​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๘๔

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนสิงหาคม ๒๕๕๔


      ถาม :  เวลานั่งภาวนา เหมือนเราดูลมหายใจ ดูความคิด ไม่รู้ว่าคิดอะไร เหมือนกับหายไป ?
      ตอบ :  ลักษณะอย่างนั้นสติตามไม่ทัน สมาธิเร่ิมทรงตัวขึ้น แต่สติตามไม่ทัน
      ถาม :  แล้ววูบกลับมา ?
      ตอบ :  ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจี้อยู่กับลมหายใจเข้ออกให้ติด ๆ เลย ลมเข้าไปเราไปด้ว ยลมออกมาเรามาด้ว ยกอดคอไปตลอดทางเล ยถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไร จะเกิดอการอย่างที่ว่ามา
              เราจะสังเกตุว่าเรามารู้ตัวอีกที อ้าว...หายไปไหน แล้วเราก็มาเริ่มต้นภาวนาใหม่ คือสมาธิเร่ิมทรงตัวแล้ว แต่ว่าสติตามไม่ทัน ฉะนั้น...ตามดูตามจี้ติด ๆ ไว้ ถ้าสามารถเกาะติดลมหายใจได้ก็สบาย
      ถาม :  สติส่วนสติ สมาธิส่วนสมาธิหรือครับหรือแยกกันครับ ?
      ตอบ :  สองอย่างเอื้อกันอยู่ แต่ว่าจำเป็นต้องไปด้วยกัน แยกกันเมื่อไรก็เจ๊ง บอกแล้วว่าของเราสติตามสมาธิไม่ทัน เพราะว่าแยกกันไปแล้ว ถ้าหากว่าตีคู่กันไป ทันกันเราก็จะรู้อยู่
      ถาม :  การฝึกสติมาก ๆ จะก่อให้เกิดสมาธิใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  การฝึกสมาธิ สติจะได้ด้วย เมื่อสติทรงตัวก็จะไปควบคุมสมาธิที่ทรงตัวไปด้วย เหมือนกับด้ายของเชือกที่อยู่เส้นเดียวกัน พอถึงเวลาตีเกลียวก็เป็นเชือก ไม่อย่างนั้นต่างคนต่างอยู่
*************************

      ถาม :  ปฏิบัติตามรูปแบบการเดินจงกรม หรือนั่งตามแบบทั่วไป อย่างไหนสำคัญ ?
      ตอบสำคัญที่ทำอย่างไรให้สติเราระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบที่บังคับให้สติ สมาธิเกิดเท่านั้น
              ไม่ว่าจะเดินจงกรม จะภาวนาแบบไหนก็ตาม ในเมื่อเกิดสมาธิแล้ว เราจะเอามาใช้งานจริงได้อย่างไร นั่นจึงสำคัญที่สุด
              เพราะว่าเราจะไปชนกับรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ทุกวัน ๆ ตลอดเวลา
              ทำอย่างไรที่อันดับแรก เราตั้งการ์ดป้องกันไว้ก่อนที่จะไม่ให้หัวร้างข้างแตก
              แล้วหลังจากนั้น ค่อยทำอย่างไรถึงฝจะหลบเลี่ยงจากสภาวะนั้น ๆ ไม่ให้โดนอีก
              แล้วท้ายที่สุด ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับสภาวะนั้นอีกเลย
      ถาม :  ไม่ค่อยชอบการนั่ง แต่ทุกอริยาบถทำตลอดเวลา ?
      ตอบ :  ถ้าทำทุกอริยาบถได้จะดีกว่า
      ถาม :  ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบการนั่ง ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น ไม่ว่าคุณจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อะไรก็แล้วแต่ ให้สติควบคุมอยู่ตลอดเวลา อย่าหลุดไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง
              อย่าให้นิวรณ์ ก็คือความรักระหว่างเพศ ความโกรธเกลียดอาฆาต พยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย อย่าให้เกิดขึ้นภายในใจของเรา
              ให้จดจ่อออยู่กับเฉพาะหน้านี้ตลอดไป ถ้าใครทำได้ งานทุกอย่างจะดีมาก เพราะมีสติจดจ่ออยู่ตรงหน้า งานก็คืองานอย่างเดียว จดจ่ออยู่ตรงนี้เลย รัก โลภ โกรธ หลงก็เข้าไม่ได้
      ถาม :  ถ้าเกิดขึ้นมา แวบขึ้นมา เราตัดให้เร็ว ?
      ตอบ :  ถ้ารู้ตัวก็รีบผลักออกไปให้เร็วที่สุด
*************************

