​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๙๑

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม ๒๕๕๕


              “คนที่กลัวตาย เขาก็กลัวเสียจริง ๆ อาตมาถึงได้เคยบอกว่า ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียว ก็ไม่กลัวไปทุกอย่าง
              กลัวความสูง ตกลงไปแล้วเป็นอย่างไร...ตาย
              กลัวที่แคบ ติดอยู่นาน ๆ เป็นอย่างไร ..ตาย
              กลัวผี เดี๋ยวผีมาหักคอ หักคอแล้วเป็นอย่างไร...ตาย
              อาตมาตามดูคำว่ากลัวอยู่เป็นปี ๆ กลัวอะไร ท้ายสุดก็เจอ อ๋อ...กลัวตาย
              กลัวงู งูกัดแล้วเป็นอย่างไร...ตาย กลัวเสือ เสือกัดเป็นอย่างไร...ตาย
              ไม่เหลือจริง ๆ มาสรุปลงตรงตายหมดเลย
              บางอย่างที่เหมือนกับไม่มีเหตุไม่มีผล อย่างกลัวจิ้งจก จิ้งจกกระโดดเกาะ ขยะแขยงสุด ๆ อาจถึงกับช็อกตาย สรุปแล้วลงตรงตายอยู่ดี ดูแล้วไม่มีอะไรหนีคำว่าตายพ้นเลย
              ไปนั่งในป่าช้า รอผีมาหักคอ ดูซิว่าจะตายจริงไหม ?
              ผีก็ขี้เล่นเหลือเกิน ประเภทเอามือเย็นเจี๊ยบมาบีบคอ พอเราว่าพุทโธ ผีก็คลายมือ แต่จับคาเอาไว้ พอเราเลิกพุทโธ ผีก็บีบต่อ พอเราพุทโธ ผีก็ปล่อยมือ ไม่ยอมไปไหนนะ เอามือคาไว้อย่างนั้น มือก็เย็นเจี๊ยบเลย
              ฟัดกันทั้งคืนจนกระทั่งเช้า บอกว่า “เฮ้ย...พอก่อน...จะไปบิณฑบาต” ผีก็ไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่ เป็นผีที่ว่าง่ายมาก”
*************************

              “ช่วงนี้ออกพุทธาภิเษกหลายงานติด ๆ กัน ตั้งแต่พุทธาภิเษกวัตถุมงคล สำหรับแจกในงานปิดทองฝังลูกนิมิต ของวัดหนองม่วง
              แล้วมานั่งปรกอธิษฐานจิต เพื่อหล่อพระประธาน วัดดอนชะเอม
              และงานเมื่อวาน พุทธาภิเษกที่สนามหลวง
              ส่วนเดือนนี้ต้องทิ้งงานเพื่อนฝูงหลายงาน งานครูบาอริยชาติวันที่ ๙ ไปไม่ได้
              งานพระราชทานเพลิงหลวงปู่ครูบาผัด ก็ไปไม่ได้เพราะว่านั่งรับสังฆทานอยู่ตรงนี้
              ส่วนงานสืบชะตาของหลวงพี่เอก ก็ไปไม่ได้ เพราะอาตมาต้องรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศ
              ไม่เอาพัดยศเขาไม่ว่าหรอก แต่จะโดนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...!
              เรื่องของยศตำแหน่ง เราจะไม่ใส่ใจอย่างไรก็ได้ แต่พระราชทานมาแล้วต้องรับ รับแล้วคุณจะไปหมกไว้ก้นตู้ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าไม่รับ เขาถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซวยไม่รู้จบจริง ๆ
              ไม่ใช่เราสันโดษแล้วไม่รับ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า
              อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตุง
              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราให้คล้อยตามพระราชา

              คำว่าพระราชา รวมความว่ากฎหมายด้วย เพราะสมัยก่อนพระบรมราชโองกาก็คือกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเราเป็นพระแล้วก็จะทำอะไรตามใจได้”
*************************

              “ดูรูปของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต แล้ว รู้สึกเหมือนกับว่าเวลาของอาจารย์เดินช้ากว่าคนอื่น อาจารย์จะทำอะไรในลักษณะใจเย็นสุด ๆ จนกระทั่งอาตมาสงสัยว่า เวลาของท่านเดินช้ากว่าเราหรืออย่างไร
              รูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค กับรูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนสมัยอายุยังไม่มาก อาจารย์จักรพันธุ์เป็นคนวาดทั้งคู่ ที่เราเห็นว่าทำไมดูมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างกับภาพถ่าย นั่นฝีมืออาจารย์จักรพันธุ์วาด
              แต่ที่ตลกกว่านั้นก็คือ แม่ของอาจารย์จักรพันธุ์ในตอนนั้น พอเห็นรูปหลวพ่อวัดท่าซุงก็ว่า “อ้าว..พระองค์นี้ยังอยู่อีกหรือ ?”
              อาจารย์จักรพันธ์ุถาม “ทำไมหรือครับแม่ ?”
              แม่ตอบว่า “ส่วนใหญ่พระที่พูดเพระา ๆ แบบนี้ สาวเอาไปกินหมด...!”
              สมัยหนุ่ม ๆ หลวงพ่อเป็นพระนักเทศน์มีชื่อเสียง พูดจาไพเราะกับญาติโยม แสดงว่าโยมแม่เขาเคยเจอหลวงพ่อตอนที่อยู่วัดช่างเหล็ก หรือไม่ก็ตอนที่อยู่วัดประยูรฯ”
*************************

