ภูมิปัญญาโบราณแต่ละอย่างสืบทอดมาเป็นร้อยเป็นพันปี พอสรุปมาเป็นองค์ความรู้แล้วไม่พลาดเท่าไรหรอก อย่างเรือนไทยโบราณใต้ถุนสูง เพราะบ้านเราพอถึงเวลา น้ำจะหลากมาประจำอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นที่ท่านบอกว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี นั้นชัดเลย ถ้าไม่ผูกไว้ วัวไปกินข้าวนาคนอื่นเขา จะทำให้เจ้าของต้องทะเลาะกัน บางทีถึงฆ่ากันก็มี หรือถ้าปล่อยไปเรื่อย อาจจะโดนขโมยไป
มีลูกถ้าอยากให้ได้ดี ต้องมีการลงโทษ และให้รางวัลไปด้วย ทำดีได้รางวัล ทำไม่ดีได้ไม้เรียว เด็กเขาก็จะรู้เองว่าต้องทำอย่างไร แล้วเมื่อเคยชินก็จะเพาะเป็นนิสัย เลือกทำทำแต่ในสิ่งที่ดี ๆ ไปเอง”
*************************
“ความจริงปีที่ผ่านมา ถ้ายอมให้น้ำท่วมสนามบินสุวรรณภูมิ น้ำจะอยู่ไม่นาน คราวนี้ไม่ยอมให้น้ำท่วมสนามบินสุวรรณภูมิ ไปกักเอาไว้ พอกักเอาไว้ น้ำก็ทะลักมาทางตรงข้าม ก็หาทางลงยาก
อย่าลืมว่าสุวรรณภูมิคือหนองงูเห่า เป็นหนองน้ำ เป็นพื้นที่รับน้ำใหญ่โตมโหฬาร ในเมื่อน้ำลงที่ต่ำไม่ได้ ก็สะสมตัวมากขึ้น ๆ ล้นไปตามที่สูง คนที่ไม่เคยท่วมก็โดนท่วม ไม่ใช่ว่าไม่รู้...รู้ แต่ถือว่าเอาจุดที่สำคัญที่สุดไว้ก่อน คือรักษาสนามบินเอาไว้
ความจริงถ้าไม่กั้นเลย ใช้แบบโบราณก็ท่วมไม่กี่วันหรอก เพราะว่าน้ำดาหน้ามาพร้อม ๆ กัน อย่างเก่งก็สักครึ่งแข้ง ท่วมโดยทั่วหน้ากันทั้งในทั้งนอก เดี๋ยวก็ลงทะเลไปหมดแล้ว
แต่เราไปกักเอาไว้ พอไปกักเอาไว้ปริมาณก็สูงขึ้น ๆ จนคนกั้นน้ำเอาไม่อยู่ พังมาตูมเดียวก็เรียบร้อย นิคมอุตสาหกรรมยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เอาไม่อยู่
เป็นการวางแผนจัดการที่ผิดพลาด แต่โทษใครไม่ได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาแล้งจัด พอน้ำมาก็ต้องรีบเก็บ ปรากฎว่าพอเก็บน้ำได้ตามปริมาณระดับที่ตัวเองต้องการ อยู่ ๆ พายุก็พรวดพราดเข้ามา ๓ - ๔ ลูกติด ๆ กัน
พอน้ำจะเกินระดับ ก็ต้องทำการพร่องน้ำตามหลักวิชาของเขา ก็คือระบายน้ำออก แต่พอเขื่อนใหญ่ ๆ ระบยลงมา ๓ - ๔ เขื่อนพร้อม ๆ กัน กรุงเทพฯ ก็ท่วมเรียบร้อย
มาปีนี้เห็นไหม ? เขารีบเททิ้งตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะชักเข็ดแล้ว ถ้าตอนปลายปีแล้งขึ้นมา คราวนี้ก็น้ำตาเล็ดเลย..”
*************************
ถาม : พายุสุริยะ ?
ตอบ : เกิดเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะมี่วงที่ปะทุหนักอยู่ อย่างไรก็เกิดแน่ ๆ
ถ้าหากว่าใครเก็บข้อมูลต่าง ๆ ลงแถบแม่เหล็กหรือคอมพิวเตอร์ ก็ต้องระวังผลกระทบพวกนี้อยู่เหมือนกัน เพราะว่าถ้าวูบมาทีหนัก ๆ ก็เท่ากับล้างข้อมูลเกลี้ยงเลย
ถาม : ควรเก็บแฟลชไดร์ฟไว้ที่ไหน ?
ตอบ : เอาไว้ที่ไหนก็โดน อย่าลืมว่าเป็นการจัดเรียงด้วยระบบไฟฟ้า พายุสุริยะเป็นโคตรไฟฟ้าเลย
ต้องติดตามข่าวทางขั้วโลก ถ้าขั้วโลกเหนือเกิดแสงออโรร่ามากเป็นพิเศษ แสดงว่ากำลังพายุแรงมาก เพราะว่าแสงออโรร่าเกิดจากพายุ สุริยะปะทะกับขั้วแม่เหล็กโลก แล้วก็เกิดเป็นสารพัดสีขึ้นมา ดูแสงแล้วก็เพลิน ๆ ดีเหมือนกัน
*************************
ตอนที่อยู่เกาะพระฤๅษี มีฟ้าผ่าห่างไปประมาณ ๔ กิโลเมตร แต่กำล้งไฟฟ้าที่วิ่งผ่านมา ทำให้เสาอากาศวิทยุของหน่วยป่าไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ละลายขนาดประมาณนิ้วชี้ พลาสติกหุ้มสายละลายลงมา เหลือแต่โลหะล้วน ๆ เลย
ส่วนที่เกาะพระฤๅษี สายไฟในโรงครัวก็ละลาย ฟิวส์ละลายหมดเลย ไม่รู้ว่าเข้าไปทางไหนได้ คาดว่าไฟฟ้าปริมาณมหาศาลที่ผ่าตูมลงมาไปถึงไหนก็จะแทรกเข้าไปทุกจุด
ต้องยอมรับว่าสภาพจิตของเราถึงเวลารู้ก็รู้จริง ๆ อาตมานอนอยู่ พอฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางดึก...ไฟช็อต เห็นหมดเลยว่าอยู่ตรงไหนบ้าง พอวิ่งไปดู ก็เป็นตามที่เห็นหมดเลย อะไรจะรู้ปานนั้น...?
