เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนตุลาคม ๒๕๕๔
“การจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวงเป็นสิ่งที่ดี แสดงออกถึงความจงรักภักดี แต่ว่าเป็นในลักษณะของอามิสบูชา ถ้าจะเอาจริง ๆ ต้องเป็นปฏิบัติบูชา คือปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระองค์เป็นตัวอย่างมาตลอด ๖๕ ปี
พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ ไม่ได้เสวยสุข หากแต่ว่าความสุขของพระองค์ท่านก็คือ ได้เห็นชาวบ้านมีความสุข
การเสวยราชย์ก็ไม่ใช่การครองราชย์ แต่เป็นเป็นการครองใจราษฎร์
เพราะฉะนั้น...สิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจพอเพียงก็ดี หรือว่าการเกษตรทฤษฎีใหม่ก็ดี ใครมีที่มีทางก็ทำตามที่พระองค์กล่าวไว้บ้าง พอถึงเวลาที่เขาเดือดร้อนกันทั้งโลก แล้วเราอยู่ได้ ถึงเวลานั้นเราจะเห็นคุณค่า
ศาสตราจารย์แมนเฟรด (Prof.Manfred Krames) ชาวเยอรมันกล่าวว่า คนไทยเรามีครูใหญ่ที่ดีที่สุด แต่ครูสอนเท่าไรไม่เคยทำตามเลย ครูใหญ่ของท่านก็คือในหลวง ร.๙
ถ้าเราไม่มีที่ไม่มีทาง หรือว่าไม่มีความสามารถที่จะไปทำการเกษตร ในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง ก็หันมาใช้หลักสันโดษ ตามที่พระองค์ท่านใช้อยู่ ก็คือประหยัด ยินดีตามมีตามได้
*************************
โดยเฉพาะน้ำท่วมคราวนี้ ทุกคนจะเห็นว่ามีส่วนเกินในชีวิตเยอะมาก ของที่เราทิ้งได้มีเยอะมากเลย แล้วจะกองไว้ทำไม ?
บริจาคให้คนอื่นเขาไป จะได้แบ่งปันกันใช้ อะไรที่มีราคาค่างวดบริจาคเข้าการกุศลไป หรือถ้าอะไรก็ตามที่มีราคาจริง ๆ ขายไปเลย เก็บเงินไว้เป็นทุนสำรอง
บางบ้านมีรถอยู่ ๕ คัน จมน้ำหมดทุกคน ยังสงสัยว่าพอเลิกจมน้ำแล้ว จะจ่ายค่าซ่อมรถไหวไหม ? หรือต้องซื้อใหม่อีก ๕ คัน...!”
*************************
“บ้านเราติดสถิติโลกที่ไม่น่าปลื้มใจเยอะมาก อย่างเช่น ออกรถใหม่มากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศเล็กนิดเดียว รถรุ่นไหนก็ตามที่ออกใหม่ จะต้องมีป้ายแดงวิ่งบนถนนให้เห็นทันที
รัสเซียประชากรหลายร้อยล้านคน เคยครองสถิติกินเหล้ามากที่สุดในโลก ปัจจุบันโดนประเทศโค่นไม่เป็นท่าเลย ประชากรไทย ๖๓ ล้านคน เฉลี่ยกินเหล้าคนละ ๘ ลิตร นี่เขาเอาอาตมาไปเฉลี่ยด้วยนะ...!
สถิติห่วยแตกอีกสถิติหนึ่งของไทยก็คือ บริโภคน้ำตาลมากที่สุดในโลก มิน่า...ถึงได้เป็นเบาหวานกันเป็นว่าเล่น
ประเทศอื่นเขาเฉลี่ยกินน้ำตาลคนละ ๔ - ๖ ช้อนชาต่อวัน แต่ประเทศไทยกินน้ำตาลเฉลี่ยคนละ ๑๒ ช้อนชาต่อวัน มากกว่าเขา ๔ เท่า แล้วจะไม่ให้เบาหวานจงเจริญได้อย่างไร ...!
ปัจจุบันนี้ใครไม่เป็นเบาหวานถือว่าไม่ทันสมัย อาตมาบ่นมาหลายต่อหลายปีก็คือ กับข้าวมีแต่รสชาติหวานหมดแล้ว ไม่ว่าจะต้ม แกง ผัด น้ำพริกผักจิ้ม ออกรสชาติหวานหมด
ที่น่าเกลียดมาก ๆ เลยก็คือ แกงส้มก็หวานด้วย ส้มแปลว่าเปรี้ยว เพราะฉะนั้น...แกงส้มต้องเปรี้ยวนำ เค็มตาม แล้วก็เผ็ด ไม่ใช่หวาน”
*************************
“เดี๋ยวนี้เวลามีงานพุทธาภิเษกสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่อเจ้าคุณปัญญาท่านจะจองตัวอาตมาเอาไว้
มีอยู่เที่ยวหนึ่งเสกรูปเหมือนหลวงปู่เปลี่ยน อาตมาก็ตั้งใจจะไปทำบุญ เพราะว่าเป็นวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) อดีตเจ้าอาวาสวัดใต้
พอโผล่ไปถึง หลวงพ่อเจ้าคุณปัญญากำลังตั้งโต๊ะบวงสรวงอยู่ พอเห็นหน้าก็กระโดดกอดเลย
“ดีเหลือเกินพ่อคุณ...อุตส่าห์มา...ขอ ๒ เรื่อง ...เรื่องที่ ๑ ทำบวงสรวงให้ผมด้วย เรื่องที่ ๒ ช่วยเสกรูปหลวงปู่ให้ด้วย”
ตั้งใจไปทำบุญแท้ ๆ โดนใช้งานอ่วมไปเลย...!
