​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๙๐

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม ๒๕๕๔


      ถาม :  เมื่อก่อนต้องบริกรรมแล้วถึงจะนิ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้บริกรรมก็นิ่ง ต้องย้อนกลับไปบริกรรมหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้อง...ถ้ามีความคล่องตัวแล้ว สมาธิจะกระโดดไปจุดที่ตนเองต้องการเลย ยกเว้นว่าเราต้องการซักซ้อมความชำนาญ ก็ฝึกการลงมาหรือขึ้นไป หรือสลับไปสลับมา ไม่อย่างนั้นจะพรวดเดียวไปเลย
      ถาม :  พอระดับสมาธิขึ้นสูงไปแล้ว เราก็ดึงกลับมาบริกรรมใหม่ ?
      ตอบ :  เสียเวลา...ยกเว้นเราจะซ้อมเอาความชำนาญ แต่อยากจะให้ซ้อมเข้าสมาธิสูงสุดให้ชำนาญที่สุด พอถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงมา ทันที่เรารู้ตัวให้รีบเข้าไปสู่อารมณ์สมาธิของเรา กิเลสจะกินไม่ได้
      ถาม :  หนีไปสู่สมาธิระดับสูง ?
      ตอบ :  เข้าสู่สมาธิของเรา กิเลสก็ทำอันตรายเราไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในลักษณะหนีปัญหา แต่ว่าต้องหนีก่อน เพื่อไม่ให้จิตใจขุ่นมัว หลังจากนั้นค่อยใช้กำลังของปัญญามาพิจารณาตัดเอาภายหลัง
*************************

      ถาม :  อาหารที่เขาตั้งใจถวายพระ ถ้าเราเอามากินก่อน จะเป็นเปรตไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเขาตั้งใจถวายพระ ก็เป็นแน่นอน ตัวอย่างก็กากะเปรต
      ถาม :  อาหารอร่อย ?
      ตอบ :  เราไปทำอย่างนั้นก็จะซวยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาตั้งใจถวายสงฆ์ แต่ยังไม่ได้ถวาย เขาเรียกว่า ของกึ่งกลางระหว่างสงฆ์
              ของตัวเองก็ไม่ใช่ เพราะตั้งใจถวายไปแล้ว จะเป็นของสงฆ์ก็ไม่ใช่ เพราะสงฆ์ยังไม่ได้รับ ถ้าไปกินถือว่าติดหนี้สงฆ์เหมือนกัน
      ถาม :  ถ้าชิมละคะ ?
      ตอบ :  ถ้าปรุงอาหารก็จำเป็นต้องชิม ตอนนั้นไม่เป็นไร แต่เมื่อปรุงเสร็จแล้วอย่าไปชิมเพิ่มก็แล้วกัน
*************************

              “นักศึกษาญี่ปุ่นเคยทำวิจัยแล้วสรุปว่า ประเทศไทยนอกจากในหลวงแล้ว โกงทุกคน นี่เขาเหมาพระไปด้วยนะ...ความจริงเขาไม่ได้โกงหรอก เขาแค่รับในส่วนที่เขาคิดว่าควรจะได้รับเท่านั้น ความคิดนี้ฝังรากลึกใน DNA แล้ว แก้ไม่ได้
              ระบบนี้มาจากเมืองจีน สมัยก่อนพ่อค้าจีนต้องการความคล่องตัวในการดำเนินกิจการต่าง ๆ จึงหาของจิ้มก้องไปให้แก่บรรดาเจ้าเมืองหรือข้าราชการ
              พอคนจีนเข้ามาเมืองไทย ก็เอาระบบนี้มาใช้ที่เมืองไทย นาน ๆ ไป คนที่ให้ของขวัญ ให้เงิน ก็ได้รับความสะดวก ส่วนคนที่ไม่ให้ก็ไม่ได้รับความสะดวก จึงต้องให้กันทุกคน จนกลายเป็นอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ฝังรากลึกอยู่ใน DNA ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว
              ใครจะรับก็ไม่ว่านะ มีนรกขุมหนึ่งที่เป็นยมโลกียนรก มีไว้สำหรับพวกคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ...!”
*************************

      ถาม :  พวกที่กินอิฐ หิน ปูน ทราย พอลงไปนรก ต้องกินอย่างนั้นไหมคะ ?
      ตอบ :  เปล่า…ยมโลกียนรกขุมนั้นเป็นภูเขาเหล็กลุกแดงโร่ ๒ ลูก หมุนบี้เข้าหากัน แล้วคนพวกนี้ก็อยู่ตรงกลาง เหมือนลูกกลิ้ง ๒ ลูกกลิ้งเข้าหากัน ถ้าหนีทันก็แล้วไป ถ้าหนีไม่ทันก็ถูกบี้ป่นเป็นแป้ง พอไปอีกฝั่ง เกิดใหม่ก็มีภูเขาลูกใหม่มาอีก
              ถ้าเป็นภูเขาธรรมดาก็พอทน แต่ภูเขานี้ลุกเป็นไฟแดงโร่เลย พวกที่อยู่ในนรกแห่งนี้ ถ้าเกิดใหม่คงแข่งวิ่ง ๑๐๐ เมตรได้ที่ ๑ ทุกคน เพราะว่าต้องวิ่งหนีอยู่ตลอดเวลา...!
*************************

      ถาม :  เกิดจันทรุปราคาจะมีผลอะไรไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปหนักใจ...ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง สิ่งภายนอกจะมีผลกระทบน้อยมาก ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงก็จะมีผลเหมือนกัน
*************************