แต่ตอนเห็นด้วยจิตนั้น เห็นแบบสว่าง ๆ เหมือนตอนกลางวัน แต่พอไปดูต้องเอาไฟฉายไป...สภาพจิตที่ฝึกมาดีแล้ว พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า
สุทันตา เยวะ อิทธิยา ผู้ฝึกตนดีแล้ว ย่อมเป็นผู้มีฤทธิ์
อาตมาเป็นคนขี้สงสัย พอเห็นก็คว้าไฟฉายออกไปดูเดี๋ยวนั้นเลย ไปไล่ดูทีละแห่งว่าจริงหรือเปล่า ? ตอนออกไปก็ไม่ได้นึกหรอกว่าฟ้าจะผ่าตายหรือเปล่า ? แค่อยากรู้เท่านั้น อยากรู้ว่าที่ตัวเองเห็น ทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่ กับของจริงนั้นเหมือนกันไหม ?
*************************
ถาม : สรรพวิชาที่เป็นสัมมาทิฐิ เราท่องคาถาสหัสสะเนตโตฯ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : จะเป็นวิชาที่เป็นสัมมาทิฐิหรือมิจฉาทิฐิ ก็ท่องได้ทั้งนั้น จะเกิดความคล่องตัวเหมือนกัน
เพราะว่ามิจฉาทิฐิเป็นวิชาฝ่ายต่ำกว่า สัมมาทิฐิเป็นวิชาฝ่ายสูงกว่า ในเมื่อวิชาฝ่ายสูงกว่ายังทำได้ ต่ำกว่าก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าอย่าให้เกินพระอนาคามีไปนะ เพราะว่าเจ้าของคาถาท่านอยู่ที่อรหัตมรรค
ถ้าเกินพระอนาคามีไป จะเอากำลังแบบพระอรหันต์ท่าน บางทีเจ้าของคาถาท่านก็ว่า ขอให้ไปหาคนอื่นเถอะ...!
*************************
“ใครเซ็นลายเซ็นแล้วอ่านยาก อย่าไปเซ็นให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เห็นนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า แกงได ก็คือลายเซ็น ควรที่จะอ่านออก จะได้รู้ว่าใครเป็นใคร
เพราะฉะนั้น...ใครเซ็นแล้วอ่านไม่ออก พระองค์ท่านบอกว่าให้อ่านว่านายหมา ถือว่าเป็นมงคลนามที่ทรงพระราชทานให้...!”
*************************
“ครั้งนี้อาตมาไปสิงคโปร์ จะไปดู แอสโคเซนด้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีใครรู้ข่าวนี้บ้างไหม ? สิงคโปร์ผสมกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ได้ ตั้งชื่อกล้วยไม้พันธุ์นี้เป็นชื่อนายกรัฐมนตรีของไทย
จะว่าไปแล้วสิงคโปร์เขาเอาของที่ตัวเองไม่มีไปทำจนมี เพราะว่าปกติแล้วประเทศเขามีกล้วยไม้ไม่กี่ชนิดหรอก เขาขนไปจากเมืองไทยแทบทั้งนั้น แล้วก็ไปสร้างเป็นโบทานิกการ์เด้น พอทำเสร็จเรียบร้อยก็ผสม ได้พันธุ์ใหม่ออกมาเมื่อไร ก็ตั้งชื่อเท่ ๆ เข้าไว้
ประเทศเราส่วนใหญ่พอพบพันธุ์ใหม่ เราจะใช้ชื่อบุคคลสำคัญมาตั้ง ถ้าเป็นฝรั่งทำ เขาตั้งชื่ออกพระนามเลย เช่น กุหลาบควีนสิริกิติ์ ดอนญ่าควีนสิริกิติ์
แต่ถ้าคนไทยทำ ส่วนใหญ๋ไม่ค่อยเรียกตรง ๆ เช่น โมกราชินี ปูราชินี ลองไปเสิร์ชหากุหลาบควีนสิริกิติ์ดู จะได้รู้ว่าสวยแค่ไหน
*************************
รู้จักดอกยี่สุ่นไหม ?
ดอกยี่สุ่น หรือกุหลาบมอญ ดอกเล็ก ๆ อาตมาเกิดมาในสมัยที่มีดอกยี่สุ่น จึงไม่ได้คิดว่ากุหลาบดอกจะใหญ่ จนกระทั่งโตมาหน่อยหนึ่งก็มาเจอกุหลาบตูมดอกเท่ากำปั้น
ครั้งแรกตอนวัยรุ่นไปเจอที่พระตำหนักภูพิงค์ ดอกตูมแต่ใหญ่เกือบเท่ากำปั้นเราแล้ว ดอกบานจะใหญ่แค่ไหน ? ครั้งนั้นฟิล์มหมดเป็นม้วน ๆ เพราะว่าไล่ถ่ายแต่รูปดอกกุหลาบภูพิงค์
อะไรที่เป็นโครงการหลวง พวกเราจะทุ่มเทกันมาก แล้วออกมาสวย โครงการหลวงที่ดอยอ่างขางมีหญ้าหอมด้วย ปลูกเป็นบันได พอเดินผ่านแล้ว กลิ่นน้ำมันหอมระเหยออกมาด้วย กลิ่นหอมตลบเลย เอามือลูบผ่านกลิ่นก็ติดมือมาด้วย
แล้วก็มีสนเลื้อย ต้นสนไม่ขึ้นตรง ๆ แต่แผ่เลื้อยกับพื้น ที่นั่นมีพันธุ์ไม้อะไรประหลาด ๆ หลายอย่าง”
*************************
สมัยก่อนไปไหนกับแดง (มงคล จอมผา) เดินผ่านต้นไม้นี่เฉาเลย แดงเขาจะดูว่านี่เป็นต้นอะไร ? ราคาเท่าไร ?
ส่วนอาตมาก็ดูว่าต้นอะไร ? กินได้ไหม ?
