สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ใช้คำที่ว่าสมเด็จพระประทีปแก้วบ้าง สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ สมเด็จพระอะไรอย่างนี้ไป....?
      ตอบ :  หมายถึงพระพุทธเจ้าองค์เดียว คืออันนั้นความเคยชินของหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อท่านจะเป็นพระนักเทศน์ พระนักเทศน์ส่วนใหญ่แล้วสำนวนเทศน์มันมีอยู่ ถ้าสังเกตดูถ้าเราอ่าน ๆ ไปจะรู้สึกว่ามันเป็นคำที่คล้องจองกับคำหน้า ในเมื่อถ้าหากว่าคล้องจองกับคำหน้า ท่านก็จะใช้คำที่มันคล้องกันไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นมันเหมือนอย่างกับว่าเป็นโคลงเป็นกลอนอะไรบางอย่างเลยล่ะ เพียงแต่ว่าเราต้องฟังจากหลวงพ่อเองถ้าหากว่าอ่านจากในหนังสือมันขาดตัวจิตวิญญาณหรือความรู้สึกไปเยอะเลย
      ถาม :  ........(ไม่ชัด)........อย่างเขาได้รับต้องมีกำลังมาก.....(ไม่ชัด).....(ถามเกี่ยวเรื่องกันมาร)?
      ตอบ :  ก็อาจจะมีนะ อาจจะมีแต่ให้เขาขวางไปเถอะ การที่เขาขวางจริง ๆ เขาไม่ใช่ศัตรู เขาเป็นครูที่ดีที่สุดที่เราพึงหาได้ จำไว้นะ.... ครูคนนั้นขยันทดสอบมากทุกเวลา ทุกวินาที เราเปิดช่องเมื่อไหร่เอาทันทีออกข้อสอบเดี๋ยวนั้นเลย ข้อสอบก็ ๔ หัวข้อใหญ่ รัก โลภ โกรธ หลง แค่นั้นแหละแต่ว่าสามารถจะแตกกระจายออกได้เป็นล้าน ๆ ข้อ งั้นเผลอเมื่อไหร่เสร็จ! แต่ว่าอันไหนที่เราสามารถทำได้ก้าวผ่านไปแล้วกำลังใจเราไม่ตกต่ำอีก ดังนั้นท่านไม่ใช่ศัตรูแต่ท่านเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าเราสอบตกก้าวไม่ผ่านท่านกลายเป็นมาร คือผู้ขวางความดีของเราไใช่มั้ย ? อันนั้นเป็นความผิดของเราเองไม่ใช่ความผิดของท่านเราผิดเพราะเราสอบตก
      ถาม :  อย่างนี้เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นนี่แสดงว่าเราต้องข้ามให้ได้ ?
      ตอบ :  ใช่ อุปสรรคสร้างความแข็งแกร่ง ถึงเวลาก้าวข้ามได้แล้ว กำลังใจในระดับนั้นมันจะไม่ถอยลงมาอีก ยกเว้นจะเจอที่ละเอียดกว่านั้น ต่อไปเปลี่ยนความคิดนะ มารไม่ใช่ศรัตรูเป็นครูที่ดีมาก ถ้าทำ ๆ ไปถึงมันเหมือนกับว่าโลกทัศน์มันพลิกกลับ มันจะเห็นความดีในทุกสิ่งทุกอย่างเลยไม่มีใครเป็นศัตรู...?ต่อไปก็ทำกำลังใจในลักษณะที่ว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ท่านมีหน้าที่ขวางท่านก็ขวางไป เรามีหน้าที่หนีท่านให้พ้นเราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของเราเอง ไม่มีใครเป็นข้าศึกเป็นศรัตรูต่อกันทุกฝ่ายต่างกำลังเป็นไปตามกรรม คือการกระทำของตน?ฟังดูแล้วเหนื่อยน้อยลงเยอะเลย
      ถาม :  อย่างนี้เป็นพรหมวิหาร ๔ รึเปล่าคะ ?
      ตอบ เป็นพรหมวิหาร ๔ ด้วย เป็นปัญญาด้วย?ตอนนี้ฉลาดขึ้นมาหน่อย ไม่ได้มีข้าศึกศัตรูสักหน่อยแล้วเราก็ไปเที่ยวไล่ตีกับเขา จับมือดีกันไม่ต้องทะเลาะกับเขาไม่ดีเหรอ
      ถาม :  พอดีดูละคร เขาให้....(ถามเกี่ยวกับลุงพุฒ) ?