      ถาม :  เวลานั่งสมาธิ จะมีการเรอตลอดเวลา ทำให้สมาธิขาดไป จะแก้อย่างไร ?
      ตอบ :  อาการอย่างนั้น ภาษาพระเรียกขันธมาร คือร่างกายรบกวนเพื่อให้เราเสียสมาธิ
      ถาม :  จะแก้อย่างไร ?
      ตอบ :  เรารู้ตัวว่าจะเรอ ก็เอาสติกดอยู่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย อย่าให้สมาธิเคลื่อน แล้วค่อยเรอ ให้รู้ตัวไว้ก่อน
      ถาม :  ให้เรารู้ตัวว่าเรอออกมา ?
      ตอบ :  จะได้ไม่หลุดไปไหน จะได้รู้ตลอดอยู่อย่างนั้น แล้วพอเรารู้เท่าทัน เขาแกล้งไม่ได้...เดี๋ยวก็เลิกไปเอง
*************************

      ถาม :  เวลาอุทิศส่วนกุศลถวายในหลวง จะถึงหรือครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเราตั้งใจ สิ่งแรกที่ได้คือตัวเราเอง สิ่งไหนที่ทำแล้วทำให้ตัวเองเจริญ ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราจะพึงกระทำ
              ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผล อย่าไปคิดถึงตรงนั้น เพราะว่าถ้ามัวแต่ไปลังเลอยู่ เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย
*************************

              “คุณแดง (มงคล จอมผา) เป็นบุคคลในตำนาน ลงหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์บ่อยๆ บางทีอาตมาไม่เจอหน้าเขา ถามแม่ทองดีกว่า
              “แม่ ๆ ไอ้แดงล่ะ ? ได้โทรมาบ้างหรือเปล่า ?”
              แม่เขาว่าอย่างไรรู้ไหม ?
              “ไม่โทรมา แปลว่า สบายดี ถ้าโทรมาเมื่อไร แม่ต้องเดือดร้อนทุกทีเลย”
              แม่เขาทำใจได้เลยนะ เขารู้นิสัยลูกเขา ถ้าไม่โทรมาแปลว่าสบายดี โทรมาเมื่อไรแม่เตรียมจ่ายได้เลย เพราะฉะนั้น...ต้องเป็นแม่ที่ไม่หวังให้ลูกโทรมา”
*************************

              “หลวงพี่ประทีป (พระใบฎีกาประทีป อตฺถทสฺสี) เป็นพระรูปเดียวในวัดที่ไปขอลาสึก แต่หลวงพ่อไม่อนุญาต
              ปกติใครลาสึกไม่ว่าจะขนาดไหน หลวงพ่อให้สึกหมด ขนาดหลวงพี่ชัยศรี ที่ใคร ๆ คิดว่าจะเป็นองค์แทนหลวงพ่อได้ยังให้สึก แต่หลวงพี่ประทีบ หลวงไม่ให้สึก
              ที่ขำที่สุดก็คือ พอหลวงพ่อมรณภาพ หลวงพี่ประทีป อาตมา ท่านสมนึก ๓ คนเฝ้าศพหลวงพ่ออยู่ทุกคืน คอยเปลี่ยนผ้าครอง คอยเช็ดตัวถวายหลวงพ่อ
              ปรากฎว่าพอทำบุญครบ ๑๐๐ วันเสร็จ หลวงพี่ประทีปก็คิดจะสึก รุ่งเช้าท่านเดินหัวปูดมาเลย อาตมาถามว่าไปโดนอะไรมา
              ท่านบอกว่า “เมื่อคืนโดนป๋าตีกบาลมา...!”
              ถามว่าโดนตอนไหน “ตอนเข้ามุ้ง”
              พี่เขาคิดว่างานเสร็จก็จะสึกแล้ว ปรากฎว่าก้มหัวเข้ามุ้ง เสียงเปรี้ยง..! ดาวขึ้นว่อนเลย สรุปแล้วตอนตายท่านตีเจ็บกว่าตอนเป็นอีก หัวปูดเป็นลอนเลยนะ”
              “สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชธิดาองค์เดียวในรัชกาลที่ ๖
              ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งปฎิธานเอาไว้ว่า จะปฏิบัติตนแบบอารยชน ตามที่พระองค์ท่านได้ทรงศึกษามาจากตะวันตก พูดภาษาชาวบ้านก็คือ จะมีผัวเดียวเมียเดียว แต่งงานกับใครก็ให้มีการจดทะเบียนสมรส เพื่อให้มีการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
              แต่พระองค์ท่านเมื่ออภิเษกสมรสแล้ว ไม่มีทั้งพระโอรสทั้งพระธิดาก็ต้องทรงหย่า แล้วก็อภิเษกสมรสใหม่
              จนกระทั่งมาถึง สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ถึงได้มีพระประสูติกาล แต่ว่าเป็นพระราชธิดา ช่วงนั้นพระองค์ท่านรอคอยว่า จะมีผู้สืบราชสมบัติหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่พระอาการประชวรหนักมากแล้ว
              พอเจ้าพระยารามราฆพแจ้งว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระประสูติกาลแล้ว แต่ไม่ได้ยินเสียงประโคม พระองค์ท่านก็ทราบทันทีว่าเป็นพระราชธิดา
              เพราะถ้าเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ จะมีการประโคมแตร สังฆ์ ฆ้อง กลองมโหระทึก ตามขนบธรรมเนียมราชประเพณี พระองค์รับสั่งเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ลูกผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน” แล้วก็หมดพระสติ หลังจากนั้นไม่นานก็เสด็จสวรรคต
              พระมเหสีในรัชกาลที่ ๖ ที่ได้รับการสถาปนาก็มี
              สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา
              สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

