เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔
ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงฉลองที่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ฉลองที่วัดเทพธิดาราม
จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง พระที่ท่านนิมนต์เจริญชัยมงคลคาถาในงานฉลองพัดยศของท่าน
หัวแถวคือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดสุวรรณาราม ต่อมาเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
รองลงมาพระพรหมคุณภรณ์ วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์
รองลงมาพระพุทธวงศ์มุนี วัดเบญจมบพิตร เป็นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์
รองลงมาพระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
แล้วก็มาท้ายเลยคือพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์
ตอนนั้นเจ้าคุณพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม ท่านยังอยู่นอกสายตาทุกคน เลื่อนมาเป็นพระธรรมวโรดม แล้วถึงได้เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ แต่หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะได้เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ? แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง และรู้ล่วงหน้านานมาก...!
*************************
“ผลกระทบจากน้ำท่วมที่เห็นชัดที่สุดคือ สถานีรถไฟฟ้าหน้าปากซอยบ้านวิริยบารมีสร้างช้าลงไปเยอะ อาจจะไม่ทันเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เพราะส่วนใหญ่เขาจะไปเปิดฉลองวันเกิดในหลวงกัน
ถ้าจะทำกรุงเทพฯ ให้พ้นน้ำจริง ๆ จะต้องเจาะพื้นรอบกรุงเทพฯ วางคานและแผ่นรองรับ แล้วก็ดีดให้สูงขึ้นมา ทำลักษณะเป็นชุดเหล็กสามารถยกเลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามระดับน้ำ จะมีใครบ้าทำไหมนะ ?
ปีนี้ได้งบประมาณมาก็ทำสักหน่อยหนึ่ง ปีหน้าได้งบประมาณมาก็ทำอีกหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็ทั่วกรุงเทพฯ ไปเอง...!
สมัยก่อนกรุงเทพฯ ใช้นำ้บาดาลเยอะมาก เพราะไม่อยากจ่ายค่าน้ำประปา จึงเจาะน้ำบาดาลใช้กันเอง พอน้ำใต้ดินหมดไป พื้นก็ทรุดลง เพราะน้ำใต้ดินประคองพื้นเอาไว้
พอน้ำหมดไป ดินก็ทรุดลงไปเรื่อย ทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง แปลว่าถ้าน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ ก็จะแปลกมาก...!
ประการสำคัญที่สุดคือ บรรพบุรุษของเราต้องการหาที่ซึ่งมีฝนฟ้าอุดม มีน้ำท่าบริบูรณ์ เพื่อถึงเวลาก็จะได้ปลูกข้าวได้
แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทำนา สนามหลวงก็คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ปรากฎว่าเราเปลี่ยนจากการทำไร่ทำนามาเป็นอาคารพาณิชย์ เป็นศูนย์ราชการ แต่ฝนฟ้าก็ยังตกอยู่เท่าเดิม
ต้องบอกว่าบรรพบุรุษของเราเก่ง หาที่ที่ฝนบริบูรณ์ได้ทั้งปี แต่พวกเราไปเปลี่ยนเจตนารมณ์เดิมในการสร้างกรุง ก็คือต้องเป็นที่ซึ่งสามารถเพาะปลูก สะสมเสบียงอาหารได้ง่าย มาเป็นที่สร้างอาคารพาณิชย์ เป็นตึกสูง เป็นที่พักอาศัย ในเมื่อสิ่งที่ทำไปไม่เหมาะกับธรรมชาติหรือพื้นที่แต่เดิมก็มีแต่จะเกิดปัญหาขึ้น”
*************************
“ถ้าหมู่บ้านจัดสรรรอบกรุงเทพฯ อยากจะขายบ้านได้ดี ๆ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้สร้างเป็นเรือนแพ ที่กาญจนบุรีมีเรือนแพมาก เขาเลิกใช้ไม้ไผ่แล้ว เปลี่ยนเป็นทุ่นเหล็กลอยน้ำแทน
ทุ่นลอยแต่ละลูกทำด้วยโลหะ ราคาประมาณทุ่นละสองแสนบาท อย่างน้อยต้องใช้ ๒ ทุ่นขึ้นไป ถ้าแพขนาดใหญ่ก็ต้องใช้ ๔ ทุ่นขึ้นไป
เรื่องอย่างนี้จะว่าไปแล้ว ไม่เกินความสามารถของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เขาทำได้ ทำเป็นเรือนแพเตรียมพร้อมรับน้ำท่วม
ให้ตอกเสาไว้ ๔ มุมพื้นที่จะได้ยึดเรือนแพไว้ น้ำขึ้นก็ลอยสูงขึ้น อาจตอกเสาไว้สัก ๕ เมตร เวลาปกติก็ทำเป็นโคมไฟ เวลาไม่ปกติก็เป็นเสาสำหรับตรึงแพเอาไว้ รับประกันได้ว่าขายดีแน่นอน เป็นหมู่บ้านปลอดน้ำท่วม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์”
*************************
“การบวพระช่วงวันลอยกระทงปิดรับสมัครไปแล้ว ได้นาคมา ๑๑ ท่าน แต่จะอยู่รอดจนได้บวชพระสักกี่ท่านก็ไม่อาจบอกได้ เพราะเคยมีที่โดนไล่ออกตั้งแต่ตอนเป็นนาคมา ๒ รายแล้ว เพราะเขาเอาความเคยชินจากที่อื่นมาใช้ในวัด
เขาน่าจะเห็นว่าพระเณรในวัดตั้ง ๓๐ - ๔๐ รูป ไม่มีใครเปิดวิทยุโทรทัศน์เลยสักคน แต่เขาดันนอนกระดิกเท้าฟังเพลงอยู่คนเดียว แล้วก็เปิดเผื่อแผ่ห้องข้าง ๆ เสียเต็มที่
ที่วัดท่าขนุนห้ามมีเครื่องใช้ไฟฟ้า ยกเว้นที่ใช้ฟังธรรมะเท่านั้น เขาก็อาศัยที่ท่านอื่นใช้ธรรมะมาฟังเพลง จึงต้องให้กลับไปฟังที่บ้านแทน...!
