เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนตุลาคม ๒๕๕๔
ตึกกองทุนนั้น นอกจากชั้นล่างที่ว่างโล่งแล้ว ชั้นบนยังมีห้อง ทางซ้าย ๔ ห้อง ทางขวา ๔ ห้องใหญ่ ตรงกลางเป็นโถงยาวตลอด
อาตมาเดินจงกรมภาวนาไป หมดสภาพตรงไหนก็นอนตรงนั้นแหละ นอนไม่เป็นที่เป็นทาง แล้วก็จะถูกท่านทั้งหลายเหล่านี้ก่อกวนเป็นประจำ
พอนอนภาวนาอยู่ เขาก็เดินมา ตึกไหวยวบไปทั้งหลังเลย คนอะไรตัวหนักขนาดนั้น...! อาตมานอนตะแคงอยู่ หันหลังให้กับที่เขาเดินมา กะจังหวะที่เขาเดิน พอก้าวสุดท้าย กะว่าอยู่ในรัศมีเท้า อาตมาก็พลิกกลับเตะเลย...เตะเต็มที่...!
ปรากฎว่าไม่ใช่คน เป็นลูกแมวตัวเล็ก ๆ รู้ด้วยว่าอาตมาจะเตะตอนไหน กระโดดข้ามเท้าของอาตมาแบบนิ่มนวลมาก
อาตมาก็พลิกตัวตามไปมอง เห็นชัด ๆ ว่าแมวหันมายิ้มหวานให้อาตมา แล้วก็เดินทะลุประตูไปเฉย ๆ ลูกแมวบ้านไหนวะ ? เดินทีหนึ่งตึกไหวทั้งหลัง...!
เขาแกล้งให้หูตาสว่าง ลุกขึ้นมาภาวนาต่อได้เขาก็พอใจแล้ว เจอแบบนี้มาจนนับครั้งไม่ถ้วน เจอจนกระทั่งกลัวผีไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะกลัวไปทำไม เพราะเจอมาจนเบื่อ...!
*************************
“ถามว่าปัจจุบันนี้อาตมากลัวผีหรือไม่ ?
ก็ต้องบอกว่ายังกลัวอยู่ เพราะเวลาผีมาจะขนลุกเกรียว ถ้าไม่กลัวขนจะลุกทำไม ?
ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องว่า เวลาผีปรากฎตัวให้พวกเราเห็น เขาจะดึงเอาพลังงานบริเวณนั้นไปหมด เพื่อทำให้โมเลกุลของตัวหยาบขึ้น เราจะได้มองเห็น
การที่เขาดึงพลังงานบริเวณนั้นไปหมด ทำให้ความร้อนหมดไปด้วย จึงทำให้เรารู้สึกหนาวกะทันหันก็เลยขนลุก นี่อธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากเลยนะ
ส่วนอาตมาถือว่า ถ้ายังขนลุกอยู่แสดงว่ายังกลัวแต่กลัวแบบไม่หนี คุยกันได้ จะให้อธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ก็บอกได้นะ
อย่างที่บอกว่าวัสดุทุกอย่างเกิดจากโมเลกุลประกอบกันขึ้นมา การจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นวัตถุที่ต่างกัน อย่างเราจะเปลี่ยนวัสดุให้เป็นทอง เราก็แค่เปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลให้เป็นการจัดเรียงแบบทองเท่านี้ก็เป็นแล้ว
คราวนี้เห็นหรือยังว่า การที่ใช้กสิณและอภิญญาเปลี่ยนธาตุโลหะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้ แต่อภิญญาแค่ใช้อำนาจจิตเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลเท่านั้นก็เป็นแล้ว ฟังดูแล้วง่ายมาก น่าจะทำวิจัยเรื่องนี้เอาปริญญาเอกดีกว่า...!”
ถาม : สีจะเปลี่ยนไปด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจัดเรียงโมเลกุลใหม่ ก็จะเปลี่ยนสภาพเลย เหมือนกับเปลี่ยนตัวต่อเลโก้ (LEGO) ต่อเป็นบ้านเป็นรถต่าง ๆ เราเปลี่ยนลักษณะการต่อ ก็กลายเป็นของอีกอย่างหนึ่ง
พยายามอธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ให้มาก ๆ เผื่อสำหรับพวกที่เชื่อยาก พวกนี้เขาเชื่อวิทยาศาสตร์ แต่ไม่เชื่อเรื่องของพระ
ขำที่สุดก็น้องแพร (อรอมล จงเสริมศิริสกุล) น้องแพรเรียนวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) ใช้วิธีบนพระอย่างเดียว ตกลงว่าเรียนวิทยาศาสตร์ แต่วิธีการนี่แทบจะเป็นไสยศาสตร์ล้วน ๆ...!
