​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๙๔

 

              “ถ้าว่าไปจริง ๆ แล้ว พระธรรมยุติสายพระป่า เมื่อเทียบกับมหานิกายแล้ว มีจำนวนน้อยนิดมาก แต่ว่ามีบทบาทให้าการชี้นำสังคมค่อนข้างสูง
              เพราะว่าท่านส่งเสริมกันเอง ยกย่องกันเอง เชิดชูความดีของกันและกัน ไม่มีการอิจฉาริษยา มีแต่มุทิตาจิต
              ใครที่ยืนหยัดเป็นหลักได้แล้ว ก็ไปเยี่ยมเยียน นำเอาญาติโยมไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ หรือเพื่อนสหธรรมิก หรือลูกศิษย์ของตนในวัดอื่น ๆ ด้วย ลักษณะอย่างนั้นจะทำให้ทุกวัดมีความเจริญเสมอหน้ากัน
              ถ้าหากว่าวัดไหนมีครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือมาก เมื่อท่านมรณภาพ ก็มีการสร้างเจดีย์ เพื่อบรรจุอัฐิไว้เป็นที่ระลึก เป็นที่เคารพแล้วก็ออกหนังสือในลักษณะที่เชิดชูเกียรติของอาจารย์ ทำออกมาแต่ละเล่มสวยงามมาก ๆ ดูแล้วน่าชื่นชม”
*************************

              “พระมหานิกายของเรายังขาดตรงจุดนี้อยู่มาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ ทำให้ความเหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ค่อยมี ญาติโยมบางท่านไปทำบุญวัดอื่น พอกลับมาเล่าให้ฟัง ปรากฎว่า โดนทางวัดเดิมด่าส่งไปเลยก็มี
              ทำให้เห็นว่า ในเรื่องของการปฏิบัติของมหานิกายนั้น ว่ากันตามตรงก็คือ ยังสู้งเขาไม่ได้
              ถึงแม้จะสู้เขาไม่ได้ แต่ของเราก็มีจำนวนที่มากกว่า และมีหลวงปู่หลวงพ่อที่มีความรู้ความสามารถอยู่มาก ยังเป็นที่พึ่งของคนส่วนใหญ่ได้
              แต่ถ้ามีการส่งเสริมเชิดชูช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ศาสนาพุทธของเราก็จะมีความเจริญมากกว่านี้
              ไม่อย่างนั้นบางวัดแทบจะโดนปล่อยเกาะเลย บรรดาพระภิกษุสามเณรในอาวาส บางทีก็เหลือสภาพพระเณรน้อยเต็มที
              ถ้าจะแก้ไข ก็ต้องแก้ไขทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ผู้ใหญ่ข้างบนดำเนินการเป็นตัวอย่าง แล้วก็ยึดถือเป็นแนวนโยบาย
              ถ้าหากว่ายึดถือเป็นนโยบายในสายการปกครอง คนที่ไม่ทำตามจะกลัวว่าไม่มีโอกาสโต ก็ต้องทำจนได้
              เพราะฉะนั้น...บางอย่างอาจจะต้องใช้วิธีบังคับเอาตามนโยบายการปกครอง แต่ก็ต้องรอพระผู้ใหญ่ ที่ท่านกล้าจะแหวกธรรมเนียมปัจจุบันนี้ให้มีความต่างออกไป
*************************

              แต่ให้เป็นไปตมหลักธรรมวินัย ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปฏิบัติในสาราณียธรรม
              เมตตาต่อกันด้วยกาย
              เมตตาต่อกันด้วยวาจา
              เมตตาต่อกันด้วยใจ
              แบ่งปันลาภผลให้แก่ผู้อื่น เป็นต้น
              ถ้าหากว่าสามารถทำได้ ศาสนาอื่นจะล้มศาสนาของเรายาก
              แต่ถ้ายังปล่อยให้ต่างคนต่างทำ หรือว่าทำเป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ อยู่ ก็จะเป็นอะไรที่เหมือนกับไม้ รวมกันแล้วเป็นมัดเล็กอยู่ ก็ยังมีโอกาสโดนหักทิ้งได้แต่ถ้ารวมเป็นมัดใหญ่ด้ ต่อให้เขาออกแรงเท่าไรก็หักไม่ลง”
*************************

              “พอไปอ่านหนังสือของท่านแล้ว นอกจากชื่นชมในความเสียสละของคณะศิษย์ที่ช่วยกันค้นคว้า ช่วยกันพิมพ์ ช่วยกันแจกจ่าย เพื่อส่งเสริมเชิดชูความดีของครูบาอาจารย์แล้ว ก็ยังมองเห็นความสามัคคีในหมู่คณะของท่านทั้งหลายว่าเหนียวแน่นมาก ๆ
              เรื่องพวกนี้ปัจจุบันอาตมาพยายามทำอยู่ แต่ก็ได้แค่กำลังเฉพาะตัว อยู่ในลักษณะว่าเป็นวงแคบ ๆ ก่อน
              ถ้าต่างคนต่างค้ำจุนกันจนยืนหยัดได้แล้ว ดี๋ยววงก็ขยายกว้างออกไปเอง
              หรือถ้าไม่สามารถขยายให้กว้างออกไปกว่านี้ได้ ในสมัยที่เราอยู่ ก็ทำเป็นตัวอย่างให้เขาก็แล้วกัน นาน ๆ ไปพอมีคนเห็นดีด้วย เดี๋ยวเขาก็ทำตามกันเอง”
*************************