*************************
หลวงปู่เปลี่ยนท่านเป็นเกจิอาจารย์ดังมากของจังหวัดกาญจนบุรี ถ้านับเกจิอาจารย์ที่ดังที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี ก็คือ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว
ลูกศิษย์ของท่าน คือ หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว
หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้
หลวงปู่ดี วัดเหนือ
หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า
แต่ละท่านลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง
หลวงปู่ยิ้มเก่งขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ต้องเสด็จไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์
สมัยก่อนคนเมืองกาญจน์เขาบอกว่า ถ้าอยากเจ้าชู้ให้ไปวัดเหนือ ถ้าอยากเป็นเสือให้ไปวัดใต้ เพราะหลวงปู่ดี วัดเหนือ ท่านเก่งทางเมตตามหานิยม หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ ท่านเก่งทางอยู่ยงคงกระพัน”
*************************
“วันก่อนคุณปิยทัศน์ มีศรัทธาจะร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก เขาถามว่าใช้เงินเท่าไร ?
อาตมาบอกว่า เฉพาะองค์พระ ๓ ล้านบาท เขาคำนวณจากราคาวัตถุมงคลแล้วว่า น่าจะมีกำไรประมาณ ๑.๓ ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ๑.๗ ล้านบาท เขาจะขอทำบุญด้วย
พอเขาส่งข้อความมา อาตมาก็ตอบคืนไปว่า ให้เวลาคิดอีก ๗ วัน ถ้าหากว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในเรื่องอื่นแล้วค่อยโอนมา แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้เงินในเรื่องอื่น ก็ให้ทำอย่างอื่นไปก่อน ไม่ต้องกลัวว่าอาตมาจะไม่มีสตางค์ เพราะว่าถ้าเป็นงานของพระท่าน ไม่เคยเลยที่จะไม่มีสตางค์
พอ ๗ วันให้หลัง เขาบอกว่า ผมคิดรอบคอบแล้วครับว่า เงินส่วนนี้ผมสามารถทำบุญได้โดยไม่เดือดร้อน เขาก็โอนมา
เพราะฉะนั้น...ทำบุญวัดท่าขนุนนี่ยากมาก มีเงินให้ยังไม่อยากจะรับเลย ให้ไปคิดก่อน ภายใน ๗ วัน ถ้าศรัทธาไม่ถอย คิดให้รอบคอบแล้วค่อยมาทำบุญกัน
จริง ๆ เขาพูดเดี๋ยวนั้นและทำเดี๋ยวนั้น แต่อาตมาให้คิดดูก่อน เผื่อความขี้เหนียวจะย้อนกลับมา ถ้าเขาไม่ถวายมา อาตมาก็จะได้สบาย ไม่ต้องทำงาน แต่ถ้าถวายมาก็ต้องเหนื่อยทำให้เขา”
*************************
“ตอนที่ยังรับสังฆทานอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ มีโยมคนหนึ่ง อยู่ ๆ ก็แบกเงินมา ๑ ล้านบาท ขอทำบุญด้วย อาตมาบอกกับเขาไปว่า
“การทำบุญที่ดี จะต้องไม่ให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน คุณทำบุญทีหนึ่งมากขนาดนี้ มั่นใจแล้วหรือว่าไม่ต้องใช้เงินจำนวนนี้ ?”
เขาบอกว่า “มั่นใจครับ ...ผมทำงานมาทั้งชีวิต ก็เพื่อขอทำบุญให้สะใจสักครั้งหนึ่ง”
เงินหนึ่งล้านสมัยนั้นแพงมาก เพราะตอนนั้นทองคำ ๑ บาท ราคา ๔,๗๐๐ บาทเอง
เพราะฉะนั้น...ที่วัดท่าขนุนถึงมีกติกาว่า ห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไรใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าใครจะมาทำบุญ ให้มาแจ้งความจำนงด้วยตัวเอง แล้วไม่ต้องให้ชื่อ ไม่ต้องให้ที่อยู่ ไม่ต้องให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ เพราะถึงให้ก็ไม่โทรไปหา
ที่วัดอื่นมีหลายต่อหลายวัดด้วยกัน ถ้ามีเบอร์โทร มีที่อยู่ ต้องใช้คำว่า “ตามจิก” จะทำบุญอะไรเมื่อไร เขาจะตามจิกให้ไปทำบุญ เป็นอะไรที่อาตมาดูแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะ คนจะทำบุญก็ต้องให้เขามีศรัทธาเอง”
*************************
“ท่านเจ้าคุณพระศรีศาสนวงศ์ เป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายของอาตมา ตอนนี้ท่านเป็นรองเจ้าคณะภาค ๑ ท่านอ่านหนังสือเส้นทางพระโพธิสัตว์ แล้วบอกว่า “โอ้โห...พระครู...เขียนได้เป็นธรรมชาติมาก ผมอยากเขียนได้อย่างนี้มานานแล้ว...”