              พระอาจารย์พูดถึงหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๒ ว่า
              “มีคนให้ความเห็นมาว่า ทำไมเอาแต่ดอกบัวบาน ๆ มาเป็นปกแสดงว่าอาตมาชอบคนแก่ใช่ไหม ?
              เขาว่าซะเสียหายหลายแสน แต่ความจริงคนแก่คุยกันรู้เรื่องมากกว่านะ
              สมัยก่อนเวลาอาตมาไปบ้านสาว ก็จะไปคุยกับพ่อกับแม่เขา คุยไปคุยมาจนพ่อแม่เขาทนไม่ได้ “ถามจริง ๆ เถอะ นี่มาหาใครกันแน่ ?”
              อาตมาก็บอกว่า ตั้งใจจะมาคุยกับคนแก่ เพราะว่าคนแก่ประสบการณ์เยอะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นคว้าเอง เขาก็แปลกใจ...เป็นเพื่อนกับลูกสาว แต่มาตั้งหน้าตั้งตาคุยกับพ่อกับแม่ ไม่ไปหาลูกสาวเลย”
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน)​ ?
      ตอบ :  ได้…แต่เบื่อไม่จริง เอาแค่พระที่วัดท่าขนุนก็แล้วกัน
              “อาจารย์ครับ ...ผมขอลาไปอยู่ที่โน่น”
              “อาจารย์ครับ...ผมขอลาไปอยู่ที่นี่”
              “ผมชอบอยู่เงียบ ๆ”

              ไปอยู่ได้ ๓ วัน เผ่นอออกมาเลย เพราะว่าเงียบเกินไป แสดงว่าชอบไม่จริง
              พออยู่ในที่ที่ไม่ได้พูด ไม่ได้คุยกับชาวบ้านชาวเมืองก็อยู่ไม่ได้ แสดงว่าโดนกิเลสหลอก เพราะว่านักปฏิบัติถ้าทำถึงจริง ๆ ที่ไหนก็อยู่ได้
              ลองดู หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส สิ ใคร ๆ ก็เรียกท่านว่าพระป่ากลางกรุง ที่เรียกท่านว่าพระป่ากลางกรุง เพราะว่าท่านทำวัดเหมือนกับป่า ไม่ค่อยปฏิสันถารกับใครหรอก
              ถึงเวลาออกมาสวดมนต์ทำวัตร หมดธุระก็กลับกุฏิ ญาติโยมถ้าเอาอาหารมาส่ง ก็วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวศิษย์วัดเอามาประเคนเอง
              ถ้าญาติอยากรู้ข่าวคราว ก็โผล่หน้ามาทางหน้าต่าง โบกมือให้เห็นว่ายังไม่ตาย กลับไปได้แล้ว
              นึกถึงท่านแล้ว สุดยอดมนุษย์จริง ๆ อยู่ท่ามกลางเมืองหลวง แต่ปฏิบัติตนจนเป็นพระสุปฏิปันโน ที่คนเขาเคารพนับถือทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะฉะนั้นจริง ๆ ก็คือว่า ที่ไหนก็ได้ ขอให้ทำจริงเท่านั้น
      ถาม :  (ไม่ได้ยิน)
      ตอบ :  เอาอย่างนั้นเลยหรือ ?
              อึดอัดใจเมื่อไร ก็แปลว่าเกิดปฏิฆะหรือแรงกระทบอยู่แล้ว
              ในเมื่อยังรับแรงกระทบมา ก็แปลว่าการปฏิบัติของเรายังไม่ได้ผลจริง
*************************

              “ปลายเดือนนี้มีงานเป่ายันต์เกราะเพชร ปีนี้มีเสาร์ห้า ๓ ครั้ง อาตมาโดนสั่งให้เป่ายันต์ทั้ง ๓ ครั้ง รู้สึกปลื้มปีติกับสถานการณ์ประเทศชาติมาก โดยเฉพาะช่วงเดือน ๕ เดือน ๖ ของไทย ไม่ใช่เดือน ๕ เดือน ๖ ฝรั่งนะ บ้านเมืองเรายุ่งเป็นยุงตีกันเลย
              คำว่า “ยุ่งเป็นยุงตีกัน” บางคนอาจจะไม่เคยเห็นยุงตีกันเป็นอย่างไร แต่อาตมาเคยเห็นมาแล้วไม่รู้อันไหนปีก อันไหนเขา มั่วไปหมดกลิ้งเป็นก้อนอยู่กับพื้น ทะเลาะกันได้ขนาดนั้นนะ ทั้ง ๆ ที่ยุงตัวนิดเดียว รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็มหัวพอ ๆ กับคนเราเลย
              ส่วนนกเอี้ยงตีกัน ชอบลุยกันเป็นฝูง ลงไปกลิ้งขนกระจายอยู๋บนพื้น ตีกัน ๓ - ๔ คู่ ฟัดกันกลม
              ดู ๆ แล้วไม่ว่าจะคนหรือสัตว์พวกไหนก็ตาม ถ้าหากว่ายังไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เรื่องจะไประงับ รัก โลภ โกรธ หลง นี่ไม่ต้องไปหวังเลย
              อย่างนกเอี้ยงตีกันเสียงเอะอะเอ็ดตะโร แล้ววันร้ายคืนร้าย ถ้าเสียงดังเรียกความสนใจ ก็อาจจะมีแมวมาเป็ฯกรรมการ แล้วความซวยก็จะเกิดขึ้น บางทีนกก็เสร็จแมวทั้งคู่ เพราะว่ามัวแต่ตีกันเพลินจนลืมสังเกตอันตราย”
*************************