*************************
การรู้เห็นต่าง ๆ มีโทษมากกว่าประโยชน์ ยกเว้นว่าเรารู้ถูกทางจริง ๆ เมื่อครู่โยมผู้ชายที่ถามปัญหาเป็นอิสลาม เขาฝึกมโนมยิทธิได้ เขาก็เลยมาถามรายละเอียดที่เขาติดขัดอยู่
ถึงได้บอกว่าสิ่งที่เรารู้เห็น ถ้าหากว่าเราเชื่อเสียทั้งหมด ก็จะโดนชักจูงให้ผิดพลาดได้ง่าย และการรู้เห็นในแต่ละครั้งก็ไม่เท่ากัน
วันนี้สมาธิเราดี เราอาจจะรู้เห็นได้ พรุ่งนี้สมาธิไม่ดี การรู้เห็นไม่มี ถ้าเป็นอย่างนั้นโปรดอย่ามั่ว...! ไม่ต้องกลัวเสียหน้า รู้ก็ให้บอกว่ารู้ ไม่รู้ให้บอกว่าไม่รู้ ถ้ามั่วเมื่อไร...เดี๋ยวจะพังทั้งคนบอกทั้งคนฟัง
ประการที่สองก็คือ การรู้เห็นของแต่ละคนกำลังไม่เท่ากัน ความชำนิชำนาญไม่เหมือนกัน ฝึกมโนมยิทธิได้เหมือน ๆ กัน คนนี้อาจจะระลึกชาติได้เก่งมากเลย ชัดเจนมาก คนอื่นได้ไม่เท่า
แต่อีกคนอาจจะได้เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่นเขา ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร สามารถพูดออกมาได้ทุกคำเลย แต่ไปใช้อย่างอื่นก็ไม่ถนัด
คนนั้นได้ปุพเพนิวาสนุสติญาณ
อีกคนถนัดจุตูปปาตญาณ แล้วแต่ความถนัดของตน
ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะคิดให้เก่งเสมอกันทุกอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพ
อย่างที่โยมสองคนบอกว่า คนหนึ่งได้ยินเสียง อีกคนหนึ่งเห็นภาพ เพราะฉะนั้น...เอ็งไปด้วยกัน ถึงเวลาก็ตั้งกำลังใจพร้อม ๆ กัน แล้วเอาเรื่องมาต่อกันก็จบ
มโนมยิทธิที่มีโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะว่าส่วนใหญ่คนเห็นแล้วเชื่อเลย ตัวนี้เป็นสักกายทิฐิและมานะเต็ม ๆ “กูเห็น กูจึงเชื่อ” เห็นหรือยังว่าขึ้นด้วยตัวกูเต็ม ๆ
*************************
เมื่ออาทิตย์ก่อน มีโยมคนหนึ่งโทรมา บอกว่ามีเด็กคนหนึ่งจะโดนทิ้ง มาเข้าฝันว่าให้ไปเก็บมาเลี้ยงด้วย เพราะว่ามีกรรมเนื่องกันมาต้องชดใช้เขา
ถ้าเป็นอาตมานี่เด็กคนนั้นอยู่ในถังขยะแน่นอน...! ถ้าเอ็งจะมาทวงเอ็งหาทางมาสิ แล้วจะชดใช้ให้ ไม่ใช่ให้เราไปเก็บมาเลี้ยง
นี่ไม่ใช่เรื่องของการใจร้ายใจดำ แต่เป็นการไม่ยุ่งกับกรรมของคนอื่น ถ้าเราไปยุ่งกับกรรมคนอื่นเรื่องจบยาก ไม่แน่...เขาอาจจะเป็นเครื่องมือที่มารพามาถ่วงเรา เพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานช้า
มัวแต่ไปห่วงไปกังวล ไปเลี้ยงไปดู ให้การศึกษา กว่าจะโตเป็นผู้เป็นคนก็ ๒๐ กว่าปี ถ้าเราตายก่อน การปฏิบัติก็ขาดช่วงไป ก็ไม่ได้อะไรเลย
ฉะนั้น...ของทุกอย่างเป็นทั้งเครื่องทดสอบ และเป็นทั้งเครื่องวัดกำลังใจของเราด้วย ว่าส่ิงที่เรารู้เห็นทั้งหมดนั้น เราน้อมใจเชื่อโดยส่วนเดียว หรือว่าเชื่ออย่างคนมีปัญญา
ถ้าคุณจะทวงก็ไม่ยากหรอก ให้เขาเอามาทิ้งหน้าบ้านสิ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าต้องเลี้ยงเอง ถ้าหากว่าเขามาทิ้งไว้หน้ากุฏิ อาตมาจะเปิดประตูมากระแทกเด็กปลิวไป ให้เด็กนอนกลิ้งอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าคลานตามมาเมื่อไรแล้วถึงจะยอมเลี้ยง...!
ถาม : ช่วยอย่างคนมีปัญญา เขาทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ช่วยอย่างคนมีปัญญาก็คือ เอาตัวรอดทุกวิถีทางที่จะไม่ต้องเลี้ยงเขา ถ้าหากว่าจับพลัดจับผลู ท้ายสุดต้องเลี้ยง นั่นถึงจะยอมรับว่าเป็นวาระกรรมที่เนื่องกันจริง ๆ
ถาม : จะไม่เป็นการขาดความเมตตาหรือคะ ?
ตอบ : เมตตา กรุณา มุทิตา ท้ายสุดก็อุเบกขา ใช้ให้ครบสิวะ...!
เมตตาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังเอาตัวไม่รอด เอ็งช่วยตัวเองไปก่อนนะ
กรุณา สงสาร...อยากให้เอ็งพ้นทุกข์เหมือนกัน แต่ขอข้าพ้นก่อน
มุทิตา...ถ้ามีคนเอาเอ็งไปเลี้ยง ข้าก็ยินดีด้วย เพราะข้าไม่ต้องเหนื่อย
ท้ายสุดก็อุเบกขา...ตัวใครตัวมันนะ ลาก่อน
ชอบใจเพลงเพลงหนึ่งจริง ๆ เขาร้องว่า “ลำพังตัวเองยังเลี้ยงไม่รอด แล้วเธอยังดอดคิดไปมีผัว” เพราะถ้าตัวเองยังเอาไม่รอด จะไปรับภาระคนอื่นเขาไหวหรือ ?
*************************
“เจ้าดอกรัก เป็นหมาวัดที่ดื้อสุด ๆ ดุอีกด้วย ถ้าใครไปตีก็จะกัดอาตมาตีกระจายเลย เจ้าดอกรักก็แปลกใจว่าคนอื่นตีไม่เจ็บ ทำไมอาตมาตีถึงเจ็บ
ก็เพราะว่าอาตมาใช้ไม้เล็ก ๆ ตี คนอื่นใช้ไม้ใหญ่ตีไม่เจ็บหรอก ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วสะบัด เจ็บแสบดีนักแล
อาตมาไม่กลัวหมากัดด้วย กัดมาก็ตีไปเรื่อย พอกัดจนเหนื่อย ทนเจ็บไม่ไหวก็ต้องเลิกไปเอง เจ้าดอกรักจะมุดหนีไปอยู่ใต้เตียง อาตมาก็มุดตามไปตีใต้เตียง ตีจนกระทั่งเขารู้ว่ามีคนหนึ่งที่ตีได้ หลังจากนั้นพอเห็นหน้าอาตมาเจ้าดอกรักก็เผ่นแน่บ
ท่านอาจารย์สมพงษ์ไปเตะเจ้าดอกรักเข้าโดนงับขาเลือดสาดกระจาย...! แม่ชีโหล่เขาบอกว่า “ยังกัดเข้าแบบนี้ออกเหรียญรุ่น ๑ ไม่ได้หรอก”
ท่านอาจารย์สมพงษ์ก็โกรธใหญ่ ไม่ช่วยทำแผลแล้วยังปากไม่ดีอีก ท่านด่า แม่ชีก็เถียง “มันกัดอาจารย์เล็กจนเหนื่อย ไม่เห็นจะเข้าเลย”
ท่านอาจารย์สมพงษ์ก็ยิ่งโมโหใหญ่ “ก็มันคนเดียวกันเสียเมื่อไรเล่าวะ ?”