จริง ๆ แล้วโยมทุกคนก็เขียนหนังสือลักษณะนี้ได้ แต่อย่าลืมตัว ก็คือให้คิดอยู่เสมอว่าเราเป็นคนอ่าน เราไม่เคยไปไหนเลย ไม่ได้เห็นอะไรเลย ถ้าหากว่าเรารู้สึกอย่างนั้น เราก็จะบรรยายออกมาให้คนอ่านเข้าใจได้ว่า ที่เราเห็นคืออะไร
แต่ถ้าเราคิดว่าเรารู้แล้ว เราก็ว่าของเราไปเรื่อย บางทีก็รู้อยู่คนเดียว เพราะฉะนั้น...จะเขียนหนังสือให้อ่านง่าย ต้องนึกอยู่เสมอว่าเราเป็นคนอ่าน”
*************************
“กำลังใจของโยมที่มีศรัทธานี่เป็นเรื่องน่ากลัวมาก อาตมานั่งหวั่น ๆ ว่า ตัวเองสมกับเป็นเนื้อนาบุญของเขาหรือเปล่า ? ไม่ใช่เขาทำบุญมา ๑.๗ ล้านบาท ได้บุญไป ๗ สตางค์...!”
*************************
“ระยะนี้หน่วยงานไหนจะทำงานให้ได้เงิน ต้องทำเกี่ยวกับในหลวง ร.๙ วันก่อนแสตมป์ในหลวง ร.๙ ออก อาตมาสั่งจองไว้ ๖ ชุด เขาให้มา ๑ แผ่น เขาบอกว่ามีไม่พอ โดยเฉพาะชุดรวม ๖๕ บาทชุดเล็ก ให้มาไปรษณีย์ละ ๓ ชุดเท่านั้น คนแย่งกันแทบจะเหยียบกันตาย เจ้าหน้าที่บอกว่า “ผมจะกันไว้ให้อาจารย์ก็ได้ แต่ผมตายก่อน ก็เลยต้องให้เขาไป”
ดวงตราไปรษณียากร หรือที่เราเรียกง่าย ๆ ว่าแสตมป์ ที่ออกมาแล้วเป็นที่ฮือฮามาก ๆ หมดในเวลาอันรวดเร็ว ก็คือแสตมป์ทองคำดวงแรก ที่เป็นรูปในหลวง ร.๙ ออกในวาระกาญจนาภิเษก ดวงละ ๑๐๐ บาท ออกมาข้างนอกพักเดียวเท่านั้น ขึ้นราคาไป ๗๐๐ - ๘๐๐ บาท คนยังแย่งกันซื้อเลย
ชุดถัดมาก็เป็นแสตมป์ชุดพระเครื่องเบญจภาคี ข้างนอกขึ้นราคาไปเป็นหมื่นเลย แล้วก็มาชุดในหลวง ร.๙ ครบ ๗ รอบ ไม่ต้องไปถามหา ไปถึงไปรษณีย์ไหนก็สั่นหัวบอกว่าหมดแล้ว โดยที่เขาไม่ได้บอกว่า “ผมเก็บเอาไว้เองแหละ” ก็ให้ไปแค่ ๓ - ๕ ชุด เจ้าหน้าที่ก็เก็บไว้เองหมด เรื่องอะไรจะมาจำหน่ายให้เรา
ตรงจุดนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเหนื่อยยากตรากตรำมาตลอด ๖๕ ปี ตั้งแต่พระชนมายุ ๑๙ พรรษาเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสร้างแต่ความดี ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน คนเขามองเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ จึงกลายเป็นของมีค่า มีคุณค่าควรแก่การสะสม ควรแก่การมีไว้บูชา
แต่สำคัญที่สุดก็คือ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นอามิสบูชา ถ้าจะเอาเป็นปฏิบัติบูชา ก็คือทำตามอย่างที่พระองค์ท่านดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างให้เรา พระองค์ท่านประหยัดอย่างไร พอเพียงอย่างไร ก็ให้ทำอย่างนั้น
ถ้าหากว่าสามารถทำได้ ต่อให้เศรษฐกิจโลกถล่มทลายเละเทะขนาดไหน บ้านเราก็อยู่ได้”
*************************
ถาม : พระธรรมเกิดจากพระพุทธเจ้า ทำไมถึงไม่รวมพระพุทธกับพระธรรมไว้ด้วยกันครับ ?
ตอบ : แสดงว่าเด็ก ๆ ไม่เคยสวด “ธรรมะคือคุณากร...” แล้วมีเหตุผลอะไร ที่ต้องรวมพระธรรมไว้กับพระพุทธเจ้า ?
ถาม : เพราะธรรมะเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรวมพระสงฆ์เป็นอย่างเดียวกันด้วย เพราะพระสงฆ์มาจากพระธรรมด้วย ถ้าไปรวมพระสงฆ์ก็คือพระพุทธเจ้าก็ซวยไป ต้องรู้จักเรียงลำดับบ้าง
จะว่าไปแล้วพระธรรมมาก่อน เพราะว่ามีอยู่แล้วในธรรมชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เห็นพระธรรมเหล่านั้น จึงทรงนำมาจำแนก นำมาแยกแยะ นำมาจัดเป็นหมวดเป็นหมู่ แล้วก็พยายามปรับของยากให้กลายเป็นของง่าย เพื่อความเข้าใจ และสามารถบรรลุธรรมได้ของเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งปวง
คราวนี้พวกเราก็เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้พระธรรม เลยจัดพระธรรมอยู่ลำดับที่ ๒
พระสงฆ์ฟังพระธรรมนั้นแล้ว สามารถบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยสงฆ์ได้ ก็จัดอยู่ลำดับที่ ๓
แต่จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า แม้พระองค์ท่านก็ยังต้องเคารพพระธรรม เพราะว่าพระองค์ท่านตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็เพราะเห็นธรรม
อะไรที่เป็นสมมติ ที่โลกเขานิยม เราก็ตามเขาไป อย่าเสือกทะลึ่งไปแก้ไข ลำบากเปล่า ๆ ..!