              ส่วนพระนางเธอลักษณะมีลาวัณ ไม่ได้รับการสถาปนา ต้องเรียกว่าเลื่อนพระยศให้ แต่ไม่ถึงระดับสมเด็จพระนางเจ้า
              สรุปแล้วว่าพระองค์ท่านถึงจะมีพระมเหสีหลายองค์ แต่ว่าทรงจดทะเบียนสมรสครั้งละ ๑ องค์เท่านั้น พอเห็นว่าไม่มีพระโอรสพระธิดาจริง ๆ ถึงได้ทรงหย่า แล้วก็ทรงจดทะเบียนสมรสกับพระองค์ใหม่
              พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่างให้ไพร่ฟ้าประชากรทั้งหมด ในเรื่องของการมีผัวเดียวเมียเดียว ในเมื่อพระองค์ท่านทำตัวเป็นตัวอย่างแล้ว ใครที่คิดจะมีหลาย ๆ คน ก็ต้องคิดให้ดีว่าเลี้ยงไหวหรือเปล่า ?”
*************************

              “สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นลูกพี่ลูกน้องของในหลวง ร.​ ๙ ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่อาวุโสสูงสุด
              พระองค์ท่านเสด็จทรงงาน ระยะหลังแม้กระทั่งประทับนั่งรถเข็นก็ยังไป พระบรมวงศานุวงศ์ของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติจนกระทั่งวาระสุดท้ายแทบทั้งนั้น
              ในเมื่อพระองค์มีพระยศสูงมาก โดยเฉพาะเป็นพระราชธิดา พระองค์เดียวในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ก็ต้องมีการพระราชทานเพลิงโดยสร้างพระเมรุมาศ
              อยากจะบอกว่าพวกเราเกิดมาในวาระที่เหมาะสมก็ใช่ ที่ไม่เอาไหนเลยก็ใ่ เพราะว่าในช่วงชีวิตของอาตมา งานใหญ่ ซึ่งไม่น่ามีโอกาสได้เห็นก็ได้เห็น
              อย่างงานพระราชพิธีรัชฎาภิเษก เมื่อปี ๒๕๑๔ ก็คืองานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ครบ ๒๕ ปี
              งานฉลองกรุงรัตนโกสนิทร์ ๒๐๐ ปี เมื่อปี ๒๕๒๕
              งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ปี ๒๕๒๘
              งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๐
              งานฉลองรัชมังคลาภิเษก ปี ๒๕๓๑
              งานฉลองสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชนินาถ ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ปี ๒๕๓๕
              งานถวายพระเพลิงสมเด็จย่า ปี ๒๕๓๙
              แล้วก็มางานฉลองกาญจนาภิเษก ในหลวงทรงครองราชย ๕๐ ปี ปี ๒๕๓๙
              งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๖ รอบ ปี ๒๕๔๒
              งานฉลองในหลวงทรงครองราชย์ ๖๐ ปี ปี ๒๕๔๙
              งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ปี ๒๕๕๐
              งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธวาสราชนครินทร์ ปี ๒๕๕๑
              มาปีนี้ งานฉลองในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา
              ปีหน้าจะมีงานใหญ่ ๒ งาน คือ
              งานฉลองสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา
              กับงานฉลองสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญ พระชนมายุ ๘๐ พรรษา
              แล้วยังต้องมีงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีอีกด้วย
              จากที่กล่าวมา เรามีโอกาสได้เห็นงานฉลองต่าง ๆ ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้ว จะมีการสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติงาม ๆ จะได้เห็นแนวความคิดของบุคคลว่า เขาจะทำซุ้มเฉลิมพระเกียรติออกไปในแนวไหน
              ได้เห็นพระเมรุมาศตั้งแต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระเมรุมาศของสมเด็จย่า พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แล้วที่จะได้เห็นคือ พระเมรุมาศของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
              ก็แแปลว่า ในชั่วชีวิตของคนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น หรือได้เห็นน้อยมา แต่พวกเราเห็นกันจนเบื่อไปเอง กระบวนเรือพระราชพิธีที่มีโอกาสได้เห็นน้อยมาก ก็มารื้อฟื้นขึ้นมาในรัชสมัยของในหลวงองค์ปัจจุบัน
              พระราชพิธีพระราชทานเลี้ยงกษัตริย์จากราชวงศ์ต่าง ๆ ทั่วโลก จะมีใครสักกี่คนที่มีโอกาสได้เห็น ถ้าไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้
              แต่จะว่าไปแล้ว บรรดาพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานรื่นเริง ก็เป็นสิ่งที่สมควรที่จะได้รู้ได้เห็น เก็บเอาความงดงามลังการของราชประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีของชาวบ้าน เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้
              แต่ว่าในส่วนของงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพก็ดี พระราชทานเพลิงก็ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้น้อนยเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่นี่ขนาดเห็นน้อย ๆ แล้ว ชั่วชีวิตของอาตมาเห็นมาเสียเยอะแล้ว”
*************************