เจ้าดอกรักจะซ่ากับคนอื่น เพราะเวลามันแยกเขี้ยวใส่แล้วเขากลัว ส่วนอาตมาไม่กลัว ตีสวนไปเลย บางทีถูกมันกัดไม้หักไป ๓ - ๔ อัน อาตมาก็คว้าไม้อันใหม่ตีไปเรื่อย ถึงมุดหนีไปใต้เตียงก็ตามไปตี
เวลาหมามุดไปที่แคบ เขาจะถนัดกว่าเรา แต่อาตมาไม่กลัว มีปัญญาเอ็งก็กัดไป ข้าก็ตีไปเรื่อย ตีจนไม่มีที่ให้วิ่งหลบ ต้องหนีออกไปข้างนอก อาตมาใช้วิธีเดียวกันคือ ให้หมาเห็นว่าเราดื้อกว่า แต่เราดื้อแล้วเขาเจ็บตัวเท่านั้นเอง
ใช้ไม้ใหญ่ตีหมา...หมาช้ำ แต่ไม่เจ็บ แต่ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วเจ็บจนสะดุ้ง เพราะฉะนั้น...ให้ใช้ไม้เรียวเล็ก ๆ บางทีก็ใช้ไม้ที่เขาเสียบเงินกัณฑ์เทศน์นั่นแหละ ตีมันดีแท้ มีเป็นร้อย ๆ อัน กัดหักอันหนึ่งก็หยิบอันใหม่มาได้เลย
อาตมาบอกับแม่ชีเขาว่า “ต้องสอนให้รู้ตัวว่าเป็นหมา อย่าให้มันทำกร่างเป็นเจ้าพ่อ”
ในหอฉันเวลาเขาปูผ้าให้พระนั่งฉัน เจ้าดอกรักก็จะไปฉี่ใส่ผ้าของพระ แล้วก็จะมีเสียงของแม่ชีโหล่ว่า “ดอกรัก...ลูกอย่าทำอย่างนั้น”
คงจะฟังอยู่หรอก...! อาตมาไปถึงไม่ฟังเสียงเลย ตีไว้ก่อน พอโดนเข้าก็เข็ด
ระยะหลังนี่หอฉันจะเป็นที่หมายปองของบรรดาหมาทั้งหลายมาก พวกหมาจะคอยมอง พอเห็นอาจารย์ลับหลังก็วิ่งพรวดเข้าไปเลย ขอให้เหยียบหน่อยก็ชื่นใจแล้ว พอมาถึงอาตมาตวาดแว้ดเดียว เผ่นหายหมดโยมเห็นทีไรหัวเราะทุกทีเลย
ที่เขาลือว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุกว่าหมา ก็ตอนที่ตวาดหมาเผ่นหมดไม่เหลือ คนอื่นตีเท่าไรหมาก็หมอบให้ตี เพราะรู้ว่าตีไม่จริง เจอคนตีจริงเข้าก็ต้องเผ่น
มีอีกตัวไอ้อ้วน น่าจะเป็นเบาหวาน เพราะแผลไม่หายเสียที พอถึงเวลาก็จะย่องเข้ามาที่โรงครัว ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คนอื่นเห็นมันอ้วนและขาเป็นแผลด้วยก็สงสาร
อาตมาเห็นก็ดุ “ไอ้อ้วน...ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” มันก็ลุกเดินเหี่ยวออกไป มันรู้ว่าใครเอาจริงหรือไม่เอาจริง เวลาญาติโยมเลี้ยงเพล เห็นหมาแต่ละตัวทำท่าแล้วหัวเราะทุกคนเลย
บางตัวก็ทำถูกกติกานะ ยืนอยู่ตรงขอบประตูเลื่อนแล้วก็ยื่นหัวเข้ามา ขอแค่ให้ได้ยื่นหน้าเข้าไปนิดหนึ่งก็ชื่นใจแล้ว
เลี้ยงหมาแล้วก็จะรู้ว่าเขาก็คือคนนั่นแหละ เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาสร้างไว้ ทำให้เขาโดนจำกัดอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน นิสัยเหมือนคนนี่เอง หมาบางตัวก็สง่าสุด ๆ เลยนะ ประเภทเห็นก็รู้เลยว่าไอ้นี่แน่จริง
แต่ปัจจุบันนี้อาตมาจะไม่เลี้ยงหมา มีหน้าที่ดูแลควบคุม หมาบางตัวต้องการแสดงความสนิทสนม เข้ามาหาก็เกา ๆ ให้หน่อย”
ถาม : เกาทำไมคะ ?
ตอบ : เป็นภาษาหมา
ถาม : แปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : ฉันยอมรับว่าแกอยู่ในฝูงเดียวกัน เหมือนกับหมาที่งับหมัดให้กันเห็นไหม ? บางทีเวลาหมาก็งับ ๆ ให้กัน
ถ้าหมาดุ ถึงเราปราบอยู่ แต่มันจะไม่เชื่อง อย่าให้หัวเราต่ำกว่าเป็นอันขาด ถ้าหัวเราต่ำกว่าเมื่อไร มันถือว่าเราลงให้มันแล้ว มันจะข่ม แต่ถ้าหัวยังสูงกว่ายังไม่เป็นไร
ถาม : หมาที่บ้านชอบไปนอนบนหมอนคน บางทีก็ชอบมานอนบนหัว หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่แสดงความเป็นเจ้าของแค่นั้นเอง
*************************
อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน ที่โรงพยาบาลทหารหรือ หลวงปู่ท่านป่วยมาตั้งเกือบ ๒ เดือน อาตมากลัวท่านจะล้มในห้องน้ำ จึงนอนขวางหน้าเตียงเลยพอหลวงปู่ขยับ เสียงเตียงลั่นอาตมาก็ลุก “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำหรือครับ ?”