      ตอบ :  พวกนั้นเข้าใจผิดกันเยอะเลย บางคนเข้าใจว่าพระยายมราช คือ ท้าวเวสสุวรรณซะด้วยซ้ำ เขาจะเข้าใจผิดกันเยอะมาก?ลุงพุฒ จริง ๆ ก็คือพระยายมราช ท่าน พระยาวสวัตตีมาราธิราชองค์ก่อนคือท่านท้าวมาลัยซึ่งเคยปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าและจะตรัสรู้ในกัปเดียวกับ พระราม แต่ว่าปัจจุบันนี้ท่านลาพุทธภูมิขอไปนิพพานแทนแล้ว ไม่เอาแล้วเหนื่อย วสวัตตีมาราธิราชนี่เหมือนกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พอนายกคนหนึ่งพ้นตำแหน่งไปอีกคนหนึ่งก็ขึ้นมาแทนไปเรื่อย ๆ เพราะว่าฝ่ายมารก็เยอะ ถามว่าทำไมถึงเกิดเป็นมาร ท่านทั้งหลายเหล่านั้นปกติแล้วมีจิตเป็นมิจฉาทิฐิอยู่แต่ว่าได้ทำบุญใหญ่ไว้ ผลบุญนั้นก็เลยส่งผลให้ไปอยู่สวรรค์ชั้นสูงสุด กามาวจรสวรรค์ชั้นสูงสุด คือชั้น ปรนิมมิตวสวัตตีจะแบ่งเขตกับเทวดาคนละครึ่ง มารอยู่ครึ่งหนึ่งเทวดาอยู่ครึ่งหนึ่ง
      ถาม :  เคยบอกว่าให้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกแล้วจะไม่เป็น ทำแล้วคือยังเป็นอยู่ (อาการวูบ) ?
      ตอบ :  ถ้ายังเป็นอยู่แสดงว่า สติมันตามไม่ทัน อาการลักษณะเหมือนตกจากที่สูงเขาเรียกว่าพลัดจากฌาน ?คือกำลังใจหลุดจากฌานลงสู่อารมณ์ปกติ ขณะที่เราภาวนาแล้วกำลังใจมันเริ่มเข้าสู่ ปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าสติมันตามไม่ทันมันขาด พอขาดปั๊บ!มันก็หลุดออกมา พอหลุดออกมา อาการหลุดออกมาน่ะมันก็คือตกลงมา เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้มันแน่นอนกว่าเดิม
      ถาม :  กำหนดลมหายใจเข้าออก ?
      ตอบ :  คือเอาสติจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกให้มันหนักแน่นมั่นคงกว่าเดิม พยายามค่อย ๆ ตามมันไปเรื่อย ถ้าหากว่ามันก้าวข้ามเป็นฌานมันจะทรงตัวไปเลย ลักษณะนั้นบางทีบางคนที่จิตหยาบมากกว่านั้นเข้าสู่ปฐมฌานหยาบจริง ๆ นี่ บางทีมันเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้หลับ นะถ้าตัวนั่งก็นั่งตรงแหนว! อยู่อย่างนั้นแหละ แต่สติมันขาดในเมื่อมันขาดมันไม่สามารถจะรับรู้อาการอื่น ๆ ได้ มันเหมือนกับหลับไป แล้วบางที่ก็วูบมาทั้ง ๆ ที่รู้สึกตัวว่าหลับไปแล้ว ก็คือมันพลัดกลับมาสู่อารมณ์ปกติเพราะมันไปต่อไม่เป็น ไปต่อไม่เป็นมันก็ถอยหลังลงมา แต่มันถอยเร็วเกินไป มันก็เลยรู้สึกวูบเหมือนตกลงจากที่สูงนั่นแหละ
      ถาม :  แล้วมันก็ต่อไม่ติดล่ะคะ ?
      ตอบ :  ก็เริ่มต้นใหม่
      ถาม :  ต้องเริ่มต้นใหม่ ?
