​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๘๗

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนตุลาคม ๒๕๕๔


              ทำอย่างไรที่เราจะค่อย ๆ สั่งสมความดีของเราไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดคนเขาเห็นแล้วเขายกย่องเอง ไม่ใช่ไปดิ้นรนตะเกียกตะกายเชียร์ตัวเองจนกระทั่งคนเขาเห็น ถ้าลักษณะอย่างนั้น ไม่ได้เกิดจากความจริงใจของตัวเองสิ่งที่เราทำต่อให้เป็นความดีก็ไม่ยั่งยืน
              อาตมาเคยพูดไว้ว่า
              “คนทำดีเพราะอยากทำ จะทำได้ทน ทำได้าน
              แต่คนทำดีเพราะอยากดี เมื่อความดียังไม่สนองตอบ อาจจะเลิกทำดีไปเลยก็ได้ เพราะขาดการอดทนและรอคอย”

              วาระ จังหวะ และโอกาสในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกันบางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้มากก็มาถึงเร็ว บางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้น้อยก็มาถึงช้า”
*************************

              “อาตมาอยากจะยกตัวอย่างท่านหนึ่งก็คือ หลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ท่านมรณภาพไปแล้ว
              สมัยหลวงปู่พูลเริ่มพรรษามาก นครปฐมยุคนั้นเต็มไปด้วยเกจิอาจารย์ทั้งจังหวัดเลย ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหมอ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ฯลฯ
              พอสิ้นรุ่นนั้นไปแล้วก็ยังมี หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ฯลฯ
              กว่าที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะสิ้นหมด หลวงปู่พูลจึงได้โผล่ขึ้นมามีชื่อเสียงตอนอายุ ๙๐ แต่ว่าช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงอยู่นั้น กลายเป็นอมตเถราจารย์ในดวงใจของบุคคลไปเลย แม้กระทั่งมรณภาพไปแล้ว ตัวเลขทุกอย่างที่เกี่ยวโยงกับท่านออกเป็นหวยหมด เจ้ามือเจ๊ง แต่ลูกศิษย์รวยอื้อไปตาม ๆ กัน
              นั่นเราจะเห็นว่าท่านไม่ได้ไปดิ้นรนไขว่คว้า ท่านยินดีในความสมถะสันโดษ มักน้อยเป็นกติ เคยทำความดีอย่างไร ท่านก็ทำความดีอย่างนั้นไปตามปกติ คนเขาเห็น เพียงแต่ว่าท่านที่เขาเด่นกว่ามีอยู่ คนก็ไปหาท่านนั้นก่อน แต่พอสิ่งที่เด่นกว่าทั้งหมดได้สิ้นไปแล้ว ท่านกลายเป็นเด่นที่สุด แล้วคนก็ไปหาท่านเอง
              เพราะฉะนั้น...ไม่จำเป็นต้องไปชิงดีชิงเด่นกับใคร อะไรที่เป็นของเราพอถึงเวลาแล้วก็มาเอง ต่อให้ปฏิเสธให้ตายก็มา”
*************************

              “จำไว้ว่า ยกมือวันทา...หมายังไม่กัดเลย หมาจะทำหน้างง ๆ ว่าเราทำอะไร อย่างหลวงพี่กิตติชัย เคยแกล้งกระทิง กระทิงโทนทั้งดุและหวงที่วิ่งมาจะขวิด หวงพี่ท่านทำท่าจ๋อยมันก็หยุด พอมันทำท่าจะถอย หลวงพี่ก็ทำท่าเชิดใส่ มันก็วิ่งใส่อีก ท่านบอกว่าลองอยู่ ๓ - ๔ เที่ยวแล้วถึงได้รู้ว่ากระทิงเกลียดคนหย่ิงมากเลย
              ส่วนหมีนี่อันตรายมาก ต่อให้เราทำให้ตกใจ ก็วิ่งหนีไปพักเดียวจากนั้นจะสงสัยว่าเมื่อครู่นั้นคืออะไร แล้วก็จะย้อนมา หมีวิ่งเร็วกว่าเรา ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเรา ว่ายน้ำก็เร็วกว่าเรา เพราะฉะนั้น...มีทางเดียว เวลาเจอหมีนี่ให้วิ่งใส่เลยแล้วตะโกนดัง ๆ พอตกใจมันจะหนีก่อน เราก็รีบเผ่นไปคนละทิศ
              ถ้าไปทำแกล้งตายนี่โดนกินเลย...! หมีเป็นสัตว์ตระกูลเสือ กินเนื้อเป็นอาหาร น้ำผึ้งเป็นเพียงของว่างเท่านั้น อาหารหลักคือเนื้อและผลไม้ คนที่เข้าใจว่าหมีกินน้ำผึ้ง ตายฟรีมาเยอะแล้ว”
*************************

              “มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านไปพักที่วัดท่าขนุนก่อนที่จะเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร ท่านมีบาดแผลเหวอะหวะที่ศีรษะ ถามท่านว่าคุณไปโดนอะไรมา ท่านบอกว่าโดนหมีกัด
              คือหมีนอนหลับอยู่หลังขอนไม้ใหญ่ที่ล้มทับขวางทาง ท่านปีนข้ามแล้วไปหล่นลงบนตัวหมีพอดี หมีตกใจตื่นคว้าตัวได้ก็อ้าปากงับหัวเลย ท่านบอกว่าเสียงดังโป๊ะ แล้วท่านก็หมดสติไป
              อาจจะเป็นเพราะหมดสติ มือเท้าอ่อนไม่ได้สู้อะไร หมีจึงคิดว่าตายแล้ว จึงทิ้งท่านไว้ตรงนั้น
              ท่านบอกว่า สลบไปประมาณ ๒ วันก็ฟื้นขึ้นมา เลือดนองเต็มฟื้น มดกินเป็นพันตัวเลย ท่านก็เอาผ้าอาบพันศีรษะไว้ เดินโซเซออกมาจนกระทั่งถึงข้างนอก โยมมาพบเข้าก็เอามอเตอร์ไซค์ไปส่ง แล้วต่อรถสองแถวไปโรงพยาบาล รักษาหายแล้วก็กลับเข้าไปใหม่อีก เป็นพวกเราจะกล้าไปไหม ?