ถ้าคิดว่าเลิกฟังได้เมื่อไรแล้ว ค่อยมาสมัครบวชใหม่ แต่ว่าส่วนใหญ่คนไหนที่โดนไล่ออกไปแล้ว ก็จะขึ้นบัญชีหนังหมาไว้เลย กลับมาอีกก็ไม่รับ...!
ปีหน้าสมเด็พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เป็นวาระสำคัญ ๒ วาระใหญ่
ดังนั้น...ปีหน้าการบวชปฏิบัติธรรมทั้งพระและฆราวาส จะทำเพื่อเฉลิมพระเกียรติทั้งในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสธิราช”
*************************
ถาม : เวลาอยู่ที่วัดถือศีล ๘ ได้ แต่เวลาถือศีลแปดที่บ้านปวดท้อง เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจตก ถ้ากำลังใจทรงตัวจะไม่เป็น
ถาม : ที่บ้านเขาบ่นเรื่องไม่ยอมกินข้าวเย็น ?
ตอบ : บอกเขาว่าหนูอ้วนแล้ว อ้างเรื่องทางโลกนะ อย่าไปบอกเขาว่าเราถือศีล ๘ บอกเขาว่าหนูกลัวอ้วน
ถาม : เป็นการปรามาสไหมคะ เห็นมีพี่เขาบอกว่าตั้งใจไว้แล้วทำไม่ได้ ?
ตอบ : ไม่เป็นหรอก ยกเว้นว่าเลิกถือศีล ๘ เพื่อมากินข้าว กินเสร็จแล้วกลับไปกลับถือศีล ๘ ใหม่ อย่างนี้ปรามาสพระรัตนตรัยแน่
*************************
ถาม : จะรู้ได้อย่างไรว่า เราไม่ได้มองข้ามทุกข์ที่เราเจอประจำ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาทุกข์ให้เห็นอยู่ในทุกขณะจิต หรือเราไม่ได้พิจารณาอะไรเลย ?
ถาม : อย่างเช่นน้ำท่วมคราวนี้ ทุกข์ก็จริง แต่เรารู้สึกว่ายอมรับได้ ?
ตอบ : จำที่บอกเมื่อคืนนี้ได้ไหม ? เริ่มตั้งแต่แรกว่ารู้ว่าน้ำมา จนกระทั่งน้ำกำลังจะเข้าบ้าน จนน้ำเข้าบ้านแล้ว ถ้าคนที่วางกำลังไม่ไ้ดก็จะเครียดสะสมไปเรื่อย คือมองไม่เห็นทุกข์ หรือเห็นทุกข์แต่ปล่อยวางไม่ได้
ถ้าคนที่เห็นทุกข์แล้วปล่อยวางได้ ว่าเป็นธรรมดาร การเกิดมาก็ต้องพบกับเรื่องเหล่านี้เป็นปกติ ก็จะไม่เครียด
ถาม : ไม่เครียดค่ะ ไม่ทราบว่าชินชาหรือว่าเรายอมรับได้ ?