      ตอบ :  จ้ะ เริ่มต้นจับลมหายใจเข้า-ออกใหม่แล้วเอาสติตามดูมันไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอมันละเอียดขึ้นมันก็จับติดเอง ตอนนี้เริ่มดีแล้วเพราะว่ามันเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานแล้ว ปฐมฌานจะมีหยาบ กลาง ละเอียด ๓ ขั้นตอน อันนี้มันหยาบไปหน่อย จิตมันตามไม่ทันถึงเวลามันก็หลุดออกมา
      ถาม :  ทำยังไงจะทราบได้ว่าเป็นฌานขึ้นต้น เป็นปฐมฌาน เป็นฌานขั้นที่เท่าไหร่ จะทราบได้ยังไง ?
      ตอบ :  เรื่องนี้ต้องศึกษาขั้นตอนของมัน เอา คู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมาอ่านดู จะบอกรายละเอียดเอาไว้ว่าแต่ละขั้นตอนของฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ นี้มันจะมีอะไรบ้าง ต้องศึกษาขั้นตอนนั้นละเอียดดีแล้ว พอทำถึงมันก็รู้เลยว่าใช้... ต้องศึกษาขั้นตอนมันก่อน หลวงพ่อก่อนที่จะบวช หลวงปู่ปานส่งวิสุทธิมรรค ให้ทั้งเล่มเลย ท่องแล้วจำให้ได้ จะได้รู้ว่ากรรมฐานแต่ละกองมีลักษณะอาการยังไง ๆ นะจำให้หมด จำได้หมดแล้วพอถึงเวลาก็ไล่เข้าป่าช้าไปเลย
      ถาม :  แล้วจากที่มีคนเขาบอกว่า การที่จะนั่งสมาธิจะต้องมีคนมาเปิดสมาธิ มาเดินสมาธิให้ ยังไงคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง ทำได้เลย เสียเวลาเปล่า ตั้งหน้าตั้งตาทำผลมันจะเกิดเลย มัวแต่รอคนอื่นช่วยถ้าเขาไม่ว่างชาตินี้ไม่ต้องนั่งสมาธิกันพอดี อันนั้นเป็นความเข้าใจผิดของเขา
      ถาม :  เขาบอกว่าเขาจะเปิดสมาธิให้ได้ให้เจริญสมาธิ คือเราต้องปฏิบัติเองใช่ไหมคะ ?
      ตอบ ต้องเราปฏิบัติเอง คนอื่นช่วยอะไรไม่ได้เลยยกเว้นว่าเราได้กำลังใจ เรารู้สึกว่า เออ... ครูบาอาจารย์ที่เก่งที่มีความสามารถอยู่ใกล้เราจะมีกำลังใจทำความดี อารมณ์ใจมันทรงตัวได้เร็วได้ง่ายอย่างนั้นได้ แต่ว่าเรื่องของกระกระทำนี่เป็นของเราล้วน ๆ ครูบาอาจารย์ได้แต่แนะนำวิธี จะทำได้เท่าไหร่อยู่ที่เราเอง
      ถาม :  แล้วทำไมบางคนมีญานวิเศษล่ะคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นเคยทำมาก่อนจ้ะ ตัวนั้นเป็นทิพจักขุญาณ อย่างหนึ่งถ้าอย่างหยาบเขาจะเรียกว่าลางสังหรณ์ พวกนี้จะสังหารณ์แม่นเพราะว่าเคยได้ทิพจักขุญาณในชาติก่อน ถ้าหากว่าเขาพยายามซ้อมทวนความรู้จนกำลังเดิมคืนมาได้ก็จะคล่องตัวเหมือนกับชาติก่อนที่ตัวเองทำได้ ส่วนมันเป็นของแถม พอเริ่มปฏิบัติสมาธิ อารมณ์ใจเริ่มทรงตัวของเก่ามันคืนมา เราก็จะไปคิดว่าของเขาเองมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นเขา ความจริงไม่ได้พิเศษกว่าหรอกแต่เคยทำมาแล้ว ถ้าเราเคยทำมาเมื่อถึงเวลาเราทำถึงตรงจุดนั้นของเก่ามันก็จะคืนมาเหมือนกัน
      ถาม :  ครูบาอาจารย์ที่ไม่... (ไม่ชัด)... ปิดญาณเขาปรารถนาเป็นญาณของเราเขาปิดได้เหรอคะ ?
