เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ถาม : เพื่อนบอกว่า คนที่สอบเรียนตำรวจมีเจตนามาโกง รุ่นพี่พูดอะไรก็เชื่อ ?
ตอบ : ไม่หรอก ก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ไปเรียนด้วยความตั้งใจที่จะออกมาเป็นตำรวจน้ำดี แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่เจริญ
อาตมาเองนี่แหละ จบมาใหม่ ๆ ไฟแรงมากเลย สอบได้ที่ ๑ ของรุ่น
เจ้านายเขาถามว่า “เอ็งอยากลงหน่วยไหน เลือกมาเลย” เพราะว่าคนที่สอบได้ที่ดี ๆ มีสิทธิ์เลือกก่อน
อาตมาบอกว่า “ตรงไหนลำบากที่สุด ส่งผมไปตรงนั้นแหละ” เจอเพื่อนด่าเช็ดเลย...!
เพื่อนอยากจะเป็นเหล่าแพทย์ เพราะว่าถ้าเป็นทหารหมอแล้ว นอกเวลาสามารถเปิดคลีนิกได้ ตอนช่วงนั้นเหล่าแพทย์กับเหล่าทหารช่างเขาจะนิยมกันมาก
เหล่าทหารช่างไปทำงานที่ไหน จะมีเบี้ยบ้ายรายทางเยอะ สมมุตว่าไปสร้างทาง ชาวบ้านก็จะบอกว่า
“เพิ่มตรงนี้ลงมาเป็นหูช้างเข้าบ้านผมหน่อย”
“เพิ่มหน้าบ้านผมตรงนี้นิดหนึ่ง”
ก็แค่เพิ่มวัสดุนิดเดียว ไม่ต้องเบิกวัสดุเพิ่มด้วยซ้ำไป แต่ชาวบ้านเขายัดเงินมาให้เสียเยอะแยะ จึงสามารถที่จะหารายได้พิเศษได้
เพื่อนก็ด่าเอาว่าอาตมาโง่ สอบได้ที่ ๑ แท้ ๆ แทนที่จะเลือกเหล่าแพทย์ ดันไปลงเหล่าราบ แต่ปรากฎว่าเพราะอาตมาโง่นี่แหละเพื่อนถึงได้ไป ถ้าอาตมาเลือกเหล่าแพทย์ โควต้าก็หมด เพื่อนก็จะไม่ได้
เพราะฉะนั้น...เวลาจบมาใหม่ ๆ กำลังไฟแรง มาเจอในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เรียนมาแล้วทำใจลำบาก
อีกประการก่อนที่จะเข้าไปเรียน อาตมาก็ปฏิบัติตามแบบหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาตั้งหลายปีแล้ว ก็ยิ่งทำใจคล้อยตามเขายากเข้าไปใหญ่
*************************
ถาม : เวลาเราเจริญพรหมวิหารสี่ ถ้าเริ่มจากใจเขาใจเรา ?
ตอบ : ก็ได้อยู่นะ แต่ไม่ว่าคุณจะเจริญวิธีไหนก็ตาม จะลืมลมหายใจเข้าออกไม่ได้ ถ้าลืมลมหายใจเข้าออก กำลังใจไม่มั่นคง ยันเขาไม่อยู่หรอก จะหงายท้องเสียก่อน
เพราะฉะนั้น...คุณจะพิจารณา จะภาวนา จะแผ่เมตตาวิธีไหนก็ตาม อย่าลืมเรื่องลมหายใจเข้าออกเด็ดขาด ต้องประกอบไว้เป็นปกติ
ถาม : พรหมวิหาร ต้องทรงฌานตลอดใช่ไหม ?
ตอบ : ไม่ต้องตลอดก็ได้ แต่ให้มีกำลังสมาธิหนุนด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่ทรงตัว เดี๋ยวแทนที่จะแผ่เมตตา จะกลายเป็นแผ่รังสีอำมหิตแทน...!
*************************
ถาม : พระพุทธรูปของทางมหายานมีเครื่องหมายสวัสดิกะ ?
ตอบ : นั่นก็คือเครื่องหมายธรรมจักร หมายถึงการหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่เครื่องหมายของฮิตเลอร์ ท่านฮิตเลอร์นั่นมาทีหลัง
*************************
“ปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ เขาทำหนังสือที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพ หน้าปกเป็นเหรียญรูปพัดยศฝังไว้ในปก เราจะเห็นว่าพระปฏิบัติยศตำแหน่งทางโลกไม่สำคัญ ตำแหน่งที่ลูกศิษย์ลูกหายกให้เป็นหลวงปู่ หลวงพ่อนั่นจึงสำคัญที่สุด
สมัยหลวงปู่ปาน ในรุ่นเดียวกันคือ หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน แล้วอีกท่านหนึ่งเป็นรุ่นพี่ ก็คือหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ช่วงนั้นเขาเรียกว่า “สามเสืออยุธยา”
ปรากฎว่าหลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน ได้เป็น พระครูพรหมวิหารคุณ เจ้าคณะอำเภอบางซ้าย
หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ได้เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูวิหารกิจจานุการ
หลวงปู่จงเป็นพระหลวงปู่ธรรมดา ไม่ได้เป็นอะไรกับใครเลย แต่ขอโทษเถอะ...ดังคับประเทศพอกัน เพราะฉะนั้น...ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตำแหน่งที่ลูกศิษย์ลูกหาตั้งไว้ในใจ”
*************************
“หลวงปู่ปานมรณภาพปี ๒๔๘๑ ส่วนหลวงปู่จงเป็นรุ่นพี่ ปี ๒๕๐๘ ถึงมรณภาพ
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า งานประจำปีวัดบางนมโค เอารูปหล่อหลวงปู่ปานตั้งไว้ให้ญาติโยมได้กราบไหว้บูชาและทำบุญ ส่วนหลวงปู่จงนั่งลงนะหน้าทอง เป่ากระหม่อมให้แก่ญาติโยม
พองานผ่านไป หลวงปู่จงลงนะหน้าทองจนเป็นลม นับแล้วได้เงิน ๘,๐๐๐ บาท สมัยนั้นโบสถ์หลังหนึ่ง ๕,๐๐๐ บาทเองนะ ตีว่าน่าจะเกิน ๘ ล้านบาทในสมัยนี้
แต่หลวงปู่ปานที่เป็นรูปหล่อนั่งเฉย ๆ ได้ ๘,๐๐๐ บาทเท่ากัน....!