ถ้าจะแก้ ให้แก้ที่ตัวเรา เรื่องอื่นที่โลกเขานิยมเป็นเรื่องของโลก อย่าไปแก้ไขโลก เพราะหนักเกินไป
ดูที่ตัวแก้ที่ตัว แล้วจะจบ ถ้าไปดูที่โลก แล้วไปแก้ไขที่โลก มักจะเกินกำลังแก้ไม่ไหวหรอก
หรือไม่ก็บำเพ็ญต่อไปสักระยะหนึ่ง ตรัสรู้เองแล้วค่อยไปแก้ไขโลก พอถึงรุ่นของเราก็จะเป็น ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จะได้เอาพระธรรมขึ้นก่อน หรือไม่ก็ ติสรณคมนัง สรณัง คัจฉามิ ทีเดียวครบ ๓ อย่างไปเลย
*************************
ถาม : นี่คัดลอกมาจากในคอมพิวเตอร์ครับ เขาบอกว่าเป็นคำพูดของหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : เขาบอกแล้วคุณเชื่อเลยหรือ ?
โดยเฉพาะคำพยากรณ์ที่บอกว่า จะเกิดความฉิบหายวายวอดกับบ้านกับเมืองเรา แม้กระทั่งนารีขี่ม้าขาว เขาก็บอกว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ พยากรณ์ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อมา ๑๘ ปี ไม่เคยได้ยินเลย เขาก็ว่าของเขาไปเรื่อย
เพราะฉะนั้น...ถ้ามาจากที่อื่นอย่าไปเชื่อ อยากได้หลักธรรมของหลวงพ่อจริง ๆ ให้ไปซื้อหนังสือของวัดท่าซุงมาอ่าน แล้วเราก็จดในส่วนที่เราชอบใจ เอามาดูเอง ไม่อย่างนั้นคนอื่นเขาเอามายำใหญ่ ผสมปนเปจากไหนบ้างเราก็ไม่รู้
*************************
ถาม : ความเชื่อที่ชาวจีนเกิดปีชง ห้ามไปงานแต่ง งานศพ ทุกกรณีตลอดปีนั้น ๆ ถ้าเราจำเป็นต้องไปงานดังกล่าว จะเกิดปัญหาหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่กลัวปัญหา ก็ไม่เกิดปัญหา
อาตมาเป็นคนที่ปกติไปงานศพแล้วจะเดือดร้อนทุกครั้ง เพราะผีรู้จัก...! ลักษณะนี้พอถึงเวลาแล้วเขาจะตาม เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือ พวกที่เกิดปีชงก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ
พอเวลาเขาตามมา แล้วเราแก้ไขให้อย่างที่เขาต้องการไม่ได้ เขาเกาะอยู่นานเท่าไร เราก็เดือดร้อนนานเท่านั้น
แต่ไม่ต้องไปใส่ใจ ชงขนาดไหนก็ตาม ไปถึงให้ตั้งใจเลยว่า กุศลบารมีที่เราสร้างมาแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่เธอผู้ตาย ถ้ารู้จักชื่อนามสกุล ออกชื่อนามสกุลไปด้วย ขอให้ผู้ตายโมทนา ประโยชน์ความสุขใดที่เราพึงจะได้รับ ขอเธอจงได้รับด้วย แบบนี้ไปเถอะ...กี่ศพก็ไปได้
ถาม : ถ้าเป็นงานแต่งคะ ?
ตอบ : ถ้าเจ้าภาพไม่รู้ว่าเราเกิดปีนั้นก็ไม่เป็นไร เราก็อย่าไปบอกเขาสิวะ ...!
*************************
ถาม : นักเขียนเรื่องธรรมะ นามปากกาดังตฤณ เขาเขียนจากความรู้ของเขาหรือไม่ ?
ตอบ : อย่างน้อยส่วนหนึ่งก็เป็นความรู้ของเขา อีกส่วนเขาก็ค้นคว้าเพิ่มเติมเอา
การที่ดังตฤณเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ และมีนักบวชจำพวกหนึ่ง ไปเดินห้างพันธ์ทิพย์เป็นปกติ ทำให้เกิดวลีบาดใจพระขึ้นมาว่า
“ถ้าอยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ถามพระ ถ้าอยากรู้เรื่องธรรมะให้ถามโยม”
ประชดกันชัด ๆ เลย แล้วพระที่ท่านศึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็เก่งจริงเสียด้วย ก็เลยยิ่งทำให้คำพูดประโยคนี้เป็นความจริงกันเข้าไปใหญ่
*************************
ถาม : ฆราวาสเรียกสรรพนามหลวงพ่อสมปองว่า “ท่านจิตโต” เหมาะสมหรือไม่ และปรามาสหรือไม่ ?
ตอบ : อันนี้มิอาจจะบอกได้ ขึ้นอยู่กับเขาเรียกด้วยความเคารพหรือเปล่า
ถาม : ถ้าเรียกว่า “หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ” เหมาะสมหรือไม่คะ ?