              “หมอเขาสงสัยว่าอาตมามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร ? เพราะเป็นคนที่ใกล้เชื้อโรคอะไรก็รับหมด มีลักษณะของภูมิคุ้มกันบกพร่องแบบ HIV1 ต้องบอกว่าบุญรักษาและกรรมรักษา ถ้าตราบใดที่บุญกรรมยังส่งเสริมอยู่ อย่างไรเสียก็ไม่ตาย
              แบบเดียวกับพระรูปหนึ่งในพุทธกาล ที่ท่านอดอยากตลอดชีวิตได้กินอิ่มแค่ครั้งเดียวแล้วเข้าพระนิพพานเลย นั่นกรรมรักษา ต้องชดใช้หนี้กรรมของตัวเอง
              ท่านเกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยได้กินอิ่มเลย ขนาดบวชเป็นพระแล้วก็ยังอด วันแรกท่านบิณฑบาตอยู่ข้างหลัง โยมใส่บาตรไปเรื่อย ๆ พอถึงท่านก็หมดพอดี
              พระอุปัชฌาย์เห็นดังนั้น วันต่อมาจึงให้เดินอยู่ข้างหน้า โยมคิดว่าเมื่อวานเราใส่จากข้างหน้ามา ข้างหลังจึงอด วันนี้จะใส่จากข้างหลังมาข้างหน้าบ้าง พอถึงท่านก็หมดอีก
              พระอุปัชฌาย์จึงเปลี่ยนให้ท่านอยู่ตรงกลาง ส่วนโยมเห็นว่าวันก่อนใส่จากหัวมาท้าย แล้วใส่จากท้ายมาหัว คราวนี้แบ่งพวกเป็นคนละครึ่ง ใส่จากหัวท่ายมาตรงกลาง ปรากฎว่าพอถึงตรงกลางก็หมดพอดี
              ท้ายสุดพระอุปัชฌาย์จึงยบอกให้ท่านไปอยู่เจริญกรรมฐาน เดี๋ยวจะบิณฑบาตมาเลี้ยงเอง เพราะว่ากรรมหนักขนาดนี้ เดี๋ยวจะพาท่านอื่นแย่ไปด้วย
              พอพระอุปัชฌาย์เอาอาหารมาให้ ท่านฉันอิ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต จิตใจมีความสบาย พิจารณาธรรมเห็นความทุกข์ที่ผ่านมา จิตใจหมดความอยากที่จะเกิดอีก ก็เลยบรรลุมรรคผล เพราะฉะนั้น...ถ้าบุญยังรักษาหรือกรรมยังรักษา อย่างไรเสียก็ยังไม่ตาย”
*************************

              “มีนิยายฝรั่งเรื่องนาฬิกามรณะ เนื้อเรื่องกล่าวถึงชายหนุ่มคนหนึ่งมีอาชีพเป็นนักข่าว ไปเจอคนตายถือนาฬิกาอยู่
              ซึ่งนาฬิกาเรือนนั้นเป็นนาฬิกาที่ประหลาดมาก บอกวันที่ เดือน ปี นาที วินาทีหมดทุกอย่าง แล้วเวลานั้นเป็นเวลาใกล้เคียงกับที่เขาพบศพ อีกไม่นานนักข่าวคนนี้ก็เจออีกศพหนึ่ง ในกรณีเดียวกัน
              เขาสงสัยว่านาฬิกาเรือนนี้คงบอกเวลาตายของคนใช้ได้ จึงลองไปกดดู นาฬิกาเรือนนั้นบอกว่าตัวเขาเองอีก ๙๙ ปีถึงจะตาย
              เขาจึงเลิกเป็นนักข่าว หันไปสมัครเป็นสตันท์แมน เสี่ยงตายทุกอย่างที่ขวางหน้า จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ขนาดกระโดดตัวเปล่าลงจากเครื่องบินก็ยังไม่ตาย เพราะว่าตกลงไปในน้ำพอดี
              ชื่อเสียงเงินทองไหลมาเทมา ผู้หญิงจึงแห่กันมาเพียบ วันนั้นเขาขับรถสปอร์ตเปิดประทุนควงสาวไป แฟนเก่าขว้างระเบิดใส่ เขามารู้ตัวอีกทีตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ร่างกายโดนผ้าพันเป็นมัมมี่ แขนขาไม่มีเพราะว่าโดนระเบิดขาดหมด
              หมอกำลังคุยอยู่กับตำรวจว่า “ในที่เกิดเหตุเจอนาฬิกาเรือนนี้ ผมลองกดดูแล้วแปลกมาก เพราะบอกแต่เวลาเที่ยงคืนของวันนี้”
              คนไข้คิดว่า “หมอต้องตายตอนเที่ยงคืนของวันนี้ แต่ผมสิต้องอยู่จนอายุ ๙๙ ปี...!” ไม่ตายแต่ก็ไม่สบาย เพราะว่าไม่มีแขนไม่มีขา นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าดำเนินชีวิตโดยประมาท”
*************************

              “ช่วงน้ำท่วมมีคนเขาปลื้มใจมากว่าเขาห่อรถได้สำเร็จ รถเขาน้ำไม่ท่วม พอเวลาน้ำท่วมรถก็ลอยตุ้มป่อง พอเปิดรถออกมา ราขึ้นทั้งคันเลย...! เพราะว่าอบอยู่เป็นเดือน เหมือนกับที่เราเพาะเห็ดในโรงอบนั่นแหละ
              พวกเห็ดราเป็นพืชที่กินซาก ถ้าไปทิ้งไว้นาน ๆ อะไรที่คิดว่ากินได้เป็นโดนกินหมด ยิ่งอากาศอบ ๆ ชื้น ๆ ยิ่งขึ้นดีเข้าไปใหญ่
              ก่อนหน้านี้อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ไปพม่าเดือนหนึ่งกลับมารถยังขึ้นราเลย ไม่ได้ใช้แค่เดือนเดียว ขนาดไม่ได้แช่น้ำนะ กลับมาต้องจัดการล้างอัดฉีดกันยกใหญ่”
*************************

