้ได้อย่างไรว่า เด็กคนนี้ก่อนเกิดมาจากไหนครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าใช้ทิพจักขุญาณดู ก็ยังมีโอกาสพลาดได้
              สังเกตดูว่า ถ้าหากท่านที่มาจากพรหม ส่วนใหญ่จะนิ่ง ไม่ค่อยพูด พูดน้อย มีเหตุมีผล
              ถ้าพวกมาจากเทวดา จริยาจะนุ่มนวลกว่า ขณะเดียวกัน...ถ้าเราไปตึงตังหรือหยาบคาย เขาจะไม่คบเราเลย
      ถาม :  เป็นลูกเราครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นลูก ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่ามาจากไหน มาจากนรกก็ต้องเลี้ยง...!
      ถาม :  อยากรู้ครับ ?
      ตอบ :  ถ้าคุณรู้เมื่อไรแล้วจะซวยไม่รู้จบ เพราะจะไปเลือกว่าจะรักคนนี้ จะเกลียดคนนั้น ซึ่งจะเป็นเองโดยอัตโนมัติ
              อย่างน้อย ๆ ศีลเขาต้องมี ถึงได้เกิดเป็นคน แต่พอเกิดมาแล้ว จะรักษาศีลต่อได้หรือไม่ ก็อยู่ที่เขาว่าจะเอากำไรหรือขาดทุน ฉะนั้น...ต้องอบรมเขาให้ดี
*************************

              “จะว่าไปแล้วพวกเซียนพระเขามีความพยายามมาก เขาพยายามทำของใหม่ให้เก่า แล้วเอาไปจำหน่ายฝรั่ง
              แต่วิธีที่ทำให้เก่านี่แหละ เกิดใหม่จะซวยไม่รู้จบ บางคนเอาพระพุทธรูปไปแช่น้ำกรด บางคนเอาไปแช่น้ำไว้เป็นเดือน ๆ บางทีก็เอาไปหมกโคลนไว้เพื่อให้ดูเก่า”
*************************

      ถาม :  การหวงวัตถุมงคลเป็นความโลภไหมคะ ?
      ตอบ :  เขาเรียกว่า โลภเจตนา อย่างน้อย ๆ มีความโลภแฝงอยู่ แต่ต้องดูว่าเราใช้เป็นอนุสติหรือเปล่า ?
              ถ้าเป็นอนุสติ ก็ถือว่าในส่วนของบุญกุศลมีมากกว่า โดยเฉพาะวัตถุมงคลเราทำบุญแล้วได้มา เราก็จะได้ระลึกถึงในเรื่องของจากคานุสติ และในเรื่องของทานบารมีด้วย
              แต่ถ้าว่ากันตามหลักอภิธรรม เขาถือว่ามีส่วนของโลภเจตนาอยู่ ก็คือมีส่วนของความโลภอยู่
              แต่ว่าไม่ต้องไปฟังตรงนั้นหรอก ทำไปเถอะ...จะไม่ให้มีความโลภเลย ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น แม้แต่พระอนาคามี ท่านยังอยากในการทำบุญ แล้วอภิธรรมก็ใส่เต็ม ๆ ว่ายังเป็นโลภเจตนาอยู่ ก็ถูกตามตำราเขา
*************************

      ถาม :  มีสมุดบันทึกจดเวลาทำบุญค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอก ถึงเวลารายการบุญที่เราทำก็ไปโผล่ที่นายบัญชีท่านเองแหละ ถ้ารู้ว่าใกล้ตาย ก็ใส่ซองส่ง ems ไปถึงพระยายมราชล่วงหน้าไว้เลย
*************************

      ถาม :  เอาวัตถุมงคลไปถวายวัด เป็นการตัดความโลภไหมคะ ?
      ตอบ :  เป็น…กว่าจะตัดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่า มัจฉริยะ คือความตระหนี่ถี่เหนียว มีทุกคน แต่ว่าเราทำได
              สมมติว่าถวายวัด เผื่อว่าใครทำบุญ ทางวัดจะได้ให้เขาต่อไป ก็เท่ากับว่าเรามีส่วนในบุญต่าง ๆ ที่ทางวัดเขาทำด้วย
      ถาม :  จะเอาวัตถุมงคลให้ญาติพี่น้อง ก็กลัวเขาไม่เห็นคุณค่า ?
      ตอบ :  นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว
      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  มีส่วน สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อชีวิต เรารักเขา เราชอบเขา ความคิดเห็นของเขาก็มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเรา
              เราก็เลือกที่เรามั่นใจไว้สัก ๓ องค์ ๕ องค์ นอกจากตัวเองแล้ว ยังเผื่อคนอื่นในครอบครัวของเราด้วย แล้วที่เหลือก็จัดการ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปให้เขาตำหนิใหม่
*************************

      ถาม :  ทำบุญให้คนป่วยครับ ?
      ตอบ :  ทำบุญเสร็จแล้วกลับไปบอกเขาอีกรอบ ต้องกระตุ้นให้นึกถึงบุญไว้บ่อย ๆ โดยเฉพาะคนป่วยถ้าเกาะบุญได้ บางทีจะไม่รู้สึกเจ็บเลย
*************************