      ตอบ :  มันมีอยู่ ถ้าหากว่าเป็นพวกที่ได้ โลกียอภิญญาและมีมิจฉาทิฐิ มีการกลั่นแกล้งคนอื่นเขาได้เหมือนกัน แต่ว่าลักษณะที่เรียกว่าปิดฌาน คำว่า ญาณ ก็คือเครื่องรู้ > วันนี้มันจะกลายเป็นว่าเราไปพบครูบาอาจารย์แบบนั้นแล้วขาดความก้าวหน้าเป็นเเพราะว่าท่านสอนผิดมากกว่า แต่ถ้าหากว่าท่านได้ อภิญญา ๕และเป็น มิจฉาทิฐินี่ความสามารถท่านสูง บางที่ท่านก็สามารถทำสิ่งที่เราคิดไม่ถึงได้เหมือนกัน
      ถาม :  ...................
      ตอบ :  คนละอย่างกัน พระยายม ท่านเป็นพรหมไปทำหน้าที่นั้น จริง ๆ ก็คือว่า ไปเพื่อช่วยเขา ไม่ได้ไปเอาใครลงนรกไปเพื่อช่วยคอยกันไม่ให้เขาลงนรกเนื่องจากว่าพรหมประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติอยู่แล้วท่านทำหน้าที่โดยยุติธรรม พยายามสอบถามทุกวิถีทางแล้ว ถ้าเรานึกความดีไม่ออกไปลงโทษตามความผิดที่ตนเองทำมา แต่ถ้าหากว่าเรานึกถึงความดีออกแม้แต่นิดเดียวท่านจะส่งเราขึ้นสวรรค์ไปก่อนเลย ไปรับความดีของเราก่อน
              ส่วนพระกาล ท่านเป็นเทวดาแต่ว่าในสมัยก่อนท่านชอบต้องการรู้เรื่องราววาระอะไรต่าง ๆ ของคนของสัตว์ทั้งหมดจนกระทั่งกลายเป็นว่าท่านสามารถรู้วาระและเวลาการเกิดการตายของคนด้วย ท่านจะเป็นผู้ที่กำหนดว่าจะส่งรถทิพย์ไปรับใคร ตอนไหนเมื่อไหร่ ในด้านของผู้ที่ะขาทำความดีกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นเขาเลยเรียกท่านว่าพระกาลกาล มันมาจากกาละ คือแปลว่าเวลาเป็นผู้รู้เวลาของคนอื่นเขา คนละอย่างกัน
      ถาม :  ใช่พระกาลองค์นี้ที่ลพบุรีหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ที่ นั่นเขาเรียกเจ้าพ่อพระกาฬ เจ้าพ่อพระกาฬที่ลพบุรีนั่นก็คือพระพรหมที่ชื่อว่าท้าวมหาชมพู คนละองค์กันคนละคนละอย่างกันจ้ะ
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  การภาวนาคาถาจริง ๆ ต้องการผลก็คือโยงจิตให้เป็นสมาธิ ส่วนผลของคาถานั่นเป็นของแถมอีกทีหนึ่ง ดังนั้นถ้าเราภาวนา คาถาเงินล้านเพื่อให้จิตเป็นสมาธิเข้าสู่ระดับสูงขึ้น ๆ ไปจะท่องเร็วท่องช้าอยู่ที่ความถนัดของเรา ส่งนผลของคาถาจะเกิดขึ้นเมื่อใดอย่างไรก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
      ถาม :  บอกว่าให้ท่องทีละคำ พยายามค่อย ๆ ท่องไปทีละคำ ท่องไม่ได้ ท่องแล้วมันจิตฟุ้งซ่าน ?
      ตอบ :  เอาที่เราถนัดล่ะจ้ะ
      ถาม :  .........................
      ตอบการดูหมอจะให้แม่น เคล็ดลับมันอยู่ที่ว่าเราต้องทำกำลังใจของเราให้เป็นกลาง อย่าให้ไปรัก , โลภ, โกรธ, หลง โดยอคติ ไม่ใช่คนนี้มาเห็นแล้วไม่ชอบหน้า ไม่อยากสงเคราะห์ ยายนี่ปากมากถามไม่รู้จักหมด ไม่พอใจอะไรอย่างนี้ นั่นไม่ได้ กำลังใจของเราต้องทำเพื่อการสงเคราะห์ในลักษณะของอัปปมัญญาพรหมวิหาร ก็คือไม่มีประมาณไม่ว่าเขาจะสวยงาม อัปลักษณ์ รวย จน อีท่าไหนก็ตาม เราจะให้การสงเคราะห์เขาเสมอหน้ากัน ถ้าเราสามารถคุมกำลังใจเราอยู่ลักษณะนี้ได้จะดูหมอได้แม่นมากแต่ถ้าหากว่าปล่อยให้ตัวอคติมันกั้นเราเมื่อไหร่โอกาสเพี้ยนมันมีเยอะ ต้องระวังให้ดี อยากจะดูหมอมันต้องรู้เคล็ดของการดูหน่อย ถ้าไม่รู้เคล็ดก็เสียเวลาเปล่า
      ถาม :  บางครั้งดูไปใจมันจะเหนื่อย เป็นแบบมันไม่นิ่ง ?