      ถาม :  น้ำจะมาอีกไหมคะ ?
      ตอบ :  โบราณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ก็เตรียมขันไว้ตักน้ำสิ...! อย่าไปกังวลกับเรื่องที่ยังไมเ่กิดขึ้น เราจะเครียดเสียเปล่า ๆ
              อตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปฏิกังเข อนาคะตัง อย่าไปหวนคำนึงถึงเรื่องในอดีตที่ล่วงพ้นมาแล้ว และอย่าไปฟุ้งซ่านกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
              ปัจจุปันนัญ จะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ ต้องอยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้น ถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง
*************************

      ถาม :  การกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง กับการที่เราไม่ประมาท ป้องกันเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ดูเฉียดกันมากครับ อะไรทำให้เกิดความแตกต่างครับ ?
      ตอบอยู่ที่ว่าเราหยุดคิดเป็นหรือไม่ ? ถ้าหยุดคิดเป็น ไม่ฟุ้งซ่าน ก็ถือว่าไม่ประมาท ถ้าหยุดคิดไม่เป็น ฟุ้งไปเรื่อยก็เครียดตาย ต่างกันตรงที่หยุดคิดเป็น หรือหยุดคิดไม่เป็นเท่านั้น
      ถาม :  แสดงว่าสติเป็นเรื่องสำคัญมากสิครับ ?
      ตอบ :  ไม่สำคัญเท่าไรหรอก แค่เป็นแก่นธรรมของพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
*************************

      ถาม :  จะขยับบ้านตัวเองให้สูงกว่านี้อีก ?
      ตอบ :  สังเกตไหมว่า สมัยก่อนบ้านจะยกใต้ถุนสูง มีเรือขึ้นคานอยู่ใต้ถุนบ้าน พอใกล้หน้าน้ำ ก็จัดแจงยาเรือเอาลงไว้ พอน้ำมาก็เอาเรือลงผูกตรงหัวบันได ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนเลย แถมเขายังภาวนาให้น้ำมาด้วยนะ เพราะว่าน้ำมาปลาก็มาด้วย
              พอเริ่มเข้าฤดูหนาว ปลาออจะมา คำว่า “ปลาออ” ก็คือฝูงปลาขึ้นพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะพวกปลาสร้อย มาครั้งหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสน เอาเข่งตักได้เลย เพราะว่าปลาจะไปหาที่ผสมพันธุ์แล้วก็วางไข่
              เวลาปลาออกมาเสียงจุ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ ดังแซ่ไปหมด ถ้าปลาดุกออกมาจะเสียงดังอ๊อด ๆ แอ๊ด ๆ ปลาร้องได้ พูดได้ บ่นได้เหมือนกัน คนที่ไม่เคยได้ยินเสียงปลาก็ไม่คิดว่าจะร้องได้
              สมัยเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาเตือนนักเตือนหนาว่า ถ้าจะตัดปลาออให้ตักหน้า ๆ อย่าไปตักท้าย ๆ เพราะว่าข้างท้ายงูมักจะตามมากินปลา โดยเฉพาะงูเห่า เวลาปลาดุกมาจะม้วนเป็นก้อน ๆ แน่นไปทั้งแม่น้ำ รุ่นใหม่ ๆ ไม่รู้หรอก เพราะว่าไม่เคยเห็นปลาเยอะอย่างนั้น
              อาตมาตอนเด็ก ๆ สมัย ๓-๔ ขวบ ไปบ้านป้าที่ริมแม่น้ำสวนแตง ด้วยความซนเอาแหของลุงไปหว่าน หว่านลงไปต้องทิ้งแห เพราะว่าดึงไม่ขึ้น ลองคิดดูสิว่าปลาเยอะขนาดไหน โบราณว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าวเป็นเรื่องจริง เพราะว่าคนยังน้อยอยู่
*************************

      ถาม :  ตอนไปแจกของช่วยผู้ประสบภัยแถวสายไหม บางบัวทอง เจอปลาตัวเท่าแขน เขาจับกินกันสบายเลย ?
      ตอบ :  ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นก็มีปลา มีคนเขาไปท้าหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก
              “หลวงปู่ยืนยันไหม ว่าที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นมีปลา”

              หลวงปู่จงบอกว่า “ยืนยัน”
              เขาก็ไปปีนต้นมะพร้าว เก็บลูกมะพร้าวมา “หลวงปู่ในมะพร้าวมีน้ำ แต่ไม่เห็นมีปลาเลย”
              หลวงปู่บอกว่า “มึงผ่าออกมาสิ”
              พอผ่าออกมามีปลาซิว ๒ ตัว...! เล่นกับใครไม่เล่น เล่นกับพระระดับหลวงปู่ หาเรื่องชัด ๆ ไม่รู้หลวงปู่แอบหยอดปลาลงไปตอนไหน
              รู้สึกว่าบรรดาเกจิอาจารย์ทางสายอยุธยาจะชำนาญวิชาทางนี้ อย่างหลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ ลูกศิษย์จะไปช้อนปลากัด “เฮ้ย...มึงเอ้ย...อย่าไปช้อนปลากัดเลย เดี๋ยวงูกัดตายห่..มึงอยากได้ปลากัดมาเอาที่กูนี่”
              “ไหนล่ะหลวงตา ?”