ตอบ : บางอย่างถ้ากำลังใจเราดี ก็จะเห็นเป็นปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นกับใครเหมือนกับยอมรับได้ แต่เป็นเพราะกำลังดี จึง “แบก” ไหว ไม่ใช่ปัญญาเห็นทุกข์ แล้วปล่อยวาง
*************************
“คำว่าสันโดษ เราต้องตีความให้ถูกนะ วอน์เรน บัฟเฟตต์ก็สันโดษ เพราะว่ารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี บริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือประชาชนอยู่ตลอด ตัวนี้เป็นยถาสารุปปสันโดษ คือยินดีตามฐานะของตน
ถ้าเป็นยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ดูอย่างบิล เกตส์สิ เขาหาเงินได้ตั้งเท่าไร อย่างสตีฟ จอบส์ หรือทักษิณ ชิน เพราะฉะนั้น...สันโดษนี่ไม่ใช่จนนะ
แล้วยังมียถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ตนได้มา อย่างเช่นว่าภิกษุบิณฑบาต เขาให้อะไรก็พอใจแค่นั้น
ยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ใครได้มากก็ยินดีตามมาก ใครได้น้อยก็ยินดีตามน้อย
ยถาพลสันโดษ นี่ยินดีตามฐานะขอตน เป็นเศรษฐีก็ทำตัวแบบเศรษฐี เป็นคนจนก็ทำตัวเป็นคนจน ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าหากว่าเป็นคนจนแล้วทำตัวแบบเศรษฐี เดี๋ยวก็โดนเขาค่อนขอดเอา แบบที่เขาเรียกว่าไฮโซ ถ้าเป็นโบราณเขาบอกว่า มะพร้าวตื่นดก ยกจกตื่นมี”
*************************
“ถ้าคนมาบ้านวิริยบารมีน้อย ๆ อย่างนี้ทุกเดือนจะดีใจมากเลย เพราะว่าอาตมาจะได้ไม่เหนื่อยมาก พอแก่แล้วกำลังก็ตกไปเรื่อย
ที่คนอื่นเขาเห็นว่ายังแข็งแรงอยู่นั้น เป็นแค่กำลังเฉพาะตัว แต่อาตมารู้ว่าตัวเองพยุงร่างกายลำบากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีการที่อาตมายกของหนักได้มากกว่าคนอื่นเขานั้นเป็นกำลังเฉพาะตัว เหมือนอย่างกับช้าง ช้างแก่ก็ยังยกของหนักได้มากกว่าวัวควายอยู่ดี แต่ก็คือแก่ แค่พยุงตัวเองก็ลำบากแล้ว
*************************
ก่อนอายุ ๓๐ พอบวชเข้าไปใหม่ ๆ ได้รับคำสั่งให้ไปดูแลเฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาหน้าหนาวก็ยังใส่แค่อังสะกับสบงทุกวันรับท่านขึ้นรับท่านลง ท่านมาถึงก็ามว่า “แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?”
กราบเรียนว่า “มีครับ แต่ผมยังไม่หนาว”
พอถึงอายุ ๓๐ นี่ไม่ต้องถามเลย วิ่งไปหามาใส่เอง เพราะว่ากำลังตก ร่างกายสู้ความหนาวได้ไม่เหมือนแต่ก่อน
พอมาอายุ ๔๐ ปี ยิ่งแย่ลงไปอีก ก่อนหน้านี้สามารถทำงานหามรุ่งหามค่ำ ๓ วัน ๓ คืนอยู่ได้สบาย พออายุ ๔๐ ปีขึ้น ก็ฝืนไม่ได้ขนาดนั้นแล้ว ทำงานไปถึงเวลาก็ต้องพัก
พออายุ ๕๐ ปีนี่แย่แล้ว พักทั้งคืนแต่กำลังพอทรงตัวได้ไม่ถึงเย็น บางทีเวลาทำวัตรเย็นไมโครโฟนจะหลุดมือ เพราะว่ากำลังหมด
ระยะหลังนี้อาตมาให้พระครูน้อยนำสวดมนต์แทน ก็เพราะว่าไม่อยากให้โยมเขาเห็นอาตมาทำไมโครโฟนหลุดมือ
พระครูน้อยท่านก็สงสัยว่าทำไมอาจารย์ถึงให้สวดแทน อาตมาบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก ผมแก่แล้ว” ไม่ได้อธิบายให้ท่านฟังหรอก พระครูน้อยเป็นคนเครียดง่าย ถ้ารู้ว่าหลวงพ่ออาการหนักขึ้นมา เดี๋ยวเครียดตายเลย
*************************
จากการที่ป่วยเป็นมาเลเรียอยู่ตั้ง ๓๐ ปี ทำให้ตับชำรุด เก็บพลังงานสำรองไม่ได้เหมือนคนทั่วไป จึงเป็นประเภทพักเก็บแรงสักนิดหนึ่งแล้วค่อยใช้
อย่างหลังเพลแล้วมาพักหน่อยหนึ่งก็ลงมาอยู่ได้ บางทีก็นั่งภาวนาว่าเมื่อไรจะ ๔ โมงเย็นเสียที จะได้ขึ้นไปพัก ประมาณ ๕ - ๖ โมงเย็นก็ลงมา มีพลังใช้งานได้แค่ประมาณ ๒ ทุ่ม
ระยะนี้ได้ยาดีเข้าไปอยู่ก็อยู่ได้เกิน ๒ ทุ่มหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นคนตื่นเช้า แก้นิสัยตัวเองไม่ได้ ตีหนึ่งตีสองก็ตื่นแล้ว คนอื่นเขายังไม่หลับเล ยต้องบอกว่าเป็นธรรมชาติของคนแก่ที่จะตื่นเร็ว เพราะเวลาดูโลกเหลือน้อยแล้ว ต้องรีบตื่นมาถ่างตาดูโลกให้มากเข้าไว้
เวลาไปเจอเพื่อนร่วมรุ่นแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองแก่ ถ้าไม่ได้เจอเพื่อนร่วมรุ่นนี่จะไม่รู้สึกหรอก เพราะว่าเพื่อนมีทั้งอ้วน มีเหี่ยว มีหัวล้าน มีหัวหงอก ส่วนอาตมาเสียท่า ไปทีเสียท่า ไปทีไรเพื่อนจำได้ทุกที ส่วนอาตมานี่เวลาเจอเพื่อนต้องคิดแล้วคิดอีกว่านั่นใครวะ ?”