              “หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ท่านทำปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทอง ปลุกด้วยคาถา จะภะกะสะ
              เอาใส่กาละมัง พายเรือไปเทไว้กลางแม่น้ำ แล้วก็มานั่งเรียกบนฝั่งปลาตะเพียนทำด้วยโลหะแท้ ๆ ถึงเวลาว่ายน้ำมาเข้ากาละมังได้”
*************************

              “วันก่อนมีฝรั่ง ๒ คน เขามาถามหาสังขารหลวงปู่สายว่าอยู่ที่ไหน ดันมาเจอเจ้าอาวาสเข้าพอดี ก็เลยพาไปที่กุฏิหลวงปู่สาย
              ตรงนี้ทำให้เห็นจุดอ่อนว่า พระของเราแม้จะเก่งภาษาอังกฤษหลายรูป แต่ไม่ถนัดในการปฏิสันถารกับญาติโยม จะเป็นเพราะท่านรักสงบสันโดษหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ?
              ถ้าสมมติว่าคนเข้ามาในบ้าน เราก็ควรถามเขาว่ามาธุระอะไร ? ใช่ไหม ? การปฏิสันถารต้อนรบสมควรต้องมี แต่นี่เปล่าเลย...ปล่อยให้เขาเดินหาเอาเอง
              ถ้าอาตมาได้ยินเสียงหมาเห่าผิดปกติ ก็จะโผล่ออกไปดู ถ้าเห็นฝรั่งมา จะถามก่อนว่า...จะไปไหน ? มีธุระอะไร ?
              บางคนก็บอกว่าจะไป View Point อาตมาก็บอกให้ขึ้นเขาไปโน่นเลย บันได ๒๕๘ ขั้นเอง
              แต่ฝรั่งเขาไม่ท้อนะ บางคนดูว่าอายุประมาณ ๖๐ - ๗๐ ปีแล้ว ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุไม่เกิน ๔๐ ปี คนไทยเราถ้า ๖๐ - ๗๐ ปี ก็ตะบันน้ำกินกันหมดแล้ว
              อาตมาค่อนข้างจะหน้าด้านกับฝรั่ง เพราะว่าพูดภาษาเขาไม่กลัวผิด ก็ไม่ใช่ภาษาเรานี่ ในเมื่อไม่ใช่ภาษาเรา อุตส่าห์ใช้ภาษาของคุณแล้ว คุณฟังให้เข้าใจก็แล้วกัน
              อีกประการหนึ่ง อาตมาเป็นคนไม่กลัวใคร ก็เลยไม่รู้ว่าพวกพระท่านกลัวหรือเปล่า เวลาต้องพูดกับฝรั่ง ? ทั้ง ๆ ที่หลายท่านนี่จบปริญญาโทจากอังกฤษมาเลย
              อาตมาถือว่าฟังไม่รู้เรื่อง ก็เป็นปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของผม ผมพูดภาษาคุณได้ก็ดีตายชักแล้ว จะเอาอะไรมากนัก ทีเขามาบ้านเรา เขายังพูดภาษาที่ไม่รู้เรื่องได้เลยนี่นา
              ตอนนี้ต้องให้ท่านยี้ (พระธีราวุธ นิสโก) อยู่ ก็ให้ชีตุ๊ช่วย เพราะว่าฝรั่งผผู้หญิงไม่ค่อยจะฟังเสียงหรอก เจอพระ เขาชอบใจก็คว้าแขนยืนคู่ถ่ายรูป บางคนกอดคอเลย เขาไม่รู้ธรรมเนียมของเรา พอบอกว่าแตะต้องไม่ได้ เขาก็สงสัยอีกว่าทำไมถึงแตะไม่ได้...?!”
*************************