              “รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจเรานา
              เพราะฉะนั้น...การอ่านประวัติหลวงปู่หลวงพ่อ ที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีคุณความดี เป็นที่เคารพนับถือของคนหมู่มากแล้ว ทำให้เกิดความอยากที่จะเดินตามรอยของท่านทั้งหลายเหล่านั้น
              ความจริงหนังสือเหล่านี้ ควรจะสนับสนุนให้มีมาก ๆ เข้าไว้ แต่บางทีระบบต่าง ๆ ตลอดจนการค้า กลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นไปเสีย
              อาตมาเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๑ สมัยก่อนเขาย่อว่า ม.ศ. สมัยนี้เหลือแค่ ม. ตอนนั้นได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่น ที่หลวงตามหาบัวเขียนขึ้นมาครั้งแรก
              อ่านรวดเดียวไม่ยอมกินข้าว ต้องอ่านให้จบก่อน อ่านเสร็จแล้วปฏิญาณตนเลยว่า ถ้าอาตมาจะบวช ต้องมีครูบาอาจารย์อย่างนี้
              พอดีที่บ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน ซึ่งเป็นสายธรรมยุติอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีวัตรการปฏิบัติที่ค่อนข้างเคร่งครัด คนเห็นก็เกิดความเลื่อมใสได้ง่าย เวลามีงานท่านก็ไปช่วยเหลือกัน
*************************

              พออาตมาเรียนจบ ม.ศ. ๓ ในสมัยนั้น เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานปรากฎว่าโยมแม่เคารพนับถือในตัว หลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรรมมงคล สุขุมวิทซอย ๑๐๑
              อาตมาก็ตามโยมแม่ไปวัด ที่วัดธรรมมงคลจะมีงานสวดลักขี ก็คือสวด อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๑ แสนจบทุกปี
              คำว่า ลักขี หรือ ลักขัง ภาษาบาลีแปลว่า หนึ่งแสน จะใช้คำว่า สะตะสะหัสสา ก็ได้ แต่ว่าศัพท์บาลีตัวนี้จะมีศัพท์เฉพาะต่างหาก คือลักขัง
              เพราะฉะนั้น...ในทำเนียบสมณศักดิ์ จะมีพระครูปราการลักษาภิบาล ลักษา ล.ลิงเลย แต่คนที่ไม่เข้าใจชื่อนี้ จะพยายามพิมพ์เป็นปราการรักษาให้ได้
              เพราะว่าปราการ ก็คือกำแพง
              รักษา ตามความหมายของเขาคือ ดูแล
              ตำแหน่งนี้เป็นตแหน่งเจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน ปราการลักษา เขาบอกตรง ๆ เลยว่า กำแพงแสน
              เพราะว่าปราการ ก็คือกำแพง
              ลักษา หรือลักขา ก็คือแสน
*************************

              เมื่อมีพิธัสวดลักขี และบวชชีพราหมณ์หมื่นรูป โยมแม่ก็ไปบวชเป็นประจำ ปีละ ๑๐ วัน อาตมาตามไปดูแลแม่ จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ไปดูแลอะไรหรอก แค่ตามไปเป็นเพื่อน
              ด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่น วิ่งง่ายใช้สะดวก หลวงปู่หลวงพ่อสาย หลวงปู่มั่นท่านมารวมกันอยู่ บางทีเป็นร้อยรูป อย่างน้อยก็ ๕๐ - ๖๐ รูป ท่านก็เรียกใช้งาน
              สมัยนั้นครูบาอาจารย์ที่ท่านมีชื่อเสียงคับบ้านคับเมือง อย่างหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่อ่อน หลวงปู่บัว ไม่ใช่หลวงตามหาบัว
              พอท่านเรียกใช้ไปเรียกใช้มา เกิดความสนิทชิดใกล้ไปเรื่อย ๆ อาตมาก็ถามนั่นถามนี่ ศึกษาการปฏิบัติของท่าน ชอบใจอยู่ ...แต่แปลก ๆ อย่างไรไม่รู้
              แปลกตรงที่ว่า อาตมาไม่คุ้นชินกับระบบของท่าน ก็คือระบบของท่านเหมือนกับว่า ชี้ให้ดูว่าข้าวสารอยู่ในถัง ผักอยู่ในสวน ไปหุงเอา ไปเก็บมาผัดมาต้มมาแกงเอา เป็นในลักษณะที่บอกว่าให้ไปทำเอา ให้ไปภาวนาเอา ไม่ได้สอนอะไรมากมาย
              อาตมาก็...เฮ้อ...ทำแบบไหนวะ ?
              ภาวนาก็ได้ แต่ทำแบบไหนล่ะ ?
              ต้องมางมโข่งกันเอง ทั้ง ๆ ที่เคารพเลื่อมใสท่านสุดจิตสุดใจ แต่ว่าแนวการปฏิบัติจะว่าไป ก็ยังขัด ๆ กับความรู้สึกของตัวเองอยู่
*************************

              ปี ๒๕๑๘ โยมพ่อเสียชีวิตลง พี่ชายเอาคู่มือการปฏิบัติกรรมฐาน เล่มแรกที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเขียนมาให้ บอกว่า “เอาไปอ่านดู ถ้าทำได้ก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่าพ่อตาย”
              พออ่านแล้วรู้สึกทึ่งมาก ทำไมหลวงพ่อท่านเขียนอะไรง่ายอย่างนี้ แต่ละขั้นตอนทำได้เลย ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทำเอา
              แม้ว่าจะยังไม่ได้ทิ้งสายพระป่า แต่แนวการปฏิบัติใส่มาทางนี้เต็ม ๆ ไปแล้ว โดยเฉพาะทำตามแต่ละขั้นตอน ก็เป็นไปตามที่ท่านเขียนทั้งหมด เมื่อเป็นดังนั้น ก็เกิดความโน้มเอียงว่า ครูบาอาจารย์แบบนี้แหละที่เราต้องการ
              ปี ๒๕๒๐ เดือนมกราคม เพิ่งจะปีใหม่ได้ไม่กี่วัน หลวงปู่ฝั้นก็มรณภาพ ต่อจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ทางวัดท่าซุงมีงานยกช่อฟ้า ปิดทองฝังลูกนิมิตพระอุโบสถ ในหลวงเสด็จพอดี
              จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต เปลี่ยนจากสายวัดป่า เลี้ยวมาเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงเต็ม ๆ เลย
              ตั้งแต่นั้นมา สายวัดป่าก็เป็นส่วนประกอบของชีวิตไป พอถึงเวลาก็ยังคงไปเป็นเพื่อนแม่อยู่ ไปร่วมสวดมนต์ไหว้พระตามเขา แต่แนวการภาวนาทำตามวัดท่าซุงเต็ม ๆ
*************************

              ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็คือ แต่ละคนมีความชอบในการปฏิบัติไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าแยกแยะเป็นแนวใหญ่ ๆ ไว้ ๔ แนว
              สุกขวิปัสสโก เป็นแนวที่ยากที่สุด ต้องอาศัยศรัทธาเป็นอย่างมาก ความเพียรเป็นอย่างมาก ความอดทนเป็นอย่างมาก
              เหมือนกับเป็นสายที่ปิดตาเดิน ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย พากเพียรปฏิบัติไปอย่างเดียว จนเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่ง ถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองทำมาถูก และมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย
*************************

              สายที่ ๒ เป็นเตวิชโช มีความรู้ ๓ ประการ ได้แก่
              การระลึกชาติได้ เห็นความทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด
              รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน แล้วตายแล้วไปไหน ก็จะเห็นว่าทำดีทำชั่วแล้วจะส่งผลอย่างไร
              รู้วิธีทำกิเลสให้สิ้นไป ตรงนี้สำคัญที่สุด
              ในเมื่อเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด
              มั่นใจว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่ ก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำ เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์นั้น

              สายนี้จะมีทิพจักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ แต่ว่าต้องอาศัยบารมีพระเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นการรู้เห็นจะไม่ชัดเจน
*************************

              สายที่ ๓ ฉฬภิญโญ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า อภิญญา ๖
              สายนี้ค่อนข้างที่จะโลดโผนหน่อย มีทิพโสต ทิพจักษุ และอาสวักขยญาณ คือการทำกิเลสให้สิ้นไปเหมือนกัน
              สายนี้ต้องเล่นกสิณ โดยเฉพาะกสิณ ๑๐ เป็นหลัก ก็จะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ เดินน้ำ ดำดิน แต่น่าเสียดายที่มีส่วนหนึ่งมัวแต่เพลิดเพลินอยู่ เลยทำให้เสียประโยชน์ ไม่เข้าถึงธรรมที่แท้จริง
*************************

              พอไปสายสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งไว้ คือ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
              นอกจากมีความสามารถครบคลุม ๓ สายที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีความสามารถพิเศษอีก ๔ อย่างคือ
              อัตถปฏิสัมภิทา รู้เหตุทั้งหมด อะไรเกิดขึ้นอย่างไร
              ธัมมปฏิสัมภิทา รู้ผลทั้งหมด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดมาจากอะไร สืบสาวไปได้หมด
              นิรุกติปฏิสัมภิทา เข้าใจภาษาทั้งหมด ทั้งภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษาของโลกทิพย์ และปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปัญญาเฉียบคม ว่องไวเป็นพิเศษ อธิบายของยากให้ง่าย อธิบายของสั้นให้ยาว อธิบายของยาวให้สั้น ย่อได้ขยายได้ มีปฏิภาณแจ่มใส ใครก็ต้อนไม่จน สายนี้อาศัยกสิณเป็นหลัก แล้วก็บอกอรูปฌาน ๔
*************************

              ถ้าจะกล่าวต่อไป ก็แยกออกในลักษณะว่า ใครชอบกรรมฐานหมวดไหน มี
              กสิณ ๑๐
              อนุสติ ๑๐
              อสุภกรรมฐาน ๑๐
              พรหมวิหาร ๔
              อรูปฌาน ๔
              จตุธาตุววัฏฐาน ๑
              อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ เป็นต้น
              ขึ้นอยู่กับความชอบเฉพาะตัว ว่ากันคร่าว ๆ ก็ปไป ๔๐ อย่างแล้ว
              แต่ความจริงแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมาทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าหากว่าผู้ใดตั้งใจฟัง พิจารณาในเนื้อความ สามารถเข้าถึงธรรมได้ทั้งสิ้น
              แม้กระทั่งชาดกที่เราเห็นเป็นเหมือนนิทาน บุคคลที่มีปัญญาก็จะเห็นว่า แม้กระทั่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ก็ต้องทนทุกข์เวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้จบ ส่วนตัวเราจะพ้นไปได้อย่างไร ?
              ก็เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความอยากที่จะเกิดมาอีก กำลังใจตัดขาดลงได้ ก็กลายเป็นพระอริยเจ้าไป”
*************************

              “เท่าที่อ่านพระไตรปิฎกมา มีสามัญญผลสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์แล้ว ไม่มีบุคคลได้มรรคผล เพราะว่าเทศน์โปรดพระเจ้าอชาตศัตรูที่จิตใจวุ่นวาย เครียดที่ตัวเองทำปิตุฆาต คือฆ่าพ่อ แย่งชิงพระราชสมบัติ
              พระพุทธเจ้าได้สร้างความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ให้เกิดขึ้นแก่พระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยปวารณาอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา จนกระทั่งเป็นผู้สนับสนุนการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑
              ถ้าจะเอาเรื่องของมรรคผล สามัญญผลสูตร เป็นพระสูตรที่เทศน์แล้วไม่มีผู้ได้มรรคผล แต่ว่าทำให้เกิดความเลื่อมใส ปฏิญาณตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
              ส่วนพระสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์แล้ว มีผู้ได้มรรคผลมากที่สุด ก็น่าจะเป็น พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
              เทศน์แล้วพรหมเทวดาบรรลุมรรคผล ๘๐ โกฏิ ถ้าเอาตัวเลขตามหลักบาลี คือ ๘๐๐ ล้าน เพราะ ๑๐ ล้านเท่ากับ ๑ โกฏิ
*************************