      ถาม :  ทำงานที่ใหม่จะดีหรือไม่ดี ?
      ตอบ :  เรื่องของงาน เราจะต้องได้ที่ทำงานใหม่แน่ ๆ ก่อน จึงค่อยออกจากที่เดิม
              งานไม่ว่าที่ไหน ปัญหาก็คล้าย ๆ กัน ก็คือปัญหาเรื่องงาน ปัญหาจากเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน เพราะกิเลสคนเหมือนกัน
              เพราะฉะนั้น...เราไปที่ไหนก็เจอปัญหา แต่ว่าที่เก่าดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เรารู้แล้วว่าจะหลบหลีกอย่างไร ถ้าเป็นที่ใหม่เราก็ต้องไปเริ่มต้นกันใหม่
*************************

      ถาม :  ตั้งใจสวดคาถาเงินล้านวันละกี่จบ แต่บางครั้งเวลาสวดอาจจะง่วง มีขาดมีเกินในบางวัน ?
      ตอบ :  เกินดีกว่าขาด ถ้ารู้สึกไม่แน่ใจก็ให้สวดเกินเข้าไว้
*************************

              “ตอนไปประเทศพม่า อาตมาไปเจอพระแกะจากหยกสีม่วงอ่อน เขาคิดราคา ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่กล้าซื้อ แกะสวยมาก หยกเขาไม่มีตำหนิใสปิ๊งเลย ต่อเท่าไรก็ไม่ลด ไม่เคยเห็นหยกสีม่วงที่สวยสมบูรณ์อย่างนั้นมาก่อน”
      ถาม :  หยกสีม่วงดีอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ต้องบอกว่าหยกสีม่วงพลังงานจะเหมาะกับตัวเรา ในด้านปกป้องคุ้มครอง ถือว่าเป็นสีที่เหมาะที่สุด แต่ว่าราคาแพงเหลือใจ
              คนพม่าขายของไม่เป็น ขนาดสอนเขาแล้วนะ บอกเขาว่าคุณลดราคาให้ต่ำลงหน่อย แล้วจะขายได้มากขึ้น เท่ากับว่าได้กำไรมากขึ้นเอง แต่เขาก็ไม่ทำ เขายืนราคาตายตัวทั้งชาติ แม้แต่จั๊ดเดียวก็ไม่ลด ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็เจอในลักษณะนั้นทั้งหมด
              แต่ก็ขึ้นอยู่ที่เราเหมือนกัน ถ้าเราให้คนพม่าที่เรารู้จักไปซื้อ จะได้อีกราคาหนึ่ง ในระยะหลังจะใช้วิธีจ้างโชเฟอร์ไปซื้อ ผมอยากได้พระองค์นั้น คุณไปจัดการให้ที เดี๋ยวผมจะให้รางวัลคุณเท่าไรก็ว่าไป
              เพราะเราไปจะเจอราคานักท่องเที่ยว ซึ่งต่างกัน ๓-๔ เท่า ใช้เขาไปซื้ออย่างไรก็ถูกกว่า บอกเลยว่าให้ไปซื้ออะไร แล้วจะให้ ๑,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ จั๊ต
*************************

              “คนที่เป็นพ่อแม่ พอยิ่งอายุมาก จิตใจจะยิ่งยึดเกาะลูกเป็นที่พึ่ง ถ้าลูกทำอะไรเป็นที่ถูกใจ พ่อแม่ก็จะยิ่งปลื้มใจ
              เพราะฉะนั้น...ทำดีกับพ่อแม่ให้มาก ๆ เข้าไว้ กุศลนี้มักจะส่งผลให้เราในชาติปัจจุบันนี้แหละ”
*************************

              “น้ำดำกินแล้วอ้วน แถมยังกระเพาะพังอีกด้วย เขาทดลองว่าเอาน้ำดำมาหนึ่งลิตรครึ่ง ใส่ตะปู ๓ นิ้วลงไป ปิดฝาแล้วเขย่า ๆ ตั้งไว้หนึ่งอาทิตย์ เทออกมาดูตะปูเหลือบางนิดเดียว กัดเหล็กขนาดนั้น แล้วกระเพาะเราจะเหลือหรือ ?
              ส่วนกาแฟ ทำให้เป็นโรคหัวใจในอนาคต เพราะว่าไปเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น พอถึงเวลาอัตราการเต้นของหัวใจก็ลดลงมาสู่อัตราปกติ แล้วก็โดนเร่งใหม่ แล้วก็ลดลงมาอีก ทำให้การเต้นหัวใจผิดปกติไปด้วย จะกลายป็นโรคหัวใจเมื่อตอนอายุมากขึ้น
              เพราะฉะนั้น...คนที่ดื่มกาแฟ ก็เตรียมเงินไว้ผ่าตัดหัวใจด้วย เพราะต้องได้ผ่าแน่ ๆ ...!”
*************************