              “ดูชุดของพระภูฏานแล้วทะมัดทะแมงดี พวกวัชรยานสายทิเบต เขามีเสื้อกั๊กด้วย เมื่อไรเมืองไทยจะอนุญาตให้พระนุ่งกางเกงใส่เสื้อกั๊กกับเขาบ้างหนอ ?
              วัชรยานสายทิเบตเข้าไปตอนที่พุทธศาสนาสายตันตระกำลังรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น...ความเชื่อของเขาบางอย่างก็เลยค่อนข้างจะค้านกับของเรา
              อย่างเรื่องศักติของพระพุทธเจ้า ศักติก็คือคู่ตรงข้าม อย่างเช่น ผู้ชายตรงข้ามกับผู้หญิง พระพุทธรูปของสายวัชรยานจะมี “ปางยับมุม” ที่มีผู้หญิงกอดเอวอยู่ เราไม่รู้ก็ไปหาว่าเขาสร้างปางอุบาทว์ ความจริงเป็นความเชื่อของเขาอย่างนั้น
              เขาว่าผู้หญิงผู้ชายต้องประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถึงจะประสบความสำเร็จ สามารถบรรลุธรรมได้ เขาใช้คำว่า ความเข้มแข็งอย่างเดียวโดยไม่มีความอ่อนโยน มีแต่เกิน ไม่พอดี
              แล้วแนวความอีกอย่างคือ การฆ่า เพื่อระงับฆ่า
              ถ้าสมมติว่าต้องฆ่าโจรสักคนหนึ่ง เพื่อไม่ให้โจรไปฆ่าอีกหลายคนนี่เขาก็จะทำ ก็เลยกลายเป็นความเชื่อในลีลาของพระโพธิสัตว์ ตัวเองยอมลงนรก เพื่อให้ผู้อื่นรอดไปได้”
*************************

              “อย่างหลวงจีนคงซิ่ง แห่งวัดเส้าหลิน ท่านเป็นว่าที่เจ้าอาวาส แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดวิปลาสขึ้นมา ดื่มสุรา กินเนื้อ ซึ่งเป็นความผิดมหันต์ของสายมหายาน เพราะมหายานกินเจ ไม่เบียดเบียน ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ท่านคงซิ่งก็เลยโดนขับไล่ออกจากวัด
              ก่อนที่ท่านคงซิ่งจะโดนขับไล่ออกจากวัดนั้น ไม้เท้าพระธรรมหายสาบสูญไป ไม้เท้าพระธรรมนี้เป็นของท่านตั๊กม้อ หรือท่านโพธิธรรมเถระ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดเส้าหลิน
              ตอนหลังสืบหาเจอ ปรากฎว่าไปอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่ประเภทเจ้าพ่อ ทำให้ไม่มีใครกล้าทวง ทางวัดขอซื้อในราคาเท่าไร เขาก็ไม่ขายให้ หลวงจีนคงซิ่งที่อยู่ ๆ วิปลาสขึ้นมา ถูกขับไล่ออกจากวัด ออกไปอาละวาดอยู่ในยุทธจักร แล้วครอบครัวที่ซื้อไม้เท้าพระธรรมนั้นมา ก็โดนหลวงจนคงซิ่งบุกเข้าไปฆ่าล้างโคตร เอาไม้เท้าพระธรรมคืนมาได้
              สรุปว่า ตั้งแต่นั้นมาหลวงจีนคงซิ่งก็เป็นคนบาปของแผ่นดิน แต่ไม้เท้าพระธรรมกลับคืนไปสู่วัดเส้าหลิน
              เขาเพิ่งจะรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ท่านจึงวิปลาสขึ้นมา เพราะต้องแกล้งบ้าง ไม่อย่างนั้นเรื่องจะเดือดร้อนถึงวัด จึงต้องให้ตัวเองโดนไล่ออกจากวัดก่อน
              พอโดนไล่ออกจากวัด ก็แกล้งเป็นบ้า ๆ บอ ๆ ในยุทธจักร ได้โอกาสก็บุกไปฆ่าล้างทิ้งเสียเลยทั้งตระกูล เอาไม้เท้าพระธรรมคืนวัดเส้าหลินไป
              คราวนี้ทางการจะไปเล่นงานอะไรวัดเส้าหลินก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านโดนไล่ออกแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับวัด นี่แหละคือลักษณะของพระโพธิสัตว์ ถ้าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ตัวเองลำบากแค่ไหนก็ยอม”
*************************

              “ปีนี้ไม่รู้ว่าเขาฮิตอะไร จัดงานสวดมนต์ข้ามปีกันทั้งประเทศเลย เสียงตอบรับปีนี้ดีมาก เพราะชาวบ้านมาร่วมสวดมนต์ด้วยเยอะ
              ส่วนท่านที่ไม่ได้มาสวดมนต์ เพราะว่าต้องเตรียมการเกี่ยวกับงานของทางเทศบาล เขาบอกว่าฟังอยู่ที่บ้าน เพราะเวลาทางวัดท่าขนุนสวดมนต์ เสียงจะได้ยินไปไกลเกือบทั่วอำเภอ
              ช่วงใหม่ ๆ ที่วัดสวดมนต์ จะโดนคนโทรศัพท์มาด่า แต่เขาด่าผิดคน เพราะเขาไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนด่าเก่งขนาดไหน ...!”
*************************