ถาม : ผมได้ปากกาหลวงปู่หงส์มา ช่วยเสกให้หน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแล้ว..ขนาดหลวงปู่หงส์แล้วยังต้องมาให้เสกอีก น้ำเต็มแก้วเทไปก็ล้นเปล่า ๆ วัดท่านชื่อวัดเพชรบุรี แต่อยู่ภาคอีสาน พอ ๆ กับที่อำเภอศรีเชียงใหม่อยู่จังหวัดหนองคายนั่นแหละ คนไม่รู้จริงไปหาผิดที่มาเยอะแล้ว
*************************
“คนที่มีงาช้างต้องดูแลรักษาให้เป็น ถ้าดูแลรักษาไม่เป็นแล้วงาจะพังเร็ว ถ้างาแห้งมาก ๆ แล้วมักจะกินตัว คำว่ากินตัวคือจะผุ
ถ้าหากว่ามีน้ำมันหรือขี้ผึ้งคอยลงเอาไว้ มีโอกาสก็เช็ดไปเรื่อย เท่ากับเราถวายเครื่องหมอเป็นพุทธบูชาไปด้วย
แต่น้ำมันนี้มีกลิ่นหอมแปลก ๆ พวกเราไม่เคยได้กลิ่นใช่ไหม ?
เป็นน้ำมันทานาคา เป็นยาแก้สิวฝ้าของพม่า ไปพม่ามาหลายครั้ง อาตมายังไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย มีโยมเขาเอามาลองทา เขาบอกว่า หน้าแห้งจนเป็นขุย เพราะเขาไม่เคยชิน
พระงาช้างองค์นี้อายุอย่างน้อยน่าจะ ๘๒ ปี เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่น่าทึ่งตรงที่ว่างาชิ้นนี้ใหญ่จริง ๆ พราะว่านี่เป็นแค่ซีกเดียวแล้วก็ตันด้วย ไม่ทราบว่าอีกซีกได้แกะเป็นพระอีกองค์หรือเปล่า ?
ถ้าอยู่ ๆ ใครมีของโบราณที่หน้าตาเหมือนกัน ก็แปลว่าไปจากชิ้นนี้ ถ้าคนเขารู้คุณค่าเขาจะรักษาดีกว่านี้ นี่เขาปล่อยให้สลายไปตามธรรมชาติ
สาเหตุที่วัดท่าขนุนไม่กล้าทำอะไรมาก เพราะว่าคนรุ่นหลังเขารักษาไม่ไหว ถ้าสร้างพิพิธภัณฑ์ทรงไทยเสร็จเรียบร้อย ก็อาจจะทำที่พักสำหรับญาติโยมสักชุดหนึ่งก็พอแล้ว
ตอนนี้ที่พักพระก็เหลือเฟือแล้ว บางที ๔๐ กว่ารูป อย่างล้น ๆ เพราะกุฏิก็มีแค่ ๔๐ ห้อง แต่ทางด้านแม่ชีมีแค่ ๑๑ หลัง ถ้าใครชอบปฏิบัติก็จะให้พักอยู่เดี่ยว ๆ อย่างแม่ชีกุ๋ย แม่ชีเอ๋ ส่วนคนอื่นทั่วไปก็ให้พักรวมกัน”
*************************
“ลูกประคำมักจะขี้ฟ้อง ถ้าคนใช้งานบ่อย ๆ ลูกประคำจะเงาสวย ถ้าไม่บ่อยลูกประคำจะดูไม่ได้เลย พวกประเภทเม็ดแห้งซีดนี่ รู้เลยว่าเจ้าของไม่ได้ใช้ภาวนาเลย
สมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ ใช้ลูกประคำทำจากลูกหวายที่เป็นลอนเล็ก ๆ นับไปจนกระทั่งลื่นเป็นกระจก แต่ว่านิ้วมือสองข้างของอาตมาด้านเป็นเม็ดเลย
มีคนเขาเห็นแล้วเขาชอบ อยากได้แบบนั้นบ้าง ก็เอาเครื่องมาขัด แต่ขัดอย่างไรก็ไม่เหมือน เพราะว่าอาตมาใช้มือนับจนลื่น ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เครื่องขัดเร็วเกิน อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน”
*************************
“คนใช้อาวุธไม่ว่าจะเป็นมีดหรือปืน จะต้องขยันเช็ดขยันถู ไม่อย่างนั้นสนิมกินหมด นี่ยังดีว่ามีดนี้เป็นเหล็กปลอดสนิม แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะว่าถ้ามีความชื้นนาน ๆ ก็อาจจะเป็นสนิมได้ หลักการดูพวกมีด ฝรั่งเขาสรุปว่า Clean & dry คือต้องทำให้สะอาดและแห้ง
มีดด้ามนี้ใบมีดน่ากลัวมาก ถ้าคนใช้มีดนี้เป็นจะเป็นอาวุธมหาประลัยเลย เขาใช้วิธีกำแล้วชกเอา เขาไม่แทงหรอก...เสียเวลา ถ้าชกผิดก็ดึงกลับมาแล้วปาดซ้ำ