หลวงปู่จงท่านบ่นว่า “เสียท่าท่านปาน นั่งเฉย ๆ แท้ ๆ ได้พอกับเราเลย”
หลวงปู่จงท่านอายุยืนจริง ๆ อยู่ถึง ๙๐ กว่าปีถึงมรณภาพ ส่วนหลวงปู่ปานมรณภาพตอนอายุ ๖๒ ปี
หลวงปู่ปานมรณภาพแล้ว หลวงปู่จงอยู่ต่ออีก ๓๐ กว่าปี ถ้าหลวงปู่ปานอายุยืนขนาดนั้น ป่านนี้คงดังไม่เสร็จ ขนาดนี้ท่านยังดังจนพระของท่าน ที่สมัยก่อนเขาเรียกว่า พระน้ำจิ้ม เป็นของแถมสำหรับบุคคลที่เขาบูชาพระอื่นที่ดัง ๆ สมัยนี้พระนำ้จิ้มองค์หนึ่งเป็นแสน...!
*************************
วัดเจ้าเจ็ดใน รุ่นก่อนมีหลวงปู่จีน บางคนเรียก หลวงปู่เจ๊ก หลวงปู่จีนท่านเก่งบาลีมาก หลวงปู่ปานต้องไปขอเรียนบาลีด้วย
แต่หลวงปู่จีนท่านเป็นคนโมโหร้าย ท่านก็รู้ตัวนะ ท่านจะทำกรงเหล็กไว้ใบหนึ่ง ถึงเวลาก็เข้าไปอยู่ในกรง แล้วให้หลวงปู่ปานลั่นกุญแจล็อกไว้ แล้วก็เรียนด้วยกัน
ถ้าอันไหนหลวงปู่ตอบผิด หรือท่องให้ท่านฟังแล้วผิด ท่านจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ลุกขึ้นเขย่ากรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเลย
พูดง่าย ๆ ถ้าอยู่ข้างนอก ก็ประเภทประเคนไม้กันหัวร้างข้างแตกไปแล้ว แต่พอท่านหายโมโหท่านก็สอนต่อ ท่านรู้ตัวขนาดนั้น
อาตมาก็มานึกขำ ๆ ว่า นี่ถ้าหากว่าเป็นหลวงปู่ปานล่ะก็...รับรองลูกศิษย์ตาย เพราะหลวงปู่ปานแค่จับราว กุญแจก็หลุดหมดทุกดอกแล้ว
ท่านเคยเอาเชือกผูกเป็นราว แล้วกุญแจแขวนไว้เป็นสิบ ๆ ดอก พอแตะราว กุญแจหลุดหมดทุกดอกเลย แบบนั้นจับกรงแล้วลูกกุญแจหลุดมีหวังลูกศิษย์ตาย...!
*************************
“พอมารุ่นหลวงปู่ยิ้ม หลวงพ่อวัดท่าซุงไปขอเรียนวิชากับท่าน ท่านก็บอกว่าอย่าเอ็ดไป เดี๋ยวคนรู้หมด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแวะไปหาเวลากลางคืน ไปแบบไม่มีตัว แล้วก็กราบเรียนว่า กลางวันจะมาหา ถึงเวลาหลวงปู่ยิ้มก็นั่งรอ...แสดงว่ารู้จริง
พอหลวงปู่ยิ้มมรณภาพ หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้ ท่านบอกว่าหลวงปู่ยิ้มมีกำปั่นอยู่ใบหนึ่ง กำปั่นก็คือหีบใส่เงินหรือใส่เสื้อผ้าสมัยก่อนที่เป็นไม้ฝาโค้ง ๆ แล้วก็มีเหล็กรัด
ตั้งแต่หลวงปู่ยิ้มได้กำปั่นใบนั้นมา ท่านลั่นกุญแจเสร็จแล้ว โยนกุญแจทิ้งน้ำไปเลย อยู่ในคลองเจ้าเจ็ดนั่นแหละ ใครมีปัญญาไปงมเอา เพราะว่าได้ปัจจัยจากโยมมาเท่าไร ท่านยัดใส่กำปั่นไปเรื่อย
หลวงพ่อให้กรรมการวัดช่วยกันงัดกำปั่นออกมานับเงิน ปรากฎว่าเงินที่อยู่ก้นกำปั่น เปื่อยจนนับไม่ได้ไปเสียเยอะ ธนบัตรสมัยรัชกาลที่ ๗-๘ เปื่อยเสียเยอะ
ก็ถามหลวงพ่อว่าทำไมหลวงปู่ยิ้มถึงทำอย่างนั้น ?