              “สมัยก่อนโยมแม่ของอาตมาขายล็อตเตอรี่ ขายไปจนเหลือใบท้าย ๆ ขนาดลดราคาแล้วก็ไม่มีใครซื้อ ปรากฎว่าใบท้าย ๆ นั่นแหละถูก ที่ขายก็ขายไป ที่เหลือแม่ก็ถูกเองด้วย กำไร ๒ ต่อ ลดราคาแล้วเขายังไม่ซื้อ เพราะว่าเลขไม่สวย เลขไม่สวยนั่นแหละออกดีนักแล
              มีเจ้าหน้าที่เขื่อนรายหนึ่งรับล็อตเตอรี่ไปส่งต่อ มีคนหนึ่งแทงหวยเลข ๐๐๐ (ตองศูนย์) แทงมา ๕,๐๐๐ บาท เจ้าหน้าที่คนนี้ก็รับกินเอง แล้วดันออกตองศูนย์
              คิดดูว่าบาทละ ๕๐๐ เขาแทงมา ๕,๐๐๐ บาท ได้ไป ๒ ล้านกว่าบาท หมดตัวเลย เห็นว่าเลขนี้ไม่มีทางออก แต่ดันออกมาจริง ๆ
              เรื่องของการพนัน ไม่ว่าจะเป็นหวยหรืออะไรก็ตาม เป็นลาภที่เกิดจากการทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน อย่างเช่น ออกไปเห็นเขามีกองบุญการกุศลก็ทำเลย ถ้าอย่างนั้นจะมาลักษณะลาภลอย
              มีใครรู้จัก ดร.เอ (อัจฉรา เสาว์เฉลิม) บ้างไหม ?
              รายนั้นถ้าเล่นเป็นถูกทุกงวด แต่พอไปดูเขาเล่น เห็นบัญชีหางว่าวยาวเป็นกระดาษชำระเลย หักกลบลบล้างแล้วเหลือไม่กี่ร้อยบาท แต่เขาถุกทุกงวด ขอให้คิดจะเล่นเถอะต้องถูก
              หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า เป็นพวกกองลาดตระเวน เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย เจอบุญที่ไหนเขาทำหมด ทำไปทำมาก็กลายเป็นลาภลอย บุญก็คือ ความดีในอดีตส่งผลถึงปัจุบัน เขาเรียก ปุพเพกตปุญฺญตา ผลบุญที่ทำมาแต่ปางก่อน
              ดังนั้น...เราจะหวังว่ามาทำตอนนี้แล้วก็จะได้ชาตินี้ ก็คงต้องทำต่อเนื่องกันหลาย ๆ ปีหน่อย เราทำตอนนี้ ขยับไปหน่อยก็เป็นอดีตแล้ว ถึงเวลาพอดีตต่อเนื่องกันได้นาน ๆ ความดีเริ่มส่งผล ปัจจุบันก็จะดี
              แต่ว่าความจริงควรจะมาเน้นในเรื่องของสมาธิภาวนา เพราะถ้าเราทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผลของการปฏิบัติก็จะดีขึ้น”
*************************

      ถาม :  เบื่อการเกิดแล้วครับ แต่บางทีก็ไม่เบื่อเลย อยากจะให้เบื่อแบบจริง ๆ ต้องทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เบื่อ ๆ อยาก ๆ ใช่ไหม ?
              ถ้าอยากจะกลัวการเกิดแบบจริง ๆ จัง ก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่า ทุกวินาทีในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา เรากำลังลุยอยู่บนกองทุกข์
              ในเมื่อเราอยู่บนกองทุกข์ แค่ที่เห็นยังนับว่าดี แต่ถ้าหากว่าต้องพลาดลงอบายภูมิไป กองทุกข์นี้จะมหึมาขึ้นอีกหลายเท่า
              ถ้าหากว่าสามารถเห็นได้ว่าทุกวินาทีเราอยู่บนความทุกข์ เราไม่ปรารถนาเช่นนี้อีก เราก็จะกลัวการเกิดจริง ๆ
      ถาม :  กลัวอย่างเดียวหรือครับ ?
      ตอบ :  กลัวอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้ถึงด้วยกลัวอย่างเดียวเป็นแค่ภยตูปัฏฐานญาณ
*************************

              “มีฝรั่งจะมาขอบวช พูดไทยได้แค่ “สวัสดีครับ” ถ้ามาเจอคำขอบวช ๕ หน้ากระดาษ คงปางตายเลย...!
              วันก่อนมาย่ายังสวดมนต์ได้เลย แต่มาย่าเขาอ่านตามแบบของเขา เขาอ่านเป็น อา-เร-หะ-โต แสดงว่าเขาท่องอะระหะโตแบบภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังอุตส่าห์สวด อิติปิ โสฯ ได้ ใช้ได้เหมือนกันนะ อย่างน้อย ๆ ไปปรับเอาทีหลังได้
              อาตมาฟังแล้วก็ขำ จะไปว่าเด็กก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาท่องได้ เพียงแต่ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่านั้น อย่าไปว่าอะไรฝรั่งเลย ขนาดคนไทยแท้ ๆ ยังออกเสียงเป็น อา-รา-หัง กันแทบทั้งนั้น ทั้งที่มีแต่อะระหัง
              คราวที่แล้วหยงหยงเป็นขวัญใจเพื่อนร่วมรุ่น ครั้งนี้เป็นมาย่าเพราะว่าเป็นเด็กฝรั่ง ตอนยกย่างเหยียบ เขาเองไม่เคยชินกับการที่โดนตีกรอบ เขาก็ดึงแม่ “ไม่เอาแล้ว” พอแม่เขาไม่สนใจ มาย่าก็งอนสะบัดก้นออกจากวง
              ตอนที่อยู่นั้นมีเด็ก ๆ หลายคน น้องภูก็วิ่งตามมาย่าไป พักเดียวก็พากลับมา...เก่ง เด็กเขารู้ภาษาเด็กด้วยกัน เขาก็พากลับมาเล่นของเขาต่อ เล่นก็คือเดินกันต่อไป”
*************************