              หลวงพ่อนอบอกว่า “อยู่ในอ่างล้างตีน”
              พอเขาไปดู มีปลากัดอยู่ก็ตักไป เอาไปแข่งกัดที่ไหนก็ชนะ จึงเก็บปลาใส่ขวดไว้ พอรุ่งเช้าปรากฎว่ามีแต่ใบไม้ลอยน้ำ...!
              หลวงปู่ท่านไม่ต้องการให้ไปทรมานสัตว์ และขณะเดียวกันตามกอสวะรก ๆ มีงูเขี้ยวขอเยอะ แสดงว่าวิชาพวกนี้ระบาดอยู่แถว ๆ อยุธยาที่อื่นไม่ค่อยมี
              อย่างหลวงปู่ปานก็ตกเบ็ดกลางอากาศใช่ไหม ? มีทั้งปลาเค้า ปลาช่อนตัวโต ๆ เด็กรุ่นหลัง ๆ เคยเห็นปลาเค้าไหม ? เหมือนปลาเนื้ออ่อนแต่ใหญ่กว่ามาก อาตมาเคยเห็นขนาดยาวสักเมตรครึ่งได้...!
              คาดว่าทุกคนที่ได้กสิณ ๑๐ สามารถทำได้ทุกคน เพียงแต่ว่าเคล็ดลับของการทำนั้น พระเกจิอาจารย์ทางอยุธยาคล่องตัวกว่า อาจะเป็นเพราะว่าอยุธยาเป็นเมืองน้ำ ไปไหนก็ต้องแจวเรือไป พอไม่มีอะไรเล่นก็เล่นกับน้ำ เล่นกับปลา
*************************

              หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา คนเห็นว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ ๆ ผ้าผ่อนไม่นุ่ง นุ่งสบงอย่างเดียว เอาแต่นั่งตีฆ้องสวดมนต์ กุฏิท่านอยู่กลางนา กลางคืนฝนตกชาวบ้านก็ออกตีกบกัน พอหนาวขึ้นมาก็มาผิงไฟใต้กุฏิหลวงพ่อกบก็ถามว่า “ได้กบหรือยัง ?”
              “ยังไม่ได้เลยครับ”

              หลวงพ่อกบบอกว่า “ทุด...พวกมึงหากบไม่เป็น มา...เดี๋ยวกูตีให้เอง”
              ท่านคว้าไม้และคบไต้ไป เสียงตีป้าบ ๆ พักเดียว ได้กบมาเป็นตะข้อง “พวกมึงเอาไปแบ่งกัน”
              ชาวบ้านเอาไปต้มไปแกง พอกินเสร็จเหลือก็เทใส่กะละมังครอบไว้ รุ่งเช้ามาเปิดดูมีแต่ใบสะแกทั้งนั้น...! เขาจึงเรียกท่านว่าหลวงพ่อกบ ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ แต่เรียกท่านว่าหลวงพ่อกบ
              ท่านเป็นพระที่ยิ่งกว่าเป็นพระ ที่ท่านต้องทำตัวอย่างนั้น เพราะว่าท่านมีเวรมีกรรมผูกพันกับสถานที่ตรงนั้น คราวนี้ทางการเขาตัดสินว่าเป็นวัดร้าง จึงให้ท่านย้ายไปจำพรรษาที่อื่น แต่ท่านไม่ยอมไป เพราะว่ายังไม่หมดวาระกรรม
              เมื่อท่านไม่ยอม ท่านก็ถอดจีวรให้เขาไป บอกว่าฉันสึกก็แล้วกัน ท่านก็อยู่ของท่านไปเรื่อย บางทีท่านก็นุ่งกางเกงตัวเดียว
              ความจริงท่านก็คือพระดี ๆ นี่แหละ ท่านอยากจะอยู่ตรงนั้น ไม่อยากไปที่อื่น ก็ต้องทำให้เขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่พระ จะได้ไม่มายุ่งด้วย
              วันดีคืนดีก็ไปนอนอยู่กลางทุ่ง ชักจีวรคลุมโปงอยู่ ๗ วัน ก็ลุกขึ้นมากลับวัด ต้องว่าเด็กเลี้ยงควายแถวนั้นโชดคี เจอหลวงตาเดินเปะปะมา มีข้าวมีน้ำก็ถวายหลวงตา ดวงเฮงจริง ๆ
      ถาม :  นอน ๗ วัน ลักษณะเหมือนท่านเข้านิโรธสมาบัติเลยนะคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่เหมือน ตั้งใจเข้าเลย...!
      ถาม :  มรณภาพไปหรือยังคะ ?
      ตอบ :  มรณภาพไปนานแล้ว รุ่นเราเกิดไม่ทัน วัดเขาสาริกาอยู่ทางปราจีนบุรี
      ถาม :  พระแบบนี้ถ้าเราศรัทธาอยากจะเจอท่าน ?
      ตอบ :  อยากจะเจอสมัยนี้ก็ยังพอมี แต่ต้องเข้าป่าลึกหน่อย
      ถาม :  ถ้าจุดธูปนิมนต์ออกมา ท่านจะมาไหมคะ ?
      ตอบ :  ระวัง…อาตมาแช่งไว้เลยว่า ถ้าใครจุดธูปเรียกดู จะต้องมาหาเอง...! ต้องเจอแบบนี้ ให้เดินป่าตายชักไปเลย
              ตอนนั้นอาตมากำลังธุดงค์อยู่ ดันมาจุดธูปเรียก ต้องออกมาจากป่าก็ฉุนขาด แช่งไว้ตั้งแต่นั้นเลย ...ใครจุดธูปเรียกต้องมาหาเอง...!
              เมื่อเช้าก็ต้องแหกขี้ตามาตั้งแต่ ๗ โมงกว่า เพราะว่าเขามาแล้ว ดันอธิษฐานขอให้อาตมาลงมา เวลาพักผ่อนแท้ ๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย
*************************