สรุปแล้วไม่รอดมือสองคนนี้ไปหรอก ถ้ากินไม่ได้ก็ต้องขายได้ พอคู่นี้ไปด้วยกัน เดินผ่านต้นไม้จึงเฉาทันตาเลย...!”
*************************
“มีอยู่ช่วงหนึ่ง เด็ก ๆ เขานิยมพับดาวใส่ขวดมาให้ อาตมาก็คิดว่ากินได้ แกะออกมา ไม่มีอะไรเลย มารู้ทีหลังว่าคืออะไร หลังจากที่แสดงความโง่ไปแล้ว ไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ที่เขาทำอะไรกุ๊กกิ๊กกัน อุตส่าห์แกะดูข้างใน นึกว่าเป็นของกินได้ สรุปว่าไม่รู้เรื่องเอง...!
*************************
“สมัยก่อนงานของวัดท่าซุง จะใช้คณะกลองยาวประยุกต์ของวิทยาลัยครูนครสวรรค์ เขาเอากลองยาวตั้งเป็นฐาน เอาคนต่อขึ้นไปได้ ๓ - ๔ ชั้น แต่คงต้องบอกเพื่อนว่าอย่าเต้นนาน เต้นนานเดี๋ยวฐานทรุด เพราะว่าคนข้างล่างรับไม่ไหว...!
เวลาไปงานคนอื่นเขา ความที่อาตมาไม่เคยชิน ไปเจอเสียงดนตรี เสียงอะไรดัง ๆ บางทีรู้สึกสะเทือนไปทั้งอก รับไม่ค่อยได้ ต้องเผ่นไปไกล ๆ แต่เขาก็นิยมกันจัง
วันก่อนที่วัดบวชลูกชายรองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ก็ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่คนเขารู้จักกันเยอะ ขบวนแห่ทำหน้าที่จนคุ้ม แต่ขอโทษเถอะ..เพลงอุบาทว์เป็นบ้าเลย...!
อาตมาถามพระท่านว่า “นี่คุณรู้ไหมว่าเขาเล่นเพลงอะไร ?”
เขาตอบกันไม่ได้ บางคนบอกว่าเป็นเพลงรุ่นใหม่ อาตมาบอกว่านี่ลาวดวงเดือน พระเขาไม่เชื่อนะ จนกระทั่งเขาใช้บีบีเข้าอินเทอร์เน็ต เปิดลาวดวงเดือนฟัง ถึงได้รู้ว่าใช่
“เออ...ใช่จริง ๆ ด้วย แต่นี่ทำไมจังหวะถึงเร็วอย่างนั้น ?”
อาตมาบอกว่า “ถ้าไม่เร็ว เขาก็เต้นกันไม่ได้”
จึงกลายเป็นเพลงลาวดวงเดือนที่เต้นรำกันได้เพลิดเพลินเจริญใจมาก”
*************************
ถาม : ภาวนาแล้วรู้สึกว่าตัวหลุดออกมา แต่ไม่ใช่จุดที่ทุกทีออก กลายเป็นว่าพอถึงจุดที่ทุกทีออก ตัวก็กลับเข้ามาแล้วค่อยออกไปจริง ๆ อีกที แสดงว่าไม่ได้ออกได้แค่จุดเดียวสิคะ ?
ตอบ : ออกได้สารพัดจุด ถ้าตั้งใจดูจะรู้ว่าออกได้ทุกมุม อย่าไปเสียเวลาเลย ให้ไปได้ก็พอ อาตมาเคยไปนั่งจ้องมาแล้ว จะออกทางไหนหว่า...?
หลวงพี่อาจินต์บอกว่า ของท่านออกทางกระหม่อม หลุดผลัวะออกไปเหมือนอย่างกับเข้าปล่องเลย อาตมาก็พยายามจะดู ไป ๆ มา ๆ ท้ายสุดก็คือไปได้ทุกมุม
สภาพจิตมีความละเอียด กายหยาบของเรานี่หยาบเกินไป ระหว่างอณูของร่างกายที่ต่อ ๆ กัน จนเป็นแท่งทึบที่เราเห็น แต่ว่าในสภาพความละเอียดของจิต รอยต่อนั้นกว้างกว่าประตูเสียอีก จะไปทางไหนก็ไปได้
*************************
“ของที่ทำมาจากงาช้าง ต้องขยันลงน้ำมันบ่อย ๆ งาจะได้ไม่แตก เพราะว่าเวลางาโดนความร้อนแล้วมักจะแตก
สมัยแรก ๆ ที่อาตมาไปพม่า ยังไม่ค่อยมีน้ำมันทานาคา ไปเสียหลายครั้งกว่าจะมีน้ำมันทานาคา ในที่สุดเขาก็สามารถผลิตได้ แสดงว่าเขาก็ก้าวหน้าเหมือนกัน เมื่อได้น้ำมันทานาคาก็ใช้ลงพระพุทธรูปงาช้างเป็นประจำ
แต่ว่าในส่วนที่จะโดนหลอกง่ายที่สุด ก็คือไม้จันทน์ ถ้าเราดูเนื้อไม้ไม้จันทน์จะคล้ายคลึงกับไม้ฝรั่งมากที่สุด ส่วนใหญ่เขาจะเอาไม้ฝรั่งมาแกะพระ หรือว่าทำเป็นประคำ แล้วไปอบกลิ่นไม้จันทน์ให้ติดมา
ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นไม้ฝรั่งหรือเป็นไม้จันทน์ ให้ดูว่าเขาใส่ถุงพลาสติกไว้หรือเปล่า ถ้าใส่ถุงพลาสติกไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ฝรั่ง เพราะถ้าไม่ใส่ถุงพลาสติก กลิ่นจะระเหยหมดไปง่าย
แต่ถ้าไม้จันทน์แท้ คุณทิ้งตากแดดตากฝนไว้อย่างไรก็หอม แต่ก็ไม่ต้องไปว่าเขานะ เราก็เออ ๆ คะ ๆ ไป บอกว่ายังไม่ชอบ ยังไม่อยากได้อะไรก็ว่าไป
ใครที่บูชาพระนาคปรกเนื้อบรอนซ์ไป ทางบริษัทเขาแนะนำมาว่าให้ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช็ดบ่อย ๆพอเช็ดไปเรื่อย ๆ น้ำยาที่เขาเคลือบหลุดออกมาแล้ว จะเงาสวยมาก”
*************************
ถาม : ตั้งใจถวายของสงฆ์ที่ดีที่สุด แต่ซื้อไม่เป็น ไปซื้อของไม่ดีมา แต่ซื้อด้วยราคาของดี อานิสงส์เป็นอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเจตนาเราดี ก็จะได้อานิสงส์ที่ดี แต่คนที่ขายให้เราคงจะซวย...!