              “ปาจารี แปลว่า ผู้เป็นแบบอย่าง ปาจารีเป็นบาลี ถ้าไทยเขาอ่านเป็น บาจารี
              เราเรียกว่า ครูบา ครูก็คือ ครุ บาคือ บาจารี
              ครุ คือ ผู้รับภาระอันหนัก
              บาจารี คือ ผู้เป็นแบบอย่าง ก็คือแม่พิมพ์นั่นแหละ
              จำไว้แม่น ๆ ว่าพ่อพิมพ์ไม่มีนะ แม่พิมพ์ก็คือ ต้นแบบที่จะหล่อหลอมสิ่งอื่นออกมาให้เหมือนต้นแบบ
              คราวนี้เขาดันไปคิดว่าถ้าหากผู้หญิงเป็นแม่พิมพ์ ผู้ชายต้องเป็นพ่อพิมพ์ เข้าไม่ถึงรากศัพท์เลยไปทำเขาเพี้ยนหมด ยังดีไม่บ้าจี้เปลี่ยนแม่ทัพเป็นพ่อทัพไปด้วย...!”
*************************

              “อาตมาเดินทางไกลครั้งนี้ใช้คำว่า ไปพลิกฟื้นพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย
              อันนี้เป็นคำอาราธนาของบุคคลในอดีตที่มองไม่เห็นตัว อาตมาก็เลยต้องไป บุคคลนี้มีนามว่า ขุนอินทร์ เขาอาราธนาให้ไป
              ความจริงแล้วอินโดนีเซียเป็นอาณาจักรพระพุทธศาสนาที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ก็คืออาณาจักรศรีวิชัย สมัยพระโสณเถระมาสุวรรณภูมิ ก็ไปโปรดที่นั่นจนกระทั่งสามารถที่จะตั้งพระพุทธศาสนามั่นลงได้
              จนกระทั่งเกือบ ๑,๔๐๐ ​- ๑,๕๐๐ ปี กษัตริย์รุ่นต่อมาท่านหันไปนับถืออิสลาม ศาสนาพุทธก็เลยโดนเบียดเบียนเสียจนกระทั่งอยู่ไม่ได้ จึงต้องกลับไปฟื้นคืนมา”
      ถาม :  ขุนอินทร์ มาจากขุนอินโดนีเซียหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ท่านชื่ออินทร์จริง ๆ แต่ไม่รู้จะเป็นชื่อของอินโดนีเซียหรือเปล่า
              อาตมามีหน้าที่พกบุญไปเยอะ ๆ ไปแบ่งให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น แล้วก็เป็นภาระของท่านจัดการเอง ไม่เกี่ยวกับอาตมา เพียงแค่ไปให้ถึงเท่านั้น อย่างที่บางคนเขาบอกว่าไปเหยียบเสียหน่อย
              คุณเกรซ (เกสรมณี จารย์ไธสง) บอกว่ายังมีผู้ร่วมคณะเพิ่มไปได้นะ ลองถามเขาดูว่าเพิ่มได้สักกี่คน
*************************

      ถาม :  ปีนี้ต้องระวังอะไรบ้างคะ ?
      ตอบ :  ระวังลมหายใจเข้าออกไว้ ลืมเมื่อไรตายแน่...!
      ถาม :  ที่สำคัญเป็นพิเศษค่ะ ?
      ตอบ :  สำคัญที่สุดเลย หายใจเอาไว้แล้วจะปลอดภัย
      ถาม :  จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างคะ ?
      ตอบ :  โอ๊ย…เยอะแยะ ตั้งแต่หลับยันตื่น สารพัดจะเกิด มีทั้งวันแหละ
              อะไรจะเกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง สำคัญที่สุดคือมีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน หยุด รัก โลภ โกรธ หลง ที่จะเข้ามาทำอันตรายใจของเราให้ได้
              เมื่อหยุดลงได้แล้ว พิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ แล้วกำจัดสิ่งไม่ดีนั้นออกไปจากใจ
              นี่ถึงจะเป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง และเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง อย่างอื่นเป็นเรื่องที่หาทุกข์ให้เราทั้งนั้น
*************************