              พระครูหน่อยของเรานี่แค่จ้องตากับเสือเท่านั้น บอกให้ไปธุงดงค์ก็ไม่ไปอีกเลย
              ท่านบอกว่า ทันทีที่สมองรายงานว่าเสือ มารู้ตัวอีกทีก็อยู่บนยอดไม้แล้ว ไม่รู้ว่าขึ้นไปได้อย่างไร นั่งปลอบใจตัวเองให้หายสั่นอยู่ราว ๒ ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ ปีนลงมาเดินทางต่อ
              เดินไปเดินมา ไม่รู้ไอ้เสือระยำเกิดสงสัยอะไร ดันย่องตามมาดู พอย่องตามมาดูจนเบื่อแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ก็กระโดนแผล็วข้ามถนนไปต่อหน้าต่อหน้า
              พระครูหน่อยพอเห็นเป็นเสือ ความกลัวเดิมกลับมาหมด โกยฝุ่นตลบหลย กว่าจะรู้ตัวก็อ้าปากหายใจไม่ทันแล้ว ยังดีที่ไม่หัวใจวายตายเสียก่อน หลังจากนั้นมาพูดถึงเรื่องธุดงค์นี่ไม่ไปอีกแล้ว
              พอ ๆ กับอาจารย์จันทร์ วัดชายากง อาตมาพาไปเจอควายป่าทีเดียว ตั้งแต่นั้นมาชวนไปธุดงค์ด้วยไม่ไปอีกเลย แต่อย่างหลวงพี่ท่านนั้นผ่านความตายอย่างฉิวเฉียด ก็ยังกลับเข้าไปใหม่
              เราต้องชนะใจตัวเองให้ได้อย่างนั้น ถ้าชนะใจตัวเองไม่ได้อย่างนั้น ก็แปลว่ายังกลัวตายอยู่ ถ้ายังกลัวตายอยู่ก็แบกสักกายทิฐิเต็ม ๆ
              ถ้าเห็นบาดแผลของท่านแล้วเราจะใจหาย พูดง่าย ๆ ว่าหนังศีรษะของท่านเปิดเป็นจุด ๆ หมีขบทะลุกะโหลกเข้าไปเลย หมอต้องผ่าเอาเลือดคั่งภายในออก”
*************************

              “ระบบการจัดการน้ำของประเทศไทยเราล้าหลังสิ้นดี หวังว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ จะทำให้เขาตื่นจากความเพิกเฉยกันเสียที เพราะเขามีโครงการจะตั้งกระทรวงน้ำมานานแล้ว แต่ไม่สำเร็จ เขาแยกกรมอุทยานสัตว์ป่าและพรรณพืชออกมา ไม่รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับน้ำตั้งเป็นกรมหรือยัง ?
              แต่ยังไม่สามารถขึ้นเป็นกระทรวงได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ต้องมีการจัดการอย่างรอบด้าน อย่างที่เขาใช้คำว่าบูรณาการไปพร้อม ๆ กัน
              แหล่งน้ำธรรมชาติควรจะมีทุกหมู่บ้าน หนองบึงธรรมชาติก็ต้องขุดลอก เพื่อให้รับน้ำได้มากขึ้น ถ้าไม่มีก็ต้องหาพื้นที่ส่วนกลาง ทำเป็นหนองบึงธรรมชาติที่คนในหมู่บ้านสามารถใช้รวมกันได้
              หลังจากนั้นก็จะต้องทำพวกคลองซอยส่งน้ำไปให้ทั่วถึง โดยเฉพาะแม่น้ำสายหลัก ๆ ต้องมีการขุดลอกและกำจัดพวกผักตบชวา สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ที่กีดขวางทางน้ำต้องรื้อออกให้หมด
              อาตมาถึงได้บอกว่า ถ้าอาตมาเป็นรัฐบาล จะไม่เสียเวลาดำเนินนโยบายใด ๆ เลย แค่ขอโอกาสเข้าไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในหลวงสักเดือนละครั้งสองครั้ง ขอพระราชทานแนวนโยบายว่าจะให้ทำอย่างไร แล้วก็ลุยทำไปเลย
              เพราะว่าสิ่งที่ในหลวงทำ ก็เพื่อความสุขของประชาชน รัฐบาลทำก็เท่ากับความสุขของประชาชนทั้งแผ่นดินเหมือนกัน
              เคยเห็นกับตาครั้งหนึ่ง ในหลวงเสด็จ แล้วบรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ตามไป
              ในหลวงมีพระราชดำริว่า ให้ทำการค้นคว้าและวิจัยว่า ต้นไม้แต่ละชนิดที่ใบใหญ่ ใบเล็ก ใบยาว ใบสั้น มีการดูดน้ำ คายน้ำ และดูดคาร์บอนไดออกไซด์ และคายออกซิเจนเท่าไร ? พระองค์ท่านต้องการที่จะเอาต้นไม้แต่ละชนิดมาปลูก เพื่อปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อม
              แต่คำตอบน่าชื่นใจมาก เขาตอบเลยว่า “ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหลากหลายจนเกินไป”
              ในหลวงทรงถามกลับประโยคหนึ่งว่า “ที่บอกว่าทำไม่ได้นั้น ได้ลองทำแล้วหรือยัง ?”
