เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม ๒๕๕๕
ประเภทดูโหงวเฮ้งแล้วรู้ว่าเขามีความลับอะไร อาจจะเป็เพราะว่าคนที่มีความลับนั้นเครียด...กังวล เลยแสดงออกทางใบหน้า
*************************
จะว่าไปแล้ว ผู้มีความสามารถก็มีอยู่ในทุกชาติทุกภาษา แต่ว่าตำราโหงวเฮ้งของจีน เท่าที่อาตมาทดลองใช้ดู จะแม่นสำหรับชาวเอเชียใช้กับชาวยุโรปจะไม่ค่อยแม่น
อาจจะเป็นเพราะอยู่คนละซีกโลกกัน ลักษณะโครงสร้างร่างกายไม่เหมือนกัน จึงทำให้ดูไม่แม่น แต่ถ้าเป็นคนเอเชียก็ตรงตามตำรา
อย่างพระโหราธิบดีสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชลุกขึ้นล้างพระพระพักตร์ตอนเช้า พอดีหนูตกจากขื่อลงมา พระองค์ก็เอาขันล้างพระพักตร์ครอบไว้ ให้มหาดเล็กวิ่งไปตามพระโหราธิบดีมา แล้วก็ถามว่าในขันนี้คืออะไร ?
พระโหราธิบดีก็ถามวันเวลาที่พระองค์ครอบขันลงไป ลงตัวเลขขีดเขียนเสร็จเรียบร้อย ทูลว่า “สัตว์ ๔ เท้าพระเจ้าข้า”
“เออ...แม่นดีท่านอาจารย์ แล้วมีกี่ตัว ?”
พระโหราธิบดีบอกว่า “มี ๕ ตัวพระเจ้าข้า”
พระองค์ท่านตรัสว่า “ครั้งนี้ท่าจะเหลวแล้วนะท่านอาจารย์ เพราะมีแค่ตัวเดียว”
เอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยนะ พอเปิดขันขึ้นมา มี ๕ ตัวพอดี เพราะว่าหนูที่ตกลงมานั้นเป็นแม่หนู ตอนโดนขันครอบอยู่ ก็คลอดลูกมา ๔ ตัว กลายเป็น ๕ ตัวพอดี เขาแม่นขนาดนั้น
แสดงว่าความชำนาญในวิชาการต่าง ๆ อยู่ในระดับที่เรียกว่า สมกับที่เป็นปุโรหิตาจารย์ประจำพระองค์
แบบเดียวกับประเทศจีนสมัยพระเจ้าโจวเจาอ๋อง แห่งราชวงศ์โจวอยู่ ๆ ก็มีแสงสว่าง ๕ สี พุ่งมาทางทิศตะวันตก นำ้ขึ้นในช่วงน้ำลง แหล่งน้ำธรรมชาติมีน้ำเต็มเปี่ยมขอบทุกแห่ง และเกิดแผ่นดินไหว
พระเจ้าโจวเจาอ๋องจีงเรียกปุโรหิตมาถาม ปุโรหิตบอกว่า ทางทิศตะวันตกมีบุคคลผู้เป็นสุดยอดอัจฉริยบุรุษได้เกิดขึ้นแล้ว
พระเจ้าโจวเจาอ๋องถามว่า จะมีโอกาสได้พบเห็นไหม ?
ปุโรหิตบอกว่าอีก ๘๐ ปีข้างหน้า อัจฉริยบุรุษผู้นี้จะสิ้นชีวิต แต่ถัดจากนั้นแล้วอีก ๙๒๐ ปีข้างหน้า สิ่งที่ท่านบรรลุธรรมจะมาถึงบ้านเรา รวมแล้ว ๑,๐๐๐ ปีพอดี
คราวนี้ประเทศจีนเขาขยันบันทึก เขาก็บันทึกเรื่องราวนี้เอาไว้เวลาผ่านไปอีก ๘๐ ปีให้หลัง ยุคของกษัตริย์โจวมู่อ๋อง อยู่ ๆ ก็มีรัศมีสีรุ้งสาดมาถึง แผ่นดินไหวและพายุพัดจัด จึงเรียกปุโรหิตตาจารย์มาถาม ท่านบอกว่า กายหยาบของอัจฉริยบุคคลท่านหนึ่งกำลังแตกดับ
ระยะเวลาตรงกับที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเลย ตรงนี้มีบันทึกเอาไว้ พวกบรรดาปุโรหิต ราชครู ก็ศึกษากันต่อ ๆ มา
จนกระทั่งมาถึงยุคของพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ เวลาผ่านไปครบ ๑,๐๐๐ ปีพอดี อยู่ ๆ พระองค์ท่านฝันเห็นชายผู้มีร่างกายเป็นทองคำใหญ่มโหฬารมาก มีรัศมีสีทองสว่างรุ่งเรืองอย่างยิ่ง เดินเข้ามาหา พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ถามปุโรหิตาจารย์ว่า นิมิตนี้หมายถึงอะไร ?
ปุโรหิตบอกว่า ธรรมะของอัจฉริยะบุรุษที่มีบันทึกเมื่อพันปีก่อน ได้เวลาที่จะมาถึงเมืองจีนแล้ว นั่นสืบเนื่องกันมากี่รุ่นแล้ว ตั้ง ๑,๐๐๐ ปี...!
แสดงว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมีอยู่ในทุกยุคสมัย เพียงแต่ว่าเขาได้ทำหน้าที่ของเขาในจุดที่เป็นประวัติศาสตร์หรือเปล่า ? ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ก็จะมีการบันทึก
พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ก็ส่งราชทูตไป พอดีเจอคณะของพระกาศยปมาตังคะ กับพระธรรมรักษิตะ กำลังนำเอาพระพุทธรูปและคัมภีร์พระธรรมเดินทางเข้ามาสู่เมืองจีน ก็เลยรับตัวมา
ด้วยความที่คนจีนขยันจดบันทึก เขาจึงสามารถสืบประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี เพราะเขาบันทึกกันมาตั้งแต่อดีต
ส่วนของเรา พวกคลังสมองส่วนนี้ยังไม่ค่อยมี ใช้วิธีมุขปาฐะ จำแล้วก็บอกเล่าต่อ ๆ กันมา
ถาม : ใช่พระถังซำจั๋งหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ใช่…พระถังซำจั๋งนั่นมาสมัยพระถังไท่จงฮ่องเต้แล้ว
สมัยพระถังซำจั๋งบ้านเมืองเกิดสงครามกันมาหลายยุคหลายสมัย หลักธรรมกระพร่องกระแพร่งไปหมด ใครฉวยตรงส่วนไหนได้ก็ไปทางด้านนั้น เมื่อพระธรรมไม่ได้รวมอยู่ที่เดียวกัน การศึกษาก็ไม่ทั่วถึง
พระถังซำจั๋งจึงทูลขออนุญาตไปสืบพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย เพื่อที่จะเอาหลักธรรมที่สมบูรณ์กลับคืนมา
ก็หมายความว่า พระพุทธศาสนายุคนั้นเจริญรุ่งเรืองมาจนกระทั่งเสื่อมแล้ว เสร็จแล้วก็รุ่งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อพระถังซำจั๋งอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา
ถาม : ทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีภรรยาได้ ?
ตอบ : เราไม่เข้าใจสภาพบ้านเมืองเขา และไม่ได้คุยกับเขา เราจึงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีลูกมีเมีย พออาตมาไปคุยกับพระญี่ปุ่นแล้ว จึงเข้าใจสภาพสังคมยุคนั้น
ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นพอเจริญรุ่งเรืองมาระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่ยุคเจ้าผู้ครองนคร หรือที่เขาเรียกว่า ไดเมียว มีพวกบรรดโชกุนต่าง ๆ เป็นเหมือนกษัตริย์
ในยุคนั้นบรรดาเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ก็รบทัพจับศึกกันตลอดเวลาบ้านเมืองไม่สงบ พระจะออกไปเผยแผ่ธรรมก็ไม่ได้ พอเดินทางไปเผยแผ่ธรรม ก็โดนจับโดนฆ่า เพราะเขาหาว่าเป็นจารบุรุษปลอมตัวมา
ท่านก็แนวคิดว่า ถ้าเราไม่สามารถเผยแผ่ธรรมอย่างนี้ได้ ก็ต้องปักเหลักอยู่กับที่ การปักหลักอยู่กับที่ในสภาพบ้านเมืองอย่างนี้ ก็ไม่มีคนเข้ามาหาหลักธรรม
จึงเกิดแนวคิดขึ้นมาว่า ถ้าตัวเองมีครอบครัว อย่างน้อยก็สามารถที่จะสอนภรรยาตัวเองได้ ถ้ามีลูกจะได้สอนลูกตัวเองได้ ถ้าพ่อแม่ตัวเองหรือพ่อตาแม่ยายฟังด้วย ก็จะได้เพิ่มขึ้นอีก ก็เลยเปลี่ยนมามีครอบครัวแทนเพื่อที่จะเผยแผ่และรักษาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไว้
ในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าเราเห็นพระญี่ปุ่น บางทีก็คิดว่าเป็นคนธรรมดา เพราะเขามีแค่แถบแสดงสัญลักษณ์อยู่ที่คอเสื้อเท่านั้นเอง ยกเว้นว่ามีพิธีทางศาสนาเต็มรูปแบบ จึงจะเอาชุดมาใส่
ทำให้นึกถึงอันตรธานปริวรรต ปฐมสมโพธิกถา ตรงจุดที่ว่าลิงคอัตรธาน การเสื่อมสูญไปของเพศพระภิกษุ
ที่ว่าพอนานไป เพศของพระภิกษุจะเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหู หรือว่าผ้าเหลืองพันข้อมือ เพื่อแสดงเพศภาวะว่าเป็นพระภิกษุเท่านั้น สามารถทำมาหากินได้อย่างฆราวาส
พระของญี่ปุ่นน่าจะถึงยุคนั้นแล้ว มาเร็วเหลือเกิน เพราะว่าตอนนี้เครื่องหมายของเขาเหลือหน่อยเดียว ตรงแถบที่คอเสื้อเท่านั้น
แต่ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประหลาดที่สุด หลาย ๆ ศาสนาเขาอยู่รวมกันได้ คนญี่ปุ่นเกิดมาก็ไปทำพิธีรับแบบศาสนาชินโต แต่งงานก็แต่งแบบศาสนาคริสต์ พอตายก็ทำศพแบบศาสนาพุทธ ก็แปลว่าศาสนาอะไร ถ้าเข้าไปข้างในนั้น ก็โดนกลืนหมด
*************************
ไม่รู้ว่ารุ่นน้องปีนี้เขาจะได้ไปดูงานกันที่ไหน อาจารย์ท่านอยากให้ไปประเทศศรีลังกา เพราะว่าพระสงฆ์ในศรีลังกามีบทบาทมากเป็นพิเศษ เล่นการเมืองได้ เป็น ส.ส. ได้ เป็นรัฐมนตรีได้
จริง ๆ แล้วเรื่องของทางโลก ต้องให้คนที่เขามีกิเลสไปตีกัน ไม่ใช่เรื่องของพระที่ไปยุ่งกับเขา
จำไว้ว่า ถ้าทำผิดหน้าที่พระเมื่อไร ความเคารพเลื่อมใสของคนจะน้อยลง
ไม่เห็นหรือว่านักกาารเมืองจะดีแค่ไหนก็ตาม พอเข้าไปก็โดนเขาถลกหนังทุกราย จนเขาบอกว่า
“ถ้าคุณไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ให้ไปสมัครเล่นการเมืองเดี๋ยวก็มีคนขุดคุ้ยประวัติให้เอง”
*************************
ถาม : ทำไมคนพม่าถึงนิยมสร้างเจดีย์คะ สร้างด้วยจิตที่เป็นกุศล หรือว่าสร้างแข่งดีกัน ?
ตอบ : ดูแล้วน่าจะมี ๒ สาเหตุด้วยกัน
สาเหตุแรกก็คือ คำว่า เจดีย์ มาจากภาษาบาลีว่า เจติยะ คือ เครื่องยังความระลึกถึง โดยเฉพาะนึกถึงในลักษณะของพุทธานุสติ
เมื่อสร้างเจดีย์แล้ว ก็จะสร้างพระประธานด้วย บางทีก็จารึกพระธรรมบรรลุไว้ด้วย ก็เท่ากับว่าเป็นทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ ถ้าพระสงฆ์นำสร้าง ก็ได้สังฆานุสติอีกด้วย ทำแล้วจึงได้บุญมากเป็นพิเศษ
ประการที่สองคือ เราจะเห็นความใจกว้างของผู้นำสมัยนั้นว่า ท่านไม่หวงอำนาจ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมกันสร้างบุญ ใครมีความสามารถเท่าไรทำไปเลย
ไม่อย่างนั้นแล้วในสมัยนั้น การที่เราไปสร้างแข่งดีแบบนั้น ท่านอาจจะถือว่าตั้งใจจะเป็นขบถ คิดการใหญ่ เพราะว่าเจดีย์มหึมาแต่ละหลัง ถ้าไม่ใช้กำลังคนมาก ก็สร้างไม่ได้หรอก เมื่อมีกำลังคนมาก อาจจะคิดขบถก็ได้
อย่างที่พระเจดีย์โลกนันดา มีสระน้ำใหญ่อยู่ อาตมาพิจารณาอยู่ตั้งนานว่า เขาต้องการน้ำใช้ขนาดนั้นเชียวหรือ ? กลายเป็นว่าไม่ใช่หรอก เขาขุดดินมาเป็นอิฐ จนกลายเป็นสระน้ำขนาดมหึมาไปเองต่างหาก
ที่พุกามที่มีสภาพเป็นกึ่ง ๆ ทะเลทราย ก็เพราะเรื่องการสร้างเจดีย์นี่แหละ ขุดดินมาปั้นอิฐ จนกลายเป็นสระน้ำขนาดมหึมาไปเองต่างหาก
ที่พุกามที่มีสภาพเป็นกึ่ง ๆ ทะเลทราย ก็เพราะเรื่องการสร้างเจดีย์นี่แหละ ขุดดินมาปั้นอิฐ จนหน้าดินที่อุดสมบูรณ์หมดไป แถมยังตัดต้นไม้มาเผาอิฐอีก แล้วจะเหลืออะไรล่ะ ?
จะปลูกต้นไม้ก็ไม่ขึ้น เพราะว่าหน้าดินที่เป็นปุ๋ยไม่มี สรุปแล้วกลายเป็นสภาพกึ่งทะเลทรายไปทั้งเมือง ไปพม่าแล้วถ้ารู้จักดู รู้จักมอง รู้จักคิด เราจะเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก
*************************
อาตมาไปประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ประเทศอินโดนีเซียเมื่อก่อนนับถือพระพุทธศาสนา แผ่นดินพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ๋ขนาดนั้น ยังโดนอิสลามเบียดจนไม่เหลือ เหลือเชื่อจริง ๆ
เรื่องของศาสนาสำคัญตรงผู้นำประเทศ ผู้นำประเทศถือศาสนาอะไร ก็มักจะบีบบังคับให้ประชาชนนับถือศาสนานั้นตามไปด้วย
อย่างที่นั่น ระเด่นปาทาแย่งชิงราชสมบัติไปได้ แล้วไม่นับถือศาสนาพุทธแบบพี่ชาย ไปนับถือศาสนาอิสลาม เขาว่าชายาของท่านเป็นอิสลาม ก็เลยยุสามีให้ถืออิสลามไปด้วย ในเมื่อผู้นำถืออิสลาม แล้วขึ้นปกครองประเทศ ก็เลยบังคับชาวบ้านให้ถืออิสลามตามกันไปหมด
แบบเดียวกับพุทธศาสนาในอินเดียที่เจริญมากไม่ได้ เพราะผู้ปกครองเป็นพราหมณ์หรือฮินดู ที่ประเทศอินเดียถึงคุณนับถือศาสนาพุทธก็ยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ
เพราะว่าตอนช่วง ๒,๕๐๐ ปีพุทธชยันตี ดร.เอมเบ็ดการ์ นำพีวกวรรณะศูทรห้าแสนคนปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ฟังดูแล้วเป็นจำนวนมากมโหฬาร แต่ที่ไหนได้ ไปเปรียบกับประชากรยุคนั้น ๙ ร้อยล้านคน สมัยนี้พันกว่าล้านคนแล้ว เท่ากับน้ำหยดเดียวในทะเลทราย
เนื่องจากความถือชั้นวรรณะฝังอยู่ในดีเอ็นเอของชาวอินเดียแล้ว พอพวกวรรณะตำ่ให้เสนียดกาลกิณีมาติดตัวเอง
ศาสนาพุทธก็เลยกลายเป็นศาสนาของชนชั้นต่ำไป ชนชั้นสูงก็ถือพราหมณ์ฮินดู หรือถือคริสต์
เมื่อเป็นดังนั้น ในอินเดียศาสนาพุทธจึงเจริญยาก ถ้าเรามาคิดดูจริง ๆ แล้วสิ่งที่ ดร.เอมเบ็ดการ์ทำ น่าจะดีกับศาสนาพุทธในระยะยาว
เพราะว่าพวกวรรณะต่ำมีมากเป็นพิเศษ พอโดนเขาข่มเหงรังแกเกิดความทุกข์มาก ๆ เข้า ก็จะหันมายึดศาสนาพุทธเป็นที่พึ่ง แม้ว่าจะช้าหน่อย แต่ว่าท้ายสุดประชากรโลกที่เป็นพุทธศาสนิกชนน่าจะมากขึ้น
ปัจจุบันนี้ต่อให้เขานับถือศาสนาพทธ เวลานิมนต์พระเข้าไปในบ้าน เข้าไปเราจะไม่เห็นอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพุทธ พอเขาเห็นพระมาถึง จึงปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้ น้ำฉัน แล้วก็เปิดตู้นิมนต์พระพุทธรูปขึ้นมา ไม่อย่างนั้นต้องเก็บซ่อนเอาไว้
ตอนนี้บางรัฐมีการรณรงค์ให้ชาวพุทธทำป้ายบ้านเลขที่ ให้มีรูปธรรมจักร หรือรูปพระพุทธเจ้าติดไว้ด้วย ให้รู้ ๆ กันไปเลย แล้วก็มีกลุ่มคนที่เปลี่ยนนามสกุลให้รู้ว่าถือพุทธ อย่างเช่นเปลี่ยนเป็นศากยบุตร เป็นต้น
แสดงว่าพอเทคโนโลยีของอินเดียเปิดกว้าง สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกช่องทาง ความกล้าคิดกล้าทำของคนก็มีมากขึ้น ประกาศตัวเองเป็นพุทธไม่พอ ติดบ้านเลขที่มีธรรมจักรไปเลย
ถาม : ศรีลังกามีธงศาสนาพุทธเป็นสี ๆ แต่ทำไมของไทยเป็นภาพธรรมจักร ?
ตอบ : เพราะไทยเราถือว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นปฐมเทศนา
อย่างของเขาไม่เรียกว่าธงธรรมจักร เขาเรียกว่า ธงฉัพพรรณรังสี คือรัศมี ๖ ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าลังกาหรือพม่าจะใช้แบบนี้ ถ้าเห็นธงธรรมจักรให้รู้ว่าเป็นไทย ของเราแหกคอกไม่เหมือนเขา
*************************
ถาม : อนันตริยกรรมที่ว่ายุให้สงฆ์แตกกัน คนที่ยุต้องเป็นพระเท่านั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ฆราวาสก็ทำได้ ขอให้ยุให้พระแตกกันได้ก็ใช้ได้แล้ว
สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ก็เกิดลักษณะที่คล้ายคลึงกับสังฆเภทขึ้นมา แต่ไม่ใช่สังฆเภท
คือพวกเดียร์ถีย์เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินนับถือศาสนาพุทธ ให้การอุปถัมภ์นักบวชในพุทธศาสนามกา จึงปลอมบวชเข้ามา โกนหัวห่มผ้ากาสาวพัสตร์กันเข้ามาเอง โดยไม่ได้ศึกษาหลักธรรมอะไร
ส่วนใหญ่ก็เอาลัทธิเดิม ๆ ของตัวเอง มาสั่งสอนชาวบ้านที่นับถือเลื่อมใส ทำให้ศาสนาพุทธสับสนปนเปมาก
เมื่อต้องไปลงอุโบสถ บรรดาพระที่ท่านบวชมาถูกต้อง ท่านก็ไม่ต้องการที่จะลงอุโบสถด้วย ก็คือไม่ลงโบสถ์ร่วมกัน เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งเท่ากับเป็นฆราวาส เป็นอนุปสัมบันเข้าไปอยู่ในเขตสีมาแล้ว การทำสังฆกรรมก็ไม่มีผล
พอเรื่องไปถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านก็ใช้ให้อำมาตย์ไปบอกให้สงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน โดยที่พระองค์ท่านไม่มีความเข้าใจ ว่าผู้ที่อยู่ในแวดวงสังฆกรรมนั้นต้องมีศีลเสมอกัน
เมื่ออำมาตย์ไปถึง ก็ไม่เข้าใจคำสั่งเจ้านาย ใช้วิธีบังคับพระให้ลงสังฆกรรม พระที่รักศีล ท่านก็ไม่ยอมลงสังฆกรรม
อำมาตย์เห็นว่าขัดคำสั่ง ก็ชักดาบตัดหัวเลย ศพที่ ๑ ผ่านไป หันมาชี้รูปที่ ๒ ท่านจะลงหรือไม่ลง ?
พอไม่ลงก็ฟันหัวขาดไปอีกคน คราวนี้พระติสสะเถระท่านเห็น เกรงว่าจะลงนรกไปมากกว่านี้ ท่านก็เลยมานั่งอาสนะที่ ๓ พอท่านมานั่งเท่านั้น อำมาตย์เห็นเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะว่าท่านเป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน
อำมาตย์จึงกลับไปกราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทราบ พระเจ้าอโศกพอได้ยินก็พระทัยหายวาบ บอกว่าให้ไปขอให้พระสงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน แต่อำมาตย์ดันทำเกินเหตุ
ก็เลยไปกราบขอขมาพระ ปรึกษากับพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า โยมจะแก้ไขอย่างไรถึงจะลดกรรมนี้ได้
พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่า มีวิธีเดียว คือจัดสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่
ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่า ท่าจะจัดการทางด้านคณะสงฆ์เอง ว่าจะจัดผู้ใดเข้าทำการสังคายนาพระไตรปิฎก
ส่วนทางบ้านเมือง พระเจ้าอโศกมหาราชต้องเป็นผู้จัดการ และให้การอุปถัมภ์พระที่ทำสังคายนาด้วย พระเจ้าอโศกมหาราชก็ตกลง
ก่อนที่จะทำสังคายนา ก็มีการชำระพระศาสนา ประกาศให้นักบวชทั้งหมดมารวมกัน ใครเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาให้ออกมาข้างหน้า พออกมาแล้วก็กวาดต้อนเข้าไปข้างใน ปิดประตูวัง ถามว่าใครปลอมบวชมา ?
ถ้าหากว่ายอมสละผ้ากาสวพัสตร์ออกแต่โยดี จะไม่เอาโทษ เปิดประตูให้ออกได้ ก็มีพวกรู้ตัวรีบเผ่นกันเยอะ แต่ก็มีพวกหน้าด้านอยู่ เพราะเห็นว่าลาภผลมาก เพราะพระเจ้าแผ่นดินอุปถัมภ์ทุกวัน จึงไม่ยอมไป
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงถามพระโคคัลลีบึตรติสสะเถระว่า ควรจะแก้ไขอย่างไร ?
ท่านทูลว่า ให้ถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจริงต้องตอบได้
สรุปว่าครั้งนั้นโดนประหารไปประมาณ ๒ - ๓ หมื่นคน...! ขนาดหนีไปก่อนหน้านั้นเป็นครึ่ง ๆ แล้วนะ
เวลาพระเจ้าอโศกมหาราชออกรบครั้งหนึ่ง ท่านจัดการไป ๒ - ๓ แสนศพ เสร็จแล้วท่านก็ไปนั่งสลดใจว่าต้องฆ่าเขามากขนาดนี้
พอดีไปเจอนิโครธสามเณร แนะนำหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้พระองค์ท่านเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา เปลี่ยนจากยุทธวิชัยมาเป็นธรรมยุทธแทน จะไม่เอาชนะด้วยการรบ แต่เอาชนะด้วยธรรม
พระองค์จึงให้การคุ้มครองอุปถัมภ์ค้ำชูแก่ประเทศเล็กกว่า อ่อนแอกว่า พอพระองค์ท่านมีแสนยานุภาพมาก และให้การปกป้องคุ้มครองลักษณะนั้น เมืองอื่นเห็นว่าไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกัน ก็ยอมมาเป็นเมืองขึ้นแต่โดยดี นั่นฝีมือสามเณรตัวนิดเดียวแนะนำให้
พระองค์ท่านเห็นประโยชน์ จึงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธเป็นการใหญ่ งานนั้นก็เลยมีการสังคายนาพระธรรมวินัยอยู่ ๙ เดือน พระโมคคัลลีบุตร ติสสะเถระรวบรวมพระอรหันต์ทั้งหมด ๑,๐๐๐ รูป ทำการสังคายนาอยู่ ๙ เดือน
แล้วก็ทูลให้คำแนะนำว่า ควรที่จะส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ในแคว้นต่าง ๆ เพื่อที่พระธรรมวินัยจได้กว้างไกลออกไป
ตรงจุดนี้เป็นจุดที่บอกว่า พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระท่านเห็นอนาคตชัดเจนเลยว่าต่อไปศาสนาพุทธจะอยู่ในอินเดียไม่ได้ ถ้าไม่เร่งส่งออกไปข้างนอกก่อน เดี๋ยวพุทธศาสนาจะสูญหมด จึงส่องออกไป ๙ สาย สายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิ
พอสายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิ ก็ตียาวลงไปถึงทวารวดี ศรีวิชัย ตอนนี้ศรีวิชัยกลายเป็นอาณาจักรของอิสลามไปแล้ว
ยังโชคดีที่อิสลามเก่า ๆ ถือหลักศาสนาเคร่งครัด เขาถือว่าการเหยียบย่างเข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่น จะทำให้ตกนรก บุโรพุทโธก็เลยเหลืออยู่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้โดนระเบิดเกลี้ยงไปแล้ว
เห็นศรัทธาของศาสนิกของเขาแล้วเสียดายมาก ถ้าเลี้ยวมาถูกทางคงจะบรรลุกันนับไม่ถ้วนเลย เขาศรัทธาขนาดยอมมอบกายถวายชีวิตให้ศาสนาได้ขนาดนั้น
ถาม : เขาจะมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ไหม ?
ตอบ : อาตมาเจอเหมือนกัน แต่เจอในลักษณะที่เหมือนกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่ง แล้วพยายามหาข้าวเปลือกให้เจอ ถือว่าหายากสุด ๆ ส่วนใหญ่ที่ไปก็คือสวรรค์ได้ เพราะโมทนาบุญของคนอื่น ไม่ใช่ว่าทำเอง
*************************
ถาม : ความมั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อกฎแห่งกรรม กับความไ่ประมาทแยกกันตรงไหน ?
ตอบ : แยกกันตรงความประมาท ถ้าไม่ประมาท เราก็ทำทุกอย่างเพื่อความมั่นคงในพระรัตนคัย และความเชื่อในกฎของกรรม
*************************
ถาม : สงสัยในอสัญญีสัตตาพรหม จิตไม่มีหรือครับ ?
ตอบ : มีทุกอย่าง แต่สภาพจิตอยู่ในฌาน ๔ เต็มระดับ ก็เลยไม่รับรู็อาการภายนอก นิ่งอยู่แต่ข้างใน ไม่รับรู้อาการภายนอก
ถ้าหากว่าเราดูในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พอถึงเวลาบรรดาพรหม เทวดาต่าง ๆ แซ่ซ้องสาธุการที่มีพระรัตนตรัยเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วในโลก แต่จะไม่มีอสัญญีสัตตาพรหม เพราะท่านไม่รับรู้ ถ้าหากว่าเข้าสมาธิระดับนั้น แม้แต่ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่ได้ยิน
ถาม : ส่วนใหญ่ท่านมีพื้นฐานจาก...หรือกสิณครับ ?
ตอบ : จะมีพื้นฐานจากอะไรก็ตาม ขอให้ถึงฌาน ๔ ก็แล้วกัน
คราวนี้ท่านเองยังไม่ใช่ฌาน ๔ ละเอียด ยังเป็นฌาน ๔ หยาบอยู่ ถ้าฌาน ๔ ละเอียดหรือฌานใช้งาน ก็จะสามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง ฌาน ๔ ละเอียดก็จะเป็นเวหัปผลาพรหม
ถาม : คนที่ได้ฌานสี่หยาบ...(ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ถ้าไม่มีพัฒนาการแล้วตายช่วงนั้น ถ้าเราได้แล้วพยายามพัฒนาตัวเองจนเป็นฌาน ๔ ละเอียด ก็จะก้าวข้ามตรงจุดนั้นไป
ถาม : ไม่ใช่ว่าได้ฌานสี่ แล้วปรารถนาไม่ขอมีนาม ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน
ถาม : เขาบอกว่าจิตดับไปเลย ?
ตอบ : ทำให้ถึงจะได้คำตอบที่ชัดที่สุด สภาพจิตที่สนใจจดจ่ออยู่เฉพาะที่ ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะไม่รับรู้เรื่องอื่น
หลักการปฏิบัติต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เอามาคุยกันเท่ ๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องทำให้ถึง จึงจะหมดสงสัยไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ถาม ๆ อยู่ร่ำไป
*************************
“ต่อให้มีของใหม่อยู่ แต่ถ้าของเก่ายังอยู่ อาตมาก็ไม่ใช้ของใหม่ ตอนไปเรียนเพื่อนพระด้วยกนท่านบอกว่า “เดี๋ยวผมถวายจีวรใหม่ให้ชุดหนึ่ง” ท่านเห็นว่าจีวรเก่ามาก
อาตมาบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ผมมีเยอะกว่าคุณอีก”
บริขารต่าง ๆ ปัจจุบันเป็นของหาง่าย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องหาผ้ามาซัก มาเย็บ มาย้อม เพื่อทำเป็นจีวร
แต่ก็ไม่ได้แปลว่า หาง่ายแล้วจะฟุ่มเฟือยได้ ต้องใช้สอยอย่างประหยัดมัธยัสถ์เหมือนเดิม ถ้าขืนไปฟุ่มเฟือย ก็ผิดหลักโภชเนมัตตัญญุตา
เราจะสรุปว่า โภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในการกินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้ประมาณในการอุปโภคและบริโภค คือทั้งกินและใช้”
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : เส้นเลือดแตกยังไม่น่ากลัว เส้นเลือดเปราะน่ากลัวกว่า บางคนโดนนิดโดนหน่อยก็ช้ำเลือดใต้ผิวหนัง
ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากอาหารการกินแทบทั้งนั้น ใครที่กินพวกไขมันอิ่มตัวมาก ก็อาการหนักกว่าเขาหน่อย
โดยเฉพาะสมัยนี้อาหารตะวันตกเข้ามาเยอะ บ้านเขาต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง เพื่อสู้กับความหนาว บ้านเราเป็นเมืองร้อน แต่ไปกินอาหารของคนเมืองหนาว ก็เกิดผล ๒ อย่างด้วยกัน
อย่างแรกคือ อ้วนง่าย เพราะว่ากินแล้วไม่ได้ไปใช้ เก็บหมด
อย่างที่สองคือ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มีมากขึ้น ถึงเวลาก็มีไขมันในเลือด มีเส้นเลือดอุดตัน
และโรคน่าเกลียดน่าชังที่เพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ คือไขมันพอกตับ ทำเป็นไก่ไปได้ มีไขมันพอกตับ...!
“ตอนนี้มีปัญหาที่วัดหนองบ้านเก่า เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่าจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สึก
ท่านสึกแบบพระที่เป็นสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือสึกอย่างเดียว เงินทองไม่ได้เอาไป ก็เลยมีปัญหาตรงที่ว่า บรรดากรรมการวัดอยากได้เงินก้อนนั้น (จำนวนเกือบ ๒ ล้านบาท)
ตอนแรกหลวงพ่อสมคิด ก็มาขอพระครูบ่าวไปเป็นเจ้าอาวาส พระครูบ่าวได้ยินก็เครียด ความดันขึ้นเลย เพราะเป็นเจ้าอากวาสวัดพุทธบริษัทก็จะแย่อยู่แล้ว
ไป ๆ มา ๆ ทางกรรมการวัด เขาก็ผลักดันพระในวัดที่เพิ่งจะ ๔ พรรษา ขึ้นไปรักษาการณ์เจ้าอาวาส เพื่อจะได้ควบคุมได้
หลวงพ่อสมคิดเห็นท่าไม่ดี ก็เลยใช้อำนาจทางกฎหมาย ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลปกครองเขตนั้นอยู่ จึงอายัดบัญชีเงินไว้ พวกกรรมการวัดก็มาคุ้ยแคะแกะเกา สารพัดที่จะเกลี้ยกล่อมทุกอย่าง หลวพ่อสมคิดไม่เอาด้วยอย่างเดียว
ท้ายสุดพวกกรรมการวัดก็เลยหันไปบีบว่าที่เจ้าอาวาสให้เป็นคนไปเบิก อ้างว่าจะทำนั่นทำนี่ ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างเจ้าอาวาสเก่าเขาทำไว้หมดแล้ว ถ้าปิดทองฝังลูกนิมิต ก็แสดงว่าโบสถ์เสร็จแล้ว ของยากที่สุดก็เสร็จแล้ว ที่เหลือยังต้องไปทำอะไรอีก ?
ว่าที่เจ้าอาวาสทนกรรมการวัดไม่ไหว จึงหนีออกจากวัดไป หลวงพ่อสมคิดก็เลยโทรศัทพ์มาปรึกษากับอาตมา ว่าจะขอตัวพระครูบ่าวอีกครั้งหนึ่ง
อาตมาได้ยินแล้วก็ขำ ครั้งแรกพระครูบ่าวก็ความดันขึ้นแล้ว นั่นแค่คาดว่าจะต้องเป็นเจ้าอาวาสนะ ถ้าต้องเป็นเจ้าอาวาสแน่ ๆ ดีไม่ดีเส้นเลือดในสมองอาจจะแตกตาไปเลย...!
อาตมาก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน พระครูบ่าวดูท่าจะไม่ไหว เพราะสุขภาพไม่ค่อยดี มีพระครูหน่อยอีกรูปหนึ่ง แต่ว่าท่านติดเรียนอยู่ หากจะไปบริหารอะไรก็ได้ไม่เต็มที่ในระยะแรก ตอนนี้มีตัวสำรองอยู่ก็คือหลวงพ่อใหม่
หลวงพี่ใหม่เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดทรงเมตตาวนาราม ที่ชลบุรีท่านเบื่อสารพันปัญหาที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ก็เลยลาออก ไป ๆ มา ๆ ท่านก็มาอยู่แถวนั้น และสนิทกับมหาโรจน์
จึงบอกว่าให้ติดต่อมหาโรจน์ให้บอกหลวงพี่ใหม่ที พระอาจารย์เล็กขอร้องให้มาเป็นเจ้าอาวาสทีเถอะ อย่างไรถ้าเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ทางนี้ผมค่อยส่งพระครูหน่อยไปให้ ก็เลยตกลงกันตามนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยกันไปถึงไหนแล้ว ?
คนลาออกจากเจ้าอาวาสด้วยความเบื่อหน่าย แล้วให้ไปเป็นเจ้าอาวาสอีก ก็คงจะยากนะ ได้แต่หวังว่าท่านคงจะเกรงใจอาตมา แล้วกัดฟันรับเอาไว้
คราวนี้โยมเห็นหรือยังว่า ปัญหาใหญ่จริง ๆ ในวัดนี่ ส่วนใหญ๋ไม่ได้เกิดจากพระ แต่เกิดจากฆราวาสที่มาทำตัวเป็นเจ้านายพระ
และฆราวาสที่เขาเข้ามา ตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ตามกกฎหมายมีอยู่ตำแหน่งเดียวคือ ไวยาวัจกร
เพราะกฎหมายระบุชัดไว้ว่า เจ้าอาวาสและไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
แต่กฎหมายคณะสงฆ์ก็ระบุไว้ชัดว่า ไวยาวัจกรมีหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ตามที่เจ้าอาวาสสั่ง แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเข้ามาเพื่อเป็นพ่อเจ้าอาวาสทั้งนั้นเลย...!
สมัยตอนอยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ที่วัดท่าซุง ท่านถึงได้สั่งไว้ว่า
“ถ้าแกไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหนก็ตาม เวลาตั้งกรรมการวัดให้ตั้งพระด้วยกันให้หมดเรื่องไปเลย อย่าไปตั้งฆราวาส”
แต่อาตมาเป็นคนชอบมีเรื่อง มีแล้วเกิดความมันในชีวิต อยู่เฉย ๆ แล้วเซ็งตายเลย เพราะฉะนั้น...พอเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านอาจารย์สมพงษ์ก็ไปเสาะหาชื่อกรรมการเก่า แล้วตั้งคืนไปทุกคน
ถึงเวลาประชุมกรรมการ อาตมาก็ชี้แจงบัญชีเงินทุกบาทุกสตางค์ทุกกองทุนให้เขาดู มีแต่ตัวเลขติดลบ เขาเห็นแบบนั้นก็หมดอยากไปเอง
ปีนี้ก็เพิ่งจะชี้แจงบัญชีไป ติดลบแค่ ๖ ล้านกว่าบาทเท่านั้น
เพราะฉะนั้น...วิธีที่จะทำให้กรรมการวัดไม่มีอิทธิพลเหนือเจ้าอาวาส ก็คือสร้างหนี้ให้เยอะ ๆ ไว้ พอเขาเห็น่าหาประโยชน์ไม่ได้ เขาก็จะไปเอง”
*************************
“กรรมการวัดไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรเลย นอกจากเจ้าอาวาสแต่งตั้งขึ้นมา เพื่อช่วยอำนวยงานวัดให้สำเร็จเรียบร้อยโดยง่าย แต่ว่าส่วนใหญ่มาแล้ว จะมาเป็นพ่อเป็นแม่เจ้าอาวาสกันทุกที
ส่วนใหญ่เขาก็ไม่รู้ด้วยว่า กฎหมายระบุไว้ว่า ถ้าเจ้าอาวาสพ้นหน้าที่ไวยาวัจกรและกรรมการก็พ้นหน้าที่ไปด้วย จนกว่าเจ้าอาวาสคนใหม่จะแต่งตั้งขึ้นมา ถ้าไม่เอาคนเก่าก็ซวยไปเลย
ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสมานี่ กรรมการวัดท่าขนุนสบายที่สุดถึงเวลาประชุม กรรมการวัดไม่ต้องออกความเห็น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นฟังอย่างเดียว...จบแล้วกลับบ้านได้
ไม่มีการบอกบุญ ไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการแจกซองให้ไปทำทั้งนั้น ถ้าแจกซองเมื่อไร ก็รั่วไหลเมื่อนั้น เขาคืนมาครบทุกซองก็จริง แต่ในซองเงินครบไหม ?
กติกาวัด ถ้าไม่บอกบุญไม่เรี่ยไรนี่สบายใจทั้ง ๒ ฝ่าย เราก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเขา เขาก็จะได้ไม่ต้องไปทุจริต
ไวยาวัจกรที่อาตมาแต่งตั้งก็สบายมาก ไม่ต้องมีอะไรเลย นอกจากถึงปีก็เซ็นรับรองบัญชีที่อาตมาทำเองนั่นแหละ เขาเห็นตัวเลข เขาก็เซ็งแล้วติดลบแดงโร่งได้ทุกปี
มิน่า...หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า เงินปีนี้อย่าใช้ถึงปีหน้า ก็แปลว่า ถลุงให้หมดเกลี้ยงภายในปีนี้แหละ
ถ้ามีเงินเหลือ ให้หางานใหญ่กว่าเงินทำเอาไว้เสมอ จะได้ไม่คิดว่าเงินเป็นของเรา สมมติว่าเหลือเงินสัก ๑ ล้านบาท ก็หางานสัก ๓ - ๕ ล้านบาททำไปเลย
คราวนี้จากกาารที่อาตมาส่งพระที่วัดไปเป็นเจ้าอาวาสที่อื่น ส่วนใหญ่ไปแล้วดี ดังนั้น...ถึงเวลาเขาขาดเจ้าอาวาสที่ไหน เขาจะมาขอที่วัดท่าขนุน
แม้กระทั่งบางรูปที่ลาออกจากเจ้าอาวาส กลับมาอยู่ที่วดัท่าขนุนอย่างพระครูน้อย ลาออกจากเจ้าอาวาสที่วัดคลิตี้มา ถึงเวลามีงาน คนคลิตี้เขาก็เอารถมาแห่กลับไป คุณไม่เป็นเจ้าอาวาสก็ไม่เป็นไร แต่ตอนวันงานคุณมาร่วมงานก็แล้ว เขารักของเขา
ชาวบ้านเขาบอกว่า เจ้าอาวาสตั้งแต่รูปแรกจนถึงรูปปัจจุบัน ที่เขาเห็นมีพระครูน้อยคนเดียว ที่ไปแล้วทำตามแบบของวัดท่าขนุน มีสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ดูแลรักษาทำความสะอาดวัด
คนอื่นเขาปล่อยวัดรกเป็นป่า อย่างดีก็ถูกุฏิตัวเองหลังเดียว บางทีกุฏิตัวเองก็ไม่ถู ใช้ชาวบ้านถูซะอีก
เจ้าอาวาสรูปก่อน ชาวบ้านเขาไม่ต้องการ เพราะว่าไปแล้วถึงเวลาชาวบ้านมานิมนต์ จะขอเก็บค่ามัดจำก่อน ๕๐๐ บาท งานใหญ่งานเล็กไม่รู้ ? จ่ายมาก่อน ๕๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นไม่ไป...!
ท่านไปลักษณะเหมือนกับโดนเจ้าคณะตำบลหลอกใช้ คือรู้ว่าความประพฤติไม่ดี แต่ตัวเองเป็นเจ้าคณะตำบลถ้าหาเจ้าอาวาสไม่ได้ ก็อาจจะโดนพิจารณาว่าบกพร่อง
ท่านก็เลยทำตราตั้งโดยไม่มีลายเซ็น ให้ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นตราตั้งที่ไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะว่าไม่มีลายเซ็นเจ้าคณะตำบล โดยที่เขาบอกว่าบริหารงานให้ดี แล้วเขาจะเซ็นให้ทีหลัง เข้าใจแหกตามากเลย...!
พอชาวบ้านเขาไม่เอา แล้วมาขอเจ้าอาวาสจากอาตมา อาตมาจึงส่งพระครูน้อยไป ทางด้านรักษาการเจ้าอาวาสไม่ยอม ...ประท้วงว่า “ผมจะรวมชาวบ้านมาขับไล่”
อาตมาบอกว่า “ดี...รีบไปรวมมา”
พอชาวบ้านมากันครบ อาตมาก็ประกาศบอกผู้ใหญ่บ้านว่า
“เอ้าโยม...ลงคะแนนมา จะเอาเจ้าอาวาสใหม่ หรือจะเอาเจ้าอาวาสเก่า”
ปรากฎว่าทุกคนเอาเจ้าอาวาสใหม่ เจ้าอาวาสเก่าจึงเฉาไปเลย
อาตมาบอกว่า “คุณไม่ได้มีอำนาจอะไรตามกฎหมายเลย เพราะตราตั้งก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง
การรายงานขึ้นไป เพื่อให้ทางคณะสงฆ์รับรอง ให้เป็นเจ้าอาวาสอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มี แต่เจ้าอาวาสใหม่ตรงตั้งอยู่นี่ ผมเพิ่งจะเซ็นตั้งเมื่อครู่นี้เอง”
คราวนี้พอพระครูน้อยท่านอยู่ไปนาน ๆ แล้วเหนื่อย การเป็นเจ้าอาวาสนี่เหนื่อยมาก ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง โบราณท่านใช้คำว่า สมภาร (สม+ภาร เสมอด้วยงาน) พูดง่าย ๆ ก็คือ ไปแบกภาระทุกอย่างในวัดท่านก็เลยลาออก
หลังจากพระครูน้อยออก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชาวบ้านยังไม่ได้เห็หน้าเจ้าอาวาสใหม่เลย ทุกคนรู้ว่ามีการแต่งตั้ง แต่เจ้าอาวาสใหม่ไม่เข้าไป เพราะว่าทางไกลและลำบาก ท่านก็ไม่เข้าไป
แต่งตั้งตัวเองเอาไว้เพื่อเอาอาวุโส และกินเงินเดือนเฉย ๆ เงินเดือนเจ้าอาวาสก็แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ
ก่อนหน้านี้หลายสิบปี เงินเดือนเจ้าอาวาส ๕๐๐ บาท เพิ่งจะมาขึ้นเงินเดือนเมื่อไม่นานมานี้เอง
ตอนสมัยนั้นเจ้าคุณสามัญอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนที่ท่านเป็นพระสุธรรมยานเถระ เงินเดือน ๔๔๐ บาท เจ้าอาวาสได้ ๕๐๐ บาท สมเด็จพระสังฆราชเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท เพิ่งจะมาปรับในยุคหลังนี่เองไม่กี่ปี
มาช่วงร้ฐบาลคุณทักษิณ จะปรับเงินเดือนให้เจ้าอาวาส ๓,๓๐๐ บาท โดยเอาฐานแนวคิดจากการส่งคนไปนั่งกินข้าวในตลาด
สรุปว่าคนหนึ่งถ้ากินแล้วอิ่มพอดี มื้อละ ๕๕ บาท พระฉัน ๒ มื้อ ๑๑๐ บาท คูณ ๓๐ ได้ ๓,๓๐๐ บาทพอดี
แต่ไม่สำเร็จ เสนอเรื่องไปแล้วโดนตีหงายท้องกลับมา เขาให้แค่ ๑,๕๐๐ บาท แต่ก็ยังดี...งอกเพิ่มมา ๑,๐๐๐ บาท ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่ ๕๐๐ บาทเท่าเดิม
ส่วนอาตมา ตั้งแต่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มา เงินเดือนพระครูสัญญาบัตร ๒,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไปปีละ ๕,๐๐๐ บาท
เข้ากองทุนวัดช่วยวัด ๒,๕๐๐ บาท
เข้ากองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ ๒,๕๐๐ บาท
จะหักเดือนมกราคมกับเดือนเมษายน ก็แปลว่าทำงาน ๑ ปี ได้เงินเดือน ๑๐ เดือน ขนาดได้ทุกเดือนยังไม่พอยาขี้ฟันเลย...!
ส่วนใหญ่คนอื่นเขาอยากเป็นเจ้าอาวาสกัน เพราะว่าเขาหวังผลประโยชน์เวลากฐินหรือผ้าป่า
แต่พระสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ ถ้าเงินมาต้องเหนื่อย เพราะว่าต้องไปทำให้เขา พอทำแล้วไม่เสร็จ ก็ต้องไปหาเพิ่มให้เขาอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเราไม่มีใครอยากจะเป็นเจ้าอาวาสกัน”
*************************
|