              สมมติเด็กชายปลาบู่บอกว่าเขื่อนจะแตก ถ้าอย่างนั้นวัดท่าขนุนตายแน่ เพราะว่าอยู่ปากเขื่อน ผวาจนไม่ต้องหลับกันทั้งคืน ถ้าเด็กชายปลาบู่เก่งจริงก็คงไม่ตายตั้งแต่เด็ก
              อาตมาเคยใช้คำพูดเวลามีคนเขามาถามว่า โยมท่านนั้น อาจารย์ท่านนี้ ว่าไว้อย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ค่อนข้างจะขวางโลก บอกกับเขาไปว่า
              “จำไว้ว่าฆราวาสที่เก่งจริงตายหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ได้เกิน ๗ วัน ที่ยังอยู่ไม่เก่งจริงหรอก ถ้าเก่งจริงถึงที่สุดก็อยู่ไม่ได้ไปหมดแล้ว”
              เพราะฉะนั้น...ที่ยังอยู่พยากรณ์อยู่ปาว ๆ นี่ ยังไม่เก่งจริงหรอก เพราะว่าทุกอย่างมีตัวแปรอยู่เสมอ ตัวแปรพวกนี้อาจจะมาในลักษณะที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ถึงเวลาสิ่งที่พยากรณ์ไว้ ก็มีการเคลื่อน มีการผิดพลาดไป
              อย่างเช่นบอกว่าปีนี้เขื่อนจะแตก เราก็รอดู ปรากฎเขื่อนไม่แตก เราก็สบายใจ ที่ไหนได้ปีหน้าโดนไปตูมเบ้อเร่อเลย เพราะฉะนั้น...เราจะประมาทไม่ได้
              สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าหยุดจิตเราอยู่กับปัจจุบันได้ ความทุกข์จะน้อย นอกจากความทุกข์ตามสภาวะของร่างกายแล้ว เราไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยู่กับตอนนี้เดี๋ยวนี้มีความสุขจะตายไป ไม่เห็นต้องไปฟุ้งซ่านเรื่องอะไรเลย
*************************

              “พระพุทธเจ้าตรัสถึงม้าอาชาไนยว่า เป็นสิ่งที่ฝึกมาดีแล้ว ช้างศึกและม้าอาชาไนยถึงต้องอาวุธก็ไม่ร้อง เพราะว่ามีความอดทนมาก
              พระพุทธเจ้าต้องการให้พระภิกษุสงฆ์ของท่านได้รับการฝึกดีแล้ว แบบเดียวกับม้าอาชาไนย
              อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง โดยมีสติรับรู้ รู้เห็นว่าความทุกข์นั้นเป็นธรรมดาของร่างกายนี้ เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้จะไม่มีอีก

              ตรงนี้เราดีกว่าม้าหน่อยหนึ่ง ดีกว่าตรงที่เราสามารถติดต่อได้ ส่วนม้าได้แต่ทนอย่างเดียว...!”
*************************

              “ปีนี้อยู่ ๆ อาตมาก็ได้รางวัลใหญ่ ๒ รางวัล ก็คือ
              ในหลวงพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศให้ ในวโรกาสที่เจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา
              และวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี อาตมาได้รางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา สาขา ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม
              อย่างกับธรรมะจัดสรรจริง ๆ จะช้าก็ไม่ได้ จะเร็วก็ไม่ได้ มาได้ในวาระสำคัญพอดีทั้งสองอย่าง
              งานฉลองนั้นจะจัดขึ้นวันที่ ๙ มิถุนายน ตรงกับวันเสาร์
              ที่ต้องรอรับในเดือนมิถุนายน เพราะว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรให้ในวันวิสาขบูชา ก็เลยต้องรอไปก่อน
              แล้วปีนี้เดือน ๘ มี ๒ หน วันวิสาขบูชาเลื่อนไปเป็นวันที่ ๒ มิถุนายน รับแล้วค่อยฉลองพร้อมกันไปเลยทีเดียว
              จะไม่ฉลองก็ไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้ชาวทองผาภูมิตื่นเต้นกันมาก อยากฉลอง...ต้องจ่ายเงินให้เข็ด...!
              เขาไม่รู้หรอกว่าจัดงานแต่ละครั้งพระจ่ายไปเท่าไร เห็นนิมนต์พระมาครั้งหนึ่งหลายร้อยรูป แหม...ปลื้มใจมาก ว่าแล้วก็ช่วยทำบุญ ๒๐ บาท...! อัตราต่ำสุดของอาตมา ขนาดถวายเณรยัง ๒๐๐ บาทเลย ฉะนั้น...ไม่ต้องไปพูดถึงการถวายพระหรอก
              ที่ขำก็ท่านพระครูวรกาญจนโชติ รองเจ้าคณะอำเภอ ท่านบอกว่า
              “พวกเณรดีใจมากเลย เปิดซองมาเจอพระอาจรย์เล็กถวายไป ๒๐๐ บาท ไม่เคยได้เยอะอย่างนี้มาก่อน แล้วรุ่งขึ้นก็มาฟ้อง หลวงพ่อครับ...ผมโดนขโมยเงินครับ...!”
              นี่ตกลงหลวงพ่อจะแจ้งข้อหาผมใช่ไหม ว่าทำให้เณรขโมยเงินกัน พอเห็นมีเงินเยอะ เณรของท่านก็เลยขโมยกันเอง
              เป็นห่วงวัดอื่น เพราะว่าเรื่องของศีลเขาไม่ค่อยมีความเข้าใจ อย่าลืมว่าสามเณรก็คือเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่เขาเคารพบูชาเหมือนกัน”
*************************