              ถ้าเป็นอาตมานี่สะอึกนะ...! ในหลวงมีพระราชดำริก็ลุยทำไปสิ ทำให้ตายไปข้างหนึ่งเลย ดูซิว่าจะสำเร็จไหม ?
              ในหลวงทรงเป็นสุดยอดของขันติบารมี งานที่พระองค์ท่านทำเพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้าน แทบจะไม่มีใครช่วยพระองค์ท่านได้เลย ขนาดพระราชทานพระราชดำริไปต่อหน้าต่อตา เขายังบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าเป็นเราจะมีความอดทนอดกลั้นทำเพื่อผู้อื่นขนาดนั้นไหม ?
              แต่ในหลวงทรงทำงานมา ๖๐ กว่าปีไม่เคยเลิก นี่แหละคือกำลังใจของพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง เป็นกำลังใจของบุคคลที่หวังความสุขของผู้อื่นมากกว่าตนเองอย่างแท้จริง
              เพราะฉะนั้น...ถ้าใครคุยว่าปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าหากว่ายังทำเพื่อตัวเองอยู่ ก็ไปเกิดใหม่เสียนะ...!”
*************************

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔


      ถาม :  อยากจะบวชครับ แต่ยังไม่รู้จะบวชที่ไหน ?
      ตอบ :  ไม่รู้จะบวชที่ไหน ? ส่วนใหญ่เขาก็บวชกันในโบสถ์...!
      ถาม :  เมื่อกฐินที่ผ่านมาได้ไปวัดบ้านเด่น ครูบาเทืองท่านก็ชวนบวชอยู่นั่นครับ ?
      ตอบ :  ก็เอาสิ...ชอบที่ไหนก็ว่าตรงนั้นเลย สำคัญที่ว่าจริตนิสัยเราชอบอย่างไร ?
              ถ้าหากว่าชอบความสงบความเงียบ ก็หาวัดที่เป็นป่าหน่อย
              ถ้าหากว่าอยู่นิ่งไม่ได้ต้องการมีกิจกรรมเยอะ ๆ ก็ดูวัดที่อยู่ในเมืองหน่อย
              แต่ถ้าจะบวชทั้งที ก็ควรจะทำให้ได้บุญได้กุศลมากที่สุด
              ดังนั้น ตัดสินใจเลือกเอาเลย หลับหูหลับตาเลือกเอาสักวัดหนึ่ง เอาวัดป่าธรรมยุติก็ได้ สะใจดี พอบิณฑบาตฉันเสร็จก็ภาวนายันสว่างไปเลย
      ถาม :  ไปมาหลายวัดเหมือนกันครับ ยังไม่แน่ใจว่าจะบวชที่ไหน ?
      ตอบ :  เขาเรียกว่าหลายใจ สถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ต่อให้สถานที่ดีขนาดไหน ผู้นำดีขนาดไหน ก็จะต้องมีแรงกระทบ เพราะว่าบุคคลที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่ว่าจะบรรลุมรรคผลกันหมด
              แล้วส่วนใหญ่นักปฏิบัติช่วงแรก ๆ จะอยู่ในลักษณะเก็บกดอารมณ์ ถ้าเราไปสะกิดผิดที่ เดี๋ยวเขาก็ระเบิดใส่หน้าเรา แล้วเราก็จะมาผิดหวังว่า เอ...สถานที่ที่ดีขนาดนี้ ทำไมคนถึงได้เฮงซวยแท้ ? ฉะนั้น...สำคัญอยู่ที่ใจเราทั้งหมด
              ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนา ไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร มีวัตรปฏิบัติอะไรทำของเราไป ทุกอย่างก็จบ ไม่อย่างนั้นเลือกวัดให้ตายก็เจอแรงกระทบจนได้
      ถาม :  ในส่วนของครูบาอาจารย์ล่ะครับ ?