ท่านบอกว่า หลวงปู่ยิ้มเป็นพระที่ไม่มีความโลภในใจแล้ว แต่ท่านไม่มีงานอื่นทำ ในเมื่อคนทำบุญกับท่าน ท่านก็อยู่เป็นเนื้อนาบุญให้เขาทำไป ครบอายุขัยก็ไปตามกาลตามเวลา
เงินเท่าไรท่านก็ไม่ได้เอาออกมาหรอก เพราะว่ากุญแจท่านโยนทิ้งนำ้ไปแล้ว ก็เป็นเงินสงฆ์อยู่อย่างนั้นแหละ
ถ้าหลวงพ่อไม่ได้ให้กรรมการงัดออกมาตรวจนับกัน ก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่มีปัจจัยเท่าไร แต่จะว่าไปแล้วท่านก็ช่วยงานคณะสงฆ์ไว้เยะ เพราะว่าท่านเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอ
ในรุ่นเดียวกัน อาจจะเห็นว่าหลวงปู่ปานก็เป็นพระครู หลวงปู่ยิ้มก็เป็นพระครู หลวงปู่จงไม่ได้เป็นอะไรกับใคร แต่ดังกว่าเยอะ
ถ้าหลวงปู่ปานไม่มรณภาพก่อน อยู่ถึงช่วงญี่ปุ่นยึดประเทศไทย คงจะต้องดังกว่านั้นอีกมาก หลวงปู่ปานมรณภาพไปก่อนตั้ง ๗ ปีกว่าสงครามจะเลิก”
*************************
ถาม : หลวงปู่ปานในสมัยที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า จะอายุน้อยไหมคะ หรือท่านจะอายุยืนยาว ?
ตอบ : ต้องตามไปเกิดด้วย จะได้รู้ ต้องดูว่าท่านเกิดตอนไหนด้วย ถ้าเกิดต้นกัปก็อยู่กันเป็นหมื่นเป็นแสนปี
*************************
ถาม : วิญญาณที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร สามารถติดตามเราไปได้ทุกที่ไหมครับ หรือแม้แต่ในบ้านก็เข้าไปได้ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าพระภูมิเจ้าที่ไม่อนุญาตก็เข้าไม่ได้
เวลาบูชาพระภูมิก็บอกท่านว่า ช่วยกันพวกนี้ให้ด้วย ถ้าท่านไม่อนุญาตก็เข้าไม่ได้ แต่ท่านกันได้เฉพาะวิญญาณ กันกฎของกรรมไม่ได้
*************************
บ้านวิริยบารมี มีเด็ก ๆ เล่นซน ส่งเสียงร้องไปมา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า
“เด็กเขายังไม่รู้ธรรมเนียมและกิริยามารยาท นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ก็เป็นหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย”
ถาม : คนสมัยนี้เขาปล่อย ?
ตอบ : สมัยนี้เขาไปเลี้ยงลูกตามตำราใหม่ ที่ว่าทำตัวเป็นเพื่อนกับเด็ก แต่พอทำตัวเป็นเพื่อนกับเด็ก เด็กเขาจะไม่กลัว ก็เลยไม่สามารถจะบังคับเด็กได้
โดยเฉพาะเด็ก ๆ นี่สุดยอดเลย เขารู้ว่าเขาจะจัดการพ่อแม่ให้อยู่อย่างไร แล้วเขาจะทำได้เร็วมาก
*************************
ถาม : อยากนั่งกรรมฐาน พอขึ้นนะโมฯ ก็รู้สึกคันไปหมด บางทีก็ปวด ๆ ?
ตอบ : ขอให้รู้ว่าถ้าโยมตั้งใจทำจะได้ผลเร็วมาก เหตุที่เป็นดังนั้น เพราะขันธมารกวนร่างกายไม่ให้เราทำความดี
คนประเภทนี้ถ้าทำจะได้ผลเร็วมาก แต่ระยะแรก ๆ ต้องอดทนสู้กันนิดหนึ่ง พอกำลังใจเราทรงตัว คราวนี้เขาจะขวางเราไม่อยู่แล้ว เราก็จะก้าวมาทางด้านนี้เร็วมาก พวกที่มีสิ่งคอยมาขวางมีอะไรมาอยู่เป็นประจำให้รู้เลยว่าถ้าเราทำจะได้เร็ว
ถาม : เราอ้วน นั่งลำบาก ไม่จำเป็นต้องนั่ง ?
ตอบ : ได้…เก้าอี้ที่เตรียมไว้ให้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายที่ร่างกายไม่เหมาะสมจะนั่งกับพื้น ได้นั่งเก้าอี้ไป เพราะว่าสำคัญคือให้ใจสงบ ถ้าหากว่ามัวไปห่วงร่างกายเจ็บแข้งเจ็บขาอยู่ ใจก็ไม่สงบ
ถาม : ก็คือนั่ง ?
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้ ให้ความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกตรงหน้ ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่น ก็ให้ดึงกลับมาตรงนี้
ถ้าหากว่าอยู่ตรงหน้าได้สักระยะหนี่งแล้ว โยมจะรู้ว่า ความสุขภายนอกทั้งหมด สู้ความสุขที่ใจสงบไม่ได้
ทุกวันนี้เราโดน รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่กำลังใจทรงตัวอยู่เฉพาะหน้า เหมือนกับไฟพวกนี้โดนกดให้ดับลงชั่วคราว
คนโดนไฟเผาอยู่ตลอด อยู่ ๆ ไฟดับนี่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกหรอก เย็นสบายอย่างไรบอกไม่ถูกหรอก
พอทำถึงจุดนี้เมื่อไรแล้ว ส่วนใหญ่จะติดหนับเลย ถึงเวลานั้นด่าก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว เพราะรู้แล้วว่าดีอย่างไร
ถาม : จริง ๆ นั่งเริ่มต้นทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ท่าไหนก็ได้ที่เราถนัด แต่ให้ความรู้สึกของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้า รู้ตามเข้าไปตั้งแต่ต้นจนปลาย หายใจออก รู้ตามตั้งแต่ต้นจนปลายอยู่แค่นี้ คิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร ให้ดึงกลับมาตรงนี้ แล้วทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวต่อเนื่องไประยะหนึ่ง จริง ๆ แล้วจะหกคะเมนตีลังกา ทำงานอะไรอยู่ก็นึกได้ ไปลองทำดู
*************************
ถาม : สิ้นเดือนนี้ต้องจ่ายเงินค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน มีอะไรทางธรรมพอช่วยได้บ้างคะ ?