              “คนใต้จะผิวดำกว่าคนภาคเหนือ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อุตุนิยาม
              มีนิยาม ๕ อย่าง ที่ทำให้บุคคลต่างกัน
              อุตุนิยาม คือสภาพดินฟ้าอากาศ คนในเขตร้อนอย่างแอฟริกาตัวดำปี๋เลย ถ้าอยู่ในเขตหนาวอย่างยุโรปก็ผิวขาว ถ้าอยู่ในเส้นศูนย์สูตรอย่างพวกเราก็ผิวเหลือง อันนี้คืออุตุนิยาม
              พืชนิยาม คือเกิดจากดีเอ็นเอ (พีชะ คือพืชพันธ์ุ) เกิดจากสายเลือด ทำให้เราต่างกันไป
              จิตนิยาม เกิดจากสภาพจิตใจของตนที่อบรมบ่มเพาะมา คนที่มีสภาพจิตใจอ่อนโยน ประกอบด้วยเมตตา เกิดมาก็สวยงามดูดี คนที่จิตใจประกอบด้วยโทสะ เกิดมาหน้าตาก็ดูไม่ได้
              กรรมนิยาม เกิดจากการกระทำของตน กรรมดีกรรมชั่วที่สร้างมาส่งผลให้ต่างกันไป
              ธรรมนิยาม อันนั้นต้องบอกว่าธรรมะจัดสรร ถ้าหากว่าธรรมนิยามบางส่วนที่จะอธิบายนอกเหนือจากพระไตรปิฎก ก็ต้องบอกว่าเป็นการผ่าเหล่าตามกฎของเมนเดล ที่มีลักษณะเด่น ๓ ลักษณะด้อย ๑
              แต่การผ่าเหล่านี้ก็เพราะสิ่งที่เขาสร้างสมมานั่นแหละ บางทีก็ผ่าเหล่าจนกลายเป็นอัจฉริยมนุษย์สุดประเสริฐ อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก็มี
              เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของนิยาม ๕ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด จำแนกบุคคลและสัตว์ให้แตกต่างกันไป คนภาคเหนือของเราผิวขาว ภาคกลางก็คล้ำหน่อยภาคใต้ก็ผิวดำเลย ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ
              แม้กระทั่งสัตว์ก็เหมือนกัน เสือดาวอยู่แถวภาคเหนือ ภาคกลาง พอลงภาคใต้ไปก็กลายเป็นเสือดำ วัวแดงอยู่แถวภาคกลา งพอลงไปปักษ์ใต้จะเป็นสีออกตาลโตนด คือออกเข้ม ๆ เหมือนวัวดำ เพราะฉะนั้น...เราต้องยอมรับว่าต่างกัน
              เรื่องผิวดำ ถ้าไปถามน้องกรวดฯ ก็บอกว่า ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้ เขาปลื้มใจในความดำของเขาเอง เขาตากแดดอย่างไรก็ไม่ดำไปกว่านั้น ส่วนเราตากแดดหน่อยเดียวก็เกรียมเลย”
*************************

      ถาม :  สิ่งที่รู้เห็น จะทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเป็นความจริง ?
      ตอบ :  เชื่อไม่ได้สักครั้งเดียว แต่ให้รับไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเป็นตามนั้นจริงแล้วค่อยเชื่อ
*************************