      ตอบ :  ครูบาอาจารย์ช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะท่านได้แต่บอก การปฏิบัติอยู่ที่เรา
      ถาม :  เรื่องที่ต้องดูให้ตรงจริตเรา ควรจะดูอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  จริตนิสัยการปฏิบัติอยู่ที่กองกรรมฐาน ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ จริตนิสัยเราเป็นอย่างไร ก็เลือกหากรรมฐานที่ถูกกับจริตแล้วก็ทำไป ทั้งหมดอยู่ที่เราไม่ได้อยู่ที่ใครหรอก
      ถาม :  ถ้าเลือกสถานที่ ก็ต้องเลือกครูบาอาจารย์ด้วยครับ ?
      ตอบ :  ครูบาอาจารย์เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่มาถึงระดับนี้เราศึกษามาจนล้นเกินแล้ว รอเวลาย่อยสลายมาเป็นสมบัติของเราเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ท้องอืดอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ย่อยเสียที
              อย่าไปตั้งความหวังกับบุคคลอื่น เราต้องฝากชีวิตไว้กับความสามารถตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็เสียเวลาเปล่า
*************************

              “การตั้งราชทินนามของพระครูหรือเจ้าคุณ เขาจะมีหลักเกณฑ์อิงความรู้ อย่างเช่นว่าได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค จะเป็น พระครูศรี เขาจะขึ้นด้วยคำว่าศรี
              ถ้าหากว่า ๙ ประโยค ก็เป็น เจ้าคุณศรี เช่น พระศรีศาสนวงศ์ หรือไม่ก็จะเป็น เจ้าคุณเมธี เช่น พระเมธีปริยัติวิบูล
              อิงความรู้ อิงชื่อตัว อิงฉายา อิงสถานที่ อย่างหลวงปู่สาย ก็เป็น พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ สุวรรณเสลาก็คือผาทอง เขาอิงสถานที่คือทองผาภูมิ
              คราวนี้อาตมากับพระครูปลัดบูรพาส่งไปพร้อมกัน ปรากฎว่า พระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์ สุวรรณเสลาก็คือผาทอง เขาอิงสถานที่คือทองผาภูมิ
              คราวนี้อาตมากับพระครูปลัดบูรพาส่งไปพร้อมกันปรากฎว่า พระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์ ไปอยู่ที่พระครูปลัดบูรพา ส่วน พระครูวิลาศกาญจนธรรม มาหล่นอยู่ที่อาตมา
              อาตมาก็อ้าว...วิปลาศมาจากไหน ชื่อไม่อิงอะไรเลย จริง ๆ แล้วถ้าตามฉายา ต้องขึ้นด้วยสุธรรม ก็เลยกายเป็นว่า ถ้าหากว่าผิดแล้วก็ผิดยาวไปเลย ก็แล้วแต่ท่านจะโปรด
              อาตมากลัวว่าชื่อเก่าจะหายไปจากโลก ก็เลยรีบไปตั้งกองทุน ไปถวายปัจจัยเข้ามูลนิธิหลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยา (มูลนิธิสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) ท่านตั้งเป็นมูลนิธิสำรหับนักเรียนบาลี
              อาตมาก็ไปตั้งกองทุนพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ไว้ ก่อนหน้านั้นจะไปตั้งกองทุนก็ไม่กล้าไป เพราะถ้าไปก่อนหน้านี้ พวกปากหอยปากปูจะหาว่าซื้อตำแหน่ง ผู้ใหญ่จะเสียด้วยจึงต้องรอจนป่านนี้
              การจะทำอะไรต้องรอบคอบมาก ผู้ใหญ่ท่านไม่คิด เราไม่คิด แต่พวกปากหอยปากปูมีเยอะ อาตมาจึงต้องรอจนกระทั่งมั่นใจว่าได้แน่แล้วค่อยไป”
*************************

              “เรื่องของการปฏิบัติตน ถ้าอยู่ในยุทธจักร อย่างน้อย ๆ ก็ต้องระวังตัวเราไม่กลัวเสียหรอก กลัวเสียหายถึงผู้ใหญ่
              สมัย พระอาจารย์สมพงษ์ เป็นเจ้าอาวาสก็เหมือนกัน ตอนนั้นอาจารย์สมพงษ์เพิ่งจะ ๗ พรรษา หลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูย์ กตปุญฺโญ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีสมัยนั้น ท่านเห็นว่าตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่าขนุนว่าง ท่านถามอาตมาว่า “แกจะเอาหรือเปล่า ?”
              อาตมากราบเรียนว่า “ไม่เอาครับหลวงพ่อ ผมช่วยงานหลวงพ่อเงียบ ๆ ไม่ต้องเอาตำแหน่งอย่างนี้จะดีกว่า”
              ท่านก็ถามต่ออีกว่า “แล้วแกเห็นว่าใครเหมาะสม ?”