ถ้าท่านพยักหน้า อาตมาก็อุ้มท่านเข้าอุ้มท่านออก
วันนั้นพอเสียงเตียงลั่น ลืมตาขึ้นมา “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำใช่ไหมครับ ?”
ท่านยิ้มหวานจ๋อยเลย “เข้ามาแล้ว”
ท่านเป็นพระสุกขวิปัสโก แต่ที่อาตมาเห็นนี่ยิ่งกว่าอภิญญาอีก สำคัญที่ว่าท่านจะใช้หรือเปล่า ? เพราะว่าเรื่องฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นฤทธิ์ในกสิณ ๑๐ มีฤทธิ์ในการอธิษฐาน ฤทธิ์ในฌานสามาบัติ ฤทธิ์ในบุญ
อาตมานอนขวางหน้าเตียงอยู่ เป็นไปไม่ได้หรอกที่ท่านจะไปเองได้ ขนาดขาท่านยังยกไม่ขึ้นเลย แล้วจะก้าวข้ามตัวไปได้อย่างไร ?
เวลาท่านลุกขึ้น เตึยงต้องดัง อาตมาต้องได้ยินแน่นอน แต่ปรากฎว่าท่านเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ท่านยิ้มหวานไม่พอ ท่านว่าอะไรรู้ไหม ?
“อะไรที่เป็นระเบียบ ถ้าฝืนได้แล้วมีความสุขนะ”
*************************
“ภูมิปัญญาโบราณที่สั่งสมมานั้น ทำให้การกินการอยู่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศบ้านเรา พอมารุ่นใหม่นี่เห่อบ้านตามแบบฝรั่ง ปลูกบ้านติดพื้นดิน ที่ฝรั่งเขาปลูกบ้านติดดินแล้วอับทึบมาก เพราะว่าหน้าหนาวเขาจะได้เอาไว้หลบความหนาว และหลังคาจะได้ไม่รับน้ำหนักหิมะมากจนถล่มลงมา
แต่คนไทยเราไปเห็นดีเห็นงามสร้างตามแบบเขา พอขาดเครื่องปรับอากาศก็อยู่ไม่ได้ เมื่อฝนมา น้ำท่วม ก็ไม่มีที่ให้หลบ เพราะบางทีหลังคาก็ไม่เหลือ
โบราณสร้างบ้านใต้ถุนสูง มีเรือขึ้นคานรอไว้ หน้าน้ำก็ยาเรือเอาลงจากคาน ปล่อยให้น้ำท่วมข้างล่าง แล้วก็อยู่ชั้นบนตามปกติ พอหน้าแล้งเอาเรือขึ้นคาน ชั้นล่างก็เอาไว้ทำงานทำการสารพัด
ดังนั้น...ถ้าใครสร้างบ้านก็เอาแบบโบราณนะ บ้านใต้ถุนสูงจะปลอดภัยและเหมาะกับบ้านเรามากกว่า
คุณหมอประสิทธิ์ สร้างบ้านหมดเงินไป ๗๐ ล้านบาท พอไปเจออาคารเรือนไม้ที่เกาะพระฤๅษี คุณหมออยากได้มาก ถามว่าราคาเท่าไร ?
อาตมาบอกว่าต่อเติมมา ๒ ครั้งแล้ว อยู่ในงบประมาณ ๒.๔ ล้านบาท คุณหมอคงกลับไปตีอกชกหัวตัวเอง ๒.๔ ล้านบาท กับ ๗๐ ล้านบาทนี่ต่างกันมหาศาล เพราะบ้านที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเขาคิดราคามักจะสูงเกินจริงไปเยอะ
ภูมิปัญญาโบราณเป็นสิ่งที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า อย่างช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยน ก็จะมีแกงส้มดอกแค กินแก้ไข้หัวลม ยิ่งถ้าซดร้อน ๆ เหงื่อแตกเลยยิ่งดี จะได้เป็นสิวน้อยลงด้วย
ฝรั่งเข้ามาทำวิจัยอาหารไทย ว่าประกอบไปด้วยเครื่องสมุนไพรรักษาได้สารพัดโรค แต่ปรากฎว่าคนไทยไปเห่อเคเอฟซี เห่อแฮมเบอร์เกอร์ เป็นอะไรที่กลับข้างกันมาก
ถามคนไปเมืองฝรั่งเถอะ อาหารบ้านเขาอร่อยสู้บ้านเราไม่ได้ จะซื้ออาหารไทยที่นั่นก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะว่าราคาแพงมาก
ตอนนี้ฝรั่งเขาบอกว่า มัสมั่นไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้นตำรับมาจากอินเดีย ไม่รู้ว่าจำได้หรือเปล่า ? เพราะบ้านเราพอของต่างชาติเข้ามาแล้ว มักจะนำมาดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นคนไทย
เรากินอาหารจีนในบ้านเราว่าอร่อย ลองไปฮ่องกงหรือไม่ก็จีนดูสิ ไปสั่งอาหารจีนบ้านเขาดูว่าจะกินลงไหม ? กินไม่ลงหรอก เพราะว่ามีแต่มัน ๆ เลี่ยน ๆ ในไทยเราเอามาปรับให้เข้ากับลิ้นของเรา ก็แปลว่าอร่อยที่บ้านเรา ไม่ได้แปลว่าว่าจะอร่อยที่บ้านเขา