สมัยที่อาตมาเรียนทหารอยู่ เขาสอนว่าเวลาแทงต้องตะแคงมีด ทหารเขาจะจับมีดตะแคงข้าง เพราะว่าถ้าแทงตรง ๆ จะติดซี่โครง แต่พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก ตรงไหนก็จิ้มไปเถอะ ใช้มีดเป็นก็ป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
มีเด็กผู้หญิง ม. ๒ คนหนึ่ง จัดการพลขับรถเมล์ที่เมาเหล้าแล้วไปจับหน้าอกเขาด้วยมีดคัตเตอร์โดนเย็บไป ๕๐ กว่าเข็ม ถ้าเป็นอาตมาละก็...ไอ้นั่นโดนเย็บเป็นร้อยเข็ม...!
เด็กผู้หญิงเขาเลื่อนมีดคัตเตอร์จนสุดแล้วใช้ฟันเอา มีดคัตเตอร์ใช้อย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะว่าใบมีดไม่แข็งแรงพอ ต้องเลื่อนออกมาสักครึ่งหนึ่งแล้วใช้กรีด แต่นั่นเขาใช้ฟันจนใบมีดหักเลย
*************************
ส่วนมีดเล่มนี้ทำมาจากเขาสัตว์ ๒ ชนิด มีเขาวัว เขาควาย และงาช้ง คนทำเขารักงานของเขา ในเมื่อเขารักงานของเขา มีดแต่ละเล่มก็ทำออกมาให้ดีที่สุด
เรียกได้ว่ามี ฉันทะ คือความพอใจของเขาเต็มที่อยู่แล้ว
วิริยะ ความพากเพียรทำ แต่ละเล่มเขาทำเป็นเดือน ๆ กว่าจะเสร็จ
จิตตะ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่เสร็จไม่เลิก
วิมังสา ทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่าที่ทำไปนั้นดีพอหรือยัง มีแบบไหนที่จะสวยกว่านี้ ดีกว่านี้อีก
จะว่าไปแล้วตัวเครื่องแห่งความสำเร็จ คืออิทธิบาทธรรม ทั้ง ๔ ข้อ ต้องมีอยู่ในทุกคน เพียงแต่ว่ามีอยู่แบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
มีดเล่มนี้เขาเรียกว่า ทรงหลังค่อม (Hump back) จะมีทรง Drop Point คือทรงปกติ มีแบบมีดพกซ่อน แล้วก็มีทรงเปอร์เซียน ที่ใบมีดโค้ง ๆ เหมือนดาบของชาวเปอร์เซีย”
*************************
“อาวุธของแต่ละชนเผ่าขึ้นอยู่กับการใช้งานของเขา ที่เด่น ๆ เลยก็ดาบซามุไร ที่บอกถึงสภาพจิตใจของเขาว่ากล้าหาญ ทุ่มเท ถ้าลงมือก็หมายความว่าไม่เขาก็เราต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่ฟันทีเดียวจบ
แล้วก็มีมีดกรูกรีของพวกชาวกูรข่าของเนปาล พวกนี้เป็นทหารรับจ้าง ช่วงสมัยสงครามโลกสงครามอินเดียพวกนี้ดังมาก
ทหารกูรข่านอกจากจะเป็นยอดฝีมือแล้ว ยังซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย ชนิดสามารถตายแทนได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ทหารที่พิทักษ์พระราชวังอังกฤษก็ยังเป็นทหารกูรข่า ที่เขาไปเปลี่ยนเวรยามกองรักษาการณ์ให้พวกเราดูกัน
มีดกรูกรีเป็นอาวุธที่พวกเขาใช้ในเวลาที่ปืนกระสุนหมด เขาจะใช้มีดกรูกรีแทน จะเป็นมีดทรงโค้ง ๆ ลักษณะหักข้อศอก น้ำหนักจะไปหน่วงอยู่ที่ปลาย เวลาฟันมีดจะดึงมือไปเอง เพราะน้ำหนักถ่วงปลายอยู่ ทหารกูรข่านี่เด็ดหัวศัตรูมานับสนามไม่ถ้วนแล้ว
ถ้าไปทางด้านละตินอเมริกาจะมีมีดมาร์เชต์(Machete) ลักษณะเหมือนกับอีหวดบ้านเรา เป็นมีดหัวตัด แต่ว่าเป็นมีดที่คมบางใบกว้าง สันหนา ทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ เคยใช้ถางป่า ถางไปถางมาเจอหมป่าพุ่งใส่ เขาเบี่ยงหลบ ฟันหมูป่าทีดียวหัวขาดเลย เราต้องนึกดูว่าหมูป่านั้นหนังเหนียวขนาดไหน...!