ตอบ : เรียกไปเถอะ แต่อย่าไปออกชื่อท่าน พวกออกชื่อท่านเหมือนกับจิกหัวเรียกเพื่อน
ปัจจุบันสื่อมวลชนต่าง ๆ เป็นตัวนำดีนัก พอถึงเวลาก็ออกข่าว “สมเด็จฯ เกี่ยว” คนที่จะเรียกอย่างนั้นได้ ต้องเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก ๆ หรือไม่ก็ต้องมีศักดิ์ฐานะสูงกว่า
แต่เท่าที่รู้จักหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศมา แม้แต่องค์ท่านก็ไม่เคยใช้ลักษณะอย่างนั้น อย่างอาตมาท่านก็เรียก “พระครูธรรมธร” หรือไม่ถ้าวันไหนอยู่กันอย่างเป็นส่วนตัว ก็จะเรียกว่า “ท่านเล็ก”
พูดง่าย ๆ ก็คือ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเป็นผู้ประกอบไปด้วยอปจายนมัย คืออ่อนน้อมถ่อมตนเป็นปกติ ในเมื่อสภาพจิตท่านเป็นอย่างนั้น ก็จะยกย่อให้เกียรติผู้อื่นเสมอ
อย่างท่านเรียกหลวงพ่อที่ปรึกษาจังหวัดนครปฐมว่า “ท่านเจ้าคุณพระธรรมเสนานี” เรียกเต็มตำแหน่งเลย ทั้ง ๆ ที่คนทั่วไปเขาเรียกว่า “หลวงปู่ชุ้น หลวงตาชุ้น” กัน
นั่นแหละนึกเอาแล้วกันว่าพระผู้ใหญ่ระดับนั้น แต่สภาพจิตท่านละเอียด ท่านก็ยกย่องให้เกียรติผู้อื่น มียศมีตำแหน่งอย่างไร ท่านก็เรียกอย่างนั้น
ถ้าเราเองเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการ ก็เรียกท่านว่า “หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ” จะปลอดภัยที่สุด
*************************
“ปีหน้าเป็นปีชีพจรลงเท้าของอาตมา ต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นว่าเล่น อย่างสิงคโปร์ก็มีปัญหาคาใจที่นั่น ต้องไปให้ได้
ถ้าใครไปประเทศสิงคโปร์ สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าพ่อหลักเมืองของสิงคโปร์ได้ ท่านเป็นผู้บังคับการเรือรบหลวง Prince of Wales ที่โดนญี่ปุ่นถล่มจนทะเลไปสมัยสงครามโลก
แก้บนท่านด้วยบุหรี่ ๑ มวน เป็นการแก้บนที่ง่ายมกา ถ้าได้ซิการ์ยิ่งดี เพราะท่านชอบ จะเอาบุหรี่อะไรก็ได้ท่านไม่ได้ว่าหรอก เพียงแต่ว่าถ้าได้ของถูกใจก็เต็มที่หน่อย
ที่แน่ ๆ ปีหน้าอาตมาต้องไปศรีลังกากับออสเตรเลีย ศรีลังกานั้นไปกับรุ่นน้องปริญญาโท เพื่อดูงานทางพระพุทธศาสนา เพราะพระของศรีลังกามีบทบาททางการเมืองสูงมาก
ศรีลังกามีประชากรประมาณ ๗๓% ที่นับถือพุทธ แต่ ๗๓% นี้มีอำนาจขนาดบัญญัติว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พระภิกษุสามารถสมัคร ส.ส.ได้ เป็นรัฐมนตรีได้
อาตมาเคยไปตั้งคำถามเฉิ่ม ๆ กับท่าน แล้วโดนท่านสอยหงายท้องมา ถามท่านว่า
”เป็นพระไปเล่นการเมือง ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ ?”
ท่านบอกว่า “ท่านนึกถึงปฐมวจนะที่พระพุทธเจ้าส่งพระออกเผยแผ่สิ...
จรถ ภิกฺขเว จาริกฎ ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไป
พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย เพื่อความสุขขอมหาชนเป็นอันมาก เพื่อประโยชน์ของมหาชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
เพราะฉะนั้น...ที่เล่นการเมืองก็เพื่ออย่างนี้...!”
ต้องยอมท่าน พระลังกาแต่ละรูปฝีปากคมทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องพระพุทธศาสนา ผิดท่าผิดทางมีหวังโดนท่านขย้ำตาย ถึงได้ว่าพระของเขามีอำนาจมากเลย
ประเทศไทยของเรารับเอาตัวอย่างจากลังกามาใช้ในบ้านเราเยอะมาก อย่างเช่น ศิลปวัตถุทางพระพุทธศาสนา เจดีย์ทรงลังกานี่ชัด ๆ เลย โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ก็เอามาจากลังกา เพราะว่าลังกาทำมาก่อน เรื่องของสมณศักดิ์พัดยศก็มาจากทางลังกา รุ่นน้องเขาไปดูงานที่นั่น อาตมาก็ไปร่วมกับเขา
ส่วนทางออสเตรเลีย ท่านเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ ท่านไปดูแลวัดไทยที่ออสเตรเลีย ท่านเกริ่นชวนเอาไว้ เพราะตั้งความหวังว่าอาตมาจะสามารถไปช่วยวัดที่นั่นได้ ท่านก็เลยอยากจะเชิญไปเท่านั้นเอง”
*************************
“ปีหน้าอาตมาอาจจะถูกหวย ๒ รอบ
รอบแรกก็คือ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗ รอบ
รอบที่ ๒ ถ้าผ่านการพิจารณาผู้ทำคุณประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ก็จะได้รับเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าปีหน้าดวงเฮงจริง ๆ จะถูกหวย ๒ รอบ รอบแรกนี่ถูกแน่นอนแล้ว เหลือรอบ ๒ ว่าจะผ่านพิจารณาหรือไม่ ?