              “พวกเราหลายคนรู้ว่าลาวอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ไทยอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง แต่อีกเป็นจำนวนมากไม่รู้เลย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงแบ่งเป็นซ้ายกับขวา
              หลักการแบ่งฝั่งแม่น้ำว่าเป็นซ้ายหรือขวานั้น โดยสากลเขาให้หันหน้าออกทะเล ด้านไหนอยู่ซ้ายมือของเรา ก็คือฝั่งซ้าย ด้านไหนอยู่ขวามือก็คือฝั่งขวา ฉะนั้น...เราสงสัยว่าทำไมลาวอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้รู้ว่าหลักสากลเป็นอย่างนั้น อย่างกรุงเทพฯ อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ธนบุรีอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา
              จริง ๆ แล้วอยากจะให้เขาแยกธนบุรีออกเป็นจังหวัดต่างหาก เพราะว่าโดยศักดิ์ศรีแล้วธนบุรีเป็นเมืองหลวงเก่าเช่นกัน สมัยก่อนนี้การพัฒนาเมืองหลวง จะพัฒนาฝั่งกรุงเทพฯ มากกว่า ฝั่งธนบุรีเขาเรียกว่าลูกเมียน้อย
              ช่วงนั้นเขายุบธนบุรีเข้ามาเป็นจังหวัดเดียวกับกรุงเทพฯ แล้วใช้ว่า นครหลวงกรุงเทพธนบุรี จำได้ไหมว่าเขาเคยมีชื่อนี้ ? หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นกรุงเทพมหานคร
              ฉะนั้น..กว่าจะเป็นกรุงเทพมหานครนี่ สมัยก่อนเขาเป็นกรุงเทพฯกับธนบุรี แล้วก็มาเป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรี แล้วถึงจะมาเป็นกรุงเทพมหานครอย่างในปัจจุบัน
              แต่อาตมาอยากจะให้แยกออก เพราะถ้าแยกออก จะได้ใช้งบประมาณของตัวเองโดยตรง และเดี๋ยวนี้ฝั่งธนบุรีก็เจริญไม่แพ้ฝั่งกรุงเทพฯ แล้ว
*************************

              สมัยอาตมาเด็ก ๆ อยู่บ้านยายตรงสามแยกไฟฉาย คนรุ่นใหม่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาเรียกสามแยกไฟฉาย
              เพราะว่าตอนช่วงสงครามโลก เขาตั้งปืนต่อสู้อากาศยานที่สามแยกท่าพระ แล้วก็ตั้งไฟฉาย สำหรับส่องหาเครื่องบินข้าศึกตอนกลางคืนที่ตรงสามแยกไฟฉาย
              พอเลิกสงคราม เขาก็เลยเรียกสามแยกไฟฉาย เพราะชื่อเก่ายังไม่มี แต่สามแยกท่าพระมีชื่อแล้ว ก็เลยยังคงเรียกสามแยกท่าพระอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงกลายเป็นสามแยก ปตอ.ไปแล้ว”
*************************

              “เห็นญาติโยมหอบลูกจูงหลานมาทำบุญก็ดีใจ เพราะว่าเด็ก ๆ ต้องมีตัวอย่ง สมัยนี้เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยใส่บาตรกัน
              เขามีการออกแบบสอบถามทำวิจัยแล้ว เด็กรุ่นใหม่ร้อยละ ๖๐ ไม่เคยใส่บาตรเลย ร้อยละ ๔๐ ที่เหลือ เคยใส่บาตรเฉพาะวันเกิดตัวเอง แล้วในร้อยละ ๔๐ พอมาแบ่งใหม่ มีร้อยละ ๓๐ เท่านั้นที่เคยไปทำบุญถึงวัด จัดว่าน้อยมาก
              จะไปว่าเด็กก็ไม่ได้ เพราะว่าผู้ใหญ่ไม่ได้ทำตัวเป็นแบบอย่าง ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ทำตัวเป็นแบบอย่างให้เด็กเห็น ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี เขาก็จะทำตาม
              โดยเฉพาะว่าระยะหลังนี้ การรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา คือปริญญาตรีขึ้นไป มีหลายแห่งแล้วใช้คะแนนคุณธรรม
              ก็แปลว่าถ้าเด็กคนไหนเคยเรียนธรรมศึกษาตรี โท เอก มา ได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่าสอบผ่านแล้ว
              หรือว่าท่านใดเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด ได้รับวุฒิบัตรผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว หรือว่าท่านใดเคยทำบุญแล้วมีอนุโมทนาบัตร
              ถ้ามีเครื่องยืนยันทั้งหลายเหล่านี้ ถึงเวลาเกณฑ์พิจารณาเรื่องคะแนนคุณธรรมของสถาบันอุดมศึกษา ที่ยึดคะแนนคุณธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการรับเด็กเข้า ก็จะได้เปรียกกว่าคนอื่นเขา เพราะยืนยันได้ว่าตัวเองไปทำความดีมาจริง ๆ พยายามศึกษาพระพุทธศาสนาจริง ๆ เป็นต้น
              ถ้าหากว่าเราจะเตรียมการให้ลูกหลาน ก็ควรจะพาเขาเข้าวัด แบบยายหนูเมื่อเช้านี้ บอกว่าพอหนูมีความสุขแล้ว หนูไม่ได้เข้าวัดเป็นปีเลย ไม่เหมือนตอนทุกข์ นั่งสวดมนต์ไปร้องไห้ไปก็ยังเอา”
*************************