*************************
พวกมีดที่เขามีรูปทรงเฉพาะของเขา ก็คือผ่านภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเหมาะสมต่อการใช้งาน อย่างของไทยเราสมัยก่อนก็มีมีดพร้า มีดหัวปลาหลด
มีดพร้านี่ของปักษ์ใต้ เวลาเขาถือพร้า เขาจะถือในลักษณะพาดไหล่บังหูไว้ ป้องกันคู่ต่อสู้จู่โจมข้างหลัง ถ้าเขาฟันมาก็ติดมีด ฟันคอเขาไม่ได้
ส่วนมีดหัวปลาหลด ก็ลักษณะเหมือนดาบยาว แต่ว่าหัวค่อนข้างจะมน
ยังมีมีดหน้าลูกไก่ มีดหน้าลูกไก่นี่เหมือนทรงอีโต้ คล้าย ๆ หัวลูกไก่
แล้วก็มีมีดซุย มีดปาดตาล มีดปาดตาลก็ลักษณะทรงมีดหมอโคนใบจะเล็กแล้วก็ไปกว้างตรงช่วงปลาย บางคนเขาเรียกท้องปลิง คือมีลักษณะเหมือนท้องปลิง เอาไว้ปาดงวงตาลสำหรับทำน้ำตาล ต้องไปโยกงวงตาลให้ช้ำก่อน แล้วก็ปาด พอถึงเวลาน้ำตาลก็จะไหลออกมา
ส่วนมีดซุยเป็นมีดที่มีลักษณะของด้ามคล้าย ๆ ปืน ด้ามจะโค้งลง เวลาจับก็ลักษณะเหมือนจับด้ามปืน
นอกจากนี้ยังมีเสือซ่อนเล็บ จะเป็นมีด ๒ เล่มที่สวมเข้าหากัน เวลาเราถืออยู่ก็เหมือนไม้ท่อนสั้น ๆ พอชักออกมากลายเป็นมีดคู่”
*************************
“สมัยก่อนอาตมาจะแจกปืนให้ลูกสาว สมัยนี้ได้แต่แจกมีด อย่างน้อย ๆ เขาจะได้มีอะไรไว้ห้องกันตัว อาตมาบอกไว้ว่าถ้าฉุกเฉินนี่จิ้มไว้ก่อนเลย เดี๋ยวหลวงพ่อไปประกันตัวให้ อย่ามัวแต่กลัวอยู่ พวกคนชั่วกลัวใครซะที่ไหน มักจะตั้งใจก่อคดีอยู่แล้ว
อย่างโมโม่ที่เพิ่งกลับจากอังกฤษมา โดนแย่งโทรศัพท์ เขาเล่าว่าโดนคนร้ายล็อกคออยู่ข้างหลัง แล้วบังคับเอาโทรศัพท์ ก็เลยต้องให้ไป
ถ้าเป็นอาตมานี่ผู้ร้ายลงไปกองกับพื้นแล้ว โดนล็อกคออยู่ก็แค่เบี่ยงตัวนิดเดียว แล้วฟาดท่อนแขนกลับหลงจะผ่าหมากพอดี ผู้ร้ายก็นึกว่าเราดิ้นตามปกติ แต่ไม่ได้ดิ้นหรอก ตั้งใจจะให้ผู้ร้ายดิ้นแทน...!