ตอบ : ใช้เวลาที่เหลือภาวนาคาถาเงินล้านทั้งวันทั้งคืนเลย ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้หมุนทันด้วย เอา ๑๐๘ จบเป็นหลัก แต่ว่าให้ภาวนาจริง ๆ นะ ภาวนาเป็นกรรมฐานเลย
ถาม : เวลาทำกับขัาวหรือขับรถก็ภาวนา ?
ตอบ : ใช่ ว่าไปตลอดเวลาจนกว่าจะครบ
*************************
ถาม : ข้างบ้านเขาขายยาบ้า ถ้าแจ้งตำรวจจะบาปไหมคะ ?
ตอบ : อย่าไปยุ่งกับเขา ปล่อยเขาไป เพราะเรื่องพวกนี้จริง ๆ เส้นสายตำรวจเขารู้อยู่แล้ว เพียงแต่เขามีผลประโยชน์ร่วมกัน
ถ้าเกิดว่าเราไปผ่ากลางเข้า อันตรายจะมาถึงตัว ไม่ใช่ทางฝ่ายนั้นหรอก ดีไม่ดีทางฝ่ายราชการจะเล่นงานเราเสียเอง ต้องหัดอุเบกขาไว้บ้าง
เหลือเชื่อที่ว่ายาเสพติดของเราบัญชาการมาจากในคุกแทบทั้งนั้น ที่จับได้ล่าสุดนี่เป็นรายใหญ่มาก ๆ เลย
เกิดจากรถโดนสวมทะเบียน แล้วไปทำผิดกฎจราจร เขาส่งใบสั่งมาว่าโดนที่ลำปาง เจ้าของทะเบียนก็เถียง เพราะว่าไม่เคยไปลำปาง
แล้ววันร้ายคืนร้าย ดันขับรถทะเบียนเดียวกันมาอยู่ตรงหน้าพอดี เลยไล่กวดกันเพื่อจะดูว่าเป็นใคร
พวกคนร้ายพอหันมาเห็นก็ตกใจ เพราะรถทะเบียนเดียวกัน จึงหนีสุดชีวิต ไปพลาดท่าตอนไหนก็ไม่รู้ ไปชนกำแพงเข้า ก็เลยต้องทิ้งรถหนี
พอตำรวจค้นในรถ เจอยาเสพติดบานเลย เขาจึงสาวรอยไปจนกระทั่งถึงบ้านที่เช่าเอาไว้ คราวนี้มียาบ้าเป็นกุรุสเลย
นั่นเป็นเรื่องของการสวมทะเบียนรถ ถ้าหากว่าเจ้าของไม่ไปติดตามด้วยตัวเอง คาดว่ากว่าจะรอตำรวจจับได้ไล่ทัน เขาก็คงขนเข้ามาอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
พอจับได้ เขาก็ซัดทอดว่ามีนายทหารร่วมด้วย เขาบอกว่านายทหารยศพันโท ท่านเอารถตรากงจักรไปขนมา ทำให้ตำรวจเขาไม่กล้าตรวจ เพราะว่าเป็นรถของนายทหาร
ต่อให้คิดจะตรวจ ถ้าหยิบบัตรให้ดู เป็นนายทหารยศพันโท ตำรวจส่วนใหญ่ที่ตั้งด่านอยู่ อย่างเก่งก็เป็นแค่ร้อยเอกหรือพันตรี อาวุโสน้อยกว่าทางนั้นก็ไม่กล้าค้นอยู่แลเ้ว เขาก็เอามาเข้าที่พักของ แล้วก็กระจายออกไป
*************************
มีโยมคนหนึ่งชื่อดวงดาว ได้สามีเป็นพันเอกของกองทัพสหรัฐฯ วันหนึ่งสามีเขาถูกเรียกประชุมที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่เขาเรียกว่าเพนตากอน
สามีหิ้วกระเป๋าเอกสารมาด้วย เพราะว่าถูกเรียตัวมาแบบกะทันหัน พอจะเข้าที่ประชุมก็ต้องมีการตรวจค้น
ท่านก็คงขี้เกียจให้เขาค้น ก็เลยเอากระเป๋าไปฝากทหารยามที่ยืนอยู่ บอกว่าให้ช่วยดูแลกระเป๋าให้เขาหน่อย เดี๋ยวประชุมเสร็จเขาจะออกมาขอรับคืน
ทหารยามบอกว่า “เชิญผู้การดูแลเองครับ ผมมีหน้าที่อยู่ยาม”
ถ้าอยู่เมืองไทย ทหารนายนี้คงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่เลย แต่ที่นั่นผู้การต้องเดินจ๋อง ๆ ไปให้เขาตรวจค้นกระเป๋าแต่โดยดี
พันเอกกับพลทหาร แต่เขาถือว่าทุกคนมีสิทธิเท่ากัน มีหน้าที่รับผิดชอบเหมือนกัน เขารับผิดชอบตรงไหน เขาก็ทำเฉพาะตรงนั้น เขาอยู่ยาม ไม่ได้มีหน้าที่มาเฝ้ากระเป๋าให้เจ้านาย เมื่อไรบ้านเราจะมีอย่างนี้บ้างหนอ ?