อาหารหลายต่อหลายอย่างบ้านเราดัดแปลงจนต้นตำรับเขาจำไม่ได้ พวกทองหยิบ ฝอยทองอะไรพวกนั้น คุณหญิงกีมาร์ (Marie Guimar de Pniha) ฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็ไม่รู้หมือนกันว่าจะจำหน้าตาได้หรือเปล่า ว่าสอนลูกหลานไทยเอาไว้เอง
คุณหญิงกีมาร์เป็นโปรตุเกส แต่งงานกับฟอลคอน (Constantine Phaulkon) ที่เป็นกรีก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทยแล้วรับราชการสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นออกญาหรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ภรรยาเป็นคุณท้าว คราวนี้ท่านชื่อกีมาร์ คนไทยเลยเรียกว่า “ท้าวทองกีบม้า”
*************************
“อาตมาเห็นคนไทยสมัยก่อนอ่านหนังสือแล้วกลุ้มใจ เขาอ่านตามสบายใจฉัน อย่างเช่น “แฮรี่ เบอร์นี่” คนไทยอ่านเป็น “หันแตร บารนี” ชื่อเป็นไทยมาก
“เซอร์ เจมส์ บรู๊ก” คนไทยอ่านเป็น “เย สัปบุรุษ” เขาเปลี่ยนเป็นชื่อไทยได้หมด
“หมอบรัดเลย์” กลายเป็น “ปลัดเล”
สถานี เขาเรียก “กะเตชั่น”
แบดมินตัน เขาเรียก “ปั๊กกะตั้น”
“เทเลกราฟ” (โทรเลข) เขาเรียกเป็น “ตะแล็บแก๊บ”
ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทยก็คือ สยามกัมมาจล ก่อนหน้านั้นเขากลัวว่าการตั้งธนาคาร จะทำให้เป็นที่เพ่งเล็งของต่างชาติ เขาก็เลยตั้งเป็น “บุคคลัภย์” มาจากคำว่า Book Club เขาสามารถแปลงให้กลายเป็นภาษาไทยได้
สังเกตไหมว่าเด็กรุ่นใหม่ออกเสียง “จ” ไม่ได้ ออกเสียงเป็นตัว J หมด ปกติ จ.จาน ไม่ต้องห่อล้ินนะ แต่สมัยนี้ออกเสียง จ.จาน แบบห่อลิ้น แก้ไขไม่ได้ด้วย เพราะว่าเสียมาหลายรุ่นแล้ว
นอกจากนี้ เรายังไปออกเสียง “ญ” กับ “ย” เป็นเสียงเดียวกัน ออกเสียง “น” กับ “ณ” เป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งแท้จริงเขาแยกเสียงได้ “น” เขาออกเสียงขึ้นจมูก ถ้า “ณ” ถึงจะออกเสียงปกติ
ลองไปฟังเพลงสาวเชียงใหม่ ของสุนทรี เวชานนท์ดูสิ เขาออกเสียง ย.ยักษ์ ชัดมากเลย “เยือกเย็นสดใสเหมือนน้ำแม่ปิง” นั่นแหละ เสียง “ย” แท้”
*************************
“กฐินปลดหนี้ของอาตมา จะเลือกช่วยเฉพาะวัดที่เดือดร้อนจริง ๆ ดังนั้น กฐินปลดหนี้ปีหน้าจะไปที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ของครูบาเหนือชัย
พี่ ๆ น้อง ๆ ใครที่เดือดร้อนก็จะไปช่วย เป็นความตั้งใจมาตั้งแต่สมัยออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ช่วงนั้นมีบุคคลอยู่จำนวนหนึ่งที่เขามองลักษณะว่า อาตมาตั้งตนเป็นอาจารย์แข่งกับสำนักใหญ่
อาตมาก็มาคิดว่า ถ้าเป็นอาตมาเองจะไม่เสียเวลาคิดอย่างนี้ ถ้าใครสามารถตั้งตัวเป็นอาจารย์ได้ จะสนับสนุนให้สุดตัวไปเลย
แล้วการสนับสนุนก็ไม่ต้องลำบากยากเข็ญอะไร ก็แค่ประกาศข่าวว่ามีพี่น้องอยู่ทางด้านนี้ด้านนั้น ให้พากันไปเยี่ยมเยียน คนก็แห่ไปช่วยกันเอง ไม่ต้องแบกต้องหามกันสักหน่อย ไปแนะไปนำกันว่าเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างไร ถึงเวลาญาติโยมท่านไหนอยู่ใกล้ก็ไปทำบุญที่นั่น จะได้ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงวัดท่าซุง
ถ้าหากว่าทางวัดใหญ่ทำแบบนี้ เวลาวัดใหญ่มีงาน ทางสำนักต่าง ๆ เขาก็เต็มใจแห่กันไปช่วยอยู่แล้ว กลายเป็นว่ารวบรวมญาติโยมทางด้านนี้ไปช่วยทางสำนักใหญ่ มีแต่ได้หลายอย่างด้วยกัน
อย่างแรกก็คือ เห็นความสามัคคีเหนียวแน่นในหมู่ลูกพ่อเดียวกัน
อย่างที่สองก็คือ ถ้าหากว่าขาดเหลืออะไร ตัวเองเป็นสำนักใหญ่สามารถช่วยเหลือเจือจุนได้ สำนักเหล่านั้นจะสามารถตั้งหลักได้เร็ว เป็นที่พึ่งของญาติโยมได้เร็ว