*************************
ถาม : พระคาถาเงินล้าน บางท่านก็ขึ้นด้วยนาสังสิโม บางคนก็ขึ้นต้นด้วยสัมปะจิตฉามิ ?
ตอบ : มีเกินดีกว่าขาด ชอบใจตรงไหนก็ขึ้นต้นตรงนั้นแหละ คาถาเขาห้ามสงสัย ให้ทำอย่างเดียว
*************************
ถาม : สังเกตเห็นจิตพุ่งไปข้างบน แล้วก็ลงมาข้างล่าง แต่รู้สึกตัวนะคะ ?
ตอบ : เรื่องของสภาพจิต ไม่ว่าจะไปลักษณะไหนก็ช่าง
ให้สนใจดูแค่ว่า ตอนนั้นอารมณ์จิตมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่หรือเปล่า ?
ถ้าไม่มี ก็ถือว่าใช้ได้
ถ้ามี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ก็รีบขับไล่ออกไปจากใจ
ถ้ามัวแต่ไปดูอาการว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ เผลอ ๆ โดนกิเลสกินตายชัก...!
*************************
“หมอดูที่แม่นที่สุดในประเทศไทยท่านหนึ่งบอกว่า ลายมือคนเปลี่ยนทุก ๑๕ วัน ที่คุณว่าเปลี่ยนทุกอาทิตย์นี่แสดงว่าเร็วเกินไป นอกตำราไปไกลแล้ว
เรื่องของการดูดวง ดูลายมือ เต็มที่ดูได้ประมาณ ๖๐% ขนาดเต็มที่ได้แค่ ๖๐% ก็ยังมีบางท่านดูได้เหมือนตาเห็น บอกได้เลยว่าวันนั้น เวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าหากดูโดยทิพจักขุญาณ ดูได้เต็มที่ไม่เกิน ๘๐% แต่ทิพจักขุญาณผิดง่ายที่สุด
ที่ผิดง่าย เพราะว่าไปปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้มา บางคนเห็นหน้าแล้วไม่ชอบใจ บางคนโดนซักถามมาก ๆ แล้วเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมา
ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยแนะนำว่า ผู้ที่ใช้ทิพจักขุญาณในการดูหมอ อย่าดูต่อหน้าลูกค้า ส่วนใหญ่ลูกค้าพวกนี้ได้คืบจะเอาศอก
ท่านบอกว่า อย่าให้เขาซักถามเฉพาะหน้า การซักถามเฉพาะหน้า ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัว ถึงเวลา รัก โลภโกรธ หลง เกิดขึ้น ทิพจักขุญาณจะเสื่อม...เพี้ยน...ดูแล้วผิดพลาดได้
ท่านแนะนำว่า ให้คนดูทำสมาธิอยู่ในห้องพระ แล้วให้เขาเขียนคำถามเข้ามา จำกัดไว้เลยว่าคนละไม่เกิน ๕ คำถาม เป็นต้น แล้วคิดให้แพงไปเลยนะ ถ้าคิดถูก ๆ เดี๋ยวเขามากวนบ่อย
เรื่องทิพจักขุญาณ ถ้าหากว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องจริง ๆ จะผิดพลาดมากมหาศาลเลย แต่ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้อง จะสามารถดูได้ถึง ๘๐%
แต่ขณะเดียวกัน ๒๐% ที่เหลือ ก็คือพวกกำลังใจเกินมนุษย์ทั่วไป บอกว่าไม่ดีอย่างไรก็ไม่ฟังหรอก ทำจนดีได้ ถ้าประเภทนั้นก็ช่วยไม่ได้”
*************************
“เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ถ้าจะแต่งตั้งต้องผ่านมหาเถรสมาคม ไม่เหมือนกับวัดราษฎร์ทั่วไป
วัดหลวงลำบากตรงที่ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยราชวงศ์ เพราะฉะนั้น...ถ้าตั้งที่ไม่ดีไป เกิดอะไรขึ้นมาจะเสียหายหลายล้าน ไม่ได้เสียแต่พระศาสนา เสียถึงพระมหากษัตริย์ด้วย
ถ้าหากว่าต่างจังหวัด มีการตั้งเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดจะเป็นผู้เสนอ ผ่านผู้บังคับบัญชา คือเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ ขึ้นไปมหาเถรสมาคม
แต่ถ้าหากว่าเจ้าคณะจังหวัดเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงเสียเอง ต้องให้เจ้าคณะภาคเป็นผู้เสนอ ก็คือให้ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปกว่านั้นอีกชั้นหนึ่งเป็นผู้เสนอ ลำบาก...ไม่เหมือนเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ทั่วไป
เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ทั่วไปนี่ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล กับเจ้าอาวาสในเขตนั้น รวมแล้ว ๓ รูปขึ้นไปมีความเห็นตรงกัน ก็ยื่นขึ้นเสนอเจ้าคณะจังหวัดแต่งตั้งได้เลย
ถ้าหากว่าไม่มีรองเจ้าคณะอำเภอ ไม่มีรองเจ้าคณะตำบล ก็ให้เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ คัดเลือกเจ้าอาวาสในเขตปกครองนั้น ๆ ๓ รูป มาร่วมกันเป็นกรรมการ มีความเห็นรวมกันว่าพระรูปไหนสมควรจะเป็นเจ้าอาวาส ก็ให้แต่งตั้งรูปนั้น
จะเห็นได้ว่าตามข้อกฎหมายแล้ว การแต่งตั้งเจ้าอาวาส ไม่ว่าจะเป็นวัดราษฎร์ทั่วไป หรือพระอารามหลวง ไม่มีอะไรเกี่ยวกับชาวบ้านเลย