      ถาม :  งดเสพกามมีดีอย่างไร ถ้างดไปก็มีแต่ความอยาก บางอารมณ์ก็พิจารณาบ้าง ?
      ตอบ :  แสดงว่ากำลังใจห่วยแตกมาก กำลังการปฏิบัติของเรา ถ้าสะสมไม่พอก็ตัดกิเลสไม่ได้ คราวนี้กำลังที่สะสมไว้มักจะรั่วไปเรื่อย รั่วออกทางตา...ตาเห็นรูปสวย ๆ ก็ถูกใจ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็ถูกใจ จมูกได้กลิ่นที่ชอบใจก็รั่วไปแล้ว ลิ้นได้สัมผัสรสที่ชอบใจก็รั่วไปแล้ว กายได้สัมผัสที่ชอบใจก็รั่วไปแล้ว
              คราวนี้การเสพกามนั้นรั่วทุกด้านเลย ก็แปลว่าเป็นตัวรั่วไหลที่ใหญ่ที่สุด ทำให้คุณสะสมกำลังไม่พอตัดกิเลสสักที
      ถาม :  ถ้ากดไว้เรื่อย ๆ จะไปฉุดคร่าคนอื่นไหมครับ ?
      ตอบ :  ก็ขึ้นอยู่กับสติสัมปชัญญะของเอ็งนั่นแหละ...!
      ถาม :  เราไม่เคยเห็นหน้าหลวงพ่อวัดท่าซุง จะทำเป็นคุยกับท่านแทนได้ไหม เช่น หลวงพ่อกินข้าวด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน เดินด้วยกัน จะเป็นการปรามาสไหมครับ ?
      ตอบ :  ขึ้นอยู่ว่าเรานึกถงท่านด้วยความเคารพหรือเปล่า ? ถ้านึกถึงท่านด้วยความเคารพ ก็ไม่เป็นการปรามาส แต่บางอย่างก็ไม่สมควร เราจะกินข้าว เราก็ตั้งใจถวายท่านก่อน หลังจากนั้นเราค่อยลามากิน ถ้าจะอาบน้ำก็นึกให้ท่านเสกน้ำมนต์ให้เรา ไม่ใช่ประเภทถึงเวลาเรียกมากินข้าว ทำอย่างกับเรียกกุมารทอง...!
*************************

      ถาม :  มีคนป่วยที่ใกล้จะตายตอนนี้ ถ้าจะต่ออายุให้เขา ๑๕ วันจะได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  จะไปต่อให้ทรมานทำไมวะ ? ถ้าเอ็งใกล้ตาย มีคนต่อให้ทรมานไปเรื่อย เอ็งจะเอาให้ป้าครับ ?
      ถาม :  หลานอยากต่อให้ป้าครับ ?
      ตอบ :  ไปบอกหลานเขาให้ตายแทนดู...!
*************************

      ถาม :  ผมวางท่านแม่ทั้ง ๓ ไว้สูงกว่ารูปท้าวมหาราช ถูกไหมครับ ?
      ตอบ :  ให้เอาไว้ระดับเดียวกัน เพราะว่าคนที่ไม่รู้เขาจะตำหนิเอาได้ จะเกิดโทษกับเขาเสียเปล่า ๆ เอาไว้ระดับเดียวกัน แยกไปคนละข้างเลยก็ได้
      ถาม :  ตอนที่ตัดสินใจเกิด อกุศลกรรมเข้าในขณะนั้นหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  อกุศลกรรมไม่ได้เข้าตอนที่เราตัดสินใจเกิด แต่อุกศุลกรรมติดตัวเราข้ามชาติข้ามภพมาส่งผลให้ เพราะว่าแต่ละคนเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ความดีก็ทำมามาก ความชั่วก็ทำมามาก
              คราวนี้อกุศลกรรมคือความชั่วที่เราทำไว้ไม่ได้ไปไหน ถ้ายังชดใช้กันไม่ครบ เขาก็ตามอยู่ เกิดมาเมื่อไรเขาก็เริ่มสนองไปเรื่อย เพราะฉะนั้น...เขาอยู่ของเขาเป็นปกติอยู่แล้ว เขาไม่ได้รอหรอก เขาเกาะอยู่เลย...!
              ถ้าตั้งใจขอเหล่าเทวดานางฟ้าข้างบนท่านดูจริง ๆ จะเห็นเงาดำซ้อนกายท่านอยู่ นั่นคืออกุศลกรรมที่ท่านทำไว้ ถ้าพ้นจากความเป็นเทวดานางฟ้าเมื่อไร อกุศลกรรมเหล่านี้ก็จะเริ่มสนอง
              อยู่ข้างบนความดีสูงกว่า ความดีจะให้ผลไปเรื่อย แต่ความชั่วไม่ได้ไปไหน ความชั่วยังรออยู่ ลงต่ำเมื่อไรก็ได้โอกาสเริ่มให้ผล
*************************