              “สมัยนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้บรรดาสัตว์เลี้ยงไม่ได้ผสมพันธุ์กันตามฤดูกาล แต่จะผสมพันธุ์กันทั้งปี พวกปลาช่อนไข่ ปลาดุกไข่ ที่เราซื้อปล่อยกันนี่เป็นปลาเลี้ยงแน่นอน ถ้าไม่ยอมไข่ เขาก็จับฉีดฮอร์โมนบังคับให้ไข่
              แบบเดียวกับสมัยเด็ก ๆ พวกไม้ผลในสวน ไม่ว่าจะเป็นลำไย ทุเรียน มะม่วง ถ้าไม่ออกลูก เขาให้เอามีดไปฟัน ฟันหลาย ๆ แผล แผลใหญ่ ๆ เลย แล้วต้นไม้ต้นนั้นจะรีบออกลูก
              เพราะว่าพวกต้นไม้หรือสัตว์ ถ้าเขารู้ตัวว่าจะตาย จะต้องหาทางทิ้งพืชพันธุ์เอาไว้ก่อน เท่ากับบังคับให้ออกดอกออกผล
*************************

              แบบเดียวกับกุ้งกุลาดำ บ้านเรามีเทคนิคการเพาะเพื่อที่จะให้ออกลูกได้ แต่ไต้หวันทำไม่ได้ ต้องรับซื้อแม่กุ้งจากเมืองไทย จึงมีการขโมยแม่กุ้งไป ตัวหนึ่งซื้อกันเป็นหมื่น เขาจะเอาไปช็อกด้วยน้ำเย็นจัดให้สลบแล้วก็ใส่ถึงอัดออกซิเจนส่งไป เทคนิคการทำให้กุ้งไข่ของไทยก็คือ เอาคีมบีบตาทิ้งไปข้างหนึ่ง พอตาบอดไปข้างหนึ่ง กุ้งรู้ว่าใกล้ตายแล้วก็รีบผลิตไข่ เทคนิคนี้น่ากลัวมาก คนทำจะโดนกรรมสนองคืนแน่นอน...!
              ส่วนคนที่คิดเทคนิคการผสมพันธุ์กบนอกฤดูได้ ต้องบอกว่าบังเอิญมาก คือพอดีวันนั้นอากาศร้อนจัด เขาจึงเอาสังกะสีไปปิดปากบ่อไว้ แล้วเปิดน้ำฉีดใส่สังกะสีจะได้เย็น
              ปรากฎว่าเสียงน้ำที่ฉีดใส่สังกะสีกราว ๆ ทำให้กบคิดว่าฝนตก ก็เลยร้องรับ แล้วก็ผสมพันธุ์กันใหญ่ ตั้งแต่นั้นมากบเลยเจอน้ำฉีดใส่สังกะสีอยู่เรื่อย
*************************

              เด็กบ้านนอกสมัยก่อน พอหน้าแล้งอยากกินกบ ก็ไปเอาใบตาลแห้งคนละ ๒ ทาง แล้ววิ่งแข่งกันลากตามนาแล้ง ๆ แตกระแหงนั่นแหละ พวกกบ พวกปลา พวกหอยจะซุกกันอยู่ข้างใต้
              เด็กที่วิ่งแล้วก็ลากใบตาลแห้งไป เสียงฝีเท้าตึง ๆ เหมือนฟ้าร้อง เสียงใบตาลแห้งลากพื้นจะซ่า ๆ เหมือนฝนตก กบก็ร้องอ๊บ ๆ พอเด็กได้ยินเสียงกบก็ตามหาตัว ขุดเอาได้ง่าย ๆ
              พวกบรรดาแม่ครัวในรั้วในวังสมัยก่อน เวลาจะยำกบใส่มะดัน ถ้าหากบไม่ได้จริง ๆ ก็เอาแก้มปลาช่อนแทน ซื้อแต่หัวปลาช่อน นำมานั่งเสร็จแล้วก็แกะเอาเนื้อตรงแก้ว แล้วก็เอามาบี้ ก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นแก้มปลา เพราะว่าเนื้อตรงนั้นรสชาติจะเหมือนกับเนื้อกบ”
*************************

              “โรงเรียนบ้านป่าไม้สะพานลาวจะไปจัดอบรมเยาวชนที่วัดท่าขนุนในวันวาเลนไทน์ คือวันที่ ๑๔ - ๑๕ กุมภาพันธ์นี้ เขาโทรมาสอบถามว่า ตอนเย็นจะเปิดโรงครัวทำอาหารให้เด็กได้ไหม ?
              อาตมาบอกว่า ได้ แต่อย่าทำเอามาถวายพระแล้วกัน...!
              ระยะหลังการอบรมเด็กมีแทบทุกเดือน เหมือนกับว่าเป็นกิจกรรมภาคบังคับ โรงเรียนต่าง ๆ หมุนเวียนกันไป โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีงบน้อย พอโดนบังคับให้จัดกิจกรรม ก็อิงวัดเป็นหลัก
*************************

              สมัยก่อนโรงเรียนบ้านป่าไม้สะพานลาว จะมีเด็กต่างด้าวร้อยละ ๓๐ เด็กที่จะได้งบประมาณเลี้ยงอาหารกลางวันจากกระทรวง ต้องเป็นเด็กไทยที่มีทะเบียน
              คราวนี้จะให้เด็ก ๗๐ คนนั่งกิน แล้วเด็กอีก ๓๐ คน ที่เป็นต่างด้าวนั่งกลืนน้ำลายก็ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องวิ่งมาวัด มีข้วสารอาหารแห้งหรือเงินทองก็ต้องให้เขาไป
              มีอยู่ครั้งหนึ่งนำญาติโยมจัดผ้าป่าให้เขา เพื่อเป็นทุนอาหารกลางวันเด็ก ได้เงินไปสี่แสนกว่าบาท ไม่ทราบเหมือนกันว่าถึงมือเด็กเท่าไร แต่อาตมาทำแบบโปร่งใส ไปทอดที่โรงเรียนเลย นับเงินเสร็จ ก็ให้เจ้าภาพมองให้กับทางโรงเรียนโดยตรง
              ทำงานลักษณะนี้ดีตรงที่ว่าเราสบายใจ เขาเองก็ไม่ต้องมาระแวงว่าเงินจะตกหายกลางทางหรือเปล่า หลังจากนั้นอาตมาก็ไม่ตามไปดูแล้ว ว่าเขาเอาเงินไปทำอย่างไร เพราะว่าให้เขาไปแล้วก็จบแค่นั้น”
*************************

      ถาม :  น่าจะมีโครงการปลูกผักเป็นอาหารกลางวันเด็กนักเรียน ?
      ตอบ :  มี…แต่ไม่พอ โดยเฉพาะบางโรงเรียน อาตมาไปเร่ิมโครงการไว้ เช่น ให้นักเรียนบ้านไกลได้พักหอพัก อาตมาเองก็ไปสร้างหอพักให้ ไม่ได้ดีอะไรหรอก เป็นแบบมุงแฝกมุงจากนี่แหละ
              ปัจจุบันนี้โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ถึงเวลาก็จะนิมนต์พระไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้ง มีวงเล็บว่า “บิณฑบาตเสร็จ โปรดยกให้กับทางโรงเรียนด้วย”
              ถ้ามีการคัดตัวนักกีฬา หรือว่านักเรียนที่ซ้อมวงโยธวาทิต ก็มักจะขออาหารแห้งที่วัดเป็นระยะ ๆ ขาดอะไรก็วิ่งเข้าวัดไว้ก่อน
*************************

              อย่างบ้านปิล็อกคี่ “คี่” เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า “สุด” คือสุดเขตประเทศไทยแล้
              เด็ก ๆ ที่นั่นจะเป็นคริสต์เสียส่วนใหญ่ เพราะว่าศาสนาคริสต์มีนโยบายป่าล้อมเมือง เขาจะไปตีโอบจากข้างนอกเข้ามา เข้าไปตามหมู่บ้านชาวเขา หมู่บ้านชายแดน
              บ้านไหนที่เข้ารีตเป็นศาสนิกของเขา เขาก็จะระดมความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ไปให้ เสร็จแล้วก็อ้างว่าเป็นเพราะว่านับถือพระเจ้าของเขา ถึงได้เจริญรุ่างเรืองกว่าครอบครัวอื่น ก็เลยทำให้มีคนเปลี่ยนไปนับถือคริสต์กันเยอะมาก
              อาตมาไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก ไปให้ทุนการศึกษาเด็ก แต่พวกนี้ดีมาก จะคริสต์จะพุทธ ถ้าเอาไปให้เขารับทั้งนั้นแหละ
              เสียอย่างเดียวตอนที่มอบทุนการศึกษาให้ เด็กยื่นมาขอจับมือพระ เพื่อ “เช็กแฮนด์” อาตมาก็เลยเขกกบาลให้ บอกว่า
              “มึงอยู่ประเทศไทยนะ...ควรจะรู้ว่าเวลาเจอพระแล้วต้องทำอย่างไร”
              ในช่วงเข้าพรรษา จะมีพระไปจำพรรษาที่ปิล็อกคี่ด้วยกันหลายรูป แต่เนื่องจากว่าเขาเป็นคริสต์กันเกือบหมดหมู่บ้าน เขาก็ไม่ใส่บาตร เวลาพระออกบิณฑบาตจึงไม่พอฉัน
              ถึงเวลาบรรดาอุบาสกอุบาสิกาหรือโยมวัด ก็ต้องนุ่งขาวห่มขาว ถือฆ้องถือกลองมาเดินขบวนแห่อยู่ในตลาด ขอบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง ได้ไปคนละนิดละหน่อย
              พออาตมารู้เข้าก็รำคาญ เดินกันเป็นวัน ๆ ได้ไปหหน่อยเดียว บอกกับพวกเขาว่า
              “ไม่ต้องเดินหรอก ทีหลังให้ไปเอาที่วัดท่าขนุน ต้องการอะไรไปขนเอาได้เลย”
              เวลาให้ทีก็เป็นกระสอบ หมดเมื่อไรค่อยมาเอาใหม่ แต่คราวนี้รู้สึกเขามีความสุขที่ได้ทำอย่างนั้น เขาบอกว่า ขอเดินก่อน แล้วค่อยเข้ามาเอาที่วัด
              พูดง่าย ๆ ว่าของวัดเป็นของตาย อย่างไรก็ได้แน่นอน เขาเดินขอบริจาคก่อน จะได้มากได้น้อยก็ขอให้ได้เดิน
              เรื่องนี้พอพูดไปก็โยงไปถึงเมื่อวานที่บอกว่า ทางด้านธรรมยุติเขามีการเกื้อกูลกัน มหานิกายเราจริง ๆ ก็มี แต่อยู่ในวงเล็กมาก
              ธรรมยุติท่านถึงกันหมด อาจจะเป็นเพราะว่าเขามีจำนวนน้อยกว่าเรา ทั่วประเทศมีประมาณสามพันวัด ส่วนมหานิกายทั่วประเทศมีสามหมื่นกว่าวัด
              ก็เลยกลายเป็นว่า มหานิกายของเรามีการเกื้อกูลกันแค่เฉพาะในวง แต่ว่าอาตมาก็พยายามช่วยเท่าที่จะช่วยได้
              “เดี๋ยวนี้เขามีเทคนิคใหม่อย่างหนึ่ง เรียกว่า อิเล็กโตรฟอร์มมิ่ง (Electroforming Technique) เป็นการขึ้นรูปทองคำด้วยไฟฟ้า
              ถ้าหากว่ามีต้นแบบ ก็ใช้ไฟฟ้าเป็นตัวเหนี่ยวนำ ดึงเอาโมเลกุลของทองคำมาฉาบไว้ องค์พระจะมีน้ำหนักเบา แต่ทองก็ยังเป็นทอง ถึงน้ำหนักจะน้อย แต่ก็ยังแพงอยู่ดี
              เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ งานศิลป์มีวิธีการให้เลือกมากขึ้น สำคัญที่ตรงความประณีต
              อาตมากำลังรอพระนาคปรกรุ่น ๒ คราวนี้เป็นนาคไทย ๙ เศียร เห็นว่าเดือนหน้าจะได้แบบขี้ผึ้งมาดู คุณปรัชญ์เริ่มมีเวลาว่างทำให้แล้ว
              อาตมากำชับเอาไว้ว่าให้เสร็จทนวิสาขบูชา เพราะว่าเป็นการฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี แม้เขากำหนดว่าทั้งปี แต่ก็อยากให้ทันวิสาขบูชา พอวิสาขบูชาแล้ว ก็รอเข้าพิธีเสาร์ ๕ เลย”
*************************

      ถาม :  ขอฤกษ์ที่จะขึ้นบ้านใหม่ครับ ?
      ตอบ :  เอาตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์นั่นแหละ เลือกให้ตรงกับ วันศุกร์ ข้างขึ้น เดือนคู่ เว้นเดือน ๘ ข้างแรม กับเดือน ๑๐
              ตามเดือนไทยนะ...ไม่ใช่เดือนฝรั่ง
*************************

              “มีครอบครัวหนึ่งที่สงขลา ลูกเกิดมาแล้วมีอาการคล้าย ๆ กับเป็นโปลีโอปนกับอัมพาต ต้องนอนแผ่กับที่ ให้พ่อแม่ป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดตัวไปเรื่อย เลี้ยงมาอย่างนั้นตั้ง ๑๗ ปี
              พอเวลาอาตมาลงไปสงขลา เขาก็จะนิมนต์ไปบ้านให้ลูกเขาได้ทำบุญ ลูกเขาจะอยู่ในลักษณะที่ฟังรู้เรื่อง แต่สื่อกับคนอื่นไม่ได้ การแสดงออกซึ่งความดีใจของเขา เหมือนอย่างกับชักกระตุกไปทั้งตัว พอเห็นพระก็จะมีอาการอย่างนั้น เขาก็รักลูกของเขา...เลี้ยงมาอย่างนั้น ๑๗ ปีเข้าไปแล้ว”
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  ต้องบอกว่ามีบุญมีกรรมเนื่องกันมาด้วย ไม่อย่างนั้นคนตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมไปชี้เอาคนนั้น แบบเดียวกับไปซื้อลูกหมา พอมองเห็น...ใช่เลย ตัวนี้แหละ แบบนั้นเลย
              เรื่องหมาต้องยอมรับในความแสนรู้ของเขา เขามีฤทธิ์โดยกรรมวิบาก บางตัวก็รู้เกินเหตุ
              มีอยู่ครั้งหนึ่งแวะสถานีบริการน้ำมัน แล้วก็เข้าห้องน้ำ เดินอ้อมตัวอาคารจะไปเข้าห้องน้ำข้างหลัง มีหมาเดินสวนมา พอเจอกับหมา ความคิดของเขาออกมาชัด ๆ เลยว่า
              “นั่นแน่...เราได้กินแน่” แล้วหมาก็กระดิกหางวิ่งเข้ามาเลย
              อาตมาก็ “เฮ้อ...ตั้งความหวังกับเราขนาดนี้ ก็ต้องให้แหละ” จึงไปซื้อขนมมาให้หมากิน
              คนขายเขาบอกว่า “อาจารย์อย่างไปตามใจมันนัก ไอ้นี่เจอใครก็ขอเขาหมด”
              แต่คราวนี้ความคิดเขาออกมาชัดเลยว่าได้กินแน่ แล้วก็วิ่งเข้ามา เขาดูออกว่าคนประเภนี้ถึงจะได้กิน ถือว่าเก่งจริง ครั้งนั้นยังทึ่งเลยว่าความคิดเขาชัดขนาดนั้น แสดงว่าเขารู้จริง ๆ
              ไม่รู้ว่าหมาที่อายุยืนที่สุดมีอยู่สักเท่าไร ที่บ้านอาตมามีหมาอยู่ตัวหนึ่ง อาตมาเห็นมาตั้งแต่เพิ่งจำความได้ แล้วเขาตายตอนอาตมาอายุ ๑๔ ปี โดนรถชนตาย ไม่ใช่แก่ตาย ก่อนตายเขายังปกติทุกอย่างเลย ยังนำฝูงได้ทุกวัน
              ด้วยความที่ต่างจังหวัดสมัยก่อนรถรามีน้อย หมาจึงไม่รู้จักรถ ข้ามถนนไม่ได้ระวังรถชนเลย แต่ขนาดรถชนแล้ว ก็ยังตะกายกลับมาตายที่บ้าน
*************************

              “สมัยที่อาตมารบกับพวกเรือหาปลาหน้าวัดท่าซุง ช่วงแรก ๆ เขาก็ลงตาข่าย ตาข่ายผืนหนึ่งกว้าง ๒ เมตร ยาว ๑๒๐ เมตร เขาขึงตาข่ายเป็นรูปตัว z ขวางคลองเลย คนละ ๓ ชุด แล้วปลาจะเหลือไหมแบบนั้น ?
              พอเขาเห็นว่าเราจับได้ไล่ทัน เห็นว่าเอาจริงแน่ เขาก็เปลี่ยนไปลงเบ็ดราวแทน
              ถ้าเขาลงเบ็ดราวตรงฝั่งเราเลย เราก็จะเห็น เขาจึงไปลงตรงข้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา
              ปักหลักแล้วผูกเบ็ด พายเรือข้ามไปฝั่งเขา แล้วก็โรยเบ็ดไล่ไปเรื่อย จนกระทั่งไปถึงหน้าวัดยาง แล้วเขาก็พายข้ามมาฝั่งนี้ พอดึงสายตึงก็จะอยู่ในเขตวัดพอดีเลย
              พอเราจับได้ไล่ทันอีก เขาก็เปลี่ยนวิธีใหม่
              ใช้วิธีเอาแต่เบ็ดตัวเดียวพร้อมกับเหยื่อ แล้วก็ผูกไว้กับกอสวะ จะมีเศษพลาสติกผูกไว้หน่อย ให้เป็นเครื่องหมายว่าอยู่ตรงนี้ อาตมาไปเห็นก็ตอนที่กอสวะโดนปลาดึงยวบ ๆ เพราะว่าปลาติดเบ็ดแล้ว
              พอจับได้ไล่ทัน เก็บขึ้นมาหมด เขาก็เปลี่ยนวิธีใหม่อีก
              เอาขวดน้ำพลาสติกผูกเบ็ดพร้อมกับเหยื่อ แล้วปล่อยลอยผ่านหน้าวัด พอปลากินติดเบ็ดก็ลอยไปเรื่อย เขาจึงพายเรือตามไปเก็บปลา เพราะว่าปลาไปไหนไม่ได้ ติดขวดน้ำรั้งอยู่
              เล่นไล่จับกันอย่างนี้แหละ กว่าเราจะรู้เท่าทันแต่ละครั้ง เขาก็ได้ไปเยอะแล้ว”
*************************

              “พอมาระยะหลัง เขาจะมาหาปลาตอนพระออกบิณฑบาต มีเส้นมีสายคอยดูด้วยนะ พอพระเดินเลยคลองยางเมื่อไร เขาก็เริ่มลงมือเลย เขาจะวิ่งเรือเข้ามาถึง วางข่ายลอย ซึ่งเป็นข่ายที่มีลูกทุ่นลอยอยู่ด้วย พอวางลงเขาก็เก็บขึ้นเลย
              วันนั้นอาตมากระซิบบอกเจ้าวิม ซึ่งเป็นคนขับรถของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า
              “มึงเอาเรือไปซ่อนไว้ในคลองที”
              เขาถามว่า “แล้วหลวงพี่จะมาทางด้านไหน ?”
              อาตมาบอกว่า “เดี๋ยวกูจะเดินลงข้างคลองริมรั้ววัดลงไปเอง”
              อาตมาเองก็เดินบิณฑบาต เดิน ๆ ไปพอข้ามคลองยาง รีบส่งบาตรให้รุ่นน้อง บอกว่า “คุณไปต่อ ผมมีงาน..” แล้วก็เดินลงเรือที่นัดเอาไว้ พอเรือพุ่งปราดออกไป เขาลงข่ายพอดีเลย คราวนี้เก็บไม่ทันสิ เพราะเป็นข่ายลอย อาตมาก็สาวขึ้นมาแทน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ ๕ นาที ได้ปลาเป็นลำเรือเลย หน้าวัดมีปลาเยอะขนาดนั้น
              หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนแผนใหม่ พอได้ยินเสียงตีกลองเพลก็ลงข่าย เพราะรู้ว่าพระฉันเพลอยู่ ทั้งวัดฉันพร้อมกัน
              พวกนี้เขารู้วัตรปฏิบัติของพระ จะสร้างบุญสร้างกุศลตอนไหนเขารู้หมด แต่เขาสร้างบาปอย่างเดียวเลย..!
              อาตมาก็ไม่ฟังเสียง พอได้ยินรีบวางช้อน บอกพระผู้ใหญ่ว่า
              “ขอเวลาผมเดี๋ยวหนึ่ง ได้ยินอะไรไม่ต้องตกใจ”
              แล้วรีบเผ่นขึ้นไปชั้นบนของตึกรับแขก บอกทหารว่า “ยืมปืนให้กูหน่อย...!”
              ยิงกราดทีเดียวหมดแม็กกาซีนเลย พวกนั้นเผ่นกันอุตลุด อาตมายิงขู่เขา แต่ยิงขู่นี่ต้องยิงเป็นนะ ถ้าใช้อาวุธไม่เป็น จะตายเอาจริง ๆ ...!
              คราวนี้อาตมาฝึกการยิงมาครึ่งชีวิต วิชาฆ่าคนจึงไม่ยากสำหรับอาตมา กราดไปอย่างกับฝนตกรอบเรือเลย พวกนั้นกระชากเครื่องเผ่นกันแทบไม่ทัน พอโดนเข้าแบบนี้ เขาถึงได้ยอมกลัว”
*************************

              “หลังจากนั้นเปลี่ยนแผนใหม่อีก ใช้เรือเครื่องวิ่งตีคู่กันมา แต่ละลำจะลากเรือพายอีกลำหนึ่ง วิ่งผ่านหน้าวัดตอนกลางคืน กว่าจะรู้ว่าเขาเอาอวนผูกท้ายเรือพาย ก็โดนเขากวาดปลาไปเยอะแล้ว
              ถ้าเขาเอาอวนผูกท้ายเรือเครื่อง หางเรือจะไปพันอวน เขาเลยต้องเอาเชือกโยงเรือพายอีกลำหนึ่ง แล้วก็เอาอวนลงต่อจากเรือพาย
              ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาประกาศทั้งทางโทรโข่ง และติดป้ายประกาศ
              “เรือเครื่องทุกลำกลางคืนห้ามวิ่ง ใครวิ่งยิงหมด...!”
              พระในวัดโดยเฉพาะรุ่นพี่ ๆ เขาก็สนุก
              “ทำไมไม่เอาอาร์พีจีมาวะ ? บึ้มทีให้กระจายทั้งลำไปเลย...!”
              อาตมาบอกไปว่า “คนก็ตายห่...ไปด้วยสิครับ”
*************************

              ที่ขำ ๆ ก็คือพวกปลาเขารู้จริง ว่าเรารักและปกป้องพวกเขา พออาตมาพายเรือลงไป พวกปลากระสูบตัวยาวเป็นเมตร เกิดอาการตื่นเต้นเหมือนอย่างกับสนุกด้วย มาว่ายข้างเรือ แล้วก็พุ่งขึ้นมาจนน้ำกระจาย
              กระทั่งพวกทหารตำรวจเขาถามว่า “พวกปลารู้ขนาดนี้เลยหรือ ?”
              อาตมาบอกว่า “เขารู้ว่าใครมาช่วย”
              บางทีพอปลาติดเบ็ดราว อาตมาก็ลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่หัวเรือ แล้วลากขึ้นมาพาดตัก ตัวยาวล้นตักเลย แล้วค่อย ๆ แกะเบ็ดให้ กลัวปลาจะเจ็บ ปลาก็ร้องอุ๊ด ๆ ๆ เพิ่งจะรู้ว่าปลาร้องดังมากเลย
              อาตมาก็ตบ ๆ ตัวปลา “เฮ้ย...แหกปากร้องไปได้ พยายามทำเบา ๆ แล้ว”
              เขาก็เงียบ พอแกะเบ็ดเสร็จ ปลาก็พลิกตูมลงน้ำไป
*************************

              ตอนช่วงแรก ๆ พอได้พวกเครื่องมือหาปลามา ตำรวจวัดเขามักจะมาอ้างว่าเป็นของกลาง แต่ได้ไปแล้วไม่ได้เอาไปโรงพัก เอาไปคืนเขา
              พอตอนหลังได้เครื่องมือหาปลามาแล้ว อาตมาจึงเผาทิ้งหมด เผาไปเผามา ๒ - ๓ ครั้ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า
              “เฮ้ย...แกเก็บไว้หน่อย ถ้าไม่มีหลักฐาน เดี๋ยวเขากล่าวหาว่าแกรังแกเขาฝ่ายเดียว เก็บเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะสร้างพิพิธภัณฑ์ให้”
*************************

              “ช่วงนั้นมีปัญหากับชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็ยิงเอาบ้าง แจ้งความที่โรงพักบ้าง สารพัดคดี ข่มขู่พระที่บิณฑบาตบ้าง
              คราวนี้พอมีกิจนิมนต์ รุ่นพี่คือ หลวงพี่ละออง ท่านจะบิณฑบาตบนเกาะหน้าวัดประจำ พอมีกิจนิมนต์ ท่านบอกว่า “ท่านเล็ก...ผมไม่กล้าไปว่ะ”
              เลยบอกว่า “ไม่เป็นไรหลวงพี่ เดี๋ยวผมไปแทนเอง” ว่าแล้วอาตมาก็เปลี่ยนตัวไป
              พอไปถึงก็ขึ้นบ้าน ก็ไปนั่งรอบนอาสน์สงฆ์ พอขาใหญ่หาปลาหน้าวัดเดินขึ้นบันไดมาถึง
              “อ้าว...!”
              ถอยหลังเกือบตกบันได ไม่นึกว่าอาตมาจะกล้าไป แหม...เขานิมนต์ก็ต้องไปสิวะ”
*************************

      ถาม :  ตอนแกะเบ็ดออกจากตัวปลายากไหมคะ ?
      ตอบ :  อยู่ที่ว่าปลาตัวใหญ่หรือเล็ก
              ปลาตัวใหญ่เบ็ดกินลึกจะปลดยาก เพราะถ้าเราดึงแรง เงี่ยงเบ็ดจะทำให้เป็นแผล ต้องพยายามจะปลดช้านิดหนึ่ง
              แต่ว่าปลาคงเป็นประเภทพ้นน้ำนาน เขาก็บ่นใหญ่ แต่ละคืนอาตมาเปียกมะลอกมะแลกทุกคืน
              เทวดาท่านก็สนับสนุนดีเหลือเกิน พอเวลาอาตมาลงเรือ หมาก็หอนส่ง พอขึ้นจากเรือ หมาก็หอนรับ บอกชัด ๆ เลยว่าท่านไปด้วย
              ที่รู้ก็เพราะว่าบางที่เขาวางเครื่องมือจับปลาไว้ ดูเหมือนไม่มีทางที่จะวางได้ แต่เขาก็วาง แล้วอาตมาก็บังเอิญต้องเข้าไปเจอทุกครั้ง เหมือนอย่างกับท่านพาไปอย่างนั้น บางที่น้ำลึกประมาณศอกเดียวก็วางเบ็ดราว
              บางทีเขาก็ประกาศมาก่อนเลย “งานวัดครั้งนี้ กูจะเอาให้หมดหน้าวัด”
              เขาเอาจริง ๆ นะ แต่ไม่ได้เอาปลาหน้าวัด เขาเอาปลาข้างวัดอาตมาเข้าไปถึง เห็นเบ็ดราวนาวตลอดคลองยางเลย
*************************

              “เด็กคนนี้แหละ ตัวอย่างของชื่อที่มีอิทธิพลต่อชีวิต ตอนเด็กเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเลย พ่อแม่เขาพามาถามว่าเป็นอะไร ?
              อาตมาจึงบอกให้ไปเปลี่ยนชื่อเล่นเสีย พอเปลี่ยนก็หายป่วยเลย
              ร้อยวันพันปีจะมีสักคนหนึ่งที่ชื่อมีอิทธิพลต่อชวิต ไม่ใช่ชื่อจริงด้วย เปลี่ยนแค่ชื่อเล่นก็หายเป็นปกติ”
      ถาม :  ชื่ออะไรคะ ?
      ตอบ :  เขาตั้งชื่อเป็นเด็กฝรั่ง บางที “แม่ซื้อ” ไม่ชอบใจ เด็กรุ่นใหม่ ๆ นี่เขาไม่มีแม่ซื้อแล้วกระมัง ?
*************************

              หมอทรัพย์ สวนพลู เวลาเขียนเรื่องผี ๆ จะใช้นามปากกาว่า หลวงเมือง แกเล่าให้ฟังเรื่องแม่ซื้อนี่แหละ
              ตอนนั้นแม่อยู่คนเดียว ไกวเปลลูกไปเรื่อย พอใกล้เที่ยงแล้วก็หิวข้าว แต่ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวลูกจะตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้ยินเขาบอกว่ามีแม่ซื้อ ก็เลยเงยหน้ามองฟ้ามองดิน ร้องบอกว่า
              “ฝากลูกด้วยนะ จะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวที่ปากซอยหน่อย”
              แล้วแกก็ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยว
              ตอนกลับเดินถือถุงก๋วยเตี๋ยวมา เจอผู้หญิงผมยาวกำลังแกว่งเปลอยู่ แกตกใจถุงก๋วยเตี๋ยวตกแตกเลย ผู้หญิงผมยาวพอได้ยินเสียงถุงก๋วยเตี๋ยวตก ก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า
              “อ้อ...กลับมาแล้วเหรอ ? ถ้าอย่างนั้นฉันไปละนะ”
              ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นเพดานหายไปต่อหน้าต่อตา เล่นกันอย่างนี้เลย มาให้เห็นกันกลางวันแสก ๆ
              ส่วนคนเป็นแม่ก็วิ่งไปอยู่หน้าบ้าน ยืนสั่นอยู่ตั้งนาน พอนึกขึ้นได้ว่าลูกยังอยู่ในบ้าน ก็วิ่งกลับเข้ามาอุ้มลูก คราวนี้จึงคิดได้ว่า ถ้าตอนแรกอุ้มลูกไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วย ก็หมดเรื่องไปแล้ว
              จริง ๆ แล้วแม่ซื้อก็เป็นเทวดาประจำตัวนั่นแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันมาก่อน มีความรักความเมตตาต่อเรา จะเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง พอท่านตายแล้วไปอยู่ข้างบน เห็นแล้วยังจำได้ก็มาตามดูแลเรา
*************************

              โยมนี้ก็อีกท่านหนึ่ง ชื่อ ณพล แปลว่า ไม่มีแรง
              ส่วน ณเดช แปลว่า ไม่มีอำนาจ
              ณภัทร แปลว่า ไม่เจริญ
              ไม่มีอำนาจ ไม่มีแรง ไม่เจริญ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี แต่ก็ยังดีนะ ดีกว่าชื่อ ปราษณี ตั้งชื่อไพเราะเชียว แต่แปลว่า ส้นเท้า...!
              คำบางคำพอไปอยู่อีกภาษาหนึ่งแล้วน่ากลัว มีโยมนามสกุลฟักมี พอไปทำหนังสือเดนิทาง เจ้าหน้าที่เขาแนะนำว่าให้ไปเปลี่ยนนามสกุลเถอะ
              โยมที่เขาชื่อ ชิต ก็เหมือนกัน พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ออกเป็นคำด่าตรง ๆ เลย
*************************

              ที่ขำที่สุดก็คือ คริสตีน เป็นฝรั่งผู้หญิงไปขอปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดท่าขนุน ตอนแรกเขาขออยู่ ๑ วัน แล้วก็ขออยู่อีก ๒ วัน ขออีก ๕ วัน เพิ่มไปเรื่อย
              พอวันท้าย ๆ ดวงจะเฮง เขาพยายามกินอาหารไทยทุกอย่าง วันนั้นก็สงสัยว่าแกงนี้คืออะไร เจ้าไพศาลก็ตอบหน้าตายว่า “ฟัก” คริสตีนลากลับวันนั้นเลย นึกว่าโดนด่า...!
              รู้อยู่ว่าเจ้ไพศาลลูกศิษย์วัดเป็นคนประเภทหน้าตาย ยิ้มกับใครไม่เป็น แล้วไปตอบเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตอบไปแล้วดุเดือดขนาดไหน เล่นเอาฝรั่งปฏิบัติธรรมอยู่ดี ๆ เปิดแน่บไปเลย
              คงไปนั่งวิเคราะห์วิจัยกันยกใหญ่ว่า เราทำอะไรผิดถึงได้โดนด่า ไพศาลเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม แล้วก็พูดห้วน ๆ ด้วย อุตส่าห์ตอบคำถามให้ กลายเป็นฝรั่งเผ่นไปเลย
*************************