              สมัยก่อนเขาถือว่าพระอภิธรรมเป็นคำสอนที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้น...จึงมีการสวดสาธยายพระอภิธรรม ในงานขึ้นบ้านใหม่ ในงานแต่งงานในงานมงคลอื่น ๆ
              แต่พอมาระยะหลัง เอาพระอภิธรรมไปสวดในงานอวมงคล ก็คืองานศพ ทำให้เกิดพวกจิตอ่อน กลัวว่าถ้าเอามาสวดสาธยายในงานมงคลแล้วจะทำให้ไม่ดี
              จึงต้องมีการเปลี่ยนมาสวดสาธยาย ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนานในงานมงคล
              แล้วก็ไปสวดสาธยายพระอภิธรรม ในงานอวมงคล หรืองานศพแทน
              จากของดี แต่เพราะความเชื่อของคน ทำให้กลายเป็นของไม่ดีไปได้”
*************************

              “แม้กระทั่งในเรื่องของความเชื่อของพระที่บิณฑบาต ถ้าไปบิณฑบาต ๔ รูป เขาถือว่าไปสวดศพ บางบ้านไล่เลย หารู้ไม่ว่า ๔ รูปครบสังฆทานพอดี ทิ้งบุญใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย
              อย่างที่วัดท่าขนุนก็จะกำชับเหมือนกัน ถ้าหากว่าสายไหนไปบิณฑบาตน้อย ให้พยายามไป ๕ รูปไว้ เกิน ๔ เอาไว้ก่อน มากเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าลง ๔ พอดี ให้ตัดหางแถวไปสายอื่น ให้เหลือ ๓ ไว้โยมเสียประโยชน์ก็ช่าง ดีกว่าพระอดข้าว...!
              เขาถือจริง ๆ บางบ้านไล่เลย “นิมนต์ข้างหน้าเจ้าค่ะ” เรียบร้อยเลย...ถ้าเจอบ้านที่ไม่ถือก็แล้วไป”
*************************

      ถาม :  เวลามีคนคิดถึงท่าน ท่านจะรู้หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ระยะหลังนี้ขี้เกียจรู้แล้ว รู้แล้วเบื่อ...ส่วนใหญ่ก็เอะอะโวยวายจะให้ช่วยอย่างเดียว
              ระยะหลังที่ต้องปิดสวิทซ์อยู่เรื่อย เพราะว่าแต่ละคนคิดถึงแล้ว มีแต่เรื่องจะให้อาตมาเดือดร้อนทั้งนั้น
*************************

              “ดินฟ้าอากาศค่อนข้างจะวิปริต ถ้าไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย นอกจากจะต้องรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายแล้ว กำลังใจก็ต้องออกด้วย
              ถ้าสามารถปฏิบัติภาวนา ให้อารมณ์ใจทรงตัวสักระดับปฐมฌานละเอียด โรคภัยไข้เจ็บทั่ว ๆ ไป ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากโรคที่มาจากกฎของกรรมจริง ๆ ประเภทตมทวงไม่เลิก
              เข้าใจว่าไม่ใช่กรรมหนักจริง ๆ การปฏิบัติสมาธิภาวนา สามรถช่วยรักษาโรคส่วนใหญ่ได้”
*************************

              “เรื่องของอาหารการกินนั้น ญาติโยมมักจะเอาถวายอาตมา แล้วก็ไปถวายถึงกุฏิที่พัก ซึ่งจะถูกลืมจนหมดอายุไปอยู่เสมอ ๆ
              อาตมาเป็นคนไม่มีวาสนาในเรื่องกิน เมื่อก่อนบ้านมีฐานะยากจนกับข้าวบนโต๊ะมีมากที่สุดแค่ ๓ อย่าง เพราะฉะนั้น...ถ้าเห็นกับข้าวเยอะ ๆ ไม่ได้หรอก เห็นแล้วคอหอยตัน อิ่มไปเยอะ
*************************

              วันก่อนไปงานฉลองกุฏิของพระครูวิริยกาญจนาภรณ์ หรือหลวงพ่อชาลี งานนั้น ท่านเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี เป็นประธาน
              ตอนฉันเพลก็นั่งฉันวงเดียวกับท่าน บนโต๊ะมีแกงหยวกกล้วยอยู่ ๑ ถ้วย ท่านอาจารย์ชาลีก็คว้ามาตักเข้าปาก
              “ขอกินระลึกความหลังหน่อยเถอะ สมัยก่อนที่บ้านจน แม่ก็แกงแต่หยวกกล้วยอย่างนี้แหละ”
              ท่านเจ้าคุณโสภณฯ ก็คว้ามาตักบ้าง แล้วก็ส่งต่อมาที่อาตมา
              “อาจารย์เล็กว่าบ้างสิ” อาตมาก็ตักมาฉันเพื่อระลึกความหลังบ้าง
              ท่านบอกว่า “อือม์...บางทีของกินบางอย่างก็ทำให้ระลึกชาติได้เหมือนกัน”
*************************