              “การดูอดีตชาติก็ดี ดูอนาคตก็ดี ดูปัจจุบันก็ดี หรือจะรู้ใจคนอื่น ตลอดจนรู้กรรมของบุคคลและสัตว์อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ต้องสร้างทิพจักชุญาณให้เกิดก่อน ทิพจักขุญาณที่เรียกง่าย ๆ ว่า ตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เป็นใจเห็น
              ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน ต้องเริ่มที่กสิณ ๓ กอง กองใดกองหนึ่งก็คือ
              อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง
              โอทาตกสิณ กสิณสีขาว
              และเตโชกสิณ กสิณไฟ
              แต่เท่าที่เคยทำมาจากประสบการณ์ กสิณน้ำก็สามารถทำเป็นทิพจักขุญาณได้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ นอสตราดามุส ถึงเวลาจะดูอนาคต เขาก็ไปดูในอ่างน้ำ
              อาตมาก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า ถ้าเพ่งเฉพาะน้ำอย่างเดียวจะได้อาโปกสิณ แต่ถ้าตั้งใจเพ่งให้ถึงก้นภาชนะ จะเป็นทิพจักขุญาณด้วย เพราะฉะนั้น...ใครทำอาโปกสิณ จะได้ทิพจักขุญาณด้วย ถ้าทำเป็นนะ...
              แต่ถ้าหากว่ามีของเก่า ในอดีตเคยทำไว้ ถึงเวลาไปฝึกมโนมยิทธิจะเป็นการฟื้นของเก่า ทิพจักขุญาณจะคืนมา เมื่อคืนมาแล้ว ถ้าเราใช้ในการระลึกชาติ เขาเรียกว่า ปุพเพนิวาสนานุสติญาณ
              ใช้ในการรู้อดีต เรียกว่า อดีตังสญาณ
              รู้อนาคต เรียกว่า อนาคตตังสญาณ
              รู้ปัจจุบัน เรียกว่า รู้ปัจจุปันนังสญาณ
              รู้ใจคนอื่น เรียกว่า เจโตปริยญาณ
              รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ
              รู้ว่าแต่ละคนทำกรรมอะไร และจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างไร เรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ
              ทั้งหมดเกิดจากทิพจักขุญาณอย่างเดียว แค่เปลี่ยนวิธีใช้เท่านั้น
              เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าต้องการ ก็ลองใช้ ๒ อย่าง
              อย่างแรกลองฝึกมโนมยิทธิ ที่วัดท่าซุงมีสอนทุกวัน บ้านสายลมทุกเสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนก็มีสอน
              ถ้าฝึกเองก็ใช้กสิณ เพ่งสีขาว เพ่งแสงสว่าง หรือลูกแก้วก็ได้ หรือไม่ก็เพ่งไฟ พออารมณ์ใจทรงตัว ภาพกสิณจะติดตาติดใจ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น เราก็เอาสติช่วยประคับประคองไว้ จนภาพกสิณนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสว่างเจิดจ้าเมื่อไร ก็ลองอธิษฐานขอให้ใหญ่ ให้เล็กดู
              ถ้าใหญ่ได้เล็กได้ มาได้ไปได้ ก็อธิษฐานขอให้เห็นนั่นเห็นนี่ได้ ใช้ความพยายามหน่อย ไม่กี่ชาติก็ได้แล้ว...!
              การฝึกปฏิบัติเป็นการสั่งสมบารมี ไม่สำเร็จรูปเหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อไปซื้อเอา เพราะฉะนั้น...ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไป ต้องการอะไรตั้งใจเอาไว้ แต่ตอนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ลืมความต้องการนั้นเสีย เรามีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเดียวถึงเวลาผลจะเกิดเอง
              เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เราก็รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยของเราไปดูแลกำจัดวัชพืช กำจัดหนอนแปลงไป ถึงเวลาต้นไม้ก็ออกดอกออกผลเองไม่ใช่เราไปเร่ง ดึงยอดให้โตเร็ว ๆ หน่อย แบบนั้นเดี๋ยวก็ตายคามือ...!”
*************************

              “จากรูปแบบที่อาตมาเคยยึดถือมา การสร้างพระจะต้องมีหลังคา แต่พอรับคำสั่งให้ส้างพระแบบไม่มีหลังคา ก็เลยงง ๆ อยู่บ้าง เพราะไม่คุ้นจริง ๆ ท่านสั่งให้สร้างหน้าวัด ให้ชาวบ้านเห็นแล้วเกิดอนุสติ อยากเข้าวัดมาไหว้พระ ถ้าสร้างในตัวอาคารจะไม่เด่นพอ
              อาตมาจะสร้างสัก ๒๑ ศอก ต่อไปจะกลายเป็นจุดรวมศรัทธาคนหลวงพ่อ ภปร. ทองผาภูมิ หน้าตัก ๑๘ ศอ องค์ที่สร้างใหญ่กว่านั้น ๓ ศอกหรือเมตรครึ่ง ตัวอาคาร ๓๐x๓๐ เมตร ทำเป็นห้องประชุมได้เลย
              ฐานจะมี ๒ ระดับ ระดับแรก ๓๐ เมตร ระดับที่สอง ๒๐ เมตร ข้างล่างจะกลายเป็นห้องประชุมใหญ่ เท่ากับได้พื้นที่ ๙๐๐ ตารางเมตร
              ใครมีเงินเหลือสัก ๓ ล้าน จะเป็นเจ้าภาพสร้างพระใหญ่ก็ได้นะ ๓ ล้านคงได้แค่โครงสร้าง หรืออาจจะได้ประมาณฐานเท่านั้น”
*************************