ถ้าปีหน้าได้จริง ๆ ถือเป็นมงคลซ้อนมงคล เพราะปีหน้าเป็น ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี แล้วต้องไปรับวันวิสาขบูชาด้วย วันอื่นพระองค์ท่านก็ไม่พระราชทานให้”
*************************
“เรื่องงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศนี่ไม่ได้คิดจะจัดหรอก เพราะว่าเปลืองเงิน แต่ไม่จัดก็ไม่ได้ เพราะว่าเวลาพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาฉลองกัน ก็นิมนต์เราไปร่วมงานเขา ถ้าเราไม่จัดงานบ้าง เท่ากับกินของเขาอยู่ฝ่ายเดียว...น่าเกลียด
ก็เลยกลายเป็นลักษณะต่างตอบแทน ถึงเวลาคุณจัดงานผมก็ไป ถ้าเวลาผมจัดงานคุณก็มา ดีไม่ดี...กระเช้าที่ยกมาให้นั่น ก็เป็นของเราที่เคยยกไปให้ท่านนั่นแหละ ถวายกันไปถวายกันมา จนของหมดอายุหรือยังก็ไม่รู้ ?!?
แต่ว่าทางคณะสงฆ์ โดยเฉพาะท่านที่เป็นเจ้าคณะปกครองระดับต่าง ๆ ท่านบอกว่าให้ทำอย่างนั้น จะได้ไม่เปลืองมาก คือเอามาวนใช้ใหม่ ท่านไม่ถือสาหรอก ที่อยู่ ๆ เห็นของตัวเองย้อนกลับมา ถือว่าช่วยให้ไม่สิ้นเปลือง โดยเฉพาะกระเช้าพวกซุปไก่ รังนก เป็นของที่พระท่านเบื่อกันมากเลย”
*************************
ถาม : ทำไมมารสามารถทำให้เราไปอยู่อรูปพรหมได้ครับ ?
ตอบ : อำนาจเขาครอบคลุมถึงอรูปพรหมอยู่แล้ว
ถาม : แต่มารก็เป็นเทวดา ในกรณีนั้นใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่…ความสามารถของเขาสูงกว่าที่เราคิด
ตราบใดก็ตามที่จิตใจของสรรพสัตว์ไม่ว่าภพภูมิไหนก็ตาม ยังเข้าไม่ถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ตราบนั้นยังเป็นเชื้อที่ทำให้เขาสามารถอาศัยเกาะเข้าไปได้ มารเขาสุดยอดขนาดนั้น
คุณไปอ่านใน พรหมนิมันตนิกสูตร ที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดท้าวพกาพรหม ท่านใช้คำว่า
“มารสิงปริสัชชาพรหมท่านหนึ่ง เอ่ยขัดคำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อย่าเลยพระสมณโคดม พกพรหมนั่นแหละถือว่าเป็นหนึ่งแล้ว”
สยองนะ...ขนาดพรหมยังไม่เว้นเลย แล้วเราจะเหลือไหม ?
ถาม : เกาะพระนิพพานอย่างเดียว ?
ตอบ : เกาะให้ถูกนะ
ถาม : เกาะอย่างไรให้ถูก ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ ก่อน แต่ที่ก่อนจะไปพระนิพพาน เขาไม่เกาะอะไรเลย แม้แต่พระนิพพาน
ตอนแรกต้องเกาะก่อน เกาะเพื่อความแน่นอนก่อน พอเต็มจริง ๆ ก็จะปล่อยเอง ถ้าหากว่ายังเกาะอยู่ ก็ยังไปไม่ได้
นี่เป็นเรื่องเกินความรู้ไป ทำถึงเมื่อไรก็รู้เองว่าวางแล้วจึงไปได้ ถ้าคุณบอกว่าจะไปเชียงใหม่ แล้วกอดต้นเสาอยู่ตรงนี้ จะไปได้ไหมเล่า ? ก็ต้องปล่อยเสาต้นนี้ก่อนแล้วถึงจะไปได้
ถาม : แต่ต้องเกาะไว้ คลำ ๆ ทางใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เกาะราวบันไดไปพื่อความมั่นคง พอขึ้นสู่ชั้นบนแล้ว ไม่มีใครเขาแบกราวบันไดไปหรอก เขาก็ต้องปล่อยก่อนทั้งนั้น
ถาม : อย่างนี้ก็เหมือนธรรมในธรรม ในมหาสติปัฏฐาน ?
ตอบ : เสียเวลาไปอธิบาย ทำถึงก็รู้เอง ภาษามนุษย์ละเอียดไม่พอ ภาษาหนังสือก็ละเอียดไม่พอ คำว่า “ปัจจัตตัง” นี่รู้เฉพาะตน รู้ในใจจริง ๆ อธิบายยาก
พระบางองค์ท่านไปพระนิพพานได้ แต่ท่านอธิบายไม่ได้ มีคนไปกราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ครับ พระนิพพานเป็นอนัตตาหรือเป็นอัตตา ?”
หลวงปู่บอกว่า “พระนิพพานก็เป็นพระนิพพานสิ จะเป็นอัตตาเป็นอนัตตาอย่างไรได้วะ...!”