ถ้าหากคนที่เป็นในวิชาการต่อสู้จะไม่มีอะไรอันตรายเลย โดยเฉพาะคนไหนเอามีดมาจ่อคออาตมานี่เท่ากับหาเรื่อง ลองนึกดูว่า คนเอามีดมาจ่อคอนี่ดูน่ากลัวมาก แต่ความจริงไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เป็นอาตมาจะชกสวนเลย เพราะถ้าเขาจะแทงเราได้ เขาต้องชักมีดกลับก่อน
คนที่ใช้มีดเป็นเขาจะไม่ยื่นไปสุดแขน เขาจะกำมีดอยู่ระดับเอวหรือระดับอก ถ้าพวกนั้นน่ากลัวแน่ แสดงว่าเขาใช้มีดเป็น
ถ้าประเภทยื่นมาจี้คอหอย เราก็ยิ้มหวานแล้วชกเปรี้ยงเลย ไม่ต้องกลัวหรอก เขาทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าระยะแทงไม่มี สุดแขนไปแล้ว
พวกที่เอาปืนมาจ่ออยู่ในรัศมีมือรัศมีตีน เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อน ถ้าคนที่เขาใช้ปืนเป็น เขาไม่มาอยู่ในรัศมีมือรัศมีตีนหรอก”
*************************
“เราเป็นผู้หญิงเรี่ยวแรงเราน้อย เราจึงต้องรู้จุดอ่อนของผู้ชายไว้บ้าง อย่างกำปั้นซัดเปรี้ยงเข้าไปที่คอหอยเลย ผู้ชายโดนเข้าไปก็ชักเหมือนกัน ไปต่อยที่อื่นไม่ไหวหรอก หรือไม่ก็ทิ่มลูกตาไปเลย
ถ้าต่อยทีเดียวแล้วยังไม่สะใจ ก็เตะผ่าหมากซ้ำเข้าไปอีก กระทืบไปร้องไป “ว้าย...ช่วยหนูด้วย ๆ” กว่าคนจะมาช่วย คนร้ายก็น่วม...!
“คุณปูเป้” หรือที่เขาเรียกกันว่า “เซียนเป้” ตั้งแต่ย้ายจากบ้านอนุสาวรีย์ฯ มา ไม่เห็นยายเป้โผล่มาเลย
ช่วงที่ยายเป้ได้มีดจ่าตุ่มไปใหม่ ๆ เขาเอาไปจี้แท็กซี่ แถมได้ออก จ.ส.๑๐๐ ด้วย...! เขาขึ้นรถแล้วไปเจอกระเป๋าเงินตกอยู่ในรถแท็กซี่ ในกระเป๋าน่าจะมีเงินเยอะเพราะใบอ้วนเลย
ยายเป้บอกแท็กซี่ให้เลี้ยวไปสถานีตำรวจ แต่แท็กซี่ไม่ยอมไป คาดว่าคงอยากจะได้เอาไว้เอง ยายเป้เลยชักมีดจี้ “จะไปดี ๆ หรือไม่ไป...!”
สรุปว่ายายเป้ได้ออก จ.ส. ๑๐๐ เป็นพลเมืองดี เก็บกระเป๋าในรถแท็กซี่ได้แล้วเอาไปคืน คนอื่นหารู้ไม่ว่าเอาไปคืนด้วยวิธีไหน
วันนั้นแม่เจ้าประคุณพก “อีเหยี่ยว”ไปด้วย เป็นมีดพกที่ด้ามเป็นรูปนกเหยี่ยว ใบมีดยาว ๗ นิ้ว ใบมีดขนาดนั้นน่ากลัวมาก โดยเฉพาะมีดของบ้านจ่าตุ่ม คมพอ ๆ กับมีดโกนทุกเล่ม พวกเราไม่ต้องไปสร้างวีรกรรมอย่างนั้นนะ ถ้าแท็กซี่ไม่ยอมไป เราก็ลงรถแล้วหาคันใหม่ไปโรงพักก็ได้”
*************************
“ดีปักเป้ามีพิษมาก พวกยาสั่งจะเอาดีปักเป้าเป็นส่วนประกอบด้วย มี ดีนกยูง ดีหนู ดีงูเห่า ดีปักเป้าทะเล ฯลฯ บอกต่อไม่ได้ เดี๋ยวจะเอาสูตรไปทำยาสั่งกัน
พอทำยาสั่งเสร็จแล้ว เราต้องการจะสั่งว่าให้ตายด้วยของอะไร ก็เอาของชนิดนั้นผสมลงไปด้วย ถ้าเขากินของอย่างอื่นร่างกายก็เป็นปกติ แต่ถ้าเขาไปกินของที่ผสมเข้าไปเมื่อไรจะเป็นพิษทันที แล้วจะตายแบบหาสาเหตุไม่เจอ แต่ดูง่าย...เพราะว่าเล็บจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม
ถ้ารู้ตัวว่าโดนยาสั่งให้ใช้ รากฟักข้าว รากตำลึง และรากรางจืด ทั้งหมด ๓ อย่าง โขลกรวมกันใส่เหล้ากรอกปากไป จะแก้ได้
แต่ถ้าไม่มีอยู่ใกล้มือมีสิทธิ์ตายก่อน คนโบราณเขาจะจับถอนผม แล้วเอามาแตะกับเล็บ ถ้าผมดูดเล็บติดก็แสดงว่ายังแก้ได้ ถ้าหากว่าผมไม่ดูด แสดงว่าพลังชีวิตหมดแล้ว โอกาสตายมีเกินร้อย