อย่างที่สามก็คือ สมมติว่าญาติโยมอยู่สุไหงโกลก ญาติโยมทางด้านนั้นก็ไม่ต้องแห่ขึ้นมาไกลตั้ง ๑,๕๐๐ - ๑,๖๐๐ กิโลเมตร เพื่อที่จะได้มาทำบุญที่วัดท่าซุง เพราะมีวัดพี่วัดน้องที่นั่นแล้ว
กลายป็นว่าอาตมาคิดคนละอย่างกับคนอื่น แต่ก็เป็นความตั้งใจที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ดังนั้น พองานตัวเองเบาลงนิดหนึ่ง พอที่จะช่วยที่อื่นเขาได้ ถึงได้จัดเป็นกฐินปลดหนี้ไปช่วยเขา”
*************************
“วันก่อนตุ๊ป้อสิงห์บอกว่าสร้างโบสถ์อยู่ ปัจจัยที่น้องหาให้เมื่อตอนกฐินปลดหนี้ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะว่าหัวหน้าช่างที่เชิญมาเขาคิดค่าแรงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท
ก็ต้องดูว่าแต่ละปีตรงไหนเร่งด่วน อาตมาก็ไปช่วยตรงนั้นกัน ช่วยได้สักปีละวัดก็ยังดี เบื่อแล้วประเภททำกฐินเอาบุญ ทำครั้งหนึ่ง ๒๐ - ๓๐ วัด เฉลี่ยแล้วได้วัดละไม่กี่สตางค์ ไม่พอยาขี้ฟัน ลงไปวัดเดียวหมดเรื่องหมดราว ให้เห็นหน้าเห็นหลังไปเลย
อีกไม่กี่วันก็จะลงไปที่สุไหงปาดี กลางดงระเบิดเลย กลางดงอิสลามชื่อวัดอย่างเป็นทางการคือ วัดรัตนานุภาพ แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า วัดโคกโก
อาตมาลงปักษ์ใต้ไปตั้งแต่ตอนที่ภาคใต้ยังไม่มีเรื่องไม่มีราว ลงไปจนกลายเป็นตัวประหลาดในหมู่อิสลาม
ที่แปลกที่สุดก็คือ ลงไปเจอหลวงพี่นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ครั้งแรกที่ปักษ์ใต้ บวชใหม่ ๆ ด้วยกันทั้งคู่ อาตมาบวชได้ ๘ พรรษา ท่านเพิ่งบวชได้ ๔ พรรษา แล้วก็อยู่มาจนกระทั่งทางใต้มีเรื่องมีราว แต่อาตมาก็ยังคงลงไปตลอด
แรก ๆ ก็ลงไปปีละครั้ง ไป ๆ มา ๆ พอเขาเดือดร้อนก็ไปถี่ขึ้น มาระยะนี้ความเดือดร้อนน้อยลงก็ไปห่างหน่อย
บางช่วงเหตุการณ์รุนแรงมาก อย่างระเบิดสถานีรถไฟหาดใหญ่ พออาตมาขึ้นรถไฟ ก็จะมีตำรวจเขารักษาการณ์หัวท้ายตู้ละ ๒ นาย ส่วนใหญ่พระจะมีเวรมีกรรม พอพระนั่งก็ไม่มีใครอยากนั่งด้วย ที่ตรงข้ามก็จะว่าง
พอตำรวจเดินไปเดินมาจนเมื่อย เขาก็มานั่งกับพระ แล้วถามว่า “หลวง ๆ ลงมาไม่กลัวรื้อ ?”
อาตมาตอบว่า “อ๋อ...อยากให้ระเบิดที่รถคันนี้เลย จะได้ดังบ้าง”
ตำรวจเดินหนีไปเลย เจอพระไม่กลัวไม่พอ ภาวนาให้ระเบิดคันนี้อีกด้วย...!
คำว่า “คัน” ในภาษารถไฟก็คือคำว่า “ตู้”
พูดง่าย ๆ อยากให้เขาระเบิดตู้นี้แหละ แต่ว่าแปลก ...การรถไฟเขาเรียกเป็นคัน เพราะฉะนั้น...รถไฟถ้าลงสายใต้ขบวนหนึ่งจะมี ๒๐ กว่าคัน”
*************************
“ปี ๒๕๔๗ ที่ทางใต้มีเรื่องกันแรก ๆ ตอนนั้นออกนอกที่อยู่ไม่ได้ พออกมาก็มีมอเตอร์ไซค์รีบปาดมาจอดถาม “ไปไหนครับ ? จะไปส่ง”
แต่พอตอนหลังที่เขายิงกระทั่งพระด้วย ไม่มีมอเตอร์ไซค์มารับอีกเลย ตอนที่ยิงแต่ทหารกับตำรวจ เขารีบมารับ พอพระรวมอยู่ในนั้นด้วย...ก็เลิกรับ เพราะกลายเป็นเป้าเด่น มีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ มีทั้งพระ
อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าอยู่ทุกวัน ตอนที่เจ้าอ้อย (ศัลยา) อยู่โรงพยาบาล อาตมาก็ไปวันละ ๓ เที่ยว ไปให้เขาเห็นว่าเราไป เช้าเที่ยวหนึ่ง กลางวันเที่ยวหนึ่ง เย็นเที่ยวหนึ่ง กะว่าที่โดนง่ายที่สุดก็รอบค่ำ
แต่บังเอิญว่าการที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี มียุทธวิธีทางทหาร ทำให้คนที่คิดจะเข้ามาทำร้ายทำไ้ดยากมาก คือไม่ว่าอย่างไรถ้าเขามา เราจะเห็นก่อน
ต้องได้รับการฝึกมามาก ถึงจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าได้ทุกวัน เดินให้เขาคลั่งเล่นว่า ไอ้นี่ทำไมเดินแล้วยิงกบาลมันไม่ได้สักที...!”