จบเลย ดีที่ท่านไม่บอกว่าเอ็งไปเองแล้วจะรู้ ไปไม่ถึงก็อธิบายไม่ถูก
*************************
“สมัยก่อนนักมวยต่อยกัน เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องน้ำหนักตัว อย่างทองใบ ยนตรกิจ น้ำหนัก ๖๐ กว่ากิโลกรัม
ส่วน ผล พระประแดง น้ำหนัก ๕๐ กว่ากิโลกรัม ก็ยังต่อยกันได้ เขาสนใจแค่ว่ามีฝีมือจริงหรือเปล่า ? ถ้ามีฝีมือจริง เขาไม่เกี่ยงหรอกว่าตัวใหญ่กว่าหรือหนักมากกว่า
ใครต่อยกับผล พระประแดง นี่ปวดหัวแน่
อีกรายก็ พรหมมินทร์ นวรัตน์ กับรักเร่ ศรีหนุมาน สองคนนี้ก็สุดยอดลวดลาย ถ้าคู่ต่อสู้ไม่รอบตัวจริง โดนตอดนิดตอดหน่อยก็อดโมโหไม่ได้ พอโมโหขึ้นมาก็เสร็จเรียบร้อย เพราะเวลามีโทสะขึ้นา สมาธิจะเสียหมด โดนอีกฝ่ายหลอกชกหัวทิ่มหัวตำ
อภิเดช ศิษย์หิรัญ มีฉายาว่า “จอมเตะบางนกแขวก” เคยเตะอดุลย์ ศรีโสธร แขนหักมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่อดุลย์เป็นถึงแชมเปี้ยนมงกุฎเพชร สมัยนั้นเขามีการแขงขันกันเป็นรอบ ๆ คราวนี้มงกุฎเพชรรอบนั้นอดุลย์เขาได้แชมป์
สมัยก่อนครูบาอาจารย์จะปล่อยนักมวยขึ้นเวทีได้ต้องให้แกร่งจริง ๆ สมัยที่อาตมาไปฝึกมวยกับครูเขตร์ ศรียาภัย ท่านบอกว่า สมัยก่อนนักมวยอายุไม่ถึง ๒๕ ปี ครูจะไม่ให้ขึ้นชกหรอก กระดูกยังไม่แข็งพอ สมัยนี้อายุ ๒๕ ปี ก็หมดสภาพแล้ว เพราะเขาเล่นต่อยกันตั้งแต่ ๑๑ - ๑๒ ขวบ นอกจากนี้ยังมี จรวดทัพฟ้า (ราวี เดชาชัย) ม้าสีหมอก (ประยุทธ์ อุดมศักดิ์) เขาบอกว่าเตะหนักเหมือนม้าดีด
แล้วก็มี ยางต้น (ทองใบ ยนตรกิจ) ที่เรียกว่ายางตัน เพราะว่าโดนเท่าไรไม่มียุบ โดนเท่าไรก็ดาหน้าเข้าใส่อย่างเดียว”
*************************
ถาม : กฎของป่ามีอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : กฎของป่า ข้อที่ ๑ ผู้ที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะอยู่รอด เพราะฉะนั้น...ต้องเก่งจริง ๆ จึงจะอยู่ในป่าได้
กฎของป่าข้อที่ ๒ ทุกที่มีเจ้าของ เพราะฉะนั้น...เข้าป่าอย่าทำอะไรส่งเดช ต้องรู้จักเกรงใจเจ้าของที่เขาด้วย
*************************
ถาม : อยากทราบเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณขั้นต้นครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เห็นทุกอย่างไม่เที่ยงก็พอ
ถ้าขั้นกลางก็ เห็นทุกอย่างเป็นทุกข์ด้วย
ถ้าขั้นปลายก็ เห็นทุกอย่างไม่มีตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ยึดถือมั่นหมายไม่ได้เลย แค่นั้นแหละ แต่ว่าให้ไปทำอีก ๓ ปี ไม่รู้ว่าจะได้รายละเอียดครบหรือเปล่า ?
*************************
ถาม : พระหางหมากกันอะไรได้บ้างครับ ? (เด็กถาม)
ตอบ : ถ้าอธิษฐานดี ๆ กันแม่ตีได้ แต่ต้องภาวนาทุกวันนะ ท่องพุทโธ ๆ ก่อนนอนสัก ๑๐ นาที ตื่นนอนสัก ๑๐ นาที อธิษฐาน..เพี้ยง...! วันนี้แม่อย่าได้ตีหนูเลย แล้วก็ซนไปเถอะ..!
อาตมาจะทำให้เด็กเสียคนก็งานนี้แหละ จริง ๆ แล้วก็เพราะว่าต้องการให้เด็กเชื่อ พอเขาเชื่อแล้วเขาก็จะภาวนา เดี๋ยวประโยชน์ก็จะตามมาเอง
*************************
ถาม : มีบริษัทหนึ่งเรียกไปสอบ ปกติเกณฑ์การรับของเขาจะรับเกรดเกิน ๒.๗๕ แต่เกรดผมไม่ถึง เราบนใครได้บ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...หลวงปู่แช่ม วัดฉลอง
ให้ภาวนา คาถาพระอรหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต
ภาวนาไปเลย ๑ ชั่วโมงเต็ม ใครก็ตามที่เป็นคณะกรรมการกวาดให้หมดทุกคน
อันดับที่สอง...ท่านปู่พระอินทร์ คาถาสะหัสสะเนตโต
ภาวนาไปอีกครึ่งชั่วโมง ขอความคล่องตัวทุกอย่าง ไม่ว่าจะสอบข้อเขียนหรือสอบสัมภาษณ์ ขอให้ตอบถูกใจกรรมการทั้งหมด เรื่องติดสินบนนี่ขอให้บนจริงเถอะ
*************************
“งานบรรพชาสามเณรที่ผ่านมา ญาติโยมส่วนใหญ่เห็นแล้วปลื้มใจ เพราะว่าเณรเป็นร้อย ๆ เดินแถวบิณฑบาตยาว ๓๐๐ - ๔๐๐ เมตร รถติดทั้งตลอด บ้านไหนพอเห็นเข้า ตอนแรกก็ไม่ได้เตรียมของไว้ ก็ต้องวิ่งไปหาของกันใหญ่
มีอยู่บ้านหนึ่งใส่มะพร้าวอ่อนมา ๒ ลูก ลองนึกดูว่าบาตรใบหนึ่งใส่มะพร้าวได้ลูกเดียว พอมะพร้าวอีกลูกมาจะทำอย่างไร ก็ต้องรอเขาเก็บใบเก่าออกก่อน
โยมเขาเห็นอาตมาอยู่หัวแถว เขาก็เอาบะหมี่ เอาน้ำ เอาขนมทั้งหมด ๓ อย่างใส่มา อาตมาบอกว่าเอาชิ้นเดียว ถ้าใส่ครบชุดเดี๋ยวไม่ถึงท้ายแถว นี่ขนาดให้เณรบิณฑบาตวันละ ๑๐๐ รูปเท่านั้น อีก ๕๒ รูปให้อยู่ทำความสะอาดวัด แต่เณรอยากบิณฑบาตมากกว่า เพราะว่าได้เงินเยอะดี โดยเฉพาะเณรตัวเล็ก ๆ
ตอนแรกบอกสามเณรมานพให้สึกแล้วบวชใหม่ จะได้มีพระอุปัชฌาย์เป็นเจ้าคุณ เณรไม่สนใจหรอก บวชแล้วเรื่องอะไรจะสึก
ปรากฎว่าพอสึกแล้วบวชใหม่ เดินลงมาข้างล่าง โยมทำบุญไปเรื่อย ๆ นับปัจจัยได้เกือบพันบาท เณรมานพยิ้มแก้มปริ คราวนี้ให้สึกสักร้อยครั้งก็เต็มใจ...!