      ถาม :  ถ้ารู้ว่าเป็นกรรม เราก็ไม่ควรจะฝืน ปล่อยให้เป็นไปหรือเปล่าคะ ?
      ตอบรู้ว่าเป็นกรรม ถ้าพอดิ้นรนแก้ไขได้ ก็ดิ้นรนแก้ไขให้สุดความสามารถไปก่อน
              ถ้าดิ้นรนจนกระทั่งหมดกำลังกาย หมดกำลังใจ หมดกำลังสติปัญญา หมดกำลังคน หมดกำลังทรัพย์ แล้วยังแก้ไขไม่ได้ เราค่อยเชื่อว่าเป็นกฎของกรรม

              ไม่ใช่อะไรนิดอะไรหน่อยก็กฎของกรรม ถ้าอย่างนั้นก็โง่เกินไป
              เคยไปอียิปต์ไหม ?
              รถไปเสียอยู่กลางทะเลทราย โชเฟอร์นั่งกระดิกเท้าเฉยอยู่ ถามว่าทำไมถึงไม่ซ่อมรถ เขาบอกว่า “แล้วแต่ความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”
              อยากจะบอกกับเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นมึงตายห่...อยู่ที่นี่แหละ กูไม่อยู่กับมึงหรอก”
              นั่นโง่เกินไป ปัญญามีแต่ไม่ได้ใช้ รถเสียก็ซ่อมสิ...ไม่ใช่แล้วแต่ความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
      ถาม :  ถ้าเป็นกรรมที่เกี่ยวกับคนที่เราอยู่ด้วย ?
      ตอบ :  เหมือนกัน แก้ไขได้ก็แก้ไข แก้ไขไม่ได้จริง ๆ เราค่อยปล่อยวาง
      ถาม :  ปล่อยวาง ไม่ได้หมายความว่าเรายอมเขาอย่างเดียวใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ปล่อยวาง...รอเวลา มีความสามารถพอเมื่อไรเราค่อยมาแก้ไขใหม่ ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ
              สมมติว่าเราเป็นหมอ ถ้าความรู้เราตอนนี้ไม่พอที่จะผ่าตัด เราก็ไปศึกษาเพิ่มเติมก่อน ความรู้พอเมื่อไรค่อยย้อนกลับมาผ่าตัดใหม่
*************************

      ถาม :  คนไปมโนมยิทธิเต็มกำลังได้แล้ว สมควรจะไปแบบครึ่งกำลังเป็นใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ไปเต็มกำลังได้ก็ไปแบบเต็มกำลังสิ
      ถาม :  ได้เต็มกำลังแล้วก็ทำให้คล่องไปเลย ไม่ต้องครึ่งกำลังอย่างนั้นหรือคะ ?
      ตอบ :  ถูกต้องแล้วครับ …!
*************************

      ถาม :  ที่บอกควรปฏิบัติให้ต่อเนื่อง เราภาวนาคาถาเงินล้านต่อเนื่องไปทั้งวัน ใช้ได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ใช้ได้…จะทำอย่างไรก็ได้ ให้อยู่กับการภาวนา เราจะภาวนาอะไรอยู่ที่เราชอบ
      ถาม :  จำเป็นไหมที่แต่ละวันจะต้องนั่งสมาธิเป็นกิจลักษณะ ?
      ตอบ :  สมควรอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ช่วงเช้ากับช่วงเย็น เพื่อให้กำลังใจของเราทรงตัวจริง ๆ
      ถาม :  เราปล่อยสัตว์ปล่อยปลา วันไหนก็ได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ใช่…ปล่อยเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น
*************************

      ถาม :  หมอบอกว่า ยาส่งผลต่อระบบประสาทและสมอง ถ้าหยุดยาจะทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไป มีพฤติกรรมก้าวร้าวขึ้น ?
      ตอบ :  ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสติสัมปชัญญะพอไหม ? ถ้ามีสติสัมปชัญญะพอก็ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ถ้ามีไม่พอก็อาจจะเปลี่ยน เพราะว่าฤทธิ์ยาที่กดอยู่คลายลง ที่หมอว่ามานั้นเขาว่าตามหลักวิชาการ แต่ในความเป็นจริงอยู่ที่ตัวคน
              ถ้าคน ๆ นั้นมีสติมีสมาธิมั่นคงพอ สิ่งต่าง ๆ ก็ไม่เปลี่ยน เขารู้อยู่ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงข้างใน แต่ความมั่นคงของจิตใจมีมากกว่า ก็เลยควบคุมกายไม่ให้เปลี่ยนไปด้วย
      ถาม :  หมอวิจัยว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นเรื่องของสมอง เขาเข้าไม่ถึงจิตใจ เป็นเพราะวิชาการเหล่านี้มาจากทางตะวันตกหรือเลป่าคะ ?
      ตอบ :  มาจากตะวันตก ๑๐๐% ไม่อย่างนั้นก็ต้องมานั่งเสกนั่งเป่าให้หายแทน...!
      ถาม :  กำลังคิดว่าธรรมนิยามครอบคบุมทั้งหมด เพราะทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ ฉะนั้น...สิ่งที่เป็นปัจจุบัน คือสิ่งที่เราทำได้ แล้วทาง DNA ทางจิตใจ และกรรมบางส่วน เป็นของปัจจุบันที่เราสามารถทำและแก้ไขได้ ?
      ตอบ :  ได้…แต่ว่านั่นเป็นส่วนของอดีตเหตุ ที่ส่งให้เป็นปัจจุบันผล
              ถ้าเราแก้ไขปัจจุบันเหตุได้ อนาคตก็จะเปลี่ยนไป
      ถาม :  อุตุนิยามอยู่ตรงไหนหรือคะ ?
      ตอบ :  อุตุนิยามอยู่ในส่วนของ DNA นั่นแหละ ที่กำหนดว่าในพื้นที่เช่นนั้นอย่างในที่หนาว สัตว์ต้องขนยาว คนจะต้องผิวขาว เป็นต้น ถ้าในที่ร้อนสัตว์จะต้องขนสั้น คนจะผิวดำ โดนประทับอยู่ใน DNA เรียบร้อยแล้ว เป็น ๑ ในนิยาม ๕ ของพระพุทธเจ้าว่าคนเราต่างกันเพราะอะไร
      ถาม :  พีชนิยามล่ะครับ ?
      ตอบ :  พีชนิยามก็คือ DNA แท้ ๆ เลย เพราะเป็นพืชพันธุ์ที่สืบต่อกันตามชาติตระกูลมา
*************************