              ท่านเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์เล่าว่า ตอนนั้นท่านไปเรียนปริญญาโทที่อินเดีย จนกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ โยมแม่มาเยี่ยมที่วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) เอาแย้มาให้เกือบ ๓๐ ตัว แย้ตัวเป็น ๆ เลย...!
              ท่านก็คิดว่า “ตายละวา...จะทำอย่างไรดี ?”
              แม่ก็อุตส่าห์อยู่ค้างคืนด้วย ท่านจึงแอบ ๆ เอาแย้ไปปล่อย พอ ๒ - ๓ วันผ่านไป แม่ก็มาดู เห็นกรงว่างไปแล้ว คิดว่าลูกพระชอบ ก็ไปเอามาใหม่อีก
              ท่านว่าจะทำอย่างไรดี ?
              ถ้าบอกแม่ว่าไม่กินแล้ว เดี๋ยวจะโดนด่า ว่าจบนอกมาก็เลยหัวสูง
              แต่ถ้าบอกว่า พระกินของอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่ายังเป็น ๆ อยู่ เดี๋ยวแม่ก็จะไปทุบมาให้อีก
              ท่านจึงตัดสินใจยอมทำลายน้ำใจแม่ บอกว่า “แม่...ของอย่างนี้ลูกไม่กินแล้วนะ”
              บางอย่างเหมือนกับตลก แต่หัวเราะไม่ออก ด้วยความรักของแม่ รู้ว่าลูกเคยชอบอะไร ก็ไปหาอย่างนั้นมา แล้วแย้จับง่าย ๆ เสียที่ไหนเล่า
              ใครที่ไม่เคยเป็นเด็กล่าแย้มาก่อนไม่รู้หรอก เจ้าพวกนี้ถ้าวิ่งเรามองแทบไม่ทัน ไวสุดยอดเลย แย้เป็นสัตว์ที่ประหลาดมาก จะวิ่งเลยรูไปช่วงตัวหนึ่งก่อน แล้วหักเลี้ยว ๑๘๐ องศาเข้ารู ศัตรูจะถลำเลยไปทุกที
              เพราะฉะนั้น..ใครไปเยี่ยมลูกพระ ก็อย่าเอาแย้เป็น ๆ ไปแบบนั้นนะ อย่างไรก็ปิ้งไปให้เสร็จสรรพก่อน...!”
*************************

      ถาม :  การฝึกลมปราณ ?
      ตอบ :  เวลาเราหายใจ จะมีพลังขุมหนึ่งวิ่งจากจุดศูนย์ที่สะดือขึ้นมาที่คอหอย แต่เราอย่าให้พลังนั้นขึ้นมา
              ใช้วิธีกดกำลังนั้นลง พอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้ว เราต้องทำอาการเหมือนกับการกลั้นปัสสาวะ
              กำลังขุมนั้นจะวิ่งผ่านสะพานดิน ไปที่กระดูกสันหลัง วิ่งแนบแนวกระดูกสันหลังเป็น ๒ สาย ถึงท้ายทอย ไปที่ศีรษะ แล้วลงมาทางด้านหน้า ผ่านตา ๒ ข้างลงมา แล้วก็รวมกันไปที่คอหอย กลับลงไปที่จุดศูนย์อีกครั้งหนึ่ง
              พอช่วงหายใจใหม่ เราก็ดันลงไปอีก ทำอาการเหมือนเดิม ให้หมุนรอบไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  ต้องสัมพันธ์กับลมหายใจไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่…คนละจังหวะกัน
              บางคนถ้าหากว่าทำได้นี่ เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถหมุนวนได้ ๒๐ - ๓๐ รอบ อย่าไปเร่ง เราค่อย ๆ ทำไป ชั่วลมหายใจ ทำได้ครึ่งรอบอะไร เราก็เอาแค่นั้น แต่ให้ซ้อมไว้บ่อย ๆ
              จากสะดือพอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้ว ทำอาการเหมือนเรากลั้นปัสสาวะ จะทำให้กำลังวิ่งผ่านไปที่กระดูกก้นกบด้านหลัง แล้วจะผ่านสันหลังวิ่งขึ้นมาเป็นเส้นคู่ขึ้นมา
              พอผ่านโหนกแก้มลงมา ก็จะเริ่มรวมเป็นสายเดียว กลับลงทางด้านหน้าสู่จุดศูนย์เหมือนเดิม พอเลิกทำ ให้หายใจลึก ๆ ดึงพลังกลับไปรวมที่จุดศูนย์ทุกครั้ง
      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  อยู่ที่เรา ว่าเราปรับเข้าตัวเราได้หรือเปล่า ถ้าปรับเข้ากับตัวเราได้แล้ว เราหมั่นทบทวนฝึก ก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปเอง
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  ใช้การภาวนาแทน ถ้าเราภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัว ถึงระดับรู้ลมหายใจด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปบังคับ โรคพวกนี้จะหายหมด
              จริง ๆ แล้วกำลังไม่สูงมาก ประมาณปฐมฌานละเอียด เพียงแต่ว่าตอนที่เราภาวนา ให้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเฉย ๆ จะเป็นฌานหรือไม่ เป็นสมาธิหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ
              แต่ถ้าหากว่าอารมณ์ใจทรงตัวถึงขนาดนั้น จะรู้ลมเองโดยอัตโนมัติ รู้คำภาวนาโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับก็รู้ เราแค่เอาสติประคองไว้ ถ้าทำอย่างนั้นได้ โรคเครียดทุกอย่างจะหายหมด
*************************

      ถาม :  ขอยารักษาโรคไอเรื้อรังครับ ?
      ตอบ :  เอาตำราจีนไหม ? อร่อยดี...
              มีไข่ ๑ ฟอง เคาะใส่ภาชนะอะไรก็ได้ที่ใส่ไมโครเวฟได้ และน้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือ ตำละเอียดแล้วโรยลงไป แล้วก็ใบชา ๑ หยิบมือโรยลงไป นึ่งสุกแล้วกินให้หมด
              แค่นี้แหละ...อร่อยดีด้วย ถึงไม่หายก็อร่อย
*************************