*************************
“ตอนนี้ทางมหาเถรสมาคมกำลังเป็นจุดศูนย์กลาง ในการช่วยเหลือวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ทางคณะสงฆ์ของเรามีโครงการช่วยเหลือกันเองอย่างนี้มานานแล้ว
เจ้าอาวาสทุกรูปจะโดนหักเงินเดือนในเดือนมกราคมของทุกปี เพื่อส่งเข้ากองทุนวัดช่วยวัด วัดไหนที่ลำบากเดือดร้อนก็สามารถมาขอเงินกองทุนนี้ไปใช้ได้ ตอนนี้โดนหัก ๒ เดือน
สรุปว่าพระทำงานหนักกว่าโยม มีเงินเดืนแค่เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไป ๒ เดือน เพราะว่าเดือนที่สองเป็นกองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ
กองทุนเดือนที่สองนี่จัดตั้งเป็นกองทุนของทุกจังหวัด แต่ว่าต้องส่งตัวเลขไปให้ส่วนกลางด้วย
หากชาวพุทธในแต่ละจังหวัดเดือดร้อน ต้องการจะกู้เงิน ก็สามารถมากู้เงินจากกองทุนนี้ได้ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำมาก ๆ เลย กลายเป็นว่าพระเราทั้ง ๆ ที่รายได้อื่น ๆ ก็แทบจะไม่มี แต่ต้องเสียสละตัวเองอย่างมหาศาล
กองทุนแรกคือ กองทุนวัดช่วยวัด
กองทุนที่สองคือ กองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ
กำลังรอว่าเมื่อไรกองทุนที่สามจะมา เพราะว่าตอนนี้มีการตั้งสถานีโทรทัศน์ของพระพุทธศาสนา การดำเนินการก็ค่อนข้างจะจำกัดด้วยงบประมาณ วัดที่เป็นที่ตั้งก็คือ วัดพิชยญาติการาม หรือ วัดพิชัยญาติ ขอหลวงพ่อพระพรหมโมลี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ก่อนหน้านี้หลวงพ่อพระพรหมโมลีท่านบอกว่า ตอนที่แม่ชีทศพรอยู่ เราจะทำอะไรก็เหมือนกับเนรมิตได้ แม่ชีเขาบอกลูกศิษย์พักเดียวเท่านั้นก็ได้แล้ว
แต่พอแม่ชีโดนคดีต้องออกจากวัดไป เราจะทำอะไรดูหนักหนาสาหัสไปหมด การงานการเงินไม่คล่องตัวเหมือนแม่ชี เพราะแม่ชีมีคนไปพึ่งพาเยอะมาก พอเอ่ยปากทำบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ บอกนิดเดียวก็ได้เลย”
“อัมพะ คือมะม่วง
วน คือป่า
ดังนั้น...อัมพวัน คือป่ามะม่วง วัดอัมพวันเป็นวัดในสมัยพุทธกาล
เวฬุวัน คือป่าไผ่
ลัฏฐิวัน คือป่าตาล
เชตวัน คือป่าของเจ้าเชต
อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปขอซื้อที่จากเชตราชกุมาร เนื่องจากเชตราชกุมารมีเชื้อสายกษัตริย์ ฐานะไม่ได้ยากจน ก็ไม่คิดขาย แต่ถ้าจะซื้อที่ก็ให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินมาปูให้เต็มพื้นที่ ไม่ใช่ปูแบบธรรมดานะ ที่ไหนเป็นหลุมเป็นบ่อ ก็เอาเงินมาเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน
อนาถบิณฑิกเศรษฐีสั่งคนใช้ให้เอาเกวียนทุกเล่มที่มีไปขนเงินในคลัง แล้วมาปูให้เต็มพื้น ปรากฎว่าเหลือพื้นที่ตรงหน้าประตู
เชตราชกุมารดูแล้วคิดว่า เงินเยอะขนาดนี้คงไม่มีปัญญาใช้หมดแล้ว เหลือที่ตรงนี้ ยกให้ฟรีก็แล้วกัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ใจป้ำ ในเมื่อให้พื้นที่ตรงนี้ฟรี ก็เลยสร้างซุ้มประตูและตั้งชื่อว่าเชตวัน
วัดเชตวัน คือวัดที่เป็นป่าของเชตกุมาร สมัยนี้มีใครซื้อที่ด้วยวิธีนี้บ้างไหม ? เอาเงินปูให้เต็มพื้นที่ ถึงจะได้ที่ไปเป็นของตนเอง”
*************************
“อะไรที่แปลกไปจากธรรมชาติ เขาจะถือว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้อาตมามีไข่อยู่ฟองหนึ่ง เนื้อในเหมือนอมรกต น้ำหนักเบาเหมือนเป็นอำพันแต่อำพันสีเหลือง ไข่นี่เขียวปี๋เลย ได้มาจากฝั่งพม่า อยากจะให้ช่างแกะสลักเป็นรูปพระ
ตอนไปพม่า ผีเขามาบอกว่า เขาเฝ้าแก้วดวงนี้อยู่นานเต็มทีแล้ว อยากจะไปเกิด ช่วย ๆ ไปเอามาหน่อย
อาตมาก็ถามว่า อยู่ที่ไหน
ผีบอกว่า อยู่ข้าง ๆ กอไผ่ริมน้ำ
อาตมาก็ถามว่า แล้วจะไปเจอได้อย่างไร เพราะเวลาน้ำขึ้นก็ท่วมกอไผ่กอนั้น
เขาบอกว่า ถ้ามาแล้วเขาจะแสดงไว้ให้ชัด ๆ เลย พอไปถึงก็มีจริง ๆ วางเด่น ๆ คลุกขี้โคลนอยู่
ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นมรกต นึกว่าเป็นหินรูปธรรมดาแบบหินน้ำตกทั่วไป แต่พอมาล้างทำความสะอาด ปรากฎว่ากระทบแสงแล้วเขียวปี๋ พอเอาไฟส่องดูเห็นเนื้อใสเลย หลายคนคาดว่าน่าจะเป็นไข่แก้วของพญาจระเข้
คาดว่าช่างที่ฝีมือดีที่สุดที่มีอยู่ตอนนี้ ค่าแกะคงจะไม่หนีสามหมื่นห้าถึงห้าหมื่น น่าจะได้พระหน้าตักสัก ๓ เซนติเมตร แต่เสียดายเศษที่เหลือจากการแกะ กำลังคิดว่าจะเอามาทำอะไรดี”
*************************
ถาม : บนลูกชายบวชเณร แต่ตอนบนไม่ได้กำหนดเวลาไว้ จะบวชนานเท่าไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้กำหนดวันไว้ บวชนานเท่าไรก็อยู่ที่เรา บวชเสร็จก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล บอกว่าได้บวชให้เรียบร้อยแล้ว จะสึกเลยก้ได้
ส่วนที่เขาบวชเช้าสึกเย็นนั้นทำกันบ่อย โดยเฉพาะที่บวชหน้าไฟ คือจะเผาศพบ่ายโมง เขาก็บวชตอนเที่ยงพอเผาศพเสร็จ บ่าย ๓ โมงก็สึกแล้ว ถ้าไม่ได้จำกัดเวลาไว้ จะบวชยาวบวชสั้นก็อยู่ที่เรา
*************************
ถาม : หลานนอนกัดฟันค่ะ ?
ตอบ : โบราณเขาว่า ให้เอามะพร้าวล้างหน้าผีมาให้กิน
ถาม : เนื้อหรือน้ำคะ ?