      ตอบ :  คืออย่าไปคิดว่าเราจะทุ่มเทช่วยเหลือเขาให้ได้ เราเองเราช่วยเขา เราก็ช่วยแค่สิ่งที่ว่าสามารถสงเคราะห์ได้โดยไม่เกินกำลังความสามารถหรือว่าไม่เกินที่ครูบาอาจารย์ท่านให้?เพราะฉะนั้นเราช่วยแค่ไหนเราทำกำลังใจของเราแค่นั้น ไม่ใช่ไปแบกภาระของเขาเอาไว้ถ้าแบกอย่างนั้นมันหนักมันจะเหนื่อย บางทีหัวใจมันเต้นผิดปกติไปเลยล่ะ
      ถาม :  บทอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่บอกว่าให้เจ้ากรรมนายเวรจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน อันนี้ผมก็สงสัยว่าเราท่องทุกครั้งเนี่ยเมื่อไหร่เจ้ากรรมนายเวรเขาจะอโหสิกรรมให้เรา ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วเจ้ากรรมนายเวรตามความหมายของเรานั่นหมายความว่าคนหรือสัตว์ที่เราได้ฆ่าเขาไว้ ทำร้ายเขาไว้ใช่มั้ย ? ถ้าหากว่าเราฆ่าเขาตายเขาไปรับบุญรับบาปตามกรรมของเขาอยู่แล้วที่จะมาคอยจองเราอยู่นี่มันน้อยมาก ยกเว้นพวกตายโหงที่ยังไม่หมดอายุขัยซึ่งมันน้อยเต็มที
              แล้ว ทำไมมันถึงมีการจองเวรใช้เวรกัน ? มันก็เป็นเรื่องกฏของกรรมว่าใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว เหมือนกับว่าเราฆ่าคนตายเขาไม่ได้มาล้างแค้นเราไม่ได้มาจัดการอะไรกับเราแต่ว่ากฏหมายจัดการเราเอง คราวนี้ว่า ทำถึงต้องอโหสิกรรม ? ลักษณะนี้เป็นการปลดใจของเราเองจากจุดยึนนั้นว่าเราได้ทำความชั่วอันนั้นไป?ถ้าจิตใจมันไปยึดอยู่ตรงนั้นมันจะหมองอยู่ตลอด ในเมื่อหมองอยู่ตลอดโอกาสจะไปดีมันไม่มี ก็เลยว่าเมื่อเราทำความดีแล้วเราตั้งใจอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรเป็นการทดแทนแล้วจิตของเราก็ปลดปล่อยออกจากจุดนั้นมาทำให้เราได้ดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นถามว่าเมื่อไหร่เขาจะอโหสิกรรมให้ ? ใจเราปลดออกเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นหรือไม่อีกทีเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะเพราะการเป็นพระอรหันต์นี่กรรมทุกอย่างที่ทำมาจะเป็นอโหสิกรรมหมด ผลกรรมจริง ๆ ทำอันตรายท่านไม่ได้ ยกเว้นเศษกรรมเท่านั้น
              ดูอย่าง ท่านองคุลีมาลสิท่านเป็นพระอรหันต์แล้วผลกรรมที่ฆ่าคนมามากมานเอาท่านลงอบายภูมิไม่ได้ แต่ออกบิณฑบาตโดนชาวบ้านขว้างหัวร้างข้างแตกอยู่ตั้งหลายวัน
      ถาม :  บางครั้งนี่ผมมีความรู้สึกว่าเมื่อเจอเหตุการณ์แล้วรู้สึกถึงในอดีตว่าเราได้เคยทำกรรมนี้ไว้ จะได้รับเหตุการณ์ที่เจอแบบนี้ แต่บางทีก็รู้สึกว่าท้อแท้ว่าเมื่อไหร่จะหมดเสียที ?