      ถาม :  ไปปล่อยปลามาแล้วไม่หายครับ ?
      ตอบ :  โรคต้องรักษา ไม่ใช่ไปปล่อยปลาแล้วโรคหาย ไม่อย่างนั้นโรงพยาบาลก็เจ๊งสิวะ...!
*************************

      ถาม :  ขอทวนเรื่องยาแก้ไออีกรอบครับ ?
      ตอบ :  ไข่ ๑ ฟอง น้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือ ใบชา ๑ หยิบมือ ถามอีกที เจอเตะ...!
              เข้าใจแล้วว่าทำไมหลวงปู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ถึงอยากให้อาตมาไปนักหนา เพราะท่านบอกคาถายาวคาถาสั้นขนาดไหนอาตมาจำได้หมด ขณะที่คนอื่นย้ำแล้วย้ำอีก ไม่จำสักที
              ท่านบอกคนที่ไปหาท่านคนหนึ่งว่า “มึงกำลังมีเคราะห์ร้าย ให้เอาพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว ไปถวายพระในวันพฤหัสบดี แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร”
              แค่นี้เขาจำไม่ได้ ถามท่าน ๓ - ๔ ครั้ง จนกระทั่งท่านง้างตีนรอแล้ว ...!
              ส่วนอาตมา หลวงปู่บอกว่า “เออ...ไอ้หนูมานี่ลูก มึงเอาคาถานี้ไปใช้นะ
              อะระหังพันเกสา ภะคะวากันอาวุธ พระพุทธโธอุด พระธัมโมอุด พระสังโฆอุด พระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระพุทธโธ พระธรรมเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระธัมโม พระสังฆเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระสังโฆ อุดธัง อัดโธ นะโมพุทธายะ”

              แล้วท่านก็เขกหัวให้เปรี้ยงสนั่นเลย...!
              ปกติถ้าคนตั้งใจจำ โดนเขกกบาลขนาดนั้นจะลืมหมด อาตมาก็ทวนให้ท่านฟังอีกที
              ท่านบอก “เออ...ใช้ได้”
              ความจำต่างกันได้ขนาดนั้น
              อาตมาเองก็สงสัยว่า ทำไมไปทีไรได้ทุกที คงเป็นเพราะท่านบอกแล้ว อาตมาจำได้ ท่านก็เลยให้อยู่เรื่อย ๆ วิธีประสิทธิ์ประสาทของท่านนี่ไม่ไหว เขกทีกะโหลกบวม มือหนักเป็นบ้าเลย...!
              แต่เวลาที่กรรมบัง ต่อให้เก่งแค่ไหนก็โดน บอกแล้วว่า
              “อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบาก”
              อยู่ ๆ อาตมาก็ไปเจอหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าขาหัก ท่านกำลังเสกน้ำมันมะพร้าว เสกเอง ทาเอง นวดเอง ๗ - ๘ เดือน จึงเดินได้ตามปกติ
              กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ไปโดนอะไรมาครับ ?”
              ท่านบอกว่า “เฮ้อ..โง่ไปหน่อย เวลากรรมบังนี่มันโง่ทุคนเลยว่ะ..!”
              ถามว่าเป็นอย่างไรครับ ?
              ท่านตอบว่า “เขานิมนต์ไปงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต ข้าเดินไปถึงเห็นเขาปูเสื่อไว้ ข้าก็นึกว่าเขาปูให้ข้านั่ง เดินเข้าไปผลุบเดียวหล่นลงไปในหลุมลูกนิมิตเลย”
              เขาปิดหลุมลูกนิมิตไว้ ท่านตกไปขาหักเลย แต่ท่านก็เก่งนะเสกน้ำมันนวดเองทาเองอยู่หลายเดือน จึงเดินได้ตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นท่านก็อายุได้ ๘๐ กว่าแล้ว
              สมัยนั้นถ้าพระวัดท่าซุงจะสึก มีฤกษ์แล้วแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ ก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอให้หลวงปู่ท่านสึกให้
              เพราะฉะนั้น...พระวัดท่าซุงไม่กลัวหรอกเรื่องไม่มีที่สึก หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ ก็ไปวัดปากคลองมะขามเฒ่าแทน
*************************

      ถาม :  สอบถามเรื่องฤกษ์เปิดสำนักงานค่ะ ?
      ตอบ :  ไปดูตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ดีกว่า เปิดงานใหม่ให้เว้นวันศุกร์
              จะเปิดวันไหนก็เปิดไป แต่ว่าวันศุกร์ให้เว้นไว้ ถ้าหากว่าดูตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ได้ก็จะดี
              ถึงเวลาก็อัญเชิญพระพุทธรูปเข้าไป จุดธูปเทียนบูชาพระ ขอบารมีพระ ตลอดจนเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ให้ช่วยสงเคราะห์การการงานให้เจริญรุ่งเรือง หลังจากนั้นเราจะทำบุญอะไรอุทิศให้ท่านก็ว่าไป
      ถาม :  ต้องทำบุญเลี้ยงพระที่นั่นด้วยไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้ามีได้ก็ดี แต่ถ้าหากว่ายุ่งมาก ๆ ก็ใช้วิธีไปถวายสังฆทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านไปเลย
*************************