แต่มักจะมีปัญหาที่ชาวบ้าน ถึงเวลาไม่ชอบใจ ไม่ใช่พวกกู ก็จะไล่ท่าเดียว หารู้ไม่ว่าตัวเองไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรเลย แล้วแถมจะมีความซวยมาเยือนด้วย เพราะว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย
ถ้าเจ้าอาวาสสั่งแล้วไม่ทำตาม ก็คือขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน มีโทษทั้งจำและปรับ..! ชาวบ้านส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจตรงจุดนี้ อาตมาเองบางทีก็ขี้เกียจไปชี้แจงเขา”
*************************
“วันก่อนมีการไล่เจ้าอาวาสวัดหินดาด ข้อหาคือท่านตัดไม้ในวัด ถ้าอย่างนี้อาจารย์เล็กโดนแน่ เพราะว่าตัดไปหลายสิบต้นแล้ว แต่ยังดีเขาโทรศัพท์มาปรึกษา เขาบอกว่าจะไปร้องเจ้าคณะอำเภอ ย่ิงเจ๊งหนักเข้าไปใหญ๋ เพราะว่าข้ามขั้นตอน
“ถ้าคุณจะฟ้องร้องเจ้าอาวาส ต้องฟ้องต่อเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะตำบลเสนอเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอเสนอเจ้าคณะจังหวัด เพื่อตั้งคณะกรรมการมาสอบสวน
ถ้าหากว่าฟ้องต่อเจ้าคณะอำเภอเลย ถือว่าข้ามขั้นตอน ท่านไม่ทำให้คุณหรอก เสียเวลา...เพราะว่าผิดขั้นตอน ยื่นเสนอไปเจ้านายก็ด่า
เจ้าอาวาสมีสิทธิ์ขาดภายในวัดตัวเอง คุณไปฟ้องว่าท่านตัดต้นไม้ ต่อให้ท่านตัดต้นไม้ หรือเลื่อยไม้ขายจริง ๆ ก็เถอะ...ถ้าท่านบอกว่าท่านทำเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์วัด แล้วคุณจะเอาหลักฐานที่ไหนไปเล่นงานท่าน
ท่านบอกว่าผมจะสร้างศาลาตรงนี้ ยังไม่ทันจะสร้างเลย ผมเอาต้นไม้ลงก่อน คุณก็ฟ้องเสียแล้ว แล้วเราจะไปเถียงอะไรได้
อย่าเสียเวลาไปฟ้องเลย เหนื่อยเปล่า...ถ้าไม่ชอบใจก็อุ้มเลย...!” แนะนำดีไหม ? อุ้มไปทำอะไร อุ้มไปเลี้ยงเพล...!
*************************
เป็นเรื่องแปลกที่โยมส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะญาติ ๆ ของพระ มักจะคิดว่าตัวเองมีอำนาจ ถ้าหากว่าอ่านข้อกฎหมายจนจบแล้วจะสยองขวัญ ที่เจ้าอาวาสปล่อยให้เขาซ่า ก็เพราะเกรงใจว่าเป็นญาติ
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์นี่ เป็นกฎหมายสำหรับพระโดยเฉพาะเลย
มาตราที่ ๓๗ กล่าวถึงหน้าที่ของเจ้าอาวาส ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
มาตราที่ ๓๘ กล่าวถึงอำนาจของเจ้าอาวาส ว่ามีอำนาจจะจัดการอะไรได้บ้าง
ท่านไว้ละเอียดยิบ ถ้าเจ้าอาวาสสั่ง แล้วไม่ทำตาม ถือว่าขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่สั่งชอบด้วยกฎหมาย
เพราะฉะนั้น...ถ้าเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัด แล้วเราไม่ไป เจ้าอาวาสเกิดหมั่นไส้ฟ้องขึ้นมา นี่เป็นคดีอาญาเลยนะ เจอข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน...!”
“มาตราที่ ๔๕ ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๕๓๕ ระบุว่า เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา”
ถาม : พระลูกวัดไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานหรือคะ ?
ตอบ : เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน ส่วนพระลูกวัดไม่ได้เป็น
*************************
ถาม : ถ้าพระสึกก่อน มีสิทธิ์ได้บำนาญไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี…ต่อให้พระปฏิบัติหน้าที่ยันเกษียณก็ไม่มีบำนาญ หมดแล้วหมดเลย ยังดีนะที่ตำแหน่งเจ้าอาวาส เกษียณแล้วยังเป็นเจ้าอาวาสได้
พระจะเกษียณกันที่อายุ ๘๐ ปี มีหลวงพ่อรูปหนึ่ง อย่าให้บอกชื่อเลยนะ เพราะว่าท่านโดนด่ามาเยอะแล้ว ท่านเสนอให้พระเกษียณไม่เกิน ๖๕ ปี ท่านบอกว่าให้รุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมาปกครองวัดบ้าง วัดจะได้เจริญ
ปรากฎว่าท่านโดนด่าเสียทั่วประเทศเลย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว เขาไม่อยากหมดอำนาจกัน
ตำแหน่งตั้งแต่เจ้าคณะใหญ่ลงมา จนกระทั่งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เกษียณที่อายุ ๘๐ ปีทั้งหมด ยกเว้นกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาส
อาตมาถามว่า กรรมการมหาเถรสมาคมท่านเป็นโดยตำแหน่ง จะไม่เกษียณก็ได้ หรือท่านที่สมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้ง จะไม่เกษียณตอนอายุ ๘๐ ก็ไม่น่าเกลียด เพราะว่าเป็นกลุ่มบุคคลสำคัญที่มีแค่นิดเดียว ไม่เกิน ๒๑ รูปเท่านั้น (รวมสมเด็จพระสังหราชด้วย) แต่ทำไมเจ้าอาวาสไม่ให้เกษียณ ?