      ตอบ :  อ๋อ ... เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็หมดยืนยันเลย เพราะเราเองเราก็ไม่ได้ทำความดีตลอดมันก็มีสิ่งที่ไม่ดีแทรกอยู่ตลอด แต่ว่าตัวยถากัมมุตาญาณดีอยู่อย่างหนึ่งคือเราทำเราก็รับ เมื่อเรารู้ว่าเราทำเราต้องรับผลอันนั้น แล้วสิ่งที่เราทำเองไม่ต้องตัดพ้อต่อว่าใครก็ก้มหน้ารับไป ถ้าจิตใจมันยอมรับอย่างนี้ได้เรียกว่ายอมรับกฏของกรรม เมื่อยอมรับกฏของกรรมนี่จิตใจจะมีความสุขมากเลย เพราะฉะนั้นยถากัมมุตาญาณจริง ๆ นี่ดีมาก ดีตรงที่ว่าเรายอมรับได้ ถ้าหากว่าเรายอมรับไม่ได้เมื่อรู้ เข้า แหม..ตูไม่น่าไปทำอย่างนั้นเลย แล้วก็มานั่งหมองต่อก็เสร็จ !
      ถาม :  บางทีก็อยากจะหนีเลยล่ะครับ อย่างนี้ถูกหรือเปล่า ?
      ตอบหนีไปไหนก็ไม่พ้น พระพุทธเจ้าบอกแล้วจะหนีไปซ่อนอยู่ใต้เม็ดทราย ก้นมหาสมุทรหรือจะหนีไปในซอกเขาอันลึกล้ำหรือว่าจะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆ กรรมก็ตามถึง เพราะว่ามันเป็นผลของการกระทำของเราเอง มันเป็นเงาติดตัวของเราเองหนีไปไหนก็หนีไม่ได้หรอกยกเว้นว่ายอมรับเขา ยอมรับแล้วก็ชดใช้เขาไป ถ้าหากว่าชดใช้ได้หมด ถ้าไม่ได้หมดไปนิพพานซะก่อนคุณก็อดไป จำไว้ว่า พระอรหันต์ที่ไปนิพพานไม่มีใครใช้หนี้หมดซักองค์หนึ่ง
      ถาม :  ถ้าเกิดเราคิดว่าการที่เราอยู่ทำให้เราต้องทำกรรมหนักต่อไปอีกการที่เราไปแล้วเราไม่ต้องทำกรรมหนัก อย่างไหนจะดีกว่ากันครับ ?
      ตอบ :  กรรมหนักมันย่อมให้โทษหนัก ในเมื่อเราเองถ้าหากว่าไปเสียแล้วไม่ต้องทำกรรมอันนั้นก็รีบไปมันซะเลย ถ้าเราทำเราก็ต้องรับผลของมัน ถ้าคุณรู้จักกรรมจริง ๆ ว่าหน้าตาเป็นยังไง ? แล้วผลมันเป็นยังไง ? ไม่ต้องการอะไรมากหรอก แค่คุณฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตของคุณหมองอยู่ด้วยกรรมอันนั้น อันดับแรกลงนรกก่อนนะ มันก็ลงขุมที่เป็นมหานรกคือ สัญชีพนรก ก่อน พอหลุดจากสัญชีพนรกก็ลงมา อุสุทนรก จากอุสุทนรกมาก็มาลงยมโลกีนรก แยกตามขุมที่เราโดนลงโทษมาแล้ว เสร็จแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่เราฆ่า นี่แค่ตัวเดียวนะ แล้วถ้าเกิดเราทำทำไว้เยอะล่ะ พอรู้มันเข้านี่มันน่ากลัวมาก น่ากลัวจริง ๆ ที่ท่านบอกว่าภยตูปัญฐานญาณ ท่านพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นโทษเป็นภัยเป็นของน่ากลัว ถ้าเรารู้ตรงจุดนี้ โอ้โห้... มันน่ากลัวมากอย่าว่าแต่กรรมใหญ่เลยกรรมเล็ก ๆ ยังกลัวขนาดนั้น ขึ้นชื่อว่าไฟแล้วไม่ร้อนน่ะไม่มี แค่ไฟบุหรี่จี้เราก็สะดุ้ง ๘ ตลบแล้ว ไฟนรกมันร้อนกว่าบุหรี่เป็นล้านเท่า
      ถาม :  ผมมีความรู้สึกว่าจิตใจของผมเองยังรับกฏของกรรมไม่ได้ แล้วคิดว่าถ้าอยู่โดยไม่หลบหนีไปจะทำให้กรรมต่อกรรมไปอีก ?