      ถาม :  ช่วงที่ผ่านมามีความสุขมาก จนออกอาการกระโดดโลดเต้น แล้วก็อยู่นานด้วย ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรคะ ?
      ตอบ :  ความจริงต้องดูย้อนกลับไปว่า เราคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นตัวต้นเหตุให้เราเป็นอย่างนี้
              ถ้าหากว่าเราดูย้อนหลังไปไม่เป็น เราก็จะไม่รู้ว่ามาจากไหน พอความสุขหมดไป เราก็ไม่รู้ว่าจะสร้างใหม่ได้อย่างไร
              เพราะฉะนั้น...กลับไปทบทวนดูว่า ตั้งแต่ก่อนช่วงที่จะเป็น เราคิดพูด ทำอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน
              ความจริงรักษาให้ดี จะกระโดดโลดเต้นอย่างไรไม่มีใครเขาว่าหรอก ไปแบ่งความสุขให้คนอื่นเขาเยอะ ๆ หน่อย
              มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่อาตมาฝึกพรหมวิหาร ๔ พอกำลังทรงตัวนี่ เดินยิ้มคนเดียว...จริง ๆ นะ...ยิ้มกับถนนก็เอา เหมือนกับคนบ้าดี ๆ นี่เอง ไม่มีอะไรให้ยิ้มด้วยก็ยิ้มกับข้างฝา...!
              เพราะฉะนั้น...ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เราต้องไปดูให้เจอว่าเกิดจากอะไร ถึงเวลาก็ทำเหตุนั้นบ่อยๆ ก็จะได้อย่างนี้อีก
      ถาม :  ท่านบอกไม่ได้หรือคะ ?
      ตอบ :  บอกไม่ได้ ต้องย้อนไปดูเอง คิด พูด ทำ อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน พอหาเจอแล้วก็ทำแบบนั้นอีก ก็จะได้อีก ถ้ามีความสุขเยอะ เอามาแบ่งให้อาตมาบ้าง อาตมาจะได้เอาไปไล่แจกชาวบ้าน
*************************

      ถาม :  จะสุขเป็นช่วง ๆ ค่ะ มีอารมณ์ทุกข์อยู่บ้าง เช่น เวลาร่างกายหิวข้าว ?
      ตอบ :  เรื่องปกติ ถ้าเราเอาความสุขนั้นขึ้นมา ก็จะบังสิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งหลายไปได้ชั่วคราว
      ถาม :  ที่มีความสุขมาก เป็นเพระาไม่รับอารมณ์ทางโลกเข้ามาหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าได้อย่างนั้น จะเป็นอารมณ์ที่ดีมาก ให้ทำอย่างนั้นไว้บ่อย ๆ
              เพียงแต่ว่าให้เราดูเรื่องของระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมของแต่ละสถานที่ด้วย เพราะว่าบางอย่างเราไม่สนใจก็จริง แต่อาจจะไปผิดระเบียบเขา ไม่ถูกต้องตามประเพณีของเขา เดี๋ยวคนอื่นเขาจะว่าเอา
              แต่ถ้าหากว่าเรื่องทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องเอามาใส่ใจหรอก โยนทิ้งให้หมด เราไม่ได้แบกไว้ เราก็จะเบา มีความสุขไปเอง
*************************

      ถาม :  มีความสุขมาก สุขเหมือนสวรรค์เลยค่ะ ?
      ตอบ :  ความจริงสุขเกินนั้นอีก ไม่มีอะไรหรอก ให้เข้าถึงจริง ๆ ได้ ต่อไปอะไร ๆ ก็ไม่อยากได้แล้ว เพราะเราเห็นแล้วว่าความสุขจริง ๆ เป็นอย่างไร
              คนที่โดนไฟ รัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับลงไปได้ด้วยอำนาจของสมาธิที่กดไว้ก็ดี หรือด้วยปัญญาปล่อยวางลงได้ก็ดี มีความสุขแบบไหน อธิบาให้คนอื่นฟังไม่ได้หรอก
              คนที่โดนไฟเผา อยู่ ๆ ไฟเลิกเผา อธิบายว่าเป็นความสุขได้ ก็เก่งเกินมนุษย์มนาแล้ว แต่เรารู้ว่าเรามีความสุข
              เมื่อครูอาตมาสรุปผิดหรือเปล่าไม่รู้ ที่บอกว่า “ไม่มาหาหลวงพ่อหลายปี เลยมีความสุข”
*************************

      ถาม :  หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ว่าเพี้ยนไปหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เป็นการเพี้ยนที่ดี ขอให้เพี้ยนไปได้นาน ๆ
      ถาม :  ช่วงนั้นไม่ได้สวดมนต์ ไม่ได้นั่งสมาธิ ตรงข้ามกับช่วงที่เจอทุกข์ จะสวดมนต์ไปร้องไห้ไป นั่งสมาธิภาวนาเต็มที่ แต่ว่าตอนมีความสุข ไม่ได้ทำความดีอะไรเลย ?
      ตอบ :  คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมเทวดา นางฟ้า พรหม เขาถึงหลุดพ้นไม่ได้ ?
              เพราะว่าเวลาสุขแล้วก็เพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น ลืมทำความดี ในเมื่อเรามีบทเรียนแล้ว เห็นด้วยตัวเองแล้ว ตอ่ไปก็พยายามทำความดีให้สม่ำเสมอ
              ให้รู้ว่าความสุขที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่ใช่ของที่เที่ยงแท้ มาได้ก็ไปได้ ความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขจากการหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเท่านั้น
              ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความสุขอย่างแท้จริงแล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานของเราต่อไป ซ้อมไว้ทุกวัน เพราะว่าถ้าเราประมาทเผลอเมื่อไร เดี๋ยวกิเลสตีตาย ถือว่าซ้อมเพื่อเพิ่มความสุขแล้วกัน
      ถาม :  เพราะมีแฟนหรือเปล่า ?
      ตอบ :  มีส่วนเยอะเลย
              ระวังเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ความสุขนั้นเป็นปีติจากสิ่งภายนอกไม่ยั่งยืน พอปัจจัยเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความสุขส่วนนี้ก็หายไป
              ต้องระมัดระวัง พยายามสร้างความสุขที่แท้จริงที่ถาวรให้เกิดขึ้นในใจของเรา อย่างไรก็ขอให้รักไปนาน ๆ นะ
*************************