              อาตมาก็เลยบอกว่า “เอาอย่างนี้สิครับพระอาจารย์สมพงษ์ วัดท่าขนุน ดูว่าท่านทำอะไรเข้มแข็งดี สมควรที่จะเป็นเจ้าคณะตำบลได้”
              ปรากฎว่าอีกไม่กี่วันตำแหน่งหล่นพรวดลงมาจริง ๆ อาจารย์สมพงษ์ก็งงว่าตัวเองได้มาอย่างไร เพราะว่าเพิ่งจะ ๗ พรรษา ยังไม่ทันจะครบ ๑๐ เลย ปกติ ๖ พรรษาเขาถึงให้เป็นเจ้าอาวาสได้ นี่ ๗ พรรษาเป็นเจ้าคณะตำบลไปแล้ว
              คราวนี้เขาลือกันกระหึ่มทั้งจังหวัดเลย ว่า แม่ชีชื่น เอาเงินไปทุ่มซื้อตำแหน่งให้เจ้าอาวาส อาจารย์สมพงษ์ก็โดนข้อหาซื้อตำแหน่งไปด้วย จนท่านมาบอกว่า “อาจารย์ช่วยไปแก้ข่าวให้ผมที”
              อาตมาก็บอกว่า “ผมไม่ไปแก้ให้เสียเวลาหรอก คนเขาปักใจแล้วถึงพูดอย่างนั้น แก้ไปก็เหนื่อยเปล่า ...”
*************************

              “บางสิ่งบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจของคน อย่างบริษัทหนึ่งมีพนักงานของบริษัทในเครือเยอะมาก เขาก็สละตัวอาคารหลังหนึ่ง ๕๐๐ ยูนิต ให้พนักงานพักหนีน้ำ
              ปรากฎว่าบริษัทในเครือบริษัทหนึ่งบอกว่า ใครมีบ้านแล้วน้ำไม่ท่วมให้ไปอยู่บ้าน เพราะว่าห้องไม่พอสำหรับพนักงานทั้งหมดของทุกสาขาในบริษัท
              บางสาขามา ๓ คน แต่เอา ๒ ห้อง เขาก็บอกลดเป็นห้องเดียวได้ไหม ? จะได้แบ่งให้คนอื่นเขาได้ ปรากฎว่าโดนประท้วง ถูกประท้วงว่าทำไมต้องเป็นเขาที่เสียสละด้วย ทำไมคนอื่นไม่เสียสละให้เขาบ้าง
              นี่คือการมองคนละแง่กัน สำหรับเขาได้ต้องเอา แต่ในขณะที่พวกเราต้องให้คนอื่นเขาก่อน ก็เลยกลายเป็นว่า กำลังใจที่ไม่เท่ากัน ทำให้อยู่ด้วยกันยาก
              อาตมาชื่นชมประเทศญี่ปุ่น พอเกิดสึนามิขึ้นมา คนที่มีกำลังก็เข้าแถวซื้อของด้วยตนเอง ส่วนคนที่ไม่มีกำลังซื้อก็รอของแจก แล้วเวลาซื้อของเขาก็ไม่ได้ซื้อแบบเรา
              เมื่อเช้ามืด อาตมาทำพาวเวอร์พ็อยต์เกี่ยวกับมหาอุทกภัย ๒๕๕๔ มีภาพหนึ่งที่ประทับใจมากเลย ชั้นวางของในห้างสรรพสินค้าว่างโล่ง มี ๒ คน เข็นรถเข็นยืนมาองว่าเหลืออะไรบ้าง
              คนญี่ปุ่นที่มีความสามารถยังซื้อหาได้ เขาจะซื้อด้วยตัวเอง แต่เขาก็ซื้อแค่พอใช้ อย่างสมมติว่าซื้อน้ำดื่ม ๑ โหล เขาไม่ได้กวาดไปหมด แต่คนไทยเราที่อยู่ข้างหน้ากวาดไปเกลี้ยง คนข้างหลังได้แต่มองตาปริบ ๆ
              คนญี่ปุ่นที่เขาลำบากเดือดร้อน ถึงเวลาเขาก็ยังเข้าแถวรับของแจกอย่างเป็นระเบียบ
              เขาบอกว่า รู้ว่าผู้ประสบภัยเดือดร้อนกันทุกคนแหละ โดยเฉพาะลักษณะอากาศหนาวอย่างนี้ อยากจะให้เขาได้กินอะไรร้อน ๆ บ้าง อุตส่าห์รีบไปทำแจกให้ถึงที่
              แต่บ้านเราไม่ใช่อย่างนั้น บ้านเรามักจะแย่งกัน ส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของความเป็นตัวตนมีมาก คือต้องตัวกูของกูก่อน
              ของที่พวกเราเอาไปแจกมีมากมาย อย่างวันอาทิตย์ที่ไปนี่ พวกเราจะไปแจกด้วยตัวเอง ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้ว พอเราลงไปแจก ผู้ที่เป็นหัวหน้ามารับ ไม่ว่าจะเป็น อบต. หรือว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน เขาจะให้พวกเขาก่อน ให้ญาติพี่น้องของเขาก่อน
              จนกระทั่งพวกของตัวไม่มีปัญญาจะแบกแล้ว เขาถึงให้คนอื่น บางแห่งคนไปรับ ถ้าไม่ใส่เสื้อแดงก็ไม่ได้ของแจก อันนี้เป็นเรื่องจริงเลย แล้วภาพที่ปรากฎออกมาที่น่าสลดใจที่สุดก็คือ ถุงยังชีพลอยน้ำฟ่องเลย ก็เพราะว่าเขากั๊กไว้ให้พรรคพวกเขา แต่พวกมารับไม่ทัน ภาพถึงได้ออกมาประจานอย่างนั้น เห็นแล้วน่าจะให้ไปเกิดใหม่ เพื่อไปสร้างบารมีในการสละให้คนอื่นเยอะ ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นมีเท่าไรก็ไม่พอหรอก...!
              คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่า สถานการณ์อย่างนี้ต้องทำอย่างไร ? ต้องเสียสละ
              ในหลวง ร.๙ ท่านบอกว่า “เสียสละ” นั้นให้ยาก เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเสีย
              ดังนั้น ให้ตัดคำว่า “เสีย” ออกไป เป็น “สละ” เราจะให้ง่ายกว่า
              แต่ถ้าตัด ส.เสือทิ้งไปอีกตัว เหลือแต่คำว่า “ละ” นี่เราให้ได้ทันทีเลย
              ในหลวง ร.๙ ทรงวินิจฉัยเองเลยนะ เสียสละ สละ ละ วาง ว่าง จบ”
*************************

              “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ ของเรา ทรงงานแทบจะไม่ได้พักผ่อน ท่านทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้ชาวบ้านเดือดร้อนน้อยที่สุด แต่ปีนี้อยู่ในลักษณะผีซ้ำด้ำพลอย
              เพราะว่าปีก่อนแล้งจัด เขื่อนแต่ละแห่งแทบจะไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย พอฝนต้นปีมา เขาเลยกักน้ำไว้เต็มที่ ใครจะไปนึกว่าปลายปีฝนจะถล่มยาวขนาดนั้น
              พอน้ำกำลังจะเกินปริมาตรที่เขื่อนจะรับได้ ก็ต้องรีบปล่อย กลายเป็นว่าปล่อยช้าเกินไป ถ้าภาษาของพวกชาวเขื่อนเขาเรียกว่า “ทำการพร่องน้ำช้าไป”
              ถ้าหากรู้ก่อนว่าน้ำจะมาปลายปีมากขนาดนี้ ก็จะปล่อยทิ้งตั้งแต่ต้นปี แล้วจะไม่เดือดร้อนหนักขนาดนี้
              คราวนี้ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เป็นเขื่อนมหึมาทั้งคู่เลย แล้วยังมี เขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปล่อยกันมา ๔ - ๕ เขื่อนพร้อม ๆ กัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?
              ก็อย่างที่เห็น โทษใครก็ไม่ได้ เพราะปีที่แล้วน้ำไม่มีเหลือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ หรืออดีต เขื่อนเขาแหลม น้ำแทบจะติดก้นเขื่อนเลย ปีนี้น้ำมาเท่าไรก็รับได้หมด
              แต่ทางด้านเหนือเขารับไม่ได้ เพราะว่าบรรดาพายุไต้ฝุ่นหรือว่าพายุโซนร้อน พายุดีเปรสชั่น เมื่อเข้ามาน้ำมักจะลงพื้นที่เหนือกับอีสานก่อน พอโดนเข้าไป ๓ - ๔ ลูกติด ๆ กัน
              โดยเฉพาะ พายุนกกระเด็น นกกระเด็นนี่ภาษาลาวเขาเรียก นกเต็น เฉย ๆ พายุนกเต็นลูกเดียวกระหน่ำอยู่ครึ่งค่อนเดือนไม่ยอมไปไหน เจอพายุฝนกระหน่ำติดกันครึ่งเดือนจะเกิดอะไรขึ้น ?
              เพราะฉะนั้น...ต้องบอกว่าเป็นกรรมส่วนรวมของประเทศชาติจริง ๆ การบริหารจัดการน้ำ ปกติเขาจัดการได้ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ปีนี้เขาคาดผิด ฝนมายาวนานเกินกว่าที่เคยมี
              ประการต่อมาก็คือ การจัดการบริหารน้ำของบ้านเราบกพร่องมานาน ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ ส่วนใหญ่ไปเน้นการสร้างถนน กลายเป็นวางทางน้ำหนักเข้าไปอีก
              หลังจากบทเรียนครั้งนี้ ประเทศไทยใหม่ก็คงมีอะไรเกี่ยวกับน้ำที่ดีขึ้นเยอะ ความจริงตอนนี้น่าจะเป็นตอนที่ดีที่สุด ที่กรมเจ้าท่าจะออกมามีบทบาท ก็คือบรรดาชาวบ้านที่่สร้างบ้านขวางทางน้ำ โดนน้ำกวาดไปหมดแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามสร้างเด็ดขาด ใครแอบสร้างเมื่อไร แจ้งตำรวจจับดำเนินคดีไปเลย
              เรื่องนี้จำเป็นต้องเด็ดขาด ไม่ได้โหดร้ายต่อผู้ไร้ที่พักพิง พวกเขาไม่ใช่ไม่มีที่พักพิง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วอาศัยความมักง่ายเข้าว่า พอหลาย ๆ คนมากเข้าแล้ว มักจะมีเสียงดังขึ้น ใครไปทำอะไรรุนแรง เขาก็หาว่ารังแกประชาชน ดังนั้น...ต้องจัดการเสียตั้งแต่แรก ๆ
              แบบเดียวกับสมัยก่อนที่วัดท่าขนุน ตั้งแต่หลวงปู่สาย ท่านอาจารย์สมเด็จ ท่านอาจารย์สมพงษ์ เป็นเจ้าอาวาสมา มีพวกต่างด้าวอยู่ในวัดเป็นร้อยคนเลย อาศัยอยู่ช่วงล่างที่สร้างเป็นแดนสงบ ไม่มีใครไล่ออกได้ เพราะว่าพอพวกเขามีจำนวนเยอะแล้ว เขาก็รวมหัวกันประท้วงได้
              พออาตมาเห็นเข้า ก็จัดการบอกแม่ชีว่า “บอกพวกเขาว่า ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ อาจารย์เล็กจะใช้ที่สร้างกุฏิ”
              พอพูดเสร็จอาตมาไม่ฟังเสียง ขุดหลุมลงเสาต้นแรกติดบ้านเขาเลย ก่อสร้างตึงตังโครมครามไปเรื่อย ไม่สนใจว่าเขาจะอยู่หรือจะไป จะประท้วงอะไรก็ไม่สนใจ
              พอเขาเห็นว่าอาตมาเอาจริง เขาก็ขยับออกไปทีละบ้านสองบ้าน พอมีคนไปได้ ที่เหลือก็ตามไปเอง เรื่องแบบนี้จึงอยู่ที่เราว่าทำจริงหรือเปล่า ?