ท่านอธิบายได้ชัดมาก ท่านบอกว่า ถ้าขืนเจ้าอาวาสที่เคยมีโจทก์อยู่ในวัดมาเกษียณ คนเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่อาจจะไล่เจ้าอาวาสเก่าออก ก็เลยให้เจ้าอาวาสตายคาตำแหน่งไปเลย
เพราะฉะนั้น...ถ้าอยากจะพ้นตำแหน่งเจ้าอาวาส ก็มีมรณภาพ ลาสิกขา ลาออก
ลาออกก็อาจจะไม่พ้น ถ้าเจ้านายไม่อนุมัติ อาตมาลาออกจากเจ้าคณะตำบล โดนดึงเรื่องไว้เป็นปีเลยกว่าจะอนุมัติ แต่ถึงไม่อนุมัติก็ช่าง อาตมาไม่ไปทำงานเสียอย่าง ท้ายสุดท่านก็ต้องอนุมัติอยู่ดี
*************************
ถาม : พระที่ออกมาเต้นโคโยตี้ ศีลท่านขาดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ท่านเครียดจากน้ำท่วม...อภัยให้ท่านเถอะ...! แต่ความจริงการกระทำประหนึ่งฆราวาส พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติเอาไว้แล้ว
คราวนี้การกระทำประหนึ่งฆราวาส หมายรวมเอาพระที่ขับรถด้วย ที่เขาบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามขับรถ เถียงแบบไม่แม่นตำรา
จึงต้องงัดข้อนี้ขึ้นมาว่า กระทำอาการประหนึ่งฆราวาส โดนอาบัติเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น...เต้นโคโยตี้นี่ไม่ใช่ประหนึ่งฆราวาสเฉย ๆ ประหนึ่งฆราวาสสตรี แต่ท่านดันเป็นผู้ชาย...!
ถาม : อาบัติประเภทนี้ต้องไปเข้าปริวาสไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง อาบัติประเภทนี้แสดงคืนได้ เขาเลยไม่กลัว
แต่ความจริง การปลงอาบัติเป็นการสารภาพผิด ว่าเราได้ทำผิดไปแล้ว ต่อไปนี้จะไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำอย่างนั้นอีก ก็เพื่อให้คนอื่นเป็นพยาน ว่าตัวเองจะไทม่ทำชั่วอีก
แต่เขาใช้วิธีว่าทำผิดแล้วก็แสดงอาบัติ คิดว่าพ้นจากโทษนั้น หารู้ไม่ว่าข้างล่างเขาไม่ได้ลบบัญชีหรอก ลงไปเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น...!
*************************
เรื่องของพระศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บุคคลที่อยู่ในพระศาสนา จึงจำเป็นต้องมีสติปัญญามาก ๆ โดยเฉพาะสติสัมปชัญญะจะขาดไม่ได้เลย ต้องระลึกอยู่เสมอว่า
บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กิริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น ๆ
ท่านคงไม่มีสำนึกความเป็นนักบวช ก็เลยนึกอยากจะทำอะไรก็ทำกัน จะไปว่าท่านก็ไม่ค่อยได้หรอก
เพราะว่าปัจจุบันบรรดานักบวชที่บวชเข้ามา มีเป็นจำนวนมากด้วยกันที่หมดทางไปแล้ว เมื่อหมดทางไปก็เลี้ยวเข้าวัด
ก็เลยเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมีอาการของขึ้นเป็นระยะ ๆ
*************************
ถาม : ถ้าเจอพระที่มีกิริยาไม่สำรวม มีนิสัยสรรหาลาภ แต่เราต้องทำบุญกับท่าน ?
ตอบ : ให้ตั้งใจถวายสังฆทานกับท่านไปเลย ช่วยซ้ำท่านให้หนักหน่อย...!
สังฆะคือหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ท่านคนเดียว บุญเราได้เต็ม แต่ความซวยจะเกิดกับท่าน ไหน ๆ ท่านจะไปแล้ว ก็ช่วยซ้ำให้หนักหน่อย
*************************
ถาม : เมื่อก่อนทำบุญแล้วมั่นใจ แต่ตอนนี้ไม่มั่นใจว่าทำบุญไปแล้ว ท่านจะเอาไปใช้ในเรื่องไหน ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวล เพราะจุดนั้นเป็นเรื่องของท่น เราทำ เราได้บุญแล้ว
ต้องวางอุเบกขาให้เป็น ไม่อย่างนั้นบุญจะลดลง
ถาม : คิดว่าเราถวายสังฆทานใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่..ทำอีก ทำบ่อย ๆ พระยายมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตัดสิน อันนี้ถือว่าโหดเกินไป...!
ถาม : ถ้าพระท่านกลับตัวได้ ท่านจะลงข้างล่างไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้โดนอาบัติหนักอะไร แล้วกลับตัวใหม่ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบใหม่ก็รอด
ถาม : ห่วงแทน ?
ตอบ : ดีนะ…โยมแค่ห่วง อาตมานี่สยอง...! สยองแทนท่านว่าจะเจออะไรบ้างหนอ ?
พอได้เห็นนโยบายของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเองก็เลียนปฏิปทาหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือพระมาลาสึก อาตมาจะไม่เคยห้ามเลย
ก็ในเมื่อใจเขาไม่อยู่แล้ว ไปห้ามเอาไว้เดี๋ยวจะพาเสียมากกว่า เพราะใจเขาไม่คิดจะเป็นพระแล้วก็ไปเถอะ เดี่ยวมีอารมณ์เมื่อไรแล้วค่อยมาบวชใหม่
ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้อยู่ต่อ เกิดเขาไม่มีอารมณ์ที่จะอยู่เป็นพระ ปล่อย ๆ วาง ๆ กลายไปละเมิดศีลหนักเข้า มาบวชใหม่ไม่เป็นพระแล้วจะยุ่ง
เพราะฉะนั้น...ใครมาขออนุญาตลาสึก อาตมาอนุญาตให้ลาสึกทุกราย บางรายก็ไม่รู้เดินตัวลีบมาเชียว
“ขอปรึกษาหน่อยครับ ผมขออนุญาตลาสิกขา หลวงพ่อจะว่าอย่างไรครับ ?”
อาตมาบอกว่า “คุณจะเอาวันไหน ?”