              มีคนเขาบอกว่า อย่าเปลี่ยนจากแฟนมาเป็นสามี แล้วความสุขจะอยู่ได้นาน เพราะถ้ายังเป็นแฟนอยู่ เขาจะเอาใจเราไปเรื่อย แต่งงานไปเมื่อไร เขาก็เลิกเอาใจแล้ว
              ตอนรักกันนี่ ต่างคนต่างนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเอง เพราะกลัวคนอื่นเขาจะไม่รัก ก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่เห็นจุดบกพร่อง
              พอแต่งงานแล้ว อยู่กันไปนาน ๆ มีความเคยชิน เขาก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องเสนอสิ่งที่ดีอยู่ตลอดเวลา ข้อบกพร่องก็จะเกิดขึ้น ถึงตอนนี้เราก็ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นให้มากขึ้น
              เรื่องของการแต่งงาน จะทำให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้กลับไปประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้อย่างมีสติ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาความทุกข์เข้ามา จะตั้งหลักรับไม่ทัน
      ถาม :  กลัวว่าจะหายไปค่ะ ?
      ตอบ :  วิธีป้องกันก็คือ อย่าทิ้งศีล สมาธิ ปัญญา ทิ้งเมื่อไรเดี๋ยวไม่มีอะไรเป็นหลักยึด
              ตั้งหน้าตั้งตาทำกุศลเข้าไว้ ช่วงกุศลส่งทำให้เรามีความสุข ก็ต้องรีบกอบโกยความดีให้มากที่สุด ถึงเวลาตอนทุกข์ จะได้มีกำลังไปต่อสู้
*************************

      ถาม :  ไม่กล้ามาหาท่านมาก เพราะกลัวแฟนไม่เข้าใจ ?
      ตอบ :  ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาหึงขึ้นมาแล้วจะยุ่งอีก
      ถาม :  ควรอธิบายให้เขาฟังอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องอธิบาย ปล่อยเขาไปก่อน เอาไว้วันร้ายคืนร้าย เดี๋ยวเขาหลงมาเข้าทางนี้เมื่อไร ค่อยชักชวนเขามา ไม่ต้องรีบพามาตอนนี้
      ถาม :  คนรอบข้างมองว่าเราเป็นคนไม่ปกติ ?
      ตอบ :  บอกเขาไปว่าเราบ้า ปล่อยเราไปตามทางของเรา ถ้ามายุ่งกับเราเดี๋ยวจะงับซะ...!
      ถาม :  เขาว่าหน้าตาอย่างนี้ ไม่น่าจะสวดมนต์ได้ ?
      ตอบ :  บอกไปว่าหน้าตาอย่างคุณดันสวดไม่ได้ก็ยุ่งอีก
              ไม่ต้องไปใส่ใจคำพูดคนอื่น กองทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ใช่แต่หนูหรอก อาตมาเองก็โดนเขาว่าบ้าตั้งแต่เร่ิมปฏิบัติแล้ว
      ถาม :  แฟนบอกว่าไม่ต้องไปหาพระมาก ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วถูกของเขา ถ้าตัวเราพึ่งตัวเราเองได้ ต่อไปถึงไม่มีหลวงปู่หลวงพ่อ เราก็อยู่ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องวิ่งไล่หาที่เกาะไปเรื่อย ๆ
              แต่เพื่อความมั่นคง ก็ให้ทำในลักษณะว่า ในแต่ละเดือนท่านมีงานอะไรที่สำคัญ เราก็ไปร่วมงานบ้าง เพียงแต่ว่าอย่าให้ถี่ยิบเหมือนกับสมัยก่อน
*************************

      ถาม :  ที่ทำงานไม่ค่อยให้ลา โดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ เพราะลูกค้ามาก จะแบ่งเวลาไปวัดอย่างไร ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าดูตามความเหมาะสม ถ้าเป็นปีละครั้งต่อให้เป็นวันเสาร์ก็ไปเถอะ แต่ถ้าหากว่าทุกเดือน ก็เว้น ๆ เสียบ้าง
      ถาม :  ถึงเวลาจะไปวัด อย่างไรก็ต้องไป ไม่สนใจที่ทำงานถูกไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเราจะเอาในทางธรรมอย่างเดียวต้องเป็นอย่างนั้น แต่คราวนี้เราอยู่กับโลก ต้องดูความเหมาะสม ความพอเหมาะพอดี
              แต่ถ้าถึงกำหนดที่เราเห็นว่าสมควรจะไป ก็ต้องเด็ดเดี่ยวอย่างนั้น ถึงมีอุปสรรคอย่างไร เราก็จะไป
*************************

      ถาม :  เวลาภาวนาก่อนนอน พุทโธได้แค่ครู่เดียวก็หลับไปเลย เกิดจากอะไรครับ ?
      ตอบ :  แปลว่าสมาธิดีขึ้น ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวถึงระดับปฐมฌานหยาบจะไม่หลับ เพียงแต่ว่าเป็นการหลับแบบขาดสติ
              ควรที่จะนั่งภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว เพื่อข้ามจุดนั้นไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นกี่ปีกี่ชาติก็จะตัดหลับอย่างนั้น แล้วก็เอาไปใช้งานอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
      ถาม :  เมื่อก่อนดีกว่านี้ ตอนนี้รู้สึกว่าแย่ลงครับ ?
      ตอบ :  ในเมื่อวิเคราะห์ตัวเองได้ ก็ทำให้ดีขึ้นสิวะ...!
*************************