บ้านเราแค่เจ้าหน้าที่เอาเครื่องตรวจอาวุธมาตรวจ ยังโดนตบบ้องหูเลย คนบ้านเราใหญ่เสียจนชิน บ้านเขาถือว่าคนมีคุณค่าเท่ากัน
ประเทศเขาแทบจะไม่มีอะไรที่ดีกว่าเราเลย นอกจากการบังคับใช้กฎหมาย แต่บ้านเรากฎหมายมีหลายมาตรฐาน ก็เลยทำให้คนส่วนหนึ่งเกิดความคิดที่อยากจะไปอาศัยที่บ้านเขา ซึ่งความจริงแล้ว ไม่มีที่ไหนอยู่สบายเท่ากับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
*************************
ถาม : พวกทุนในหลวงบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ค่อยสบาย เพราะคนในกลุ่มต้านนั้นเป็นนักเรียนทุนด้วย เห็นว่าทรงเสียพระทัย ?
ตอบ : บ้านเราเมืองเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีของเรา เพราะฉะนั้น...พระมหากษัตริย์ที่ตั้งอยู่ในฐานะอันจะละเมิดมิได้ ก็ต้องเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีของเรา
ไม่ใช่ว่าไปเอาความคิดตามแบบตะวันตก ที่ไม่มีการเทิดทูนบูชาบุคคลที่ทำความดี ลักษณะนี้เหมือนกับของเรามาเป็นบรรทัดฐาน
เรื่องนี้ก็คงจะยืดเยื้ออีกนาน เพราะว่ามีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายสนับสนุน แต่ความจริงถ้าจะมีปัญหา ก็ให้มีปัญหาภายในรั้วมหาวิทยาลัย อย่าเอาปัญหาขึ้นมาบนท้องถนน เพราะว่าจะกลายเป็นการปลุกระดมมวลชนเอาง่าย ๆ
*************************
“ใครที่จองพระขรรค์โสฬสไว้ ให้ไปฟิตตัวกันเอาเอง ไม่อย่างนั้นคงจะมีแต่อาตมาเท่านั้นที่ยกขึ้น เฉพาะแค่ใบเดียวก็ ๓.๕ กิโลกรัมแล้ว...!
แต่ก็ให้หลวงพี่นิลบอกช่าง ให้เขาเกลาใบให้บางที่สุดเท่าที่จะบางได้ เพราะว่าถ้าขืนเป็นอย่างนั้น คนอื่นยก ๒ มือยังไม่รู้ว่าจะงัดไหวไหม
เสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า โลหะที่สะสมไว้อยากจะใส่ให้หมด แต่ช่างเขาบอกว่า ตามหลักวิชาการเขาต้องใส่ร้อยละเท่าไร ถ้าใส่หมดแล้วเนื้อจะไม่ประสานกันสนิท อาจมีการแตกร้าวได้ เขาไม่อยากเสี่ยง จึงทำให้ใส่โลหะที่อาตมาสะสมมาได้น้อยไปหน่อย ต้องบอกว่าใส่พอเป็นกระสายยา”
*************************
ถาม : ที่บอกว่าพระมหากษัตริย์ต้องสาบานตน เขาคิดได้อย่างไร ?
ตอบ : อันนั้นเป็นแค่แนวคิดอยู่ และรัฐบาลก็บอกแล้วว่าไม่เห็นด้วย
ในหลวงสาบานตนตั้งแต่วันปฐมบรมราชาภิเษกแล้ว ที่พระองค์ตรัสว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
เพียงแต่พระองค์ท่านสาบานตน โดยไม่ต้องมีใครบังคับ และทำได้มาโดยตลอดด้วย
จริง ๆ แล้ว ถ้าเราไม่ไปให้ความสนใจก็จบ เพราะว่าเราไปให้คุณค่าเขา ก็เลยมีน้ำหนักในสังคม เขาอยากออกความคิดก็ปล่อยเขาไป ออกความคิดจนหายบ้าเขาก็เลิกไปเอง
ถ้าเราไปให้ความสำคัญเขา กลายเป็นว่าเราไปแบกความทุกข์เอาไว้เอง
*************************
“บางคนสภาพร่างกายไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศมาก แล้วก็ดันมาเป็นอาตมาเองเสียด้วย
ก่อนลงมาข้างล่างนี้ก็จับไข้ เพียงแแต่ว่าอาการตัวร้อนยังไม่ปรากฎจับไข้เฉย ๆ ก็รู้แล้วว่าอากาศกำลังจะเปลี่ยน เป็นล่วงหน้านาน ๓-๔ ชั่วโมงกว่าที่จะฝนตก จนแทบจะพยากรณ์อากาศเองได้แล้ว
เวลาอยู่ที่วัด อาตมาบอกพระท่านว่าตอนนี้อากาศประมาณเท่าไร พอเดินผ่านสถานีวัดอากาศกรมอุตุนิยมวิทยาที่ทองผาภูมิก็ไม่ค่อยพลาด
ยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากความเป็นทิพย์ แต่เกิดจากการสัมผัสทางผิวหนังของตัวเอง จำได้ว่าความเย็นระดับนี้ประมาณกี่องศา พวกเราพอจะแยกได้ไหม ?