              “หนังสือประวัติวัดท่าขนุนเล่มเก่าที่เขาทำ มีรูปหลวงปู่สายกำลังเดินขึ้นสะพานอยู่ แต่ท่านเดินหันหลังให้ เขาใช้คำบรรยายว่า “สายไปเสียแล้ว”
              พวกเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ เขาบอกว่า ท่านอาจารย์...รูปนี้มีไหม ? ขอเถอะ...ติดใจจริง ๆ
              อาตมาบอกว่า ไม่มี เป็นเจ้าอาวาสช้าไปหน่อย อะไรก็ไม่ค่อยจะเหลือมาถึง
              ตอนนั้นหลวงปู่กำลังเดินข้ามสะพาน เขาถ่ายรูปทางด้านหลังท่านแล้วเอามาลงไว้ เหมือนตั้งใจให้เป็นปริศนาธรรมว่า “ท่านไปแล้วนะ” แล้วบรรยายว่า “สายไปเสียแล้ว”
*************************

              “พ่อแม่สมัยใหม่มักจะเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ คือทำตัวเป็นเพื่อนกับลูก พอนาน ๆ ไปเด็กจะคุ้นชิน แล้วขาดความกลัวเกรง ไม่ได้เห็นแม่เป็นแม่ แต่เห็นแม่เป็นเพื่อน ก็เลยต้องมีการทำโทษไว้บ้าง
              พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่เกรงอาชญา” คือกลัวการลงโทษ ถ้าไม่มีการลงโทษบ้าง ก็มักจะแหกคอกไปเรื่อย
              กฎหมายบ้านเมืองต่าง ๆ มีมาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็มีคนประเภทไม่กลัวกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้แทนราษฎรแท้ ๆ เลย ยังกระทำผิดซึ่งหน้าอีก
              ความจริงลักษณะอย่างนั้น ยอมรับผิดอย่างลูกผู้ชายไปเลย แล้วสู้คดีว่าบันดาลโทสะยังเข้าท่ากว่าเยอะ ถ้าบันดาลโทสะแล้วไม่เคยทำผิดมาก่อนนี่ ดีไม่ดีโทษนิดเดียวเอง อาจะสั่งลงโทษเท่านั้นเท่านี้ปี แล้วรอลงอาญา”
*************************

      ถาม :  ลูกจะสอบเข้าโรงเรียนสาธิตค่ะ ?
      ตอบ :  ถ้าเด็กเรียนโรงเรียนสาธิต เราต้องทำใจเลยนะ เพราะโรงเรียนจะสอนให้เด็กกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เพระาฉะนั้น...เขาจะต้องเถียงแม่แน่นอนเลย ต่อไปเราต้องรอบคอบและรัดกุมมากกว่านี้ ถ้าทำอะไรแล้วมีช่องว่างหรือรอยโหว่นี่ เด็กเถียงแน่นอน
*************************

              “เคยได้ยินสำนวนว่า นอนกินบ้านกินเมือง ไหม ?
              นอนกินบ้านกินเมืองมาจากนิทานในธรรมบทว่า ชายคนหนึ่งมีนิสัยเกียจคร้านเป็นปกติ นอนจนคนอิดหนาระอาใจ วันดีคืนดี ก็มีพระราชาของอีกเมืองหนึ่งมาท้าแข่งกับพระราชาของเมืองนี้ ให้ส่งคนมาแข่งขันการนอน ถ้าใครแพ้ก็ต้องเสียบ้านเสียมืองให้อีกฝ่ายหนึ่ง
              เจ้าเมืองก็เลยต้องประกาศหาว่า มีใครที่มีความสามรถในกรนอนได้นานกว่าคนอื่น ไปเจอชายจอมขี้เกียจเข้า ก็เลยเอาไปแข่ง ปรากฎว่าชนะ ก็เลยได้บ้านได้เมืองคนอื่นเขามา
              สรุปว่าคนเราถ้ามีความสามารถจริง ๆ อย่างเดียวก็พอแล้ว อย่างที่ในโคลงโลกนิติท่านว่า
              วิชาควรรักรู้               ฤๅขาด
              อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์     ว่าน้อย
              รู้จริงส่ิงเดียวอาจ          มีมั่ง
              เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย         ชั่วลื้อเหลนหลานฯ

              เพราะฉะนั้น...นอนเก่งอย่างเดียวก็ชนะได้บ้านได้เมืองมา สำนวนนอนกินบ้านกินเมืองก็ได้มาจากนิทานเรื่องนี้แหละ”
*************************

              มีคนถวายบะหมี่ไวไวควิก แล้วขอให้ได้อะไรเร็ว ๆ ไว ๆ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า
              “จะเอาเร็วจริง ๆ ไหม ? ให้ถวายเครื่องบินคองคอร์ด ๑ ลำ รถไฟแม็กเลฟ ๑ ขบวน เสือชีตาห์อีก ๑ ตัว รับรองว่าอานิสงส์เร็วทันใจ
              เพราะที่ว่ามานั้น เป้นสุดยอดของความเร็วทั้งนั้นเลย หรือไม่ก็ถวายนกเหยี่ยวเพเรกริน อีก ๑ ตัว”
*************************

              “เพศตรงข้ามที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ใช่เพราะว่าเรามีเสน่ห์ แต่มาเพราะแรงกรรม
              เพราะฉะนั้น..ต้องระมัดระวังให้ดี พลาดเมื่อไรจะไปต่อกรรมให้หนักเข้าไปอีก...!”
*************************