              “ศาลาของหลวงพี่วิรัช คนไปงานเป็นหมื่นก็บรรจุได้สบาย เพราะว่าพี่เขาสร้างคร่อมอาคารพระชำระหนี้สงฆ์ทั้ง ๔ ด้าน และพระประธานใหญ่
              หลวงพี่วิรัชทำบวงสรวงตอนสิบโมงเกือบครึ่ง อาตมาบอกว่า “พี่ทำบวงสรวงสายขนาดนี้ เทวดาที่ไหนจะเหลือเล่า ? ไม่มีใครอำนวยความสะดวกให้ ฝนถึงได้ตกกระหน่ำจนเปียกอย่างนี้”
              หลวงพี่วิรัชบอกว่า อยากจะให้ทำงานต่อเนื่อง พอบวงสรวงเสร็จก็หล่อพระต่อเลย จึงกำหนดบวงสรวงเวลาสาย
              อาตมาก็บอกว่า “ถ้าเกินเก้าโมงครึ่ง ก็ไม่ต้องรอแล้ว เทวดาท่านไปเทวสภากันหมด”
*************************

              “หลวงพี่ประทีป บวชจากวัดสุขุมาราม ต่อมาหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ส่งมาอยู่รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง
             หลวงพี่ประทีปเป็นพระนอกที่เป็นย่ิงกว่าเนื้อแท้ ท่านบวชปี ๒๕๑๘ พรรษามากกว่าอาตมา ๑๑ พรรษา เป็นพระที่ทุ่มเททำงาน โดยเฉพาะงานก่อสร้าง การซ่อมแซมต่าง ๆ
              ตอนที่หลวงพ่อท่านเร่งงานห้องกรรมฐานที่ศาลา ๒๕ ไร่ ท่านก็ระดมพระเณรไปช่วยทาสี อาตมาก็คิดว่าทาสีนั้นช้า น่าจะใช้สีพ่นได้ ก็ไปปรึกษากับหลวงพี่ประทีป
              หลวงพี่ก็บอกว่า “ใช่...ถ้ามีถังพ่นขนาด ๒๐ ลิตร เราสามารถเอาสีทั้งถังใส่ลงไป ปิดฝาพ่นได้เลย”
              อาตมาจึงบอกว่า “พี่ไปเสนอป๋าสิ...”
              พระในวัดที่บวชแล้วเรียกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าป๋า มีอยู่ ๓ คน ก็คือหลวงพี่ประทีป พระปลัดน้อย และอาตมา
              พอหลวงพี่ประทีปนำเรื่องไปเสนอ หลวงพ่อท่านบอกว่า “ซื้อมาต้องใช้เป็นนะ”
              หลวงพี่ท่านก็ “ครับ ๆ”
              พอถึงเวลาซื้อมา ปรากฎว่ามีหลวงพี่ประทีปพ่นสีเป็นอยู่คนคนเดียว อาตมาก็เลยต้องไปช่วย
              ปกติช่วงนั้นอาตมาจะหวงเวลามาก ตอนนั้นงานอย่างอื่นโดนกรรมการสงฆ์ตัดออกหมดทุกอย่าง ยกเว้นการอยู่เวรยาม พอออกเวรเสร็จอาตมาก็หลบเข้าที่พักไปภาวนาของเราพูดง่าย ๆ ว่านอกจากหน้าที่ประจำอาตมาจะไม่เอางานอื่นเลย
              พอมาทำงานพ่นสีนี้ จับกาพ่นขึ้นมา หลวงพี่ประทีปหันมาเห็นหน้าก็ถีบพลั่ก...! “เป็นงานนี่หว่า ?”
              คนทำมาหากินกับสีมา ๘ ปี อย่างไรก็ต้องเป็น การทำสีรถยนต์ยากที่สุด ดังนั้น การพ่นสีจึงเป็นงานงายสำหรับอาตมา หลวงพี่ท่านเห็นท่าจับกาพ่นก็รู้แล้วว่าเป็นงานมาก่อน
              “ครับ…ผมเคยทำสีรถมา ๘ ปี”
              “แล้วทำไมไม่มาช่วยกูบ้าง...?”

              โธ่...ก็พี่เคยเรียกผมให้ช่วยหรือเปล่า ? ถ้าผมเข้าไปขอช่วยแล้วพี่ว่าผมเสือก แล้วผมจะทำอย่างไร ?”
*************************