ส่วนมากแยกไม่ค่อยออกหรอก รู้แต่ว่าหนาวก็คือหนาว หนาวมากหนาวน้อยแค่นั้นเอง”
*************************
“พระหลวงปู่ทวด ในวงการพระเครื่องเรียกว่า พระนิรันตราย” ถ้าอาราธนาติดตัวจะปลอดภัยในทุกที่
คาถาว่า นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
มีนายดาบตำรวจท่านหนึ่งบอกว่า ชันสูตรพลิกศพมาตลอด ๓๐ ปีที่รับราชการอยู่ ยังไม่เคยเจอคนแขวนพระหลวงปู่ทวดแล้วตายโหงเลย อันนี้จากประสบการณ์ตรง ดังนั้นเราต้องเชื่อ”
*************************
“อาตมามีเชื้อมาลาเรียอยู่ในตัว พออากาศเปลี่ยนจะเป็นไข้ทันที วันนี้อากาศไม่เปลี่ยนเปล่า แถมฝนยังตกด้วย ลองไปอ่านเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ที่ท่านบอกว่า
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด
มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ
จะเห็นว่าเหมือนกับปัจจุบันนี้มาก”
*************************
“ปกติการเป่ายันต์เกราะเพชร เมื่อกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์แล้ว ยังขอพรหม เทวดา โดยเฉพาะท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมด้วยอินทกะและบริวาร
ให้ช่วยจัดการสิ่งไม่ดีที่แทรกที่สิงมากับร่างคน ไม่ว่าจะเป็นไสยเวท อาคม วัตถุอาถรรพ์ คุณผีคุณคนก็ดี เหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกายที่แทรกที่สิงมาก็ดี ถ้าหากว่าอยู่ในบริเวณพิธี ท่านจะไล่ให้ทั้งหมด
ดังนั้น...เวลารับยันต์ ต่อให้มีเสียงประหลาดพิกลขนาดไหน ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้เราภาวนาของเราไปตามปกติ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะกลัว พอได้ยินเสียงประหลาด ๆ เข้า สมาธิก็หายเรียบ...!
เมื่อพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรผ่านไป ก็คลายใจไปได้หน่อยหนึ่ง ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นไปในทางที่บรรเทาลง
ไม่อย่างนั้น อยู่ ๆ อิสลามตายคาถนนหลายศพเป็นเรื่องแน่นอน ต่อไปให้ทุกคนเอาอย่างนั้นนะ ถ้ามีคนของเราตาย ให้รวมหัวอย่างนั้นบ้าง ประท้วง อาละวาด ต้องหาคนผิดมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะดูเหมือนคนของเขามีราคาชีวิตสูงกว่าของเรา”
*************************
“การจัดงานที่วัดทุกครั้ง มักจะมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น โดยเฉพาะว่าบางทีก็เกิดขึ้นโดยที่เราเองก็คาดไม่ถึง
อย่างเช่นว่า อยู่ ๆ น้ำในห้องส้วมไม่ไหล เพราะมีคนเมตตาไปปิดประตูน้ำให้ จึงเป็นอะไรที่บางทีก็หัวเราะไม่ออกเหมือนกัน นี่ยังดีนะ..ครั้งนี้แค่ปิดประตูน้ำ ครั้งก่อนเขาไปปิดเครื่องสูบน้ำเลย
มีโยมเขาบ่นว่าโรงทานไม่พอกิน อาตมาถามาว่ามาถึงกี่โมง เขาบอกว่าบ่ายโมงกว่า ก็น่าจะได้กินอยู่หรอก...! โรงทานนะ...ไม่ใช่ร้านอาหารตามสั่ง โรงทานส่วนใหญ๋ไว้เลี้ยงช่วงกลางวัน เล่นมาบ่ายโมงกว่า เขาบอกว่าเหลือแต่ข้าวต้มกับบะหมี่อยู่อย่างละหน่อย ก็ยังดีที่มีเหลือ”
*************************
“ท่านใดเป็นเจ้าของกล่องวัตถุมงคลที่นำไปเข้าพิธีแล้วไม่ได้รับกลับ ให้มารับคืนได้ แต่เอาค่ารถมาด้วย...! ทำให้อาตมาต้องแบกมาถึงกรุงเทพฯ
ลืมของทั้งลังนี่น่าตายมากเลยนะ ยังดีที่วัดท่าขนุนยังไม่มีประวัติของหาย ของเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้าเก็บได้เขาจะเอามาส่งคืนให้
อาตมาเองก็ประกาศหาเจ้าของ ปรากฎว่าวันนี้มีมาทวง ๒ ราย สรุปได้ว่าตอนประกาศ ไม่คิดว่าเป็นของตัวเอง กลับถึงบ้านแล้วถึงได้รู้ว่าหาย
อีกรายหนึ่งออกไปเกือบครึ่งทางแล้ว นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าวัตถุมงคลไว้ วิ่งมาถามว่ามีใครเจอบ้างหรือเปล่า ?
ไม่เพียงแต่เจอเฉย ๆ อาตมาเก็บเข้าห้องไปแล้วด้วย เพราะว่าเลิกงาน เก็บของเสร็จสรรพแล้ว
อีกรายหนึ่งลืมกระเป๋าสตางค์พร้อมกับบัตรประจำตัวสารพัด พอประกาศวิ่งมาทันทีเลย เขาบอกว่ากำลังรออยู่ว่ามีใครเก็บได้หรือเปล่า ?
จะเห็นได้ว่า พวกเราที่ถือว่าเป็นหมู่คนที่เข้ามาปฏิบัติธรรม สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากหลักธรรมได้จริง โดยเฉพาะว่าพวกเราไม่ยอมละเมิดศีล แม้ว่าของจะมีคุณค่าขนาดไหนก็ตาม ถือว่ากำลังใจในด้านศีลบารมีของพวกเราใช้ได้
ถ้าเป็นญี่ปุ่นเก็บของได้ พอเจ้าของมารับคืน เขามีข้อบังคับด้วยว่าต้องแบ่งรางวัลให้คนเก็บได้ด้วย อันนี้เขามีข้อบังคับไว้เลย แต่ไม่ได้ถามเขาว่าแบ่งให้เท่าไร
ช่วงเกิดสึนามิ มีคนโดนคลื่นซัดไปไม่เป็นที่เป็นทาง คนนั้นก็เจอของที่ไม่ใช่ของตัวเอง คนนี้ก็เจอของที่ไม่ใช่ของตัวเอง จึงเอาไปฝากสถานีตำรวจ จนตำรวจไม่มีที่จะเก็บ
แต่เขามีข้อแม้ว่า ถ้าภายในระยะเวลาที่กำหนดแล้วไม่มีคนมารับคืน จะเป็นสิทธิ์ของคนที่เก็บได้ ถ้าอย่างนี้อาตมาคงได้เยอะเลย เพราะว่าบางคนเป็นปี ๆ แล้วยังไม่ได้ไปรับของคืน
งานเป่ายันต์ฯ ครั้งนี้คนไม่ได้มากนะ แต่ทำไมแน่นจัง ?