              อีกอย่างก็คือว่า พวกกุฏิเก่า ๆ ที่รื้อออกมา ไม่ว่าจะเป็นสังกะสีเป็นกระเบื้อง เป็นไม้ อาตมาอนุญาตให้เขาเอาไปสร้างบ้านใหม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าเขาได้ ไม่ใช่เสีย
              เพราะของเก่าเขาเป็นแค่สังกะสีปุ ๆ ปะ ๆ บ้าง ลังกระดาษบ้าง ทำเป็นอาคารพออาศัยได้เท่านั้น พอให้กระเบื้องหรือไม่ไป เขารู้สึกว่าเขาได้ เขาก็รีบย้ายออก เพราะอาตมาบอกว่า “ถ้าเอ็งย้ายช้า..จะไม่ได้ พวกเขาเอาไปหมด”
              จนกระทั่งทุกวันนี้เคนเขาสงสัยว่า พระอาจารย์เล็กทำได้อย่างไร
              อาตมาบอกว่า ต้องทำได้ คุณอย่าไปเปิดโอกาสให้เขาสิ ไม่คุยด้วยเสียอย่าง เขาก็โอดครวญไม่ได้ ถึงเวลาก็ทำของเราไปเลย”
*************************

              “ท่านเจ้าคุณโสภณ วัดเทวราชกุญชร ก่อนหน้าที่ท่านยังเป็นพระมหาโสภณ ประโยค ๙ อยู่วัดหัวลำโพง ก็ไม่มีบทบาทอะไรเด่นชัด
              ปรากฎว่าวัดเทวราชกุญชรว่างเจ้าอาวาส ใคร ๆ ก็ไม่ยอมไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น เพราะว่าตอนนั้นวัดรกยิ่งกว่าสลัมอีก มีคนเข้าไปปักหลักอยู่ที่นั่นเยอะแยะ
              แต่ท่านเจ้าคุณโสภณกล้ารับไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น ๒ ปีเท่านั้น วัดเทวราชกุญชรจากสลัมกลายเป็นสวรรค์ไปเลย ต้องเจอคนเด็ดขาดและกล้าทำอย่างนั้น พูดง่าย ๆ คือ ไม่กลัวมีเรื่อง คุณจะฟ้องก็ฟ้องไป ดูว่าศาลจะตัดสินว่าอย่างไร
              ตอนนี้ท่านเป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๓ ไปแล้วเป็นพระเทพคุณาภรณ์แล้ว ท่านเป็นรุ่นน้อง ๒ ปี และทำงานเก่งมาก โดยเฉพาะอัธยาศัยดีมาก ๆ เจอหน้าอาตมาเมื่อไร ท่านทักทายก่อนทุกที
              ท่านไม่เคยเบ่งใส่ว่าตอนนี้ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นเทพ เป็นรองเจ้าคณะภาคแล้ว เคยรู้จักมักคุ้นกันอย่างไรก็ทำตัวเหมือนเดิม โดยเฉพาะพวกเราไปปล่อยปลากันทุกเดือน พอท่านเห็นเมื่อไร ก็กุลีกุจอลงมาอำนวยการให้เองให้
              ท่านเป็นคนมีความสามารถ มีอัธยาศัยดี น่ารัก ต้องถือว่าเป็นยังเติร์ก พระหนุ่มไฟแรงของวงการสงฆ์ ตอนนี้รุ่นใหม่ไฟแรงของวงการสงฆ์ ๓ - ๔ รูปขึ้นมามีบทบาท อาตมารู้สึกดีใจมาก
              อย่าง ท่านเจ้าคุณโสภณปริยัติเวที (ท่านเจ้าคุณสายชล) เป็นเจ้าคณะภาค ๑ ปกติเจ้าคณะภาคนี่อย่างต่ำต้องชั้นเทพนะ นี่มหาเถรสมาคมดันท่านขึ้นไปเลย
              ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์ หรือ พระอาจารย์มหามีชัย ของอาตมาเอง ท่านสอนกฎหมายให้อาตมา ต้องเรียกว่าแทบจะเป็นมือวางอันดับหนึ่งในเรื่องกฎหมายของคณะสงฆ์
              ตอนนี้ท่านกำลังเรียนด็อกเตอร์อยู่ มีความชำนาญมาก ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มติมหาเถรสมาคม แทบจะอยู่ในหัวของท่านทั้งหมด ถามอะไรท่านวิเคราะห์ได้เป็นฉาก ๆ ไม่มีติดขัด
              ถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรในการคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ถ้าเขาไม่ปรึกษา หลวงพ่อเจ้าคุณวัดเฉลิมพระเกียรติ (ท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติมุนี) ก็จะปรึกษาท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์
              แล้วมหาเถรสมาคมก็ดันท่านขึ้นไปเลย รองเจ้าคณะภาค ๑ รู้สึกดีใจมาก บรรดาเจ้าคุณหนุ่ม ๆ อายุเพิ่งจะ ๔๐ กว่า ๕๐ ปี ขึ้นไปเป็นถึงเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาคนี่ รู้สึกดีใจมากเลย