      ถาม :  ช่วงนี้รู้สึกว่าวิบากกรรมมาตลอด มีวิธีทำให้เบาบางลงไหมคะ ?
      ตอบ :  ศีล สมาธิ ปัญญา เร่งให้หนักเข้าไว้ เพราะว่า ๓ อย่างนี้จะมีอานิสงส์ใหญ่มาก บรรเทากรรมได้ ถึงหนีไม่พ้นแต่ก็ผ่อนหนักเป็นเบาได้ โดยเฉพาะกำลังของสมาธิ
      ถาม :  ที่ผ่านมานั่งสมาธิ แต่ยังไม่ค่อยดีเท่าไร ?
      ตอบ :  ก็พยายามทำให้ดีขึ้น
      ถาม :  ถ้ารู้ว่าใครเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราควรจะเลี่ยงหรือว่าทำอย่างไรดีคะ ?
      ตอบ :  ขอขมาเขาเสีย
      ถาม :  บางทีขอแล้วก็ไม่หาย ต้องขอบ่อย ๆ หรืออย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ตัวเป็น ๆ หรือเปล่า ?
      ถาม :  ตัวเป็น ๆ ค่ะ ?
      ตอบ :  ถ้าตัวเป็น ๆ เขายอมอโหสิกรรมให้ก็จบแล้ว แสดงว่าที่ไม่หายนั้นเป็นกรรมเนื่องด้วยคนอื่น ไม่ใช่คนเดิม
      ถาม :  ครั้งเดียวก็จบได้หรือคะ ?
      ตอบ :  จบแค่ตรงนั้น ยกเว้นว่าเราไปทำเพิ่ม ถ้าทำใหม่ก็ต้องขอขมาใหม่
*************************

      ถาม :  ถ้าเห็นแสงระยิบระยับขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นตาเนื้อหรือตาใน ให้ปล่อยไปหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติ ก็แสดงว่าเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ การเห็นนั่นเห็นนี่ก็จะเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ใช่ในส่วนที่เราปฏิบัติอยู่ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ถ้าเป็นส่วนที่เราปฏิบัติอยู่ ก็จับเป็นนิมิตต่อไปได้
      ถาม :  อาการตัวสั่น แม้กระทั่งตอนที่แผ่เมตตา ?
      ตอบ :  นั่นแหละ...ตัวปีติชัด ๆ เลย ปีติจะอยู่ในระหว่างอุปจารสมาธิ ถ้าหากว่าสูงไปกว่านั้นก็จะเริ่มเป็นสุข แล้วก็เข้าสู่อารมณ์ฌาน ปล่อยอาการสั่นให้เต็มที่ไปเลย ถ้าหากว่าเป็นเต็มที่แล้วอาการนั้นก็จะเลิก ถ้าหากว่าเราไปห้ามหรือไปฝืนเอาไว้ ถึงเวลาก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อย ๆ
      ถาม :  อาการที่เราเดินอยู่ แล้วเหมือนกับมีอะไรมาผ่านตัวเรา บางทีเดินห้างอยู่ บางทีนั่งอยู่บนรถก็รู้สึก ?
      ตอบ :  พอทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว เราสามารถที่จะสัมผัสพลังงานบางสิ่ง บางอย่างที่คนทั่วไปเขาสัมผัสไม่ได้
      ถาม :  สิ่งนั้นดีหรือไม่ดีครับ ?
      ตอบ :  ก็ขึ้นอยู่กับว่าส่งผลที่ดีให้เราหรือเปล่า ? แต่เราไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ปล่อยเขาไปตามปกติของเขาดีกว่า
*************************

              “เคยได้ยินคำทำนายของเด็กขายปลาบู่ไหม ?
              ตอนนี้คงไม่ใช่เด็กชาย เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ละอย่างที่เขาว่ามาถูกทั้งนั้นเลย คนก็เลยกลัวกันว่าเหตุการณ์ปีหน้าจะถูกด้วยไหม ?
              อะไรที่รู้เป็นสาธารณะแล้วมักจะเคลื่อน เพราะว่าวาระบุญวาระกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าสมมติว่าจำเป็นต้องรับกรรม แต่พอรู้แล้วรีบแก้ไข วาระก็จะเปลี่ยนไป
              ปีหน้ามีเสาร์ห้า ๓ ครั้งน่าสยอง...! เพราะการบวงสรวงจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรแต่ละครั้ง หมายถึงการที่ต้องเปลี่ยนแปลงชะตาของคนส่วนใหญ่
              เรื่องของพรหมเทวดา ตอลดจนกระทั่งพระ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ขอให้ท่านช่วย ท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเรา ท่านก็จะปล่อยวาง คราวนี้การจัดงานบวงสรวงเป่ายันต์เกราะเพชร หรือไหว้ครูประจำปี ถึงเวลาเราขอให้ท่านช่วย ถือว่าขอกันอย่างเป็นทางการ ถ้าเป็นไปได้ท่านก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้”
*************************