มีใครรู้สึกบ้างไหมว่า โดนเบียดจนกระดิกไม่ออก อาจจะเป็นเพราะคนมากขึ้นจริง แต่อาตมาดูไปก็เหมือนเดิม เพราะเห็นแต่หัว มองไปก็ติดหัวคน
แต่ว่าที่มั่นใจว่าคนมาก เพราะว่ารอบ ๒ ปกติจะมีคนเกินครึ่งศาลานิดหน่อย แต่ครั้งนี้เกือบไม่มีที่ว่างแล้ว เพราะว่ามีบางคนรับรอบหนึ่งแล้วไม่มั่นใจ ขอซ้ำอีกที จะบอกว่าน้ำเต็มแก้วแล้ว เทซ้ำไปก็ล้นทิ้งเสียเปล่า ๆ ก็ใช่ที่ นั่งรับไปเถอะ”
*************************
“ปีนี้เป็นปีแรกที่หน้าหนาวแล้วอาตมารู้สึกปวดข้อ แสดงว่าแก่ได้ที่แล้ว เพราะฉะนั้น...เวลาที่เกร็งมือเพื่อเขียนยันต์นาน ๆ จะปวดข้อ
ต่อไปที่น่าจะทำก็คือ ตะกรุดมหาสะท้อนที่ทำจากโรงงานแล้วเอามาเสก ตะกรุดมหาสะท้อนที่จารด้วยมือนี่หมดสิทธิ์แล้ว โดยเฉพาะตอนม้วนลำบากที่สุด
จะเห็นว่าตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๒ บางทีม้วนไม่ค่อยเรียบร้อย และค่อนข้างดอกใหญ่ เพราะว่าดอกแรก แรงยังดีอยู่ จึงม้วนได้ชิดสนิทแน่นหน่อย ดอกถัด ๆ ไปแรงเริ่มหมด ก็ดอกใหญ่ขึ้นเรื่อย
วันหนึ่งจะจารประมาณ ๔๐ - ๕๐ ดอก แล้วรุ่นนั้นแผ่นเงินหนามาก ให้เด็กบ้านนอกอย่างพระครูน้อยช่วยม้วน ท่านบิดบุบไปได้นิดเดียว ไม่ใช่งอขึ้นมานะ งอยังงอไม่ขึ้นเลย ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องม้วนเอง ม้วนเสร็จ ๕๐๐ ดอกมือก็พองและแตกพอดี”
*************************
“ชะรา ธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต
เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้
บางคนทำใจไม่ได้ที่ตัวเองแก่ ในเมื่อทำใจไม่ได้ที่ตัวเองแก่ ก็เลยพยายามที่จะไม่แก่ บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ดูไม่แก่ มักจะมีราคาแพงจริง แล้วไม่ใช่ไม่แก่นะ ยังแก่อยู่ แต่ทำให้ดูไม่แก่ ดังนั้น...คุณค่าของความพยายามที่จะไม่แก่จึงแพงตามไปด้วย
อย่างที่เคยบอกกับญาติโยมว่า ตอนไปพุทธาภิเษกให้กับสมาคมศิลปินเพื่อพระพุทธศาสนา อาตมาเจอพวกดารา เห็นพวกเขาต้องสวยอยู่ตลอดเวลาแล้วเหนื่อยแทน เป็นอะไรที่ดูแล้วน่าเหนื่อยใจมาก ต้องพยายามแต่งให้ออกมาดูดี
เพราะว่าถ้าดาราดูไม่ดีเมื่อไร อาจจะตกงานไปเลย บางทีก็ต้องสร้างกระแส เพื่อให้อยู่ในความสนใจของคน จะได้มีงาน พอดู ๆ ไปแล้วก็จะรู้สึกว่าเหนื่อยมากจริง ๆ”
“เมื่อไม่นานนี้มีคนมาคร่ำครวญอยู่หลายราย ว่าลูกสอบเข้าเรียนไม่ได้ นั่นก็ยิ่งเหนื่อย ความจริงลูกมีที่เรียน แต่พ่อแม่อยากให้เรียนอีกที่หนึ่ง ก็เลยต้องไปสอบแข่งกับเขา พอไม่ได้ ลูกไม่เสียใจเท่าไรหรอก แต่พ่อแม่กินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นอาทิตย์เลย
พูดถึงเรื่องนี้ก็ไปนึกถึงสมัยก่อน มีนักเทนนิสคนหนึ่ง คือ มาร์ติน่า ฮินกิส บางทีมาร์ตินา ฮินกิส ก็ได้แชมป์ บางทีก็ตกรอบแรก บางทีก็ตกรอบสองรอบสาม บางทีก็เข้ารอบชิง แล้วก็ได้แค่รองแชมป์
อาตมาฟันธงว่ารายนี้ต่อไปจะเก่ง มีคนถามว่าทำไม
อาตมาบอกว่า เพราะเขาแพ้เป็น
คนที่แพ้เป็น จะไม่ไปคร่ำครวญเสียใจให้แก่สิ่งที่พ่ายแพ้ แต่จะพิจารณาดูว่าแพ้เพราะอะไร แล้วแก้ไขจุดบกพร่องของตน แล้วต่อไปเขาก็จะชนะ
เด็กคนไหนถ้าสอบตกแล้วแพ้เป็น เด็กคนนั้นต่อไปอนาคตจะไกล
คำว่าแพ้เป็น แปลว่ายอมรับว่าตัวเองสอบไม่ได้ แล้วก็ไปพิจารณาว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เมื่อแก้ไขตรงจุดนั้นแล้ว ต่อไปก็จะไม่สอบตกอีก