              เพราะว่าบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนหนุ่ม กล้าทำงาน ในเมื่อกล้าทำงาน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในคณะสงฆ์ แล้วยิ่งได้ผู้ใหญ่ที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงอย่าง หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ สนับสนุนอยู่อีกด้วย ก็ยิ่งทำงานง่าย”
              “สมัยก่อนถ้าพระขออนุญาตไปต่างประเทศ ต้องโดนด่าทั้งนั้น เพราะพระผู้ใหญ่ท่านฝังใจว่าพวกไปนอกก็คือไปเที่ยว เขาจึงต้องมาขอให้หลวงพ่อวัดสระเกศไปขออนุญาตแทน
              พอโดนด่า หลวงพ่อท่านก้มหน้า พอด่าเสร็จเรียบร้อย ท่านก็สรุปว่า “ตกลงว่าพระเดชพระคุณอนุมัติใช่ไหมครับ ?” นี่...คนที่ไม่กลัวโดนด่า...!
              หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเราไม่เผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปมัวแต่อยู่ในบ้านตัวเอง แล้วเมื่อไรธรรมะจะกว้างออกไปถึงต่างประเทศได้
              ท่านทำงานอย่างนี้มาเรื่อย ท่านไม่ค้านใคร ใครจะด่า จะว่า จะขวาง ท่านไม่เถียง แต่ท่านประเภทวนรอบไปเรื่อยเป็นวัวพันหลัก มุ่งเอาเรื่องเดียว จนกระทั่งในที่สุดวัดไทยในลอสแองเจลลิสก็ปรากฎขึ้นเป็นวัดแรก หลังจากนั้นพอได้มาวัดหนึ่ง ที่เหลือก็ง่ายแล้ว
              พอดีว่าตำแหน่งของท่านก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาในวงการคณะสงฆ์ผู้ใหญ่เห็นว่าท่านทำงานเอาจริงเอาจัง ก็สนับสนุนขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งอยู่ในระดับที่ว่า คำพูดมีน้ำหนักเหมือนเป็นคำสั่งแล้ว ต่อไปก็สบาย
              ท่านไม่เถียงใคร อยากด่าก็ด่าไป ก้มหน้ารับไว้ คนที่ขอให้ท่านช่วย ไม่รู้หรอกว่าท่านโดนไปเท่าไร จนกระทั่งในที่สุด พระพุทธศาสนาก็ไปประดิษฐานมั่นคงอยู่ในประเทศทางตะวันตก
              ท่านวางแผนล่วงหน้าถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากว่าศาสนาพุทธตั้งอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ จะได้มีที่ให้ถอยไปต่างประเทศได้ ท่านวางแผนล่วงหน้าไว้นานขนาดนั้น...!
              ที่เห็นชัด ๆ อีกท่านก็ หลวงพ่อเจ้าคุณพระพรหมโมลี ตอนนี้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางไปแล้ว ท่านนี้ก็ต่อสู้ดิ้นรนมาสารพัด มีอยู่สมัยหนึ่งที่เรื่องของการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน สาบสูญไปจากวงการปริยัติ เขาเรียนอย่างเดียว ไม่สนใจอย่างอื่น
              พอท่านสร้าง วิทยาลัยบาฬีศึกษาพุทธโฆส ขึ้นมา ก็กำหนดหลักสูตรว่า นักศึกษาทุกคนต้องปฏิบัติธรรมประจำปี สะสมให้ได้ ๓๐ วัน ไม่อย่างนั้นไม่ให้จบ แล้วหลังจากนั้นท่านก็เน้นเรื่องนี้มาโดยตลอด
              จนกระทั่งในที่สดุก็ตั้งเป็น หลักสูตร ป.บส., ป.วน. ขึ้นมา
              ป.บส. คือ ประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์
              ป.วน. คือ ประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนา
              ปัจจุบันหลักสูตรที่ขึ้นหน้าขึ้นตามากที่สุดก็คือ ปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา ท่านบอกว่ากำลังวางแผนตั้งปริญญาเอกวิปัสสนาภาวนาอยู่ เพียงแต่ต้องรอให้ทางกระทรวงรับรองหลักสูตรที่เสนอไปก่อนเท่านั้น”
*************************