      ถาม :  คนที่ปราถนาพุทธภูมิ เขาจะทรงอารมณ์พระโสดาบันไปด้วยหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ต้องศึกษายันอรหันต์เลย ไม่อย่างนั้นรู้ไม่ครบแล้วจะไปสอนใครเขาได้ เพียงแต่ว่ากำลังใจขั้นสุดท้ายไม่ได้ตัด เพราะว่ายังมีงานที่ต้องเป็นห่วงอยู่
*************************

      ถาม :  เป็นพี่เลี้ยงเด็ก จะให้เด็กรักเรา ยอมรับเรา ต้องทำอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ทำดีกับเขาเยอะ ๆ แต่ถ้าเขาทำผิดก็ดี ถ้ากำลังใจอขเงราดีจริง เด็กเขาจะรับได้ง่าย
*************************

              “อสุรินทราหูเป็นพระโพธิสัตว์ จะไปตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า นารท ตอนนี้ท่านอยู่ชั้นดุสิต
              หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถามท่านว่า “เรื่องอะไรถึงต้องไปอมพระจันทร์ ?”
              ท่านบอกว่า “ผมไม่โง่ไปอมขี้ดินหรอก” พระจันทร์ในสายตาของท่านก็คือดินก้อนหนึ่ง
              ในอนาคตวงศ์ กล่าวเอาไว้ว่า
              เมตฺเตยฺยา เมตฺเตยฺโยนาม เมตเตยมานพ จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ราโม จ รามสมฺพุทฺโธ พระรามที่รบกับทศกัณฑ์ จะเกิดเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า
              โกสโล ธมฺมราชา จ พระเจ้าโกศล ก็คือพระเจ้าปเสนทิโกศล จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า
              มารมาโร ธมฺมสามี พระยามาราธิราชจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า
              ทีฆชงฺฆี จ นารโท อสุรินทราหู จะเกิดเป็นสมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า
              ฑีฆชงฺฆี แปลว่า ขายาว ยาวเท่าไรบอกไม่ถูก ในอรรถกถาเขาบอวก่า รอยต่อระหว่างคิ้วของอสุรินทราหูกว้าง ๑ โยชน์ แค่หัวคิ้วชนกันนี่ยาว ๑๖ กิโลเมตรแล้ว ขาไม่ยาวก็คงไม่ได้
              โสโณ รํสิมุนี ตถา โสณพรหมณ์ จะเป็นสมเด็จพระพุทธรังสิมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า
              สุภูตา เทวเทโว สุภมานพ เป็นสมเด็จพระเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า
              โตเทยฺโย นรสีหโก โตเทยยพราหมณ์เป็นพ่อของสุภมานพ แต่บรรลุมรรคผลทีหลัง จะเป็นสมเด็จพระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า
              ธนปาโล ติสฺโส นาม ช้างธนบาลนาฬาคีรี ที่พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยไปจะให้เหยียบพระพุทธเจ้า จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระพุทธติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า
              ปาลิเลยฺย สมงฺคโล ช้างปาลิไลยกะ จะเป็นพระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า
              เอเต ทส พุทฺธา นาม ภวิสฺสนฺติ อนาคเต กาเล ชื่อทั้งหลายเหล่านี้แหละ...เป็นนามของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติขึ้นในอนาคตกาล
              อนาคตกาลนี่ไกลเท่าไร เอาแค่พระศรีอาริยเมตไตรยก็ห่างจากตอนนี้เป็นล้านปีแล้ว มีใครจะอยู่รอบ้างไหม ?
*************************

              เมตฺเตยฺยา เมตฺเตยฺโย นาม       ราโม จ รามสมฺพุทฺโธ
              โกสโล ธมฺมราชา จ                มารมาโร ธมฺมสามี
              ทีฆชงฺโฆ จ นารโท                 โสโณ รํสิมุนี ตถา
              สุภูตา เทวเทโว                     โตเทยฺโย นรสีหโก
              ธนปาโล ติสฺโส นาม               ปาลิเลยฺย สุมงฺคโล
              เอเต ทส พุทฺธา นาม               ภวิสฺสนฺติ อนาคเต
              กปฺปสตสหสฺสานิ                   ทุคฺคตึ โส น คจฺฉติฯ
              ไม่ใช่เซียนบาลีจริง ๆ แต่งฉันท์อย่างนี้ไม่ไ้หรอก แล้วเซียนบาลีจริง ๆ ต้องระดับประโยค ๙ ไปแล้ว
*************************

              พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในช่วงแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด สิ่งที่เกิดได้ยากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็มี
              กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากย่ิงเหลือแสน
              ท่านเปรียบว่า เหมือนเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่งโยนไว้กลางทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ที่ใหญ่พอจะสวมหัวเต่าได้ โยนลงไปอันหนึ่ง
              ร้อยปีเต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง ..ร้อยปีเต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง จนศีรษะเต่าสวมแอกนั้นได้เมื่อไร เท่ากับคนมีโอกาสเกิดได้ ๑ คน ร้อยปีได้เกิดคนหนึ่งก็แย่แล้วนะ แต่นี้ไม่รู้อนาคตว่านานเท่าไรถึงจะได้เกิด
              กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตตฺตํ การจะดำรงชีวิตอยู่รอดมา เป้นเรื่องที่ยากเหลือแสน
              คนเรามีชีวิตอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเอง หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เพราะฉะนั้น...มีโอกาสตายได้ทุกเวลา รอดมาได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว
              กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การจะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านั้นแสนจะยาก กว่าจะอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์นี่รอกันหายห่วงไปเลย”
*************************