      ตอบ :  มันก็จะต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ มันจะไม่รู้จักจบ เราต้องหยุด ถ้าเรายังทำกรรม ก็คือ การกระทำ ถ้าเรายังทำมันก็ไม่มีวันจบ มันก็หมุนเวียนเป็นกงกรรมกงเกวียนตามไปเรื่อย รอยเกวียนตามรอยโคไปเรื่อยถึงเวลามันตามทันก็แย่ แต่ถ้าเราหยุดมันลงเมื่อไหร่กรรมอันนั้นเป็นอันว่าขาดลง มันจะตามแค่ช่วงที่มันส่งผลเท่านั้น พอหมดผลหมดวาระของมัน ตอนนี้เราก็เหลือแต่ความดีล้วน ๆ เราไปเสวยความดีของเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นท่านที่ตั้งใจทำจริงนี่ของเลวยังไม่ทันจะหมดหรอก ท่านดีถึงที่สุดซะก่อนก็เป็นอันว่าจบกันกลายเป็นอโหสิกรรมไป ดูเอาแล้วกันว่าวาระไหนที่มันเหมาะมันควรกับเราก็ว่าไปเลย.... ตราบใดที่เรายังอยู่กันมันตราบนั้นเราทีแต่สร้างทุกข์สร้างโทษมากขึ้นทุกที ยกเว้นอย่างเดียวว่าเราจะมีศีลเป็นเครื่องคุ้ม พอมีศีลเป็นเครื่องคุ้มเราก็สามารถที่จะควบคุมกายของเราไม่ให้ทำผิดพลาด ควบคุมวาจาของเราไม่ให้ทำผิดพลาดแต่มันก็เป็นแค่ขอบเขตหนึ่งเท่านั้นเผลอสติพลาดเมื่อไรโอกาสมันมีก็เท่ากับว่าเราเปิดช่องให้ลงนรกอีก
      ถาม :  คือผมแก้ปัญหาด้วยการนั่งเฉย แต่ว่าการนั่งเฉยจิตใจมันกระเจิง ?
      ตอบ จิตใจมันไม่นิ่งด้วย เพราะว่าเรารู้อยู่ตลอดว่าเราได้ทำอะไรลงไปผลที่เราได้รับเป็นยังไง เพราะฉะนั้นโอกาสที่ใจมันจะนิ่งด้วยนี่ยากเต็มที ค่อย ๆ ตัดสินใจเอาเหอะ มีโอกาสเมื่อไหร่จะเผ่นก็บอกแล้วกัน
      ถาม :  เพราะว่ามันมีเหตุว่าในอดีตเคยทำกรรมที่ไม่ดีเอาไว้ก็เลยยังเกี่ยวกับเรื่องเงินทุนยังไม่มี แต่มันก็พอมีช่องทางอยู่บ้าง ไม่ทราบผมจะดันทุรังทำไปหรือว่าทุนน้อย ๆ นี่ไม่ทราบจะดีมั้ย ?
      ตอบ :  คือของอะไรนี่ถ้าหากว่าตามสมัยก่อนของคนจีนเขา ๆ เริ่มจากน้อยไปหาใหญ่ อาจจะค่อย ๆ เก็บเล็กผสมน้อยไป แล้วจะสังเกตว่าคนจีนพอมีกิจการมั่นคงแล้วหลักฐานเขาจะแน่น ที่หลักฐานเขาแน่นเพราะเขาเริ่มจากจุดเล็กมาก่อน มันไม่เหมือนสมัยนี้ ส่วนใหญ่ทำแล้วจะเอารวยทีเดียวโดยที่ลืมไปว่าการทำจะรวยทีเดียวนี่มันต้องลงทุนมาก การลงทุนมากถ้าพลาดโอกาสพลิกฟื้นของเรามันยากแล้ว โอกาสแก้ตัวมันไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำมัน ควรจะทำตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ไปอย่างที่ตั้งใจนั่นและ จริง ๆ แล้วมันถูก ค่อย ๆ ทำไป