              “ในช่วง ๑๐๐ วันของหลวงพ่อวัดท่าซุงเราจะทำการเปลี่ยนจีวรหลวงพ่ออยู่เรื่อย ๆ พอเปลี่ยนจีวร หลวงพี่ประทีปก็จะเก็บจีวรทั้งหมดท่านจึงมีจีวรหลวงพ่อมากที่สุด
              ปรากฎว่า พอปี ๒๕๓๗ เกิดน้ำท่วมใหญ่ หลวงพี่ประทีปบ่นว่า “ไอ้ห่...คนมาช่วยกู กูจะขอบใจมันดี หรือจะด่ามันดีวะ...?”
              อาตมาก็ถามว่าทำไม ?
              พี่เขาบอกว่า “มันเห็นจีวรป๋าเปื้อนโคลน มันเอาไปทิ้งหมดเลย”
              คนไม่รู้ว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพ่อวัดท่าซุง นึกว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพี่ประทีป ก็เลยเอาไปทิ้งหมด...!
              อาตมาอยากได้ของอย่างหนึ่งของหลวงพี่ประทีป นอกนั้นไม่อยากได้เลย คือ มีดหมอหลวงพ่อเดิม ขนาด ๙ นิ้ว ด้ามงาช้างยาวเป็นศอกเลย พี่เขาดูแลอย่างดี เช็ดถูเป็นประจำ มีสนิมขุมกินเนื้อนิดหน่อย ส่วนอื่นก็ยังขาวอยู่เลย
              แต่ถ้าพระมรณภาพลง เจ้าอาวาสจะต้องตั้งคณะกรมการขึ้นมาอย่างน้อย ๓ รูป ช่วยกันจัดการแบ่งสนปันส่วนทรัพย์สิน ว่าอะไรเหมาะจะให้ใคร ในปัจจุบันนี้หลายต่อหลายวัดด้วยกันมอบสิทธ์ขาดให้เจ้าอาวาสจัดการ แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร”
*************************

              “โยมที่โทรมาเมื่อครู่นี้ รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่วัดท่าซุง รู้จักกันเพราะเขาเล่นวิทยุสมัครเล่น ช่วงที่อาตมาอยู่วัดท่าซุงต้องเข้าเวรตอนกลางคืน บางทีนั่งทั้งคืนแล้วเบื่อก็เข้าช่องวีอาร์ ฟังเขาพูดวิทยุกันบางทีก็แหย่เขาไปบ้าง ไม่รู้ว่าถูกใจเขาหรืออย่างไร เขาขอ ว.๑๕ คือขอเจอหน้าหน่อย
              อาตมาก็เลยถามว่า บ้านอยู่ไหน ?
              เขาบอกว่าอยู่มโนรมย์ จึงบอกให้เขาข้ามฝั่งมา วิ่งมา ๔ กิโลเมตรจะเจอรั้วเหลืองใหญ่ ๆ บ้านหลังมหึมา พอเขามาถึงก็เจอว่าเป็นพระ เขางงมาก
              บ้านนี้เขามี ๒ ครอบครัว สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้เล็ก พี่แต่งกับพี่ น้องแต่งกับน้อง ลูก ๆ เขาเพ่ิงจะเรียนจบมัธยม แต่แม่เขาใจยิ่งกว่าฝรั่งอีก ลูกสองบ้านนี้เป็นผู้หญิงหมดเลยนะ คนเล็กสุดเรียนอยู่ม. ๒ แม่เขาบอกว่า
              “จะเที่ยวไหนก็เที่ยวเถอะ อย่าให้ท้องก็พอ...!”
              เด็กก็เลยเที่ยวหัวหกก้นขวิด กลับบ้านดึกดื่นทุกคืน พอถึงเวลาจะกลับบ้าน เขาก็จะวิทยุคุยกัน
              “อยู่ที่ไหน ? จะกลับแล้วนะ...”
              อาตมาก็แหย่ไปว่ า “อ้าว...ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง ยังไม่ทันจะสว่างเลย...”
              เขาสงสัยว่า ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้วอาตมารู้ทุกที ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นนักเที่ยวเหมือนกัน เมื่อสงสัยจึงบุกไปที่วัด พอเขาถามว่ารู้เรื่องได้อย่างไร อาตมาก็บอกว่า เวลาเขาพูดวิทยุ พอกดคีย์ เสียงข้าง ๆ วิทยุเข้ามาด้วยก็เลยได้ยิน แบบว่าหาเรื่องแก้ตัวไปเรื่อย
              อาตมาจึงแนะนำเขาว่า เรื่องอย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่ทุกคนทำได้ แต่ต้องฝึกสมาธิเบื้องตนให้ได้ก่อน ถ้าจิตของเราสงบก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่นิ่งสามารถสะท้อนเงาของทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง ๆ ให้เห็นได้ชัด
              เขาก็ลองทำดู ปรากฎว่าเทอมนั้นผลการเรียนดีขึ้นผิดหูผิดตาทั้ง ๓ - ๔ คน
              แม่เขาที่อยู่ข้างวัด แต่ไม่เคยเข้าวัดก็เลยเริ่มเข้าวัด มาทำบุญอาตมาเห็นลูกคนกลางของเขากลมเป็นลูกชิ้นเลย จึงขอลูกคนนี้กับแม่ของเขาแม่ก็เลยยกให้พร้อมกับอีก ๒ คน
              คราวนี้พี่สาวเขารู้ ก็เลยยกลูกให้อีก ๓ สรุปแล้วขอ ๑ ได้มา ๖ ตอนนี้แต่งงานไปหมดแล้ว เจ้าตัวเล็กสุดที่ตอนนั้นอยู่ ม. ๒ ตอนนี้มีลูกแล้ว
              