เขาก็ต้องไปวิเคราะห์ว่า ทำไมตัวเองสอบไม่ได้ ขี้เกียจอ่านหนังสือหรือว่าไม่ชอบวิชานั้น ก็เลยไม่สนใจที่จะเรียน เหล่านี้เป็นต้น”
*************************
“ตั้งแต่พระพุทธชินราชปิดทองใหม่ อาตมาว่าสู้ของเก่าไม่ได้เลย ของเก่าสวยนวลตามาก ของใหม่สว่างแสบตาเลย
คนโบราณเขาปั้นแสงปั้นเงาได้ เขาใช้แสงเงาจากช่องหน้าต่างเข้าช่วย ถ้าเดินเข้าไปจะเห็นองค์พระลอยเด่นอยู่กลางวิหาร
พอมารุ่นหลัง เขากลัวขโมยบ้าง รู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้าง ก็เลยอุดช่องแสงจนหมด แล้วใช้ไฟฟ้าส่องแทน จึงสว่างเกินไปจนแสบตา”
*************************
“เด็กรุ่นนี้ยังพอไหว แต่รุ่นถัดไปจะอยู่กันอย่างไร เพราะว่าโลกร้อนแรงขึ้นทุกวัน ขณะเดียวกันความสามารถในการเอาตัวรอดของเด็กกลับน้อยลงไปเรื่อย เพราะว่าไปพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไป
วันก่อนยังบอกกับพระที่วัดเลยว่า ผมอยากให้ไฟดับสักอาทิตย์หนึ่ง ดูว่าพวกคุณจะตายไหม ? ไม่อย่างนั้นอากาศหนาวแทบตาย ก็ยังเปิดพัดลมกันอยู่”
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ถ้าบอกได้ อาตมาบอกหมดทุกคนแล้ว จำไว้ว่าถ้ายังอยากตายอยู่ กำลังใจยังใช้ไม่ได้ คนอยากตาย กำลังใจจะหมอง
คนที่เขาทำถึงจริง ๆ เขาไม่ได้อยากตาย แต่เขาพร้อมที่จะตาย ดำเนินชีวิตอยู่ในลักษณะอยู่ก็ได้ตายก็ดี ถ้าอยู่..เราก็ได้สร้างบุญบารมี ถ้าตาย...เราก็ไปพระนิพพาน
สมัยก่อนอาตมาก็เข้าใจผิดเหมือนกัน คิดว่าถ้าถึงระดับอยากตายก็แปลว่าเราดีแล้ว เปล่า...ยังห่างอีก ๘๔,๐๐๐ โยชน์...!
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : เป็นเหมือนกันทุกคนแหละ ถ้ายังไม่ก้าวผ่านจุดนั้นไป ก็คิดว่าตัวเองดีแล้ว พอก้าวผ่านไป อ้าว...ยังไม่ดีจริงนี่นา ที่ดีกว่าถูกกว่ายังมีอยู่อีก ก็จะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ
ด้วยความที่ยึดมั่นถือมั่นของเรา พอก้าวไปสู่จุดใหม่ ก็จะไปยึดว่านั่นดีแล้ว ถูกแล้ว ต่อไปพอเจอที่ดีกว่านั้นขึ้นมาก็ อ้าว...ผิดอีกแล้ว พอโดนเข้าบ่อย ๆ ตอนหลังก็จะเปลี่ยน กลายเป็นคนที่รู้ระมัดระวัง ไม่ประมาทมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะรู้ว่าแม้แต่ความดีก็ยังหลอกเราได้ ถ้าเราหลงติดอยู่แค่นั้นจะไม่ก้าวหน้าไปไหน ค่อย ๆ ทำไป ไม่ต้องรีบตายหรอก เวลายังไม่พอให้เราทำความดีเลย เพราะฉะนั้น...ให้เร่งทำให้มากเข้าไว้ อยู่ไปกินไปตามปกติ พอหมดอายุขัยเมื่อไรก็ตายเองแหละ
ไม่ต้องไปกังวลหรอก อาตมาเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยกังวลถึงอนาคตเลย ดูแลคนป่วยไว้เยอะ มั่นใจว่าพอถึงเวลามีคนช่วยหอบช่วยหิ้วแน่ ๆ ดูแลพ่อ ดูแลแม่ ดูแลหลวงปู่มหาอำพัน รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง รวมแล้วกว่า ๒๐ ปี
*************************
“เดือนนี้บวชเนกขัมมะ ๒ วัน คือวันที่ ๒๕ - ๒๖ กุมภาพันธ์ อาตมาคงอยู่กับพวกเราได้วันหนึ่งพอดี รุ่งขึ้นหลวงตาวัชรชัยนิมนต์ไปพุทธาภิเษก
อาตมาบอกว่าติดงานไปไม่ได้ ท่านก็อ้อนวอน เห็นหลวงตาพูดเหมือนกับว่า ถ้าอาตมาไม่ไปสักคน งานจะล่มอย่างนั้นแหละ ท่านโทรมานิมนต์เอง ฎีกาส่งตามมาทีหลัง
ส่วนใหญ่งานของพี่ ๆ น้อง ๆ ถ้าปลีกตัวไปได้จะพยายามไป เพราะโอกาสที่จะไปอยู่กันพร้อม ๆ หน้ากันนั้นหายาก”
|