อาตมาขอมติคณะสงฆ์ว่า เงินที่เณรบิณฑบาตนี้ ขอมอบให้เณรเอาไปใช้ตอนเป็นฆราวาสหลังจากสึกไปแล้วได้ คณะสงฆ์สาธุการให้ก็ไม่ติดหนี้สงฆ์แล้ว เณรก็เลยมีกำลังใจแย่งกันออกบิณฑบาต แต่พวกตัวเล็ก ๆ นี่อย่าให้เดินนำหน้านะ ถ้าเดินนำหน้ามีหวังพระอด...!
บางคนเหมือนอย่างกับเกิดมาเพื่ออย่างนี้โดยเฉพาะ พอบวชเข้าไป โอ้โห..ดูดีไปหมด ญาติโยมเห็นแล้วอยากทำบุญ บางทีแถวเณรเดินเลยไปแล้วเป็นกิโลฯ กว่าจะหาซื้อของได้ ต้องวิ่งรถกระบะไปดักหน้า ไปใส่เอาข้างหน้าโน่น
ส่วนใหญ่อาตมาดวงเฮง เพราะว่าอยู่หัวแถว เขาจะใส่ข้าวสารถุงละ ๕ กิโลกรัม ใส่น้ำ ๑๒ ขวด บะหมี่ ๑ ลัง แต่บอกพระท่านว่าให้จัดชุดสลับกันไป
อย่างเช่นวันนี้ชุดหนึ่งอยู่ห้า พรุ่งนี้ชุดสองอยู่หน้า มะรืนชุดสามอยู่หน้า สลับกันไป เณรที่อยู่ทำความสะอาดก็ตัดออกจากแต่ละกลุ่ม ผลัดกันตัดออกกลุ่มละ ๒ - ๓ รูป สลับกันไป
คือให้เขาออกบิณฑบาตทั่วถึงกัน ไม่อย่างนั้นแล้วบางรูปไปแล้วได้เงินมา รูปที่ทำความสะอาดอยู่ที่วัดก็ได้แต่นั่งตาปริบ ๆ
เดี๋ยวนี้รถไอศกรีมวิ่งเข้าวัดทุกวันออกจากวัดแล้วเหลือแต่รถเปล่า ๆ พอวันรุ่งขึ้นตอนทำวัตรเช้าอากาศหนาว สามเณรนั่งสูดน้ำมูกกันฟืด ๆ เพราะว่ากินไอศกรีมมากแล้วเป็นหวัด ฟาดไอศกรีมเข้าไปคนละ ๗ - ๘ โคน...! มีเงินก็ใช้ไม่ยั้ง เด็กก็คือเด็กวันยันค่ำ
อาตมาปรับเวลาให้ด้วย เณรยิ่งชอบอกชอบใจ ตอนแรกเริ่มปฏิบัติธรรมตอนบ่ายโมง คราวนี้สามเณรซักผ้าไม่ทัน ก็เลยปรับเวลาให้เณรฉันเพลตั้งแต่ ๑๐.๓๐ น. พอฉันเสร็จ ล้างถ้วยล้างจาน ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปซักผ้าได้ บ่ายสองโมงค่อยเข้าปฏิบัติ ผ้าจะได้แห้งทัน
การปฏิบัติธรรมก็ใช้วิธีสัญจร เดินรอบวัด ถามเด็ก ๆ ว่าจะปฏิบัติที่เดียว หรือเดินรอบวัด ?
มีแต่บอกว่าจะเอารอบวัดทั้งนั้น ไม่อยากอยู่เฉย ๆ กัน แต่คราวนี้เดินระยะที่ ๒ ยกหนอ...เหยียบหนอ รู้ไหมว่าเขาเดินกันอย่างไร ? เดินขึ้นยอดเขาพระพุทธเจติยคีรี
งานบวชเนกขัมมะครั้งหน้าโยมเจอแน่ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ยกหนอ...เหยียบหนอขึ้นพระเจดีย์ บันไดมี ๒๕๘ ขั้น นับ ๕๑๖ หนอ ก็ถึงยอดแล้ว...!”
*************************
|