ตอบ : เนื้อมะพร้าว เพราะน้ำเขาใช้ล้างหน้าไปแล้ว
ที่เด็กนอนกัดฟันเป็นเพราะเด็กเครียด แม่อาจจะเป็นตัวกระจายความเครียดให้ลูกให้หลาน เวลาผู้ใหญ่เครียดก็ไปทำให้เด็กเครียดด้วย ก็เลยมักจะแก้ไขไม่ได้
*************************
ถาม : ให้ลูกชายมาบวชกับท่านได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่...แต่อาตมายังไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์นะ ต้องไปบวชกับพระอุปัจฌาย์ก่อน บวชแล้วค่อยขอท่านไปอยู่ด้วยที่วัดท่าขนุน
*************************
ถาม : โรงงานมีการตั้งตี่จู้เอ้ยและศาลพระพรหมครับ หลังจากตั้งแล้วกิจการไม่ค่อยดี มีคนทักว่าเทพสององค์นี้ไม่ถูกกัน ?
ตอบ : คนที่พูดแบบนี้เอากิเลสมนุษย์ไปเทียบ ตัวเองระยำเองแล้วไปคิดว่าเทวดาไม่ถูกกัน...!
เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ เทวดาที่ไหนเขาจะทะเลาะกัน ?
การตั้งศาลพระพรหม ถ้าไม่รู้ว่าตรงนั้นท่านดูแลรักษาอยู่จริง ๆ อย่าไปตั้ง เพระาทเ่ากับว่าเราไปใช้ผู้ใหญ่ เดี๋ยวจะซวย...!
โดยเฉพาะถ้าตั้งิดทิศจะเป็นเรื่องเลย เขาให้ตั้งทิศใต้หรือทิศตะวันตกของตัวอังคาร โรงงานคุณอยู่ตรงไหนก็เอาตัวโรงงานเป็นหลัก ไปดูว่าตั้งตรงทิศหรือไม่ ? ถ้าผิดทิศก็ไปทำพิธีย้ายเสียใหม่
ถาม : ต้องให้คนมาทำพิธีย้ายไหมครับ ?
ตอบ : ย้ายเองก็ได้ เตรียมศาลใหม่ไว้เสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วจุดธูปบอกกล่าวท่านว่า ขออนุญาตย้ายมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ขอให้ท่านช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ และสร้างความเจริญให้กับเราด้วย
*************************
ถาม : ความเชื่อของคนโบราณที่ว่า ถ้านกแสกไปเกาะบ้านไหน บ้านนั้นจะมีคนตายหรือจะมีเรื่องอวมงคลเกิดขึ้น จริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แล้วบ้านไหนที่ไม่มีคนตายบ้าง ? ลองทดสอบได้ คนไหนใกล้ตาย เราก็ไปนั่งรอดูว่าจะมีนกแสกมาหรือไม่ ?
จริง ๆ แล้วนกแสกบินไปทุกที่ยกเว้นภาคอีสาน ถ้านกแสกไปภาคอีสาน คนยงไม่ทันจะตายหรอก นกมักจะตายก่อนทุกที กลายเป็นลาบ..! คนอีสานไม่ค่อยจะมีอะไรกิน ถ้าได้ยินเสียงนกแสกนี่วิ่งเข้าหาเลย
*************************
ถาม : กำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาพุทโธไปจนลมหายใจหายไปเหลือแต่ตัวรู้ตัวเดียวไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีร่างกาย พอหลับตาก็เหลือสภาวะรู้สภาวะเดียว วันหนึ่งผมลุกขึ้นกะทันหัน ตั้งแต่นั้นมาก็กำหนดไม่ได้ ปัจจุบันนี้เวลามองดูร่างกาย รู้สึกว่าไม่ใช่ร่างกายตนเอง ไม่ทราบว่าต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ความจริงที่ทำมานั้นดีแล้ว พอทำไปถึงระดับหนึ่ง อารมณ์ใจเริ่มทรงตัวเราคิดเมื่อไรก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่า สมาปัชชนวสี มีความชำนาญในการเข้าสู่อารมณ์นั้น ๆ
แต่คราวนี้เราชำนาญการเข้า ไม่ชำนาญการออก พอเราไปลุกพรวดพราดจึงหลุดหายไป พออยากจะได้ใหม่ ด้วยความที่อยากได้จึงทำให้จิตฟุ้งซ่าน ก็เลยทรงอารมณ์นั้นไม่ได้สักที
ถ้าคุณวางกำลังใจเบา ๆ สบาย ๆ ได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา ดูลมของเราไป มีลมรู้ลม มีคำภาวนารู้คำภาวนา ไม่มีลมไม่มีคำภาวนาก็กำหนดรู้อยู่เฉพาะหน้าแค่นั้น ถ้าทำได้แบบนั้นจะกลับคืนมาเร็ว แต่ถ้าไปทำเพราะอยากได้เหมือนเดิม อารมณ์นั้นจะไม่มาหรอก เพราะใจของเราไม่นิ่ง
การที่เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าเห็นอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดว่า ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเราแล้ว เราจะจัดการอย่างไร ?
ก็ดูว่าร่างกายนี้ไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
เราก็ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการ ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียวแล้วก็เอาใจไปเกาะตรงนั้นแทน
คนเคยทำได้แล้วครั้งต่อไปไม่ยาก กลับไปเร่ิมต้นใหม่พักเดียวก็ได้ เพียงแต่วางกำลังใจให้ถูก ภาวนาแล้วอย่าอยากได้ อย่าอยากเป็น เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง
น่าเสียดาย...เผลอหน่อยเดียวหลุด แต่พอหลุดแล้วก็เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้ที่รัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้ เพราะสมาธิไม่ขาดช่วย พอขาดลงคราวนี้กิเลสเล่นเราปางตายเลย...!
กลับไปเริ่มต้นใหม่ คนเคยทำได้แล้วไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าอย่าอยากเท่านั้น เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างได้หรือไม่ได้ก็ช่าง วางกำลังใจสบาย ๆ พักเดียวก็ได้เลย
ถาม : ภาวนาเหมือนเดิมหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ถ้าจะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ แต่สภาพจิตจะเคยชินกับของเดิมมากกว่า เคยชินของเดิมก็ใช้ของเดิม เพียงแต่ว่าวางกำลังใจใหม่นิดเดียว คือเรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็น จะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง
*************************
|