สมัยก่อนทางด้านภาคตะวันออกยาสั่งจะแรงมาก เพราะว่ามาจากฝั่งเขมร จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ ตัดสินพระทัยทำหมุดสัมฤทธิ์เป็นหลักเขต เอาไปตอกไว้น่าจะที่แถวชลบุรี
พระองค์ตั้งสัตยาธิษฐานด้วยอำนาจบุญบารมีของพระองค์ท่าน ห้ามไม่ให้ยาสั่งผ่านเขตนี้ ถ้าผ่านเข้ามาเมื่อไรขอให้เสื่อมฤทธิ์ ท่านตั้งใจช่วยเหลือประชาชน หากว่าใครไปสืบหาได้ว่า พระองค์ท่านตอกหลักนี้ไว้ตรงไหน ช่วยมาบอกที อาตมาจะได้ไปดู
รู้สึกว่าหลักนั้นทำด้วยสัมฤทธิ์ คือโลหะ ๓ อย่างผสมกัน บวกกับการอธิษฐานจิตของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพระมหาโพธิสัตว์ กำลังของความดีท่านสูงมาก การอธิษฐานของท่านก็เลยกลายเป็นอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น
เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจเ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พระองค์ท่านสร้างสมเด็จจิตรลดา หรือพระกำลังแผ่นดิน ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ไหนเลย พระองค์ท่านผสมเอง พิมพ์เอง อธิษฐานแล้วก็แจก ตอนนี้ในท้องตลาดองค์หนึ่งราคาเป็นล้าน...!
อาตมาได้มาองค์หนึ่ง แต่เจ้าของเขาไม่ยอมให้หนังสือรับรองที่ทางสำนักพระราชวังออกให้ เขาขอเก็บหนังสือรับรองไว้เป็นเกียรติประวัติของตระกูล ส่วนพระยอมถวายให้ แล้วก็ให้เหรียญรัชกาลที่ ๕ เหรียญใหญ่มาหนึ่งเหรียญ เลี่ยมทองมาเลย เขาบอกว่าในตลาดมีแต่ของปลอมทั้งนั้น เอาของที่ตกทอดมาตามตระกูลของเขาดีกว่า แท้แน่นอน
ช่วงนั้นอาตมาตั้งใจจะเอาไว้ทำน้ำมนต์ มีทั้งพระพุทธรูป พระกริ่งวัดสุทัศน์ฯ แผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ เหรียญรัชกาลที่ ๕ และเหรียญรัชกาลที่ ๙
เพราะถ้าเราอาศัยบารมีของพระอย่างเดียว บางอย่างพระท่านก็ต้องยอมรับกฎของกรรม แต่บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อสงเคราะห์คนอื่น ถึงตนเองต้องยอมรับกรรมแทนท่านก็ยอม ก็เลยต้องอาศัยกำลังของพระโพธิสัตว์ท่านด้วย
ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า
“ให้ปิดทองที่หลังองค์พระ แล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังส่ิงตอบแทนใด ๆ”
*************************
“เหรียญพระมหาชนก ตอนนั้นอาตมาไม่มีปัญญาที่จะบูชาเหรียญทองคำ ก็เลยได้แต่เหรียญเงินใหญ่มา ขนาดนั้นราคายังตั้ง ๕,๐๐๐ บาท มาพร้อมกับหนังสือฝีมือวาดของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ กับคณะ มีอาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ เป็นต้น มาช่วยกันวาดภาพพระมหาชนก
เหรียญมหาชนก...ในหลวง ร. ๙ ท่านบอกใบ้ให้ว่า ปัจจุบันพระองค์ท่านกำลังสร้างวิริยบารมี โดยการพากเพียรช่วยเหลือชาวบ้าน
อาตมาจะแต่งกลอนเฉลิมพระเกียรติถวาย ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา พอเริ่มได้บรรทัดเดียวก็แต่งต่อไม่ได้เลย...ต้องจบเพราะว่าสงสารพระองค์ท่าน ไปต่อไม่ได้
เมื่อเลือกกำเนิด พ่อเลือกเกิดเพื่อคนไทย
พระชนม์ ๗ รอบผ่านไป พ่อยังเหนื่อยยากตรากตรำ...ฯลฯ
แต่งต่อไม่ได้เลย อยู่มาจนป่านนี้พระองค์ท่านยังสบายไม่ได้”
*************************
|