บอกวันนั้นเวลานั้น “เออ..ถึงเวลามาสึกก็แล้วกัน”
ท่านนั่งเอ๋ออยู่พักใหญ่ สงสัยว่าทำไมไม่ห้ามสักคำ
*************************
ถาม : น้ำหนักขึ้น...อุตส่าห์กินน้ำมันมะพร้าวแล้ว ?
ตอบ : น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันนะ
ถาม : ไหนท่านบอกว่ากินแล้วผอม ก็เลยกินวันละสองช้อน ?
ตอบ : มะเหงกแน่...! หมายถึงว่าให้ใช้น้ำมันมะพร้าวแทนไขมันอื่น ไม่ใช่ว่าไปกินน้ำมันพร้าววันละ ๒ ช้อน ขณะที่ตัวเองยังกินอย่างอื่นปกติ
ถาม : แต่กินแล้วไม่ป่วย ?
ตอบ : น้ำมันมะพร้าวทำให้การเผาผลาญไขมันดีขึ้น แต่ว่าต้องใช้พลังงานไม่ใช่ไปนอนเฉย ๆ
อาหารอื่นกินตามปกติ แต่ให้ปรุงด้วยน้ำมันมะพร้าว ไม่ใช่น้ำมันปาล์ม ไม่ใช่น้ำมันถั่ว ไม่ใช่น้ำมันทานตะวัน ไม่ใช่น้ำมันข้าวโพด
สมัยนี้น้ำมันมะพร้าวก็มีเยอะขึ้นแล้ว น่าจะพอหาซื้อได้ ราคาซีซีละบาทโดยประมาณ
*************************
ถาม : นักการเมืองโกงกินกันมาก ?
ตอบ : ไม่มีรัฐบาลไหนที่ไม่โกงกิน สัญชาตญาณของนักการเมืองก็คือ เข้ากอบโกย เพียงแต่ว่าอย่าให้น่าเกลียด
หน่วยงานที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนมากที่สุดในปัจจุบัน คือสถานบันทหาร สถาบันทหารนี่เขากินกันเป็นปกติ แต่ว่าเขากินกันภายใน
อย่างเช่น สมัยตอนที่อาตมาเป็นเสมียนกองร้อยอยู่ ได้รับคำสั่งจากเจ้านายเลยว่า ปล่อยกำลังพลให้ลาหมุนเวียน ๑ ใน ๓ ตลอด
อย่างเช่นว่า กองร้อยหนึ่งมี ๑๐๕ คน ให้ปล่อย ๓๕ คน ลาทุก ๑๐ วัน
ก็แปลว่าทุกคนจะได้อยู่กองร้อย ๒๐ วัน แล้วก็ได้ลา ๑๐ วัน ทหารก็ชอบ แต่ว่าเบี้ยเลี้ยงตอนช่วงนั้นทั้งหมดทหารจะไม่ได้รับ เจ้านายเอาไปหมด
ยิ่งถ้าเป็นสมัยนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีก สมัยอาตมาเขามีแต่เบี้ยเลี้ยง สมัยนี้ทหารมีเงินเดือนด้วย สมัยอาตมาเบี้ยเลี้ยง ๒๔ บาทต่อวัน สมัยนี้ ๒๔๐ บาทต่อวัน
ใครบอกทหารไม่กิน ?
เขากินกันแต่กินกันภายใน กินกันเอง เขาไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเห็น แต่ว่าก็มีระดับใหญ่ ๆ ที่จะไปจับได้ตอนซื้อขายอาวุธบ้าง
แต่ว่าบางทีต่อให้จับได้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นการให้โดยเสน่หา สามารถต่อสู้ในแง่กฎหมายได้
*************************
ถาม : วันนี้นั่งแท็กซี่มา เขาบอกว่าลูกชายเป็นทหารแล้วหนี ผู้พันก็ไม่ว่าอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : ใช่…มีทหารบางรายที่หนีนี่แหละ แต่ว่าเจ้านายเขาสั่งอย่าเพิ่งทำเรื่องหนี เพราะว่าเขาจะเก็บเบี้ยเลี้ยงไปเรื่อย ๆ ก่อน
อาตมาต้องคอยถามเป็นระยะ ๆ ว่าบุคคลนี้จะให้ทำเรื่องหนีได้เมื่อไร ? จะทำเรื่องได้หรือยัง ? เป็นการเตือนสติเจ้านาย ว่าถ้าเกิดเขาหนีออกไปทำอะไรซวย ๆ ข้างนอก จะเดือดร้อนถึงเจ้านาย
ส่วนใหญ่จะปล่อยไว้ประมาณ ๑ ปีค่อยทำเรื่อง ก็แสดงว่าช่วงนั้นเบี้ยเลี้ยงเงินเดือน ๑ ปี ก็เป็นเของเจ้านายหมด
ถาม : เงินไม่ใช่น้อยเลย ?
ตอบ : เขาอยากเป็นทหารกันมกา เพราะว่าแค่เบี้ยเลี้ยงอย่างเดียวอยู่ได้สบายแล้ว เนื่องจากว่าทหารนั้นที่กินที่อยู่ ผ้าผ่อนท่อนสไบ รัฐบาลให้หมด
รุ่นของอาตมานี่เรียนกันแทบเป็นแทบตาย จบออกมาเงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท ถ้าหากว่าเรียนร่มมา ก็บวกไปอีก ๒๕๐ บาท ถ้าหากว่าจบปริญญามา ก็บวกวิทยฐานะอีก ๒๗๐ บาท สรุปแล้วรวมกันแทบตายยังไม่ได้เท่าเบี้ยเลี้ยงพลทหารสมัยนี้เลย
สมัยนั้นเงินเดือนนายทหารชั้นประทวนเต็มขั้น ก็คือจ่านายสิบ อาวุโส ๔,๘๐๐ บาท แต่ถ้าหากว่าคุณสอบนายร้อยติด จะลดเหลือสัญญาบัตรชั้น ๓ เงินเดือน ๒,๒๐๐ บาท กลายเป็นว่าได้ดาวมาเท่ ๆ แต่เงินเดือนหายไปเกินครึ่ง...!
บรรดาจ่าแก่ ๆ จึงไม่มีใครอยากเป็นนายร้อย จนกว่าะ ๖ เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ รับไว้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ว่าตัวเองได้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรเหมือนกัน
มีโอากสได้รับกระบี่พระราชทาน แต่ไปเอาตอนก่อนเกษียณ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เงินเดือนหายไปตั้งครึ่งตั้งค่อน จาก ๔,๘๐๐ บาท เหลือ ๒,๒๐๐ บาท
บรรดาจ่าแก่ ๆ บ่นกันอุบเลย “เงินหายไปทีขนาดนั้น แล้วกูจะเอาอะไรเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ?”
*************************
ส่วนใหญ่กว่าจะไปถึงระดับจ่านายสิบอาวุโส เงินเดือนเต็มขั้น ก็มักจะราว ๆ อายุ ๕๐ กว่า ใกล้เกษียณกันแล้วทั้งนั้น
แต่ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ทหารจะได้รับความเชื่อถือมากกว่าตำรวจมาตลอด สมัยอาตมาอยู่ชายแดน ไปตั้งด่านตรวจสินค้าหนีภาษี ตั้งด่านคู่กับด่านตำรวจคนละฝั่งถนน
ชาวบ้านเดินมาฝั่งทหารหมดเลย ปล่อยตำรวจนั่งตบยุง เพราะว่าตำรวจส่วนใหญ่เขาไปถืออำนาจตามกฎหมาย
ส่วนทหารเราไม่มีอะไร “ของอย่างนี้เป็นยุทธปัจจัย คุณเอาออกมาครึ่งหนึ่ง คุณเอาไปครึ่งหนึ่ง” จบเลย
ครั้งต่อไปเขาจะขนของหนีภาษีมาให้เองเลย ถามว่าเอาเท่าไร
พอบอกว่าเอาครึ่งหนึ่ง เขาขนมาให้เลยครึ่งหนึ่ง แต่เขาเอาของหนีภาษาที่ไม่แพงมาให้ ส่วนแพง ๆ เขาเอาไปขาย ก็กลายเป็นว่าเราก็มีผลงานไปส่งเจ้านาย ส่วนเขาก็ได้ของไปขาย ก็จบกันแค่นั้น
*************************
ถาม : ฝั่งตำรวจเขาทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตำรวจซักประวัติไปโน่น ๑๘ ชั่วโคตร ทหารไม่มีหรอก เอ็งเอาลงเท่านี้แล้วก็ไปได้เลย จบกันแค่นั้น
ถาม : ตำรวจเอาหมดทุกอย่าง ?
ตอบ : พันตำรวจโทท่านหนึ่ง เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน พอดีท่านมีโอกาสสอนคณิตศาสตร์ สมัยที่อาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ ท่านอาจารย์บอกว่า
“พระคุณเจ้าครับ เป็นตายอย่างไรผมก็จะไม่ไปเป็นตำรวจจราจรเด็ดขาด”
อาตมาถามว่า ทำไม ?
ท่านบอกว่า “ไปไถชาวบ้านแบบนั้น เขาแช่งเขาด่าตามหลังเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่มีทางเจริญหรอกครับ
ผมยอมกินเงินเดือนของผมไปแต่ละเดือนดีกว่า ไม่ได้ร่ำไม่ได้รวยกับใคร แต่ผมสบายใจว่า ตัวผมและวงศ์ตระกูลไม่ได้โดนเขาสาปแช่งก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ลูกหลานของผมก็คงพอจะเจริญบ้าง”
ท่านตั้งใจสมัครเข้าไปเป็นอาจารย์เลย เพราะว่าไม่อยากไปรีดไถชาวบ้านให้เขาแช่งเอา
ต้องดูตอนปีใหม่หรือตรุษจีน ตำรวจคนไหนที่ชาวบ้านเขารักนี่ ของขวัญกองท่วมหัวเข่าเลย ขับรถผ่านเขาก็ส่งหใ้คนละกล่องสองกล่อง ส่วนคนไหนไถประจำ ไม่ค่อยได้อะไรหรอก
ถ้าตัวเองทำในสิ่งที่ดี ๆ ถึงเวลาชาวบ้านเขาก็เห็น อันนั้นนี่เขาให้ด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องไปไถ เขาก็ให้
*************************
สมัยที่อาตมายังทำงานอยู่ที่ซอยอ่อนนุช ๖๖ มีอาเจ็กคนหนึ่ง มีอาชีพรับซื้อของเก่า ถึงเวลาก็จะมาขอซื้อพวกเศษเหล็กไปเป็นประจำ เพราะว่าตอนนั้นอาตมาทำอู่ซ่อมรถอยู่ เขาบอกว่า
“ผมยอมทนเหนื่อยอีกไม่กี่ปีครับ เพราะว่าตอนนี้ลูกผมเข้านายร้อยตำรวจได้แล้ว พอลูกผมจบมา เดี๋ยวเขาก็หาเงินให้พ่อได้เอง”
อาตมาก็ว่า “นี่อาเจ็กหมายความว่า จะให้ลูกไปรีดไถชาวบ้านใช่ไหม ?”
แกบอกว่า “ใคร ๆ เขาก็ทำกันครับ ถ้าหากว่าไม่ทำก็แปลกแยก ผมตั้งใจส่งลูกไปเพื่อให้ทำอย่างนี้โดยเฉพาะเลย...!” เป้าหมายของแกชัดเจนแน่นอนมกา ...!
อาตมาเองเป็นคนที่ประหลาด ครูสอนอะไรก็ทำอย่างนั้น ก็เลยอยู่กับคนอื่นเขาลำบาก โดยเฉพาะพวกที่จบมาใหม่ ๆ กำลังไฟแรง ครูบาอาจารย์ท่านอบรมมาอย่างดีเลย
พอออกมาเจอสภาพความจริงแล้วทำใจไม่ได้ มีหลายต่อหลายคนที่ฝืนกระแสสังคมแล้วก็ไปไม่ได้ และมีจำนวนมากด้วยกันที่กลืนไปกับเขาอย่างรวดเร็ว รุ่นพี่ครอบความรู้อะไรมานี่รับได้อย่างฉับพลันทันที
ส่วนอาตมาก็ตะขิดตะขวงใจอยู่นั่นแหละ ครูสอนเรามาอย่างนี้ ทำไมถึงมาเจอแบบนี้
*************************

|