“ช่วงที่อาตมาอยู่เกาะฤๅษี อาทิตย์หนึ่งก็จะเข้าตลาดครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะไปซื้อพวกกับข้าว และข้าวของต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้
ไปถึงก็เห็นเขาขายชมพู่เพชร ก็ไปสั่งเขา ๕ กิโลกรัม บอกให้เขาเลือกให้ด้วย เจ้าของร้านบอกว่าเลือกไม่เป็น พระอาจารย์เลือกเป็นไหม ?
อาตมาบอกว่า ถ้าอาตมาเลือกเอง โยมน้ำตาเล็ดแน่ คราวหน้าขายไม่ได้หรอก
เขาถามว่าทำไม ?
เพราะอาตมาเลือกแต่ลูกหวาน ๆ จะเหลือแต่ลูกจืด ๆ เขาก็ทำหน้าเหมือนกับไม่เชื่อ ก็เลยจัดการเลือกเอง
ปรากฎว่าตัวขี้สงสัยก็คือ ท่านกอล์ฟ สงสัยทุกเรื่อง บอกว่าขอเปลี่ยนลูกหนึ่งได้ไหม ?
ท่านเอาชมพู่ลูกที่อาตมาเลือกออก แล้วก็เอาที่ไม่ได้เลือกมาลูกหนึ่ง แล้วจำไว้ว่าลูกไหน พอถึงเวลาซื้อมาแล้วเสร็จสรรพ ท่านกอล์ฟก็ฉวยลูกที่เลือกกับที่ไม่ได้เลือก ไปกัดอย่างละคำ แล้วท่านก็ยอมรับว่า ลูกชมพู่ที่อาตมาเลือกหวาน ส่วนที่ท่านเปลี่ยนมารสชาติเปรี้ยวจืด ๆ
ท่านถามวาทำไมอาตมาถึงรู้ ก็เพราะอาตมาเกือบจะโตมากับต้นชมพู่ สมัยเด็ก ๆ ปีต้นเก็บกินอยู่ทุกวัน ทำไมจะไม่รู้ลูกไหนอร่อยหรือไม่อร่อย ?
ชมพู่ถ้าจะให้หวาน ก่อนออกตลาดสักอาทิตญ์หนึ่งให้ตัดน้ำเสียอย่ารดน้ำ ถ้ารดน้ำแล้วต้นจะดูดน้ำขึ้นไปมาก รสชาติจะจืด
แต่คราวนี้เจ้าของเขาไม่รู้ ไปเร่งน้ำเยอะ ๆ น้ำหนักจะได้ดี ปรากฎว่ารสชาติไม่เอาอ่าวเลย”
*************************
“เด็ก ๆ สภาพจิตยังผ่องใสอยู่ จึงรับรู้อะไรได้ไว ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ไม่รักเขาจริง เห็นเขาเป็นภาระ บางทีเขาก็เบื่อ ไม่ยอมรับ ดังนั้น...พี่เลี้ยงต้องปรับตัวเยอะ ๆ ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องกัดฟันรักเขาให้ได้
เพราะสภาพจิตของเขายังผ่องใสอยู่ ยังไม่เหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นี่กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทับถมมายาวนานเท่าอายุ ในเมื่อใจเขายังใสอยู่ก็รับอะไรได้เร็ว
เหมือนกับหมาที่วัด อาตมาด่าหมา เขาแลบลิ้นเลียหน้าแผล็บ ๆ เพราะรู้ว่าอาตมาด่าแต่ปาก แต่เวลาด่าพระด่าเณรนี่นั่งหัวหดกันหมด แสดงว่าหมารู้ดีกว่า..!
มีอยู่ระยะหนึ่งตอนนั้นอาตมาราว ๆ สัก ๕ - ๖ พรรษา เจอเด็กแล้วรักทุกคนเลย คิดแล้วใจหาย นี่ถ้าเป็นฆราวาสได้แต่งงานมีลูกแน่ ๆ ช่วงอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นลูกใครก็น่ารักไปหมด”
*************************
“เดี๋ยวนี้ผ้าไตรพัฒนาไปเยอะ ปัจจุบันนี้ที่เขานิยมกันเป็นผ้ามัสลิน ถ้าเป็นผ้าฝ้าย ๑๐๐% ทอแล้วเนื้อจะเป็นขน แต่ว่าห่ามสบาย
แล้วก็มีผ้าโทรเร ซึ่งจะผสมโพลีเอสเตอร์ ๓๐%
มีผ้าไตรแพร ผ้าไตรแพรนี่จะลื่นมาก สวยอย่างเดียว แต่ห่มไม่ติดรัดอกดีแค่ไหน เดี๋ยวก็ลื่นหล่น
มีผ้าไตรไหม แบ่งเป็นไหมญี่ปุ่นกับไหมโคราช ไหมญี่ปุ่นว่าราคาแพงแล้ว ไหมโคราชยังแพงกว่าอีก
ผ้าพวกนี้เป็นผ้าที่บ้านเรานิยมใช้กัน ถ้าเป็นตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ตามบทบาลีที่ว่า โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺคํ
โขมํ ผ้าเปลือกไม้
กปฺปาสิกํ ผ้าฝ้าย
โกเสยฺยํ ผ้าไหม
กมฺพลํ ผ้าขนสัตว์
สาณํ ผ้าป่าน
ภงฺคํ ผ้าแกมกัน เป็นผ้าเนื้อผสม อย่างฝ้าวผสมโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น
แสดงว่า การทอผ้าในสมัยโบราณก็ก้าวหน้า เพราะว่าสามารถใช้หลายอย่างผสมกันทอขึ้นมาได้ บางทีถึงขนาดใช้เส้นเงินเส้นทองมาผสมเป็นเนื้อผ้า ทอออกมาแล้วหนักมาก ถ้าไม่แข็งแรงพอก็ยกไม่ไหว
ถ้าหากว่าใครที่สะสมผ้าโบราณหรือศึกษาเรื่องนี้มา เขาดูก็รู้เลยว่าผืนนี้ผสมอะไรบ้าง ไปขอซื้อจากคุณย่าคุณยาย แต่ก็มักจะไม่ค่อยชาย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้เป็นผ้าประจำตระกูล ไว้รับขวัญ มีอบพวกบุหงาด้วย เปิดลังอออกมานี่หอมตลบไปหมด”
*************************
“เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๑ คณะรัฐมนตรีมีมติว่า ให้ผู้หญิงลาบวชได้ ๓ เดือน โดยไม่ถือว่าขาดราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงานหรือลูกจ้างประจำของหน่วยงานรัฐที่เป็นสตรี
แต่ที่ทองผาภูมิ พออาตมาประกาศว่าลามาบวชที่วัดได้ เพราะว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เขาต้องประกาศก่อนว่าวัดไหนพร้อม ปรากฎว่าพวกข้าราชการที่ทองผาภูมิลาไม่ได้ หัวหน้าหน่วยงานในพื้นที่บอกว่าไม่มีคำสั่งมา
จริง ๆ แล้วเมื่อเป็นมติคณะรัฐมนตรีแล้วไม่ต้องมีคำสั่ง เพราะเขาถือว่าเป็นกฎหมายอยู่แล้ว อย่างนี้ต้องฟ้องให้ลือลั่นไปสักรายหนึ่ง จะได้เข็ดไปตาม ๆ กัน
อาตมาเองแจ้ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด บอกว่าช่วยแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดหน่อยว่า มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ช่วยให้ทางจังหวัดมีคำสั่งลงไปทุกหน่วยงาน จะได้รู้เรื่องกันไป ไม่อย่างนั้นผู้หญิงเขาก็เสียสิทธิ์ไปโดยใช่เหตุ”
*************************
ถาม : ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังอยู่ จัดงานเป่ายันต์ที่ศาลาไหนครับ ?
ตอบ : ครั้งแรกที่ศาลาพระพินิจอักษร เป่ายันต์ได้ครั้งเดียว เพราะว่าต้องเป่ากัน ๔ - ๕ รอบ แล้วก็ย้ายไปที่ศาลา ๒ ไร่ ไปที่ศาลา ๔ ไร่ แล้วก็ไปที่ศาลา ๑๒ ไร่ ๓ ครั้งหลังนี่ใช้ศาลา ๑๒ ไร่
ถาม : หลวงพ่อท่านพักที่ตึกไหนครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้านั้นอยู่ที่ตึกริมน้ำ (นนทา อนันตวงศ์) แล้วย้ายไปที่ตึกกลางน้ำ (สงวนจิตรและเพื่อน) แล้วก็มาย้ายไปหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร)
ถาม : หลังวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่เขาเรียกว่าเล้าเป็ดหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่…เล้าเป็ดเป็นกุฏิแรกของท่านที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ เป็นกุฏิเล็ก ๆ แบบเพิงหมาแหงน
*************************
“วันอาทิตย์ช่วงเช้า ๆ คนจะน้อย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะตื่นสาย เห็นเป็นวันหยุด แต่อาตมานี่ไม่ว่าจะวันหยุดหรือไม่หยุดก็ตื่นสายไม่ได้ เป็นตายอย่างไรก็จะตื่นให้ได้ ๑.๓๐ น. - ๒.๐๐ น. ก็ต้องตื่น เพราะว่าเป็นความเคยชิน
ตอนเด็ก ๆ ครอบครัวคนจีนเริ่มทำงานตั้งแต่เช้ามืด พอมาฝึกกรรมฐานก็ต้องรีบตื่น เพื่อที่จะได้มีเวลาพอฝึก ก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ที่ตื่นสายกับใครเขาไม่เป็น เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องตื่นขึ้นมาทำกรรมฐานให้ได้
สมัยที่หนักที่สุดก็คือ ตอนเรียนทหาร ช่วงฝึกยุทธวิธีรบเวลากลางคืน ช่วงนั้นเป็นเดือน ๆ ต้องตื่นตี ๕ กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่มก็มีเสียงเป่านกหวีดเรียกให้ให้ตื่นไปฝึก จนตี ๒ ตี ๓ แล้วค่อยนอน ตี ๕ ตื่นใหม่ เป็นอย่างนี้ทุกวัน ก็ยังอุตส่างห์ตื่นขึ้นมาฝึกกรรมฐานได้
เพราะรู้ว่าถ้าเราไม่ฝึกตอนนี้ เวลาอื่นก็ไม่มีให้ฝึกแน่นอน
แม้ว่าสมัยนั้นจะสามารถวิ่งไปภาวนาไปได้ แต่กำลังใจไม่นิ่งเหมือนตอนที่นั่งภาวนา เป็นสมาธิแน่นไม่ได้ เพราะว่าถ้าสมาธิแน่นจะทำให้วิ่งไม่ออก
อาตมาวิ่งภาวนาได้ก็จริง แต่สมาธิยังไม่ใช่ระดับฌานใช้งาน เป็นได้แค่อุปจารสมาธิ จึงต้องมานั่งฝึกให้สมาธิทรงตัว แต่ก็ดีตรงที่ทำให้มีกำลัง แม้ว่าจะนอนน้อยแต่ก็ยังไปได้เรื่อย
ขนาดนั้นก็ยังเคยยืนหลับ ทหารเขาฝึกท่าอาวุธ เวลาครูฝึกสั่งเรียบอาวุธ อาตมาก็ลดปืนลงจากบ่าตามขั้นตอน แต่พอจังหวะเข้าร่องไหล่ดันตัดหลับเฉยเลย
โดนครูฝึกตะโกนกรอกหูว่า “เฮ้ย...อย่าเหม่อสิวะ!” ถึงได้สะดุ้งเฮือกขึ้นมา แสดงว่าเวลาร่างกายเพลียมาก ๆ จะตัดหลับเอง ยืน ๆ อยู่ก็หลับได้ ถึงได้รู้ว่าหลับในเป็นอย่างไร หลับใน...เพราะว่าข้างในไม่รับรู้...หลับไปแล้ว”
*************************
“มีคนมาน้อย ๆ ประมาณ ๑๐ - ๒๐ คนกำลังดี ถ้าคนเยอะ ๆ แล้ว คนนั้นเรื่องหนึ่ง คนนี้เรื่องหนึ่งแล้ว ทำให้ต้องปรับอารมณ์มาก โดยเฉพาะปรับลง ทำให้เหนื่อยมาก
เพราะแต่ละคนกำลังใจไม่เท่ากัน ถ้าอาตมาไม่ลดกำลังใจลงไปให้เท่าเขา หรือไม่เพิ่มกำลังใจขึ้นไปให้เท่าเขา ก็จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น
ถ้าลดเพิ่มเท่ากันก็สามารถตอบปัญหาได้ เพราะจะเข้าใจว่าอารมณ์ของเขาตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร
ตรงจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ว่า ถ้าหากไม่มีความคล่องตัวจริง ๆ แล้วมานั่งอยู่ในสถานะผู้ตอบคำถามเดี๋ยวจะยุ่ง เจอคนถามคำถามงี่เง่ามาก ๆ เข้าจะเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีก ถ้าหากว่าโกรธขึ้นมาก็ยุ่งเลย”
*************************
ถาม : ตอนออกป่า ท่านสมาทานธุดงค์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยสมาทาน เดี๋ยวเทวดาเหยียบเอา เพราะว่าอาตมาไม่เคร่ง แต่ก็ไปได้นานกว่าพวกที่สมาทานอีก
ถาม : ที่ว่าไม่เคร่ง คือส่วนของอภิสมาจารหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ในส่วนของการฉัน เพราะว่าอาตมาเองฉัน ๒ มื้อ ส่วนหลวงตาโมเช่ท่านเกรงใจ ท่านจึงไม่ฉัน ๓ มื้อ แต่ฉัน ๒ มื้อตาม ทั้งที่ท่านเป็นตาฤๅษี
ถาม : ท่านฉันผักอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงก็ถือในลักษณะของกินเจอยู่แล้ว ไปป่ากันเป็นเดือน ออกมานี่ไม่รู้ว่าผอมหัวโตกันขนาดไหน กินแต่ผักแต่หญ้า
มีอยู่ช่วงหนึ่งเดินอยู่ ๒ - ๓ วัน มีแต่ป่าชะอมไปตลอดทาง ด้วยความที่อาตมาเป็นเด็กชาวบ้านมาก่อน ก็คิดว่าชะอมเป็นพืชยืนต้น
แต่จริง ๆ แล้วชะอมเป็นไม้เลื้อย อยู่ในป่าต้นใหญ่ขนาดขาอ่อนเลื้อยเต็มภูเขาเลย แต่ตามบ้านที่เห็นเป็นไม้ยืนต้น เพราะว่าโตไม่พอให้เลื้อย โดนเด็ดยอดอยู่เรื่อย
ตอนช่วงนั้น อาตมาเดินจากทุ่งใหญ่ขึ้นไปอุ้มผาง ๓ วันอยู่แต่ในดงชะอม ไม่ได้พ้นไปไหนเลย อะไรจะขึ้นได้เป็นดง ๆ ขนาดนั้น...!
แบบเดียวกับผักหวานป่า ผักหวานป่านี่ถ้ามีต้นแม่อยู่บนยอดเขาเนินเขานั้น ทั้งลูกจะเป็นผักหวานป่าหมด เพราะว่าเวลาเม็ดตกก็จะขึ้นไปเรื่อย
ตอนนั้นกินชะอมจนหน้าจะเป็นหนามอยู่แล้ว พอวันที่ ๓ คงจะทำหน้าเบื่อโลกเต็มที หลวงตาโมเช่ท่านก็บอกว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนผักแล้ว”
พรุ่งนี้จะพ้นเนินเขานั้นแล้ว อะไรก็พอกินได้ แต่ผักชะอมฉุนจะตาย ต้องทนกินอยู่ตั้ง ๓ วัน
แต่ไปกับท่านโมเช่นั้นดีอยู่อย่างหนึ่ง เจออะไรที่กินได้ ท่านจะเก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ท่านบอกว่าใบนั่นกินได้ หน่อนี่กินได้ ดอกนั่นกินได้
บางทีหุงข้าวแล้ว อาตมานั่งเฝ้าหม้อข้าวอยู่ ท่านก็เดินหาายเข้าป่าไป พักหนึ่งได้ผักมาเป็นหอบเลย ท่านบอวก่าอย่างนี้ต้องต้ม อย่างนี้ต้องเผา
แต่ก็แปลก...ผักบางประเภทเวลาเคี้ยวใบสด ๆ เข้าไปแล้ว โดนยางกัดปาก เพราะว่าเป็นกรด แต่พอเผาแล้วกลับอร่อย
อาตมาเองอยากรู้ว่ากินวิธีอื่นได้หรือเปล่า ? ก็เลยลงจนท่านโมเช่โกรธ
ท่านบอกว่า ลูกผักหวานกินไม่ได้ กินแล้วตาย อาตมาลองชิมดู...อร่อยนี่หว่า...!
พอแกะออกหน้าตาเหมือนเม็ดบัว แต่กรอบเหมือนแห้ว กินไปเป็นหอบ ๆ เลย กินเสร็จก็เดินยิ้มย่องผ่องใส แต่ปากคอชาไปหมด แสดงว่าเป็นพิษจริง ๆ
ท่านโมเช่เดินไปบ่นไป “มาด้วยกันไม่เชื่อกัน แล้วจะไปด้วยกันทำไม ?”
เขาไม่เคยเห็นคนอื่นที่บอกว่ากินแล้วตาย ยังตั้งหน้าตั้งตากิน...!
อยู่ในป่า อย่าไปคิดว่ามีผักผลไม้เกลื่อนกลาด ความจริงไม่ใช่หรอก...บางทีไปเจอมะพูด กินเข้าไปท้องร่วงแทบตาย จะไปถือตามที่พระธุดงค์ท่านสอนต่อ ๆ กันมาว่า “ลิงกินได้ คนก็กินได้”
อาตมาเกือบตายมาแล้ว ลิงกินทุกวันจึงมีภูมิต้านทา งแต่อาตมากินไปครั้งแรกนี่ ถ่ายเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าเลย ขนาดฉันน้ำร้อนลงไป ยังถ่ายออกมาใส ๆ เลย พูดง่า ยๆ ว่าลำไส้ตั้งแต่ต้นยันปลาย ไม่มีอะไรเหลือค้างอยู่แม้แต่นิดเดียว...!
หลักสูตรที่บอกว่า ลิงกินได้ คนก็กินได้ อาตมาไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะว่าเจอมาเอง บางทีก็ไปเจอผลไม้ที่หน้าตาน่ากิน แต่ดันไปเจอที่เขาเรียกว่า ต้นแสลงใจ
ตอนไปเจอก็แปลกใจว่า มีลูกสุกเหลืองเต็มต้นไปหมด แต่ทำไมไม่มีอะไรมากินเลย ความจริงแล้วแสลงใจเป็นพิษแรงขนาดช้างล้ม ช้างเดินผ่านด่านตรงนั้นจนราบเป็นทาง แต่ทำไมไม่กินต้นนี้บ้างเลย
พอจะเก็บสักหน่อย ท่านโมเช่บอกว่า “กิงไม่ได้อาจาง ช้างยังตายเลย...!”
บางวันไปเจอของน่ากินเข้า ท่านโมเช่ก็ไม่มั่นใจ เพราะไม่เคยกินมาก่อน ท่านก็ไปหาผักตำลึง หรือผักบุ้ง หรือรางจืด มาเป็นหอบเลย แล้วก็เริ่มชิมก่อน
บอกว่าถ้าหากว่าแกเริ่มชักขึ้นมา ให้อาตมาเอาตำลึงหรือรางขืดที่เตรียมไว้นั่นแหละ มาตำแล้วกรอกปาก ตอนอยู่ในป่าลองกินกันด้วยวิธีนี้แหละ จะไ้ดรู้ว่าอะไรกินได้บ้าง
ถึงได้รู้ว่าคนโบราณเขารู้ได้อย่างไรว่า อะไรที่กินได้หรือไม่ได้ เขาก็ลองกันด้วยวิธีนี้แหละ ส่วนที่พลาดก็ตายไปเลย...!
แล้วที่รู้อย่างหนึ่งก็คือ เห็ดหูหนูเคี่ยวไม่ได้ พอสุกแล้วต้องกินเลย อาตมาล้างจนสะอาด แล้วให้ท่านโมเช่ต้ม พรุ่งนี้จะได้กิน
พอตอนเช้าอาตมาตื่นก่อน ก็มาต้มต่อ ปรากฎว่าพอเดือดแล้วเสียงเหมือนเวลาต้มข้าวต้ม ลองเอาช้อนตักขึ้นมากลายเป็นกาวไปแล้ว เห็ดหูหนูต้มมกา ๆ ละกลายเป็นแป้งเปียกไปเลย
อยู่ในป่าเวลาเจอเห็นหูหนูทีหนึ่ง ก็เก็บกันเป็นย่าม ๆ เพราะว่าเวลาเห็ดชินนี้ขึ้น จะขึ้นเต็มทั้งขอนไม้ แล้วขอนไม้ในป่าโตเป็นโอบ เจอกันทีก็เก็บแทบไม่ไหว ต้องเลือกเอาที่ขึ้นใหม่ ๆ ดอกใหญ่ ๆ เท่านั้น
ถาม : เข้าป่าเคยอดนานที่สดุกี่วันครับ ?
ตอบ : ไปจริง ๆ ไม่เคยอด เพียงแต่ว่าต้องจำกัดอาหาร บางทีเหลือบะหมี่สำเร็จรูปคนละ ๒ - ๓ ซอง ระยะทางยังอีกตั้ง ๗ - ๘ วัน ก็ต้องจำกัดอาหาร หาผักมาเยอะ ๆ
ถ้าเดินไปตามลำห้วยก็สบาย มี ผักกูด ผักหนาม พอให้อาศัย ถ้านอกเส้นทางขึ้นมาก็แล้วแต่ดวง ถ้าไปเจอต้นไม้ที่รู้จักก็สบาย กินได้แน่ ถ้าไม่รู้จักก็ใช้วิธีที่ว่านั่นแหละ คนหนึ่งชิม ที่เหลือก็นั่งลุ้น จะรอดหรือไม่รอดหว่า ?
ถาม : เคยอดน้ำบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เคยอดมาก ๆ ก็ตอนเข้าห้วยขาแข้งเดินไปเจอ ห้วยหวั่นกุ๊ ห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร ปกติเป็นลำห้วยสายมหึมาเลย แต่ปีนั้นแล้งจัด น้ำไหลริน ๆ เหมือนจะขาดใจ ต้องเอาฝากระติกน้ำเล็ก ๆ ไปรองทีละฝา
บางทีเดินไป ๗ วัน ๘ วัน พ้นจากบ้านคนไปแล้ว อยู่กลางป่า ยังหาแหล่งน้ำไม่ได้ ไปเจอแอ่งเล็ก ๆ อยู่แอ่งเดียว ช้างก็ลุยซะเละหมด ช้างกินเสร็จก็ขี้เยี่ยวลงไปเรียบร้อย
เราจะทำอย่างไรได้ ก็ต้องเอามากิน ใช้วิธีเอาผ้าอาบคลุมบาตรไว้ แล้วก็ตักน้ำเทใส่ผ้าอาบให้กรองไปในตัวกรองได้แต่พวกเศษใบไม้ใบหญ้ากับดินโคลน ส่วนกลิ่นกรองไม่ได้ ยังมีกลิ่นขี้ช้างเยี่ยวช้าง เอามาต้มแล้ว กลิ่นก็ยังอยู่ แต่ก็ต้องกิน ไม่กินก็ไม่รู้ว่าจะไปหากินจากที่ไหน
*************************
ถาม : ตี้จู้เอี๊ยโดนน้ำท่วม ถ้าจะตั้งใหม่ ต้องมีพิธีอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องมีพิธีมากหรอก จุดธูปบอกท่านว่าขอโยนของเก่าทิ้ง แล้วเอาของใหม่มาตั้งได้เลย
ถาม : ตั้งได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งครั้งแรกต้องทำเต็มพิธี แต่ถ้าแค่เปลี่ยนใหม่ จุดธูปบอกท่านเฉย ๆ ก็ได้
*************************
ถาม : ทำสมาธิถึงช่วงลมหายใจหายไป เข้าสู่อารมณ์นี้ตลอด แต่ผ่านจุดนี้ไม่ได้สักที ?
ตอบ : ก็เพราะเราไปนึกถึงลมหายใจที่หายไป แล้วตะกายไปหายใจใหม่ ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ ตายเป็นตาย แล้วเราก็ตามดูไปเฉย ๆ
ส่วนใหญ่พวกเราพอลมหายใจหายไป ความกลัวตายจะทำให้ตะกายกลับมาหายใจใหม่ เพราะฉะนั้น...ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าตายเป็นตาย
มีมากต่อมากด้วยกันที่เป็นแบบนี้ ระยะแรกอาตมาก็เป็นแบบนี้ พอไม่หายใจก็ตกใจ รีบกลับมาหาลมหายใจ กลายเป็นขึ้นบันไดไปแล้ว แต่ต้องย้อนกลับมาอยู่ที่ก้าวแรกทุกที
ถาม : ถ้าผ่านจุดนี้ไป จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ร่างกายเหมือนกับว่าค่อย ๆ แข็งขึ้นมา จนเหมือนกับกลายเป็นหินไปเลย
บางทีก็เย็นจากปลายเท้าขึ้นมา บางทีก็เริ่มเย็นจากปาก รวบเข้ามา ๆ ทั้งหมดที่รวบเข้ามา จะมาสว่างโพลงอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งข้างใน สว่างกว่าพระอาทิตย์หลายเท่าเลย ตอนนั้นฟ้าถล่มดินทลายเราก็ไม่รู้เรื่อง
ถาม : การที่มีอารมณ์แบบนี้บ่อย ๆ เป็นการซ้อมหรือครับ ?
ตอบ : ถ้ามาสายพุทธภูมิเก่าก็จะเป็นแบบนี้แหละ เข้าหลุด ๆ จนกระทั่งชำนาญไปเอง ถึงสามารถบอกเขาได้ทุกขั้นตอน
คนอื่นเป็นแค่สักครั้งสองครั้งก็จบแล้ว ส่วนพวกเราต้องย้ำแล้วย้ำอีก ต้องสามารถบอกเขาได้ทุกตารางมิลลิเมตร ไม่ใช่ตารางนิ้ว
สาวกภูมิทั่วไป เดินขึ้นบันไดมา บางทีมีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย
พุทธภูมินี่นอกจากต้องรู้ว่ามีกี่ขั้นแล้วกว้างยาวเท่าไร สร้างจากวัสดุอะไร ใช้วิธีไหนสร้างต้องรู้จนหมด
*************************
เจ้าอาวาสใหม่มาปรึกษาเรื่องการบูรณะปรับปรุงวัด พระอาจารย์กล่าวว่า
“ให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบ...ผมยืนยัน เพราะว่ารีบไปก็ไม่มีประโยชน์ การรีบทำแล้วจะมีผล ๒ อย่าง
อย่างแรก เขาเห็นศักยภาพของเรา แล้วจะยอมรับ
แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นอย่างที่ ๒ คืออิจฉา แล้วจะหาทางเตะสกัดเรา...!
ยังดีว่าคุณมีเจ้านายอย่างหลวงพ่อสมคิดนะ ถ้าเป็นเจ้านายคนอื่น เขากลัวว่าเราจะไปเบียดตำแหน่งของเขา คราวนี้เขาจะสกัดเราฉิบหายวายป่วงหมด ผมโดนมาตั้งแต่แรก ๆ เลย จนเป็นประสบการณ์แนะนำพวกคุณได้เลยว่า ให้ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ต้องรีบ”
*************************
“ช่วงเดือนที่ผ่านมา ฝนเลื่อนลงไปที่ปักษ์ใต้ ส่วนที่เห็นชัด ๆ ว่ารุนแรงขึ้น ก็คือคลื่นชายฝั่ง จากปกติที่ไม่หนักหนามากมาย เดี๋ยวนี้มีลักษณะที่เป็นพายุคลื่นที่รุนแรงมาก
ต่อไปถ้าบ้านเรือนของใครอยู่ติดชายน้ำมาก ก็ต้องสร้างกำแพงกันคลื่นด้วย
มนุษย์ต่างดาวเขาสร้างกำแพงกันคลื่นแบบน่ารักมาก ทำเหมือนกับเราปักเสา แต่เขาปักเสาเป็น ๓ ชั้น เป็นแท่งคอนกรีตใหญ่ขึ้นไปเหมือนกับเสา ปักแล้วก็เว้นช่อง ส่วนแถวที่ ๒ ก็สลับฟันปลา แถวที่ ก็สลับฟันปลา
พอคลื่นมากระทบเสาช่องที่ ๑ กับเสาช่องที่ ๒ จะทำให้คลื่นลดกำลังไปเกือบหมดแล้ว มาถึงช่องที่ ๓ ก็หมดกำลังพอดี ไม่มีอันตรายอะไรจริง ๆ แล้ว เราน่าจะเลียนแบบต่างดาวเขาบ้างนะ”
*************************
ถาม : ขอพรค่ะ จะแต่งงาน ?
ตอบ : ไม่ต้องขอพรอะไรหรอก อดทนให้มาก ๆ ก็พอ รับประกันซ่อมฟรี ชีวิตคู่เหมือนลิ้นกับฟัน เรื่องที่จะไม่กระทบกระทั่งกันไม่มีหรอก เพราะฉะนั้น...ต้องอดทนให้มาก ๆ
*************************
“เรื่องของพระธาตุ ถึงแม้จะสร้างขึ้นมาเลียนแบบก็ตาม แต่ก็อยู่ในลักษณะเดียวกับพระพุทธรูป เป็นของที่สำคัญมาก เราจะทำเล่น ๆ ไม่ได้
พระบรมสารีริกธาตุของจริงนี่ วัตถุใดสัมผัสถูก เทวดาก็รักษาหมด
เพราะฉะนั้น...ภาชนะที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วางได้ ปลงได้ ก็แล้วไป เจอเทวดาท่านที่ไม่ชอบใจ แล้วลงไม้ลงมือด้วย เราจะเดือดร้อน...!
*************************
“ตะกรุดมหาสะท้อนเป็นของอันตราย อาตมาไม่อยากให้เอาไปใช้เห็นผลมาเยอะต่อเยอะ จนอาตมาสยดสยองเองแล้ว
พวกเราส่วนใหญ่สร้างบารมีมามาก บุคคลที่สั่งสมบารมีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดเป็นบุญฤทธิ์ขึ้น
ในเมื่อเป็นบุญฤทธิ์ขึ้นมา คนคิดร้ายก็แย่แล้ว แถมเรายังไปเล่นตะกรุดมหาสะท้อนด้วย ฝ่ายนั้นก็เดี้ยงสถานเดียว...!
ฉะนั้น...จริง ๆ แล้วไม่ต้องมีตะกรุดหรอก ภาวนาคาถา เมสัมมุก ขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไว้ทุกวัน กำลังใจทรงตัว ก็คุ้มได้เหมือนกับมีตะกรุดนั่นแหละ
ถ้าเรารู้สึกว่าตะกรุดราคาแพง ก็ไม่ต้องห่วง...ของฟรีมี ภาวนาเอาเองก็ได้ แต่พวกเราส่วนใหญ่พอบอกให้ไปภาวนา ก็ไม่มั่นใจ ท้ายสุดก็มาเอาตะกรุดไปจนได้
มีหลายท่านสงสัยว่า พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๑ ที่อาตมาเผลอใส่ตะกรุดมหาสะท้อนไป มีเนื้อไหนบ้างที่ใส่ ก็มีเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ
เพราะฉะนั้น...ถ้าใครใช้พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ๓ เนื้อนี้ คนหรือสัตว์กำลังคลอดอยู่ อย่าเข้าไปใกล้นะ โปรดเมตตาเขาหน่อย ถ้าเขาคลอดไม่ได้แล้วจะยุ่ง”
*************************
พระอาจารย์อ่านหนังสือ ปริศนาเอสกิโม แล้วเล่าว่า
“พวกเอสกิโมพอไปเจอสบู่อาบน้ำของฝรั่ง อยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า ก็เอาใส่ปาก อาตมาเลยนึกถึง อาจารย์โมเช่ของเรานี่แหละอาตมาพาท่านเสียคน กลายเป็นกะเหรี่ยงที่ทันสมัยไปเลย
เวลาเอาข้าวของแปลก ๆ พวกกาแฟซอง โอวัลตินซองเข้าไป อาจารย์โมเช่ก็จะถามวิธีกิน พอไปเจอผงซักฟอกของเข้า ท่านถามว่าอันนี้กินอย่างไร ?
ยังดีนะว่าท่านเป็นคนฉลาด ถามก่อนทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องยา อาจารย์โมเช่จะระวังมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ถามจนละเอียดจริง ๆ ท่านจะไม่กินเด็ดขาด เพราะรู้ว่ายาฝรั่งอันตราย ท่านยอมใช้สมุนดีกว่า เป็นคนล้าสมัย แต่รอบคอบมาก
มีอยู่ครั้งหนึ่งไปห้างกัน ๗ - ๘ วัน ท่านต้มยาชนิดหนึ่ง ซึ่งผีบอกว่ากันเอดส์ได้ พวกเราก็แห่กันไปกิน พอกินแล้วจะเกิดผลหรือไม่ ตอนกลางคืนมืด ๆ ให้เอาฝ่ามือมาถูกันดู ถ้าเกิดผล จะมีประกายไฟแลบลั่นไปหมด ยาของท่านแปลกดีเหมือนกัน
คราวนี้พวกเราไปก็ทำอาหารเลี้ยงท่านบ้าง เพราะที่ผ่านมาให้ท่านเลี้ยงอยู่ฝ่ายเดียว ข้าง ๆ กระต๊อบมีดงไผ่ พวกเราไปเจอหน่อไม้เข้า ก็เก็บมาเผา หอกเปลือก ต้มใส่ใบย่านาง ต้มไว้ค้างคืน
รุ่งขึ้นก็เอามาผ่า แล้วซอยหมักใบย่านางไว้ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งอาจารย์โมเช่เห็นว่ายังหมักน้ำใบย่านางอยู่ ท่านก็เอาขึ้นมาเพื่อที่จะทำอาหาร พวกเราก็บอกว่า
“ยัง ๆ .โมเช่...ยังกินไม่ได้”
ท่านโมเช่ว่า “โอ้โฮะ..๒ วันยังกินไม่ได้อีก...!”
ท่านไม่เคยเจออาหารอะไรที่ทำช้าอย่างนี้มาก่อน ความจริงหน่อไม้ถ้าหมักใบย่านางแล้วจะอร่อย พวกเราทำอย่างใจเย็น ส่วนท่านประเภททำเดี๋ยวนั้น กินเดี่ยวนั้นเลย
ตอนนี้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาส วัดกู่ไจ้ ที่เมียวดี ทางฝั่งพม่า เวลาขาดแคลนอะไร ท่านก็จะมาบอกว่าต้องการเงินไปทำอะไร อาตมาก็ควักให้ไปทุกที
ท่านปลื้มใจมาก เพราะว่าในบริเวณ ๒ เมืองนั้น ทั้งโกกะเร่ย (กรุกกริก) และเมียวดี มีแต่ส้วมของวัดท่านที่ไม่เหม็น
ปกติส้วมพม่ามีลักษณะเหมือนส้วมซึมบ้านเรา แต่เป็นรูปลงไปเฉย ๆ ไม่มีท่อกักน้ำกันกลิ่นย้อนขึ้นมา เพราะฉะนั้น...ต่อให้ส้วมพม่าอยู่ห่าง ๑๐๐ เมตร ก็ยังได้กลิ่น
แต่อาจารย์โมเช่ท่านอุตส่าห์แบกหัวส้วมจากเมืองไทยข้ามไป ทำส้วมได้ ๓ ห้อง ท่านบอกว่า ต่อไปอาจารย์ไปเที่ยววัดผมได้สบายแล้ว เพราะว่าส้วมไม่เหม็น
อีกครั้งหนึ่งหลังจากท่านหายไป ๓ ปี โผล่มา
“อาจาง...ขอเงินสองหมื่น”
อาตมาถามว่า จะไปทำอะไร ?
ท่านบอกว่า จะไปติดไฟฟ้าที่เจดีย์ หายไป ๓ ปี ไปสร้างเจดีย์เสร็จแล้ว
อาตมาก็ถามว่า จะไปเอาไฟฟ้าที่ไหน ?
ท่านบอกว่า “เดี๋ยวไปซื้อไอ้แผง ๆ ที่ทำไฟได้” ท่านทันสมัยขนาดนั้น
ถามว่ามีขายหรือ ท่านบอกว่า “มี ๆ ไปดูมาแล้ว”
ถามว่า ไฟพอใช้หรือ ?
ท่านบอกว่า ถ้าใช้เฉพาะไฟที่ประดับเจดีย์ก็พอใช้
สรุปว่า ท่านซื้อโซลาร์เซลล์ไป ๒ แผง จากฝั่งแม่สอด แล้วก็แบกข้ามไป อาตมาเองยังไม่รู้เลยว่าแถวนั้นมีโซลาร์เซลล์ขาย
ตอนนี้ท่านโมเช่หายไปปีกว่าแล้ว ยังไม่โผล่มาเลย ถ้าโผล่มา ก็ยังไม่รู้จะให้ช่วยทำอะไรอีก ท่านเป็นคนที่สร้างบุญอย่างเดียว หมู่บ้านไหนจะสร้างเจดีย์มาบอกท่าน ท่านจะไปสร้างให้ มีเงินหรือไม่มีเงิน ท่านก็ทำจนเสร็จ
ระยะหลัง ๆ นี่สร้าง ๓ - ๔ แห่ง อาตมามีหน้าที่เป็นนายทุนควักเงินให้ท่านไป ท่านจะไปหาคนช่วยเอง
พวกชาวบ้านที่อยู่ตามชายแดนไทยพม่า เขานิยมสร้างเจดีย์กันมาก ชอบสร้างบนยอดเขา ยิ่งสูงย่ิงดี เขาบอกได้บุญเยอะดี ท่านไม่เคยขาดแรงงาน นอกจากขาดเงิน ก็มาขอที่อาตมา
อาตมาก็คิดว่า แล้วเขาจะเอากรวดเอาทรายที่ไหนไปสร้าง ปรากฎว่าเขาลงไปในลำห้วย เก็บก้อนกรวดก้อนหินที่เป็นหินน้ำตกลื่น ๆ กลม ๆ มาผสมปูน คนละถังสองถัง อาตมาก็มองว่าเข้าท่า ซื้อแต่ปูนอย่างเดียวหินทรายไม่ต้องซื้อ
ตอนไปช่วยสร้างเจดีย์ ที่วัดห้วยหินดำ อาตมาก็ว่า “เอ๊ะ...ท่านโมเช่ เจดีย์เอียงนะ”
ท่านมาเล็ง ๆ ดูแล้วบอกว่า “เอียงจริง ๆ แหละอาจาง...ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ?”
“ก็พวกเราเล่นเทปูนข้างเดียว ทำนั่งร้านขึ้นข้างเดียว แล้วเทปูนลงไปแบบนั้น น้ำหนักก็ถ่วงข้างเดียว จนแบบเอียงนะสิ”
ท่านถามว่า จะทำอย่างไร ?
อาตมาบอกว่า “เดี๋ยวรอให้ชั้นนี้แห้ง แล้วสกัดเอาส่วนที่เอียงออก ค่อยเทต่อ ต่อไปจำไว้ว่า ให้เทปูรอบ ๆ องค์เจดีย์ ไม่ใช่ไปเทข้างเดียวแบบนั้น”
งานนั้นสนุก เพราะว่าพาพวกท่านกอล์ฟ ท่านยุ้ย มหาเคไปช่วยด้วย ทิ้งให้อยู่กับท่านโมเช่เป็นเดือน ๆ
งานของพระศาสนา ไม่ว่าจะทำที่ไหน ก็เป็นงานของพระศาสนา
โดยเฉพาะว่า ถ้าพระสงฆ์ของเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างที่อาตมาทำ จะเป็นมอญ พม่า กะเหรี่ยง กะหร่าง ฝั่งไทย ฝั่งพม่า ช่วยเขาหมด ขอให้มีแรงช่วยได้เป็นช่วยหมด แบบนี้พระศาสนาก็จะเจริญ
แต่ทางฝั่งพม่า มีจุดบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อถึงเวลา เขาจะประดังกันมาขอความช่วยเหลือ ถึงเราบอกว่ากำลังช่วยวัดนี้อยู่ เขาไม่สนใจหรอก เพราะว่าวัดเขาจะเอา
อาตมาบอกว่า “ตูไม่ได้บ้านี่หว่า ทำทีละวัดสิวะ ไม่ใช่ทำให้มั่วไปหมด” เล่นประดังกันมาขอทีละ ๓ - ๔ วัด ใครจะไปทำให้ไหว
อย่างท่านอาจารย์เต้ก็เหมือนกัน พออาตมาถามท่านว่า ไปทอดผ้าป่าให้เขาได้เท่าไร ท่านบอกว่า “ได้เจ็ดหมื่น เขาจะทำหรือไม่ทำก็ไม่รู้ ให้ไปแล้ว”
ท่านอาจารย์เต้ก็ช่วยงานทั้ง ๒ ฝั่งเหมือนกัน ถ้าจะไปเที่ยวแถวมะริด ทวาย ตะนาวศรี ไปขอใบผ่านจากท่านได้
อาตมาว่าจะไปดูบ่อน้ำมันเมืองมะริด ตั้งแต่ยังไม่มีถนน จนตอนนี้มีถนนแล้ว ก็ยังไม่ได้ไปเลย ตอนยังไม่มีถนน ถามท่านอาจารย์เต้แล้ว ท่านบอวก่าเดิน ๓ วัน ตอนมีถนน คาดว่าน่าจะวันเดียวก็ถึงแล้ว
บ่อน้ำมันเมืองมะริดอยู่ริมทะเล อาตมาต้องการไปดูแค่นั้นเองว่าอยู่ตรงไหน เป็นบ่อน้ำมันดิบ แต่สีออกสนิมเหล็ก ไม่ใช่นำ้มันดิบดำปี๋เหมือนยางมะตอย ใช้จุดไฟได้เลย
แสดงว่าข้างใต้จะต้องมีความร้อนใต้ดินผ่าน เพราะเท่ากับกลั่นน้ำมันขึ้นมาในตัว ถ้าน้ำมันดิบแท้ ๆ จะเหนียวหนึบ ขว้างใส่หัวนี่ติดหนับแกะไม่ออกเลย”
*************************
“จำไว้ว่าถ้าเป็นพระ อย่าไปเป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้านตัวเอง ญาติจะมากวนตายชัก ไปให้ไกล ๆ เลย ถ้าเขาอุตส่าห์ตะกายตามไปหาถึงที่ แล้วค่อยให้เขากวน
เป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้าน เดี๋ยวญาติข้างนั้น เดี๋ยวญาติข้างนี้ มาเต็ไปหมด ถ้าไม่เด็ดขาดพอ ก็เอียงกระเท่เร่ โดยเฉพาะถ้าเขาเห็นเราสงเคราะห์ใครมากกว่า ก็จะมองตาเขียวปั๊ด
พวกบรรดาญาติโดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ เขาไม่ได้เห็นเราเป็นเจ้าอาวาส ไม่ได้เห็นเราเป็นหลวงปู่หลวงพ่อเหมือนคนอื่นหรอก เขาเห็นเป็นลูกเป็นหลานเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่อยากให้เขาลงนรกก็หนีไปให้ไกล ๆ เลย”
*************************
ถาม : ครุกรรมหนักฝ่ายกุศล คือส่วนของสมาบัติ ๘ และมรรคผลนิพพานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นิพพานไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล พ้นจากนั้นไปแล้ว
ครุกรรมฝ่ายกุศลจริง ๆ เขาเน้นที่สมาบัติ ๘
ถาม : ถ้าได้สมาบัติ ๘ คือญานโลกีย์ ตายไปเกิดเป็นอรูปพรหมฝ่ายเดียวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิม ถ้าเคยปรารถนาพุทธภูมิมา จะไม่ไปเกิดที่นั่น เพราะว่าว่ากติกาของความเป็นพระโพธิสัตว์ จะไม่ไปเกิดในอรูปพรหม เนื่องจากว่าพระยะเวลานานเกินไป ทำให้สร้างบารมียาก
ถ้าหากว่าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ก็อยู่ตรงนั้นแหละ
อีกอย่างก็คือ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แล้วได้สมาบัติ ๘ ก็ไปตามกำลังของตัวเอง ถ้าเป็นโลกียฌานก็อยู่ตรงนั้นแหละ
ถาม : ถ้าได้สมาบัติ ๘ แล้วไม่ปรารถนาไปอยู่อรูปพรหม ก่อนตายก็ไม่เข้าสมาบัติ ๘ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้…แต่ส่วนใหญ่มักจะไปอยู่ตรงนั้น เพราะว่าเผลอเมื่อไร กำลังใจก็จะไปที่จุดสูงสุดที่ตัวเองเคยชิน
มีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องประกอบไปด้วยวุฏฐานวสี คือมีความคล่องตัวในการออกจากฌาน ถึงเวลาก็หลบลงมาที่สมาธิระดับต่ำ ๆ
ถาม : อยู่ในฌาน ๔ หรือครับ ?
ตอบ : ใช่…อย่าให้เกินนั้น หลบมาอยู่ในรูปฌาน แต่ส่วนมากแทบะจไม่มีใครรอด
ถาม : ยากนะครับ ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับคุณสร้างทางใหญ่เป็นซูเปอร์ไฮเวย์ แล้วให้หลบลงทางเล็ก ๆ คุณก็ไม่ชิน มักจะไปตามซูเปอร์ไฮเวย์ของคุณนั่นแหละ
*************************
|