ถาม : ออกรถผิดฤกษ์ไปออกวันที่เขาไม่ให้ออกรถใหม่ จะแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : แก้ไขไม่ทันแล้ว นอกจากซื้อใหม่อีกคันตามฤกษ์ แล้วคันเดิมจอดทิ้งไว้เฉย ๆ
*************************
ถาม : เวลามีสมาธินิดหน่อย หรืออยู่เฉย ๆ จะรู้สึกว่านิ้วที่มีแหวนแปล๊บ ๆ นั่นคืออะไรคะ ?
ตอบ : พลังงานที่มีอยู่ตามปกติ พอดีจิตเราเป็นอุปจารสมาธิจึงรับได้
ถาม : ถ้าเราตั้งใจ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจกำลังจะเกิน ต้องเป็นระดับอุปจารสมาธิ
ถาม : จะเป็นการปรามาสไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นหรอก แต่ระวังจะไปเล่นผิด แล้วจะมัวไปสนุกอยู่ตรงนั้น
*************************
ถาม : เข้าใจว่าปฏิบัติไปแล้วพรหมวิหารจะดีขึ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งทำไปเมตตาที่มีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งน้อยลงไปอีก กลับไปดีตัวอุเบกขาแทนค่ะ ?
ตอบ : อาตมาก็แบบเดียวกัน โดดข้ามเมตตาไปเป็นอุเบกขาเลย ทั้ง ๆ ที่ออกธุดงค์ ก็เพราะตั้งใจจะไปเอาเมตตา
ช่วงนั้นทำงานอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ต้องรบกับคนเป็นแสน ๆ มารู้ตัวตอนบ่าย ๆ แล้วว่า เสียงของตัวเองดังขึ้นไปเรื่อย
อาตมาเป็นคนรู้ตัวเร็ว พอรู้สึกว่าเสียงตัวเองดัง ก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงบอกเพื่อนให้ทำงานแทน ขอไปเข้าส้วมหน่อย ไปนั่งทบทวนตัวเองแล้วก็สรุปได้ว่ากำลังเครียด เครียดเพราะไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนมาเป็นวัน ๆ
ส่วนทำไมถึงเครียด ?
ก็เพราะไปตั้งความหวังไว้ว่าทุกคนจะต้องรู้เรื่อง แล้วก็มีคนที่ไม่รู้เรื่องจนได้ บอกให้ทำบุญเดินเข้ามา เขาก็จะคลาน บอกให้ออกไปกราบข้างนอก เขาก็จะกราบตรงนั้น บอกว่าให้เตรียมเงินมาเรียบร้อย เขาก็มายืนล้วงยืนควักเงินอยู่ตรงนั้นแหละ
ทำให้รู้ว่าจริง ๆ ตัวเมตตาของอาตมายังไม่พอ ในเมื่อตัวเมตตาไม่พอ ก็ต้องมาเน้นตรงจุดนี้
คราวนี้ถ้าหากว่าอยู่วัด จะไปฝึกเมตตาบารมีก็ยาก เพราะว่าเผชิญกับเหตุการณ์จริงไปแล้ว ในเมื่อเจอเหตุการณ์จริงเข้าไป กำลังไม่พอก็หงายท้องอีก
ก็เลยขออนุญาตหลวงพ่อออกธุดงค์ เพราะว่าในป่าไม่มีอะไรที่จะช่วยเราได้ นอกจากตัวเมตตาอย่างเดียว
แต่ด้วยความที่ไม่เคยธุดงค์มาก่อน เริ่มต้นก็ไปที่ซึ่งมีโอกาสตายแน่ ๆ แทนที่จะเริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน ดันไปเข้าป่าดงดิบเลย
เพิ่งจะเดินพ้นบ้านคน รอยตีนสัตว์ก็เป็นเทือกแล้ว แทนที่จะได้เมตตาบารมี เหลือแต่อุเบกขาอย่างเดียว ก็คือ “ตายแน่...ตายแน่” ไม่เหลืออะไรเลย
เพราะฉะนั้น...ถือว่าเป็นพวกเดียวกับอาตมา ฝึกเมตตา แล้วกลายเป็นอุเบกขาแทน
พยายามปรับใหม่ให้เป็นอุเบกขาในเมตตา ถึงเวลาเราจะช่วยเขาช่วยเขาไม่ได้แล้ว ก็ปรับเป็นอุเบกขาใหม่ อุเบกขาแล้วก็ยังแฝงอุเบกขาในเมตตา ถึงเวลาก็กลับมาช่วยใหม่
ดีอยู่อย่างว่ากำลังจะไม่ตก เพราะเรา “เบรก” อยู่ ถ้า “เบรก” ไม่อยู่จะฟุ้งซ่านมาก
*************************
“บางคนสงสัยว่า พวกโจรที่ขโมยตัดเศียรพระ ถ้าพระศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่เล่นงานขโมย
อาตมาได้ยินก็ขำ เพราะว่าพระหรือเทวดาท่านเคารพกฎของกรรมมากกว่าเราหลายเท่า จะไปยุ่งอะไรกับพวกนี้ เขาอยากลงนรกก็ปล่อยให้ลงไป
ยกเว้นว่าบางคนที่พอจะกลับเนื้อกลับตัวได้ กุศลเก่ายังมีอยู่ ถ้าอย่างนั้นท่านจะทำให้รู้ บางคนอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่พระพุทธรูปยกมือได้ ก็วิ่งหนีกันป่าราบ
ถ้าไม่มีบุญเก่าหนุนเสริม เป็นวาระที่อกุศลเข้าเต็ม ๆ นี่ ท่านปล่อยเลย อยากลงนรก ก็ปล่อยเขาลงไปเถอะ”
*************************
ถาม : ที่บ้นเป็นตึกสี่ชั้น จะจัดห้องพระ ต้องเอาไว้ชั้นบนสุดของบ้านเสมอไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง อยู่ชั้นไหนก็ได้ ถือว่าเป็นคนละส่วนกันแล้ว ในเมื่อเป็นดังนั้น เราก็บูชาพระของเราไป
แต่ถ้าหากว่าเป็นบ้านของเราเอง เลือกชั้นบนสุดเป็นห้องพระได้ก็จะดีมาก เวลาอาตมาทำกุฏิก็ดี ศาลาก็ดี จะเน้นเรื่องที่ตั้งพระก่อน
แต่ว่าบ้านของญาติโยมทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกห้องกันจนพอใจ เหลืออะไรค่อยให้พระไป เป็นอย่างนั้นกันแทบทุกบ้านเลย น้อยบ้านจะตั้งใจสร้างห้องถวายพระ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เหลือแล้วไปตั้งหิ้งพระ
ต่อไปถ้าใครมีบ้าน ก็ตั้งใจสร้างห้องถวายพระ ปูพรมติดแอร์อย่างดีเลยนะ แล้วเราก็ขอนอนด้วย
ถาม : ผู้หญิงเขาไม่ให้นอนห้องพระไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่ผู้หญิง ผู้ชายก็ด้วย แต่ไม่ใช่ว่าไม่ให้นอนในห้องพระ
เขาไม่ให้นอนตรงหน้าพระ ให้ขยับมานอนด้านข้าง เวลาดึก ๆ เทวดา นางฟ้าหรือพรหม ท่านมักจะมานมัสการพระในเขตที่ท่านดูแลอยู่ หรือในเขตที่ท่านไปสม่ำเสมอ
เพราะฉะนั้น...บางแห่งถ้าหากว่าเป็นพระสำคัญ แล้วเราไปนอนขวางอยู่ ตื่นขึ้นมาอาจจะสงสัย ว่าทำไมเราย้ายมาอยู่ตรงนี้ ปกติเรานอนตรงหน้าพระนี่นา ?
ก็ท่านจะไหว้พระ แล้วเราไปเกะกะ ท่านก็เขี่ยเราออกสิ...ดังนั้น...อย่าไปนอนขวางหน้าพระตรง ๆ ให้ขยับออกมาด้านข้าง
*************************
“ในกระบี่อภิญญา เราจะเห็นอยู่ ๒ เรื่อง
เรื่องแรกก็คือ ทิพจักขุญาณเกิดได้ทั้งคนดีและคนไม่ดี ก็แปลว่าไม่ว่าคุณจะเป็นสัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิก็ตาม เมื่อคุณฝึกตนถึงระดับอภิญญาก็จะเกิด
จึงเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนเลยว่า อภิญญาเป็นทั้งโลกียะ หรือโลกุตระก็ได้
ประการที่ ๒ ก็คือคนที่เขียนคำทำนาย รู้แล้วจะไม่กล้าฝืนกฎของกรรม เขาใช้คำว่าไม่กล้าฝ่าฝืนความลับของฟ้า
แต่คราวนี้ด้วยความที่สงสารคน ถ้าหากว่าอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ชีวิตคนคงสิ้นหวัง แล้วจะคล้อยตามฝ่ายชั่วไปเสียหมด
ก็อุตส่าห์เขียนคำทำนายทิ้งเอาไว้ ส่วนตัวเองก็ยอมรับกรรมไปคนเดียว ปล่อยให้คนมีความหวังเหลืออยู่บ้าง จะได้ไม่ทำชั่วไปจนหมด”
ถาม : พระเอกไม่ฝึกอะไรเลย ทำไมได้อภิญญาคะ ?
ตอบ : เขาสั่งสมมาในอดีต คนอื่นเขาฝึกมาก็ได้ทั่ว ๆ ไป แต่เขาฝึกแล้วได้อภิญญา
สิ่งนี้เป็น ปุพเพกตปุญตา คือสร้างสมบุญเก่าตั้งแต่ปางบรรพ์ พอเวลากำลังใจทรงตัวได้ระดับ ของเก่าก็คืนมา
ไม่เห็นหรือว่าต้วนตู๋เสิ้งที่เป็นตัวร้าย พอฝึกไปก็ได้อภิญญาเหมือนกัน แต่ต้วนตู๋เสิ้งเป็นเจ้าพ่อนิกายอัคคี สุดยอดความชั่วเลย อยากรู้ต้องไปอ่านเอง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวต้องเล่าให้ฟังทั้งเรื่องอีก
*************************
“งานหลวงตาวัชรชัยนี่น่ากลัวพอ ๆ กับงานที่วัดท่าขนุนเลย พอย่ามอาตมาเต็มแล้ว ยังต้องเอาถุงก๊อบแก๊บมาอีก ๓ ใบ
นั่นขนาดอาตมาถวายหลวงตาไปเป็นกระสอบแล้วนะ ยังเหลือกลับมา ๑๒๐,๐๐๐ กว่าบาท เขาคงกลัวว่าจะไม่เอากลับ เลยยัดให้มาอีกตอนจะขึ้นรถ
อย่างที่คุณพรศักดิ์บอกว่า พอหลวงพ่อเล็กเดินเลยไป คนก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อาตมาไม่ได้เหลียวหลังไปดูหรอก
แสดงว่าบางคนเขาตั้งใจมาทำบุญจริง ๆ แล้วเลือกทำเฉพาะคนด้วย
มีบางคนประเภทกรี๊ดกร๊าดดีใจมากที่ได้เห็นตัวจริงแล้ว เพราะว่ารู้จักแต่ในเว็บ
มีอีกหลายคนมาจับ ๆ คลำ ๆ แล้วก็เอาไปลูบหัวตัวเอง นี่ถ้าอาตมาเป็นโลหะ เขาก็คลำจนสึกไปแล้ว...! ถ้าจะยึดก็ควรจจะยึดแต่พอสมควร เอาครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง แล้วเราก็เร่งปฏิบัติตามแนวที่ท่านสอน หรือตามที่ท่านทำถึง
ไม่ใช่ประเภทเห็นท่านเป็นวัตถุมงคล ทางพม่าก็เป็นแบบนี้ ถึงเวลาก็คลี่มวยผมปูพื้นให้เดินเป็นแถว
การเคารพในพระรัตนตรัยเป็นเรื่องดี แต่ให้เคารพในส่วนที่เป็นนามธรรม คือคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง
ไม่ใช่เป็นพระพุทธรูป ไม่ใช่เป็นคัมภีร์พระไตรปิฎก และไม่ใช่เป็นหลวงปู่หลวงพ่อ
แต่เป็นคุณความดีทั้งหลายที่ทำให้ท่านเป็นพระพุทธเจ้า
ที่ทำให้คำสอนเหล่านี้ปรากฎขึ้น
ที่ทำให้หมู่สงฆ์เข้าถึงความบริสุทธิ์
ถ้าอาตมาไปบ่อย ๆ เขาคงลูบจนขนร่วงหมด...! ยังดีที่ไม่ค่อยจะมีขนกับใคร”
*************************
ถาม : คาถาเงินล้านช่วยเรื่องเรียนด้วยไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเอง ถึงเวลาพอสมาธิทรงตัวแล้ว กำลังใจมุ่งไปเรื่องไหนก็ได้เรื่องนั้น
ถาม : เดิมลูกภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ ตอนหลังอยากภาวนาคาถาเงินล้านเหมือนแม่ ?
ตอบ : เอาเลย…ถ้าไม่ฉลาดก็หาเงินไม่ได้
เพราะฉะนั้น...ถ้าฉลาดเรื่องเรียน ก็ไม่ยากที่จะรวย เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะ โยงให้เป็นเรื่องเดียวกันให้ได้
*************************
ถาม : เวลาเข้าป่า อะไรเป็นสิ่งที่ต้องระวังที่สุดครับ ?
ตอบ : ระวังกำลังใจตัวเอง ไม่ต้องระวังอย่างอื่นเลย
ถาม : ตอนไปนอนที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง มีอะไรแนะนำว่าอย่าทำไหมครับ ?
ตอบ : ภาวนาบท เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง ฯลฯ อย่างเดียว ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องอื่น
เขาทำอะไรมา เรามีหน้าที่ภาวนารับไว้ให้หมด ไม่ต้องไปตอบไปโต้ไปอะไรทั้งนั้น อาตมาแกล้งโง่ จนกระทั่งเขาคิดว่าพระรูปนี้เก่งหรือโชคดีกันแน่ ?
ถ้าเข้าป่า เทียนไข ไฟแช็ก มีด และกระติกน้ำ อย่าให้ห่างตัว อย่างอื่นไม่เป็นไร
ถ้ามีมีด อยู่ในป่าอย่างไรก็เอาตัวรอดได้ พอหากินได้
มีเทียนไข มีไฟแช็ก อย่างไรก็ยังหุ้งต้มกินได้
มีน้ำอยู่ เราก็ยังไปได้เป็นวัน ๆ ไม่มีข้าวไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีน้ำจะตายภายในไม่เกินสามวัน...!
แต่ที่อาตมาไปใช้วิธีเอาขวดน้ำไปแทน เอาขวดน้ำพลาสติกแบบฝาเกลียว ถ้าหากว่าแรงดีก็แบกไปสัก ๒ ขวด
ถ้าจะพกบะหมี่สำเร็จรูปไป อย่าพกไปเป็นลังหรือเป็นซอง เพราะว่าจะเกะกะมาก ให้บีบเส้นหมี่ให้ละเอียดเลย แล้วกรอกใส่ขวดน้ำลิตรครึ่งกรอกไว้ให้เต็มขวด ลิตรครึ่งนี่ได้เป็นลังเลยนะ
ถึงเวลาจะกินก็เทออกมา กะว่า ๑ ซอง หรือ ๒ ซอง แล้วราดน้ำร้อนใส่ก็กินได้เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาโง่ไปแบกลังอยู่อีก
ส่วนภาชนะไปหาเอาข้างหน้า ตราบใดที่ยังมีกอไผ่อยู่ ก็ไม่ขาดภาชนะหรอก ใช้แล้วทิ้งได้เลยอีกต่างหาก
ถาม : มีดต้องเป็นมีดพร้าหรือเปล่า ?
ตอบ : จะเป็นมีดพกอะไรก็ได้ เลือกเอาที่ใช้งานสะดวก อย่าพกอะไรที่หนัก ถ้าเป็นมีดเดินป่าทรงมีดปาดตาลนั่นจะดีมาก
ส่วนมีดทหารนี่ห่วยแตกจริง ๆ ฟันอะไรก็ไม่ถนัด เพราะว่าเอาไว้ฆ่าคนอย่างเดียว
*************************
“วันที่ ๘ มีนาคมนี้ อาตมาต้องไปเข้ากรรมฐาน ๑๕ วัน มหาวิทยาลัยเขาให้นักศึกษาต้องเข้ากรรมฐานครบ ๓๐ วัน ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้จบ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยพระ เขาก็เลยเน้นเรื่องสมาธิด้วย นักศึกษาจะต้องสะสมวันปฏิบัติให้ได้ ๓๐ วัน
นักศึกษาปริญญาตรี อย่างน้อยต้องปฏิบัติต่อเนื่องครั้งละ ๑๐ วันทุกปี
ปริญญาโท ต้องปฏิบัติต่อเนื่อง ๑๕ วัน รวม ๒ ครั้ง ๓๐ วัน
ปริญญาเอก เจอรวดเดียว ๔๕ วัน...!”
*************************
ถาม : เวลาอ่านหนังสือจะภาวนาไปด้วยอย่างไรคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่ามีความชัดเจนของสมาธิเท่าไร คนฝึกสมาธิใหม่ ๆ ถ้ามุ่งเน้นด้านหนึ่ง ก็จะขาดอีกด้านหนึ่งไป อย่างเช่น
ถ้าเราสนใจเนื้อหาหนังสือ ตัวสมาธิภาวนาก็จะเลือนไป
พอเรามาเน้นสมาธิภาวนา ใจก็จะไม่เข้าใจเนื้อหาหนังสืออีก
ต้องแบ่งความรู้สึกสองส่วนให้ได้เท่า ๆ กัน เพียงแต่ว่าการทำอย่างนี้ นานไปแล้วจะเกิดผลเสียอย่างหนึ่ง ก็คือพอเราภาวนาไปแล้วฟุ้งซ่านได้ด้วย
เพราะว่าใจแยกเป็น ๒ อย่าง
ถ้าเกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา ให้รีบดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่ที่หายใจเข้าออกใหม่ กำลังใจถึงจะทรงตัว
การแยกจิตแยกกายเป็นเรื่องของพวกซักซ้อมเกมกีฬาสมาธิ แต่ถ้าหากว่าทำแล้ว ควบคุมไม่เป็น ต่อไปจะฟุ้งซ่านทั้ง ๆ ที่นั่งสมาธิอยู่
ถาม : ในเบื้องต้นควรจะแยกทำอย่างหนึ่งไปเลย ?
ตอบ : จะทำอะไรก็ทำให้จริงไปสักเรื่องหนึ่ง
*************************
ถาม : จะทำบุญบ้าน และอยากทำบุญให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วด้วย ต้องทำแบบไหนคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเอง ทำแบบไหน ทำที่ไหนก็ตาม ต้องนึกถึงขอให้ท่านมาโมทนาก็ได้
ถ้าหากว่ามีเวลาและสะดวก ก็จัดสวดมนต์เย็น ถวายอาหารเช้าที่บ้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะก็ได้ ถ้าไม่สะดวก ก็หอบเอาสังฆทานไปถวายวัดใกล้บ้าน
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ได้เหมือนกัน ทำที่ไหนก็ได้ สาระไม่ได้อยู่ว่าทำที่ไหน สาระอยู่ตรงที่ได้ทำหรือไม่
ถาม : สิ่งที่เราทำบุญไป เขาจะได้รับหรือเปล่า ?
ตอบ : โทรไปถามสิ โทรไปถาม “ท่าน…ที่ทำบุญไปได้รับไหม ?” เบอร์เขาให้ขึ้นด้วยเลข +๖๖๖ เบอร์นี้จะผ่านศูนย์กลางของซาตาน แล้วจะไปถึงคนตาย...!
*************************
โยมถวายเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๙ มา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า
“เครื่องบันทึกเสียงเครื่องนี้ ในหลวง ร.๙ ถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงมา สมัยอาตมาไปฝึกบันทึกเทปใหม่ ๆ ไม่รู้ว่าต้องเปิดพัดลมด้วย ก็บันทึกยาวไป ๓ - ๔ ชั่วโมง เครื่องร้อนฉ่าเลย แต่ยังไม่พัง
ไปถึงหลวงพ่อท่านก็สอนว่า เอาเทปใส่ตรงนี้ เอาตัวมาสเตอร์เทปใส่ตรงนี้ กดปุ่มนี้ บันทึกตรงนี้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เอาออกมาพิมพ์หน้ากากว่าเป็นเทปม้วนไหนติดเข้าไป แล้วก็เอาออกมาเก็บ เตรียมส่งไปจำหน่ายที่ธัมมวิโมกข์ ท่านไม่ได้บอกนี่ว่าต้องเปิดพัดลมด้วย
มีสวิทซ์อยู่ตัวหนึ่งที่กดแล้ว พัดลมจะพัดระบายความร้อน พอไม่ได้กด เครื่องก็ร้อนฉ่า ถ้าพังตอนนั้นก็ใช้หนี้หัวโตเลย...!
สมัยนั้นเครื่องบันทึกเสียงในเมืองไทยราคาตั้ง ๔ แสนกว่าบาท พวกห้องอัดเสียงที่ทำเทปขายเขาถึงมีได้ นี่ในหลวง ร.๙ ท่านทรงสั่งนำเข้ามา ได้รับการยกเว้นภาษี ราคาก็เลยไม่ถึงแสนบาท
ช่วงนั้นลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่า ๆ จะต้องฝึกเรื่องบันทึกเทป และจำหน่ายวัตถุมงคล งานหลัก ๆ เลยก็คือ ทำความสะอาดวัด กวาดกันจนหูตาลาย เพราะว่าวัดกว้างมาก”
*************************
“ตอนช่วงนั้นศาลา ๒ ไร่ยังไม่มี หลวงพ่อท่านกำลังดำเนินการติดต่อขอซื้อที่ชาวบ้าน แต่ชาวบ้านใกล้วัดมักจะมองว่าหลวงพ่อรวย แล้วก็ขายที่ให้แพงกว่าปกติหลายเท่า หลวงพ่อก็เลยต้องให้คนในพื้นที่ไปถามซื้อ พอซื้อเสร็จแล้วค่อยโอนมาเป็นชื่อวัด
บริเวณศาลา ๒,๓,๔ ไร่ , ปราสาททองคำ ตลอดถึงธุดงค์ ๑๐๐ ไร่ ก่อนหน้านี้ยังเป็นท้องนา จะมีต้นไม้หลัก ๆ ก็คือทองกวาว ทองกวาวทางอีสานเขาเรียกว่าดอกจาน จะเป็นโคกเป็นคันนาแล้วก็มีทองกวาวขึ้น
ส่วนที่เป็นท้องนาก็น่าเวทนาเหลือเกิน ปลูกข้าวงามเต็มที่สูงแค่คืบกว่า ๆ ถามเขาว่าได้ข้าวประมาณเท่าไร
เขาบอกว่า ไร่หนึ่งประมาณ ๑๐ - ๑๕ ปีบ เวรกรรม...ของที่อื่นอย่างไม่มี ๆ ก็ ๘๐ ถัง
หลวงพ่อบอกที่เขาหากินไม่ขึ้น เพราะว่าเป็นที่วัดเก่า ถ้าใครอยากจะทำกินขึ้น ให้ชำระหนี้สงฆ์เสียก่อน
ท่านอุตส่าห์ไปขอซื้อคืน เขายังจะขายแพง ๆ อีก
สมัยแรก ๆ ศาลา ๑๒ ไร่ยังไม่มี ที่ตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ก็ยังไม่มี ทางด้านหลังวัดก็จะมีหลวงตาวัชรชัยเดินบิณฑบาตประจำ บางวันถ้าท่านติดภาระอย่างอื่น พวกอาตมาก็จะแทรกไปแทนบ้าง
พอเดินพ้นเขตท้ายวัด ก็คือป้อมยามที่อยู่ติดกับหอสูบน้ำ ที่อยู่มุมศาลา ๑๒ ไร่ จะมีเครื่องสูบน้ำอยู่เครื่องหนึ่ง ตรงนั้นจะเป็นจุดสุดเขตวัด แล้วตรงที่ตั้งศาลา ๑๒ ไร่ ก็ยังเป็นท้องนา
พอนึกถึงภาพเก่า ๆ แล้ว แทียบกับสมัยนี้ที่เจริญขึ้น จนกระทั่งคนรุ่นใหม่นึกไม่ออกว่าสมัยนั้นเป็นอย่างไร
แถวศาลา ๓ ไร่ จนต่อมาถึงถนน เป็นดงไผ่หนามทั้งดง ระยะหลังหลวงพ่อท่านทำตรงพื้นที่ต่อศาลา ๓ ไร่ ออกมาเป็นสวนไผ่ ต้นไผ่นั่นก็คือไผ่ดั้งเดิมเลย ถ้าไม่ขึ้นใหม่ก็แปลว่าหมด ท่านก็อุตส่าห์เว้นช่องให้ขึ้นได้
อาตมาก็ปีนตามช่องนั่นแหละมุดลงข้างใต้ ไปอยู่กับพวกจระเข้น้อย พวกงูเหลือม เขาอาศัยอยู่ในนั้นเยอะแยะ
อาตมาไปฝึกกรรมฐาน ข้างใต้นั้นยกพื้นอยู่ จึงเดินจงกรมได้สบาย พอถึงเวลาเดินจงกรมแล้วก็เข้าที่ภาวนา จะมีอยู่ ๓ ท่านที่ไปอย่างนั้นประจำ มีอาตมา ท่านชาติชาย หลวงพี่ไพบูลย์”
*************************
ถาม : ถ้าเรายกจิตขึ้นพระนิพพาน สามารถยกขึ้นได้เลย ไม่ต้องภาวนาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคนมีความคล่องตัวแล้ว ไม่ทันภาวนาก็ไปแล้ว
แรก ๆ ก็ต้องตั้งท่า ไปกันตามลำดับที่ฝึกมา พอคล่องตัวมาก ๆ ไม่ทันจะรู้ตัวหรอก คำภาวนาอะไรก็ไม่ทันจะใช้ แค่นึกก็ไปแล้ว
ถาม : ไปได้ตลอดหรือคะ ?
ตอบ : จะไปเมื่อไรก็ไปสิ อยู่บนนั้นตลอดไปเลยได้ยิ่งดี
ถาม : พอขึ้นไป ฟังแล้วไม่ได้ยิน ยังฟังไม่รู้เรื่องเวลาพระท่านพูด ?
ตอบ : ตั้งใจขอให้ท่านสงเคราะห์ หรือกราบขอบารมีท่านให้เห็น หรือได้ยินอย่างชัดเจนด้วย
************************* ถาม : พระท่านหนึ่งสอนสมาธิ ท่านบอกว่าให้กำหนดแค่กึ่งกลางศีรษะ โดยไม่สนใจลมหายใจ ผมขอถามว่าอยู่ในกรรมฐานหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็ลองทำดูสิ...แต่อะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้ควบลมหายใจเข้าออก จะไม่ทรงตัวหรอก
ยกเว้นอย่างเดียวว่า คุณซักซ้อมเรื่องของฌานสมาบัติจนกระทั่งคล่องตัวแล้ว คราวนี้จะกำหนดที่ไหนก็กำหนดไปเลย
ที่ท่านว่าอยู่ในลักษณะของคนทำเป็นแล้ว ไม่ใช่คนเพิ่งเริ่มหัด
ถ้าเพิ่งเริ่มหัดต้องเอาลมหายใจเข้าออกด้วย ยกเว้นว่าคล่องตัว จะเอาสมาธิขั้นไหนก็เข้าได้เลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปจับลมหายใจ จะเอาจิตไปอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไปได้
*************************
ถาม : พระลูกวัดหรือเจ้าอาวาสไม่ทำวัตรเช้าเย็น หรือบิณฑบาต ผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แล้วแต่วัดท่าน เพราะว่ากติกาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องทำ
เพียงแต่ว่าถ้าเราทำในเรื่องวัตรปฏิบัติต่าง ๆ จนกระทั่งเคยชินแล้ว เรื่องสมาธิอื่น ๆ จะทำได้ง่าย เนื่องจากเคยชินกับการโดนบังคับแล้ว เพราะฉะนั้น...การมาบังคับใจจะทำได้ไม่ยาก
แต่อย่างพวกที่ไม่เอาเรื่องวัตรปฏิบัติอะไรเลย แล้วจะมาฝึกสมาธิก็เหมือนกับควายเปลี่ยว ไปต้อนควายเปลี่ยวเข้าขังในคอกก็ดิ้นตายเลย...!
*************************
ถาม : ถ้าพระจูงมือลูกวัด ซึ่งเป็นจริยาที่ไม่สมควร ท่านมีความผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าผิด เขาปรับอาบัติทุกกฎเท่ากับจับเงิน เขาถือว่ากายสังสัคคัง คือมีการสัมผัสระหว่างกายกัน ผู้ชายต่อผู้ชายท่านก็ห้าม
ที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม เพราะท่านรู้ว่าสมัยนี้จะมีพวกชายไม่แท้เยอะ...!
ถาม : ถ้าท่านจับเหมือนกับเป็นลูกเป็นหลานครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เจตนา แล้วแต่ใครจะมองมุมไหน
คนเราดีแสนดี คนจะติก็หามาติจนได้ ไม่ต้องไปใส่ใจแทนท่านหรอก
เขาบอกว่าพระพุทธชินราชสวยที่สุดในโลก ลูกอีช่างติก็ยืนมอง ๆ มองซ้ายมองขวา ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเสร็จก็บอกว่า “เออ...ก็สวยดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวว่าพูดไม่ได้...!
หาเรื่องติจนได้ เพราะฉะนั้น...ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขาเถอะ
*************************
ถาม : การสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม ผู้ที่บวงสรวงต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอะไรมากหรอก แต่รู้ให้จริงว่าท่านอนุญาตหรือไม่ ? ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวได้เฮงแน่
ถาม : ถ้าผู้ทำพิธีไม่มีคุณสมบัติที่จะทำพิธีบวงสรวง เราสร้างพระกับท่านบุญที่เราตั้งใจทำจะได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บุญเป็นของเรา ความซวยเป็นของท่าน...!
*************************
ถาม : คาถาทะพะมะนะ เป็นคาถาปลดกุญแจ แล้วคาถามหาพิทักษ์ เอาไว้ล็อกทุกสิ่งทุกอย่างใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านเอาไว้รักษาทรัพย์ แปลว่าต่อให้ปลดกุญแจได้ ถ้าคนใส่กุญแจเขาใช้คาถาเป็น เราก็ไม่นึกอยากที่จะขโมย
*************************
ถาม : พวกรูปพระในหนังสือพิมพ์ ถ้าทิ้งสะเปะสะปะก็ไม่ควร ถ้าเราเอามาเผา ?
ตอบ : ขอขมาพระ แล้วก็เผาไปเลย โบราณเรียกว่า “จำเริญ” เขาใช้ ๒ วิธี คือด้วยน้ำหรือด้วยไฟ
แต่สมัยนี้ถ้าเราไปลอยน้ำในกรุงเทพฯ ก็อาจเสียค่าปรับเยอะ ดังนั้นก็เผาดีกว่า
ที่โบราณเขานิยมลอยน้ำ เพราะเขาถือว่าเย็นกว่า แต่ความจริงน้ำกับไฟมีสภาพเหมือนกัน ก็คือไม่รังเกียจว่าของจะสกปรกหรือสะอาด รับได้ทั้งนั้น
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : อย่าเอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจก็สบายแล้ว เราชอบไปแบกแทนคนอื่นเขานี่ ก็แค่เลิกเท่านั้นเอง ถึงรู้สาเหตุ แต่ถ้าไม่แก้ก็ไม่ได้
*************************
ถาม : ผมปฏิบัติไปแล้ว โทสะกลับเกิดง่ายขึ้น ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ก็แค่ควบคุมตากับหูเรา ตาเห็นกับหูได้ยิน อย่าเพิ่งรับเข้ามาในใจ
ถ้าตาเห็น หูได้ยิน แล้วรับเข้ามาในใจ จะเป็น ๒ อย่าง คือ ชอบกับไม่ชอบ แล้วส่วนใหญ่เราก็ไม่ชอบเสียด้วย
ในเมื่อส่วนใหญ่เราไม่ชอบ ก็จะหงุดหงิดขึ้นมา เพราะเกิดแรงกระทบ แล้วก็กลายเป็นโทสะ ต้องระวังให้ทันนะ
ความจริงจมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เอาเรื่องพอ ๆ เหมือนกันนั่นแหละ แต่หูกับตาจะมาเร็วที่สุด
ถาม : ระวังไม่ทันจึงสอบตก ?
ตอบ : ไม่เป็นไร สอบตกทำให้เรารู้ตัวว่ากำลังยังไม่พอ เราจะได้เร่งตัวเองมากขึ้น การสอบตกไม่ใช่เรื่องน่าละอาย เรารู้ตัวแล้วพยายามแก้ไข
บอกแล้วว่า ทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน มีแต่ได้ทั้งคู่ไม่มีเสีย
*************************
ถาม : ขอให้ผมสำเร็จซึ่งพระโพธิญาณในอนาคตกาลด้วยเถิด ?
ตอบ : โมทนา แต่อาตมาไม่ไปด้วยแล้วนะ อาตมาเดินทางมาถึงป่านนี้แล้ว รู้ว่าทางเส้นนี้ไกล
แต่ก็แปลก มีที่แวะข้างทางมีเยอะ แต่หลายต่อหลายคนกำลังใจมุ่งมั่นมาก ไม่แวะสักที ก็อย่างว่า...คนจะทำงานใหญ่ กำลังใจต้องเข้มแข็ง
*************************
ถาม : ทำไมส่วนใหญ่ถึงลาพุทธภูมิ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่มั่นคงพอ เพราะว่าไม่ได้เกิดจากความปรารถนาที่แท้จริง
จะอยู่ในลักษณะที่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ แสดงพุทธปาฏิหาริย์เปิดโลก ตั้งแต่พระนิพพานยันอเวจีมหานรกให้เห็นถึงกันหมด
ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่าก็จะเห็นว่า นี่คือบุคคลที่เป็นเลิศที่สุด แล้วจะมีความปรารถนาลึก ๆ ในใจว่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นบ้างก็ดี นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรารถนาพุทธภูมิ
คราวนี้ก็อยู่ที่ว่ากำลังใจจะมั่นคงแค่ไหน แต่ก็อย่างว่า ร้อยละเกิน ๙๐ ทิ้งหมด ทนความลำบากไม่ได้
*************************
ถาม : เป็นพุทธธรรมเนียมหรือครับที่พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลก ?
ตอบ : ไม่ใช่พุทธธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในช่วงนั้น
อย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดนศาสนาอื่นคุกคามมาก ทั้งที่เจ้าลัทธิอื่นบางทีก็ไร้ความสามารถ แต่เนื่องจากว่าได้ลาภยศจากการที่คนเขาเคารพนับถือมาก่อน
พอศาสนาพุทธมาชี้แจงธรรมะที่แท้จริงให้ คนได้สติมากขึ้น เลิกงมงาย หันมาปฏิบัติตามศาสนาพุทธ ทำให้ลาภผลของพวกเขาลดลง เขาก็เลยต้องหาทางสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา
จ้างคนไปด่าว่าบ้าง มีการปล่อยข่าวลือบ้าง ท้ายสุดก็พอได้ยินพระพุทธเจ้าท่านประกาศห้ามสาวกแสดงฤทธิ์ เขาก็เลยประกาศว่าจะแสดงฤทธิ์แข่งกับพระพุทธเจ้า ต้องบอกว่าพวกนี้จริง ๆ แล้วฉลาด *************************
ถาม : ผมไปอินเดียมา เอาใบโพธิ์ตรัสรู้มาถวายครับ ?
ตอบ : โมทนาด้วย
อาตมาเคยได้ใบโพธิ์มาทั้งกิ่งเลย ตอนนั้นโยมเขาอยากได้ พอไปแล้วกิ่งสด ๆ หักลงมาทั้งช่อ เป็นสิบ ๆ ใบเลย แสดงว่าท่านให้จริง ๆ
ส่วนอาตมาเคยเจอใบโพธิ์กว้างเป็นฟุต ไม่ได้เก็บมาหรอก ถ่ายรูปไว้เฉย ๆ ต้นนี้อยู่ที่วัดหนองบัว
ปีนั้นเรากำหนดงานฉลองวัดหนองบัว เพราะว่าไปช่วยสร้างให้เขามา ๕ - ๖ ปี
ปรากฎว่าปีนั้นต้นวาสนาทุกต้นออกดอกหมด แล้วใบโพธิ์แตกใบใหม่กว้างเป็นฟุตใหญ่ ขนาดเอามาปิดปากบาตรได้สบายเลย ก็ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์
เพราะว่าวัดนั้น ๔๐๐ กว่าปีแล้วไม่มีการบูรณะ ไปทำให้เขาดีขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นนิมิตแสดงออกให้เห็น
ถาม : วัดหนองบัวอยู่แถวไหนครับ ?
ตอบ : จังหวัดจะอีน รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า แถวนั้นเขามี บ้านสองแคว บ้านสามพระยา บ้านป่าหวาย บ้านใหม่ บ้านป่าลาน
คนไทยโดนกวาดต้อนไปสมัยเดียวกับพระนเรศวร ก็เลยยังใช้ชื่อไทยอยู่ แต่เวลาพม่าเรียกเราจะฟังยาก อย่างสามพระยา พม่าออกเสียงเป็นตำมะยา เลยกลายเป็นบ้านมะนาว แทนที่จะเป็นบ้านสามพระยา ป่าลาน พม่าออกเสียงเป็นปาตะแล
ที่พม่าดีอยู่อย่างคือ ถึงแม้เราจะไม่ได้ภาษาเขา ก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ภาษาเขา ไม่ได้ภาษาอังกฤษ ก็ใช้ภาษาไทยนี่แหละ คนพม่าทั้งประเทศพูดไทยได้เกือบหมด เพราะว่ามาทำงานเมืองไทยกันแทบทุกคน
*************************
“ปกติแล้วงานพุทธาภิเษกแบบนั้น ถ้ามีเวลาก็จะแอบดูว่าท่านอื่น ๆ ทำอย่างไร จึงพบว่าเกินร้อยละ ๙๐ ใช้กำลังตนเองทั้งนั้น
ก็เลยแปลกใจว่า วิธีการขอบารมีพระสงเคราะห์ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไร ต้องบอกว่าเป็นที่รู้กันทั่วไป แล้วทำไมท่านไม่ทำกัน ?
อาจจะเป็นเพราะความเคยชินก็ได้ ถึงเวลาก็ใช้กำลังตัวเอง แต่ว่าหลายท่านกำลังใช้ได้จริง ๆ กำลังใจพุ่งเป็นเข็มเลย
พอดีนั่งคู่กับหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร แล้วก็มีหลวงพ่อนิยม วัดถลุงทอง ขนาบข้างอีกข้างหนึ่ง
หลวงปู่ฟูท่านเข้าไปก่อนสัก ๑๐ นาที ส่วนอาตมาเขานิมนต์ตามเข้าไป เพราะว่าที่นั่งไม่พอ เขานิมนต์พระ ๔๙ รูป แต่ว่าที่นั่งมีไม่ถึง ก็ต้องผลัดกันเข้าผลัดกันออก
ไปถึงขอบารมีพระท่านเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็เข้าสมาธิยาวไปเลย รอจนพระท่านบอกว่าเสร็จแล้ว ลืมตาขึ้นมาทำน้ำมนต์
หลวงปู่ฟูท่านก็ลืมตามาทำน้ำมนต์ ทำเสร็จเรียบร้อยท่านก็หันมาบอก “พอแล้ว...เต็มแล้ว...ไปกันเถอะ” หลวงปู่ก็เป็นยอดฝีมือ
แสดงว่าท่านก็ดูอยู่ว่าพระท่านบอกอย่างไร พอถึงเวลาพระท่านบอกเต็มแล้ว ก็ลืมตามาทำน้ำมนต์ ทำน้ำมนต์เสร็จก็ต่างคนต่างพรม พรมเสร็จก็ชวนกันออกมา ปล่อยท่านอื่นเขานั่งกันต่อไป”
*************************
“วัดเนินสุทธาวาส ถ้าหลวงปู่เกลี้ยงมรณภาพนี่จะลำบากนิดหนึ่ง เพราะคนเป็นเจ้าอาวาสใหม่จะต้องลำบากใจ และเป็นอย่างนี้แทบทุกวัด
คือต่อให้เจ้าอาวาสใหม่เก่งเท่าเจ้าอาวาสเก่า เขาก็คิดถึงแต่เจ้าอาวาสเก่า ถ้าเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ ก็จมดินหายไปเลย วัดโทรมทันตาเลย
แล้วหลวงปู่เกลี้ยงท่านเป็นเจ้าอาวาสมา ๕๐ - ๖๐ ปี ไม่ใช่บวชมา ๕๐ - ๖๐ ปีนะ แต่เป็นเจ้าอาวาสมา ๕๐ - ๖๐ ปี...!”
*************************
ถาม : จิตวิญญาณกับวิญญาณขันธ์ เป็นอันเดียวกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถามแล้วได้อะไร ? ถ้าช่วยให้การปฏิบัติเราก้าวหน้าก็ถามมา แต่ถ้าถามเพราะอยากรู้ ก็ไม่ต้องถาม
ถาม : ก็มีส่วนให้ก้าวหน้าครับ คำว่าจิตวิญญาณกับวิญญาณขันธ์ เป็นอันหนึ่ง ?
ตอบ : คุณถามคำถามผิด จิตก็คือจิต วิญญาณก็คือวิญญาณ
จิตในความหมายของคุณ ก็คือที่เขาเรียกว่าผี แล้วดันไปเรียกว่าวิญญาณ
แต่วิญญาณของบาลี ก็คือตัวประสาทรับรู้ของร่างกายเรา
เพราะฉะนั้น...ถ้าแยกระหว่างจิตกับวิญญาณ ก็เป็นคนละอย่างกัน
จิต คือตัวรู้
วิญญาณ ก็คือประสาทรับความรู้สึก
เพราะฉะนั้น...วิญญาณขันธ์ของคุณ ถ้าตามหมอสมัยใหม่ก็เป็นเส้นประสาท
ถาม : เขาบอกว่าจิตกับวิญญาณต้องอาศัยกัน จริงไหมครับ ?
ตอบ : จิตอาศัยร่างกายนี้อยู่ ถ้าไม่มีวิญญาณรับรู้ จิตก็ทำงานไม่ได้
*************************
ถาม : คนที่ตายแล้ว อยู่ในภพภูมิอื่น ถือว่ามีจิตวิญญาณไหมครับ ?
ตอบ : นั่นคือจิต แต่ส่วนใหญ่ภาษาชาวบ้านจะเรียกว่า วิญญาณ หรือเรียกว่าผี
ถาม : วิญญาณในขันธ์ ๕ ที่แปลว่าตัวรู้ เป็นคนละอันกัน ?
ตอบ : วิญญาณ คือประสาทรับความรู้สึก ถ้าร่างกายนี้ตาย วิญญาณหรือประสาทรับรู้ก็ตายไปด้วย
ถาม : วิญญาณในขันธ์ ๕ ในพระไตรปิฎกคืออะไรครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าประสาทความรู้สึก
ถาม : ไม่ใช่แปลว่าตัวรู้หรือครับ ?
ตอบ : ตัวรู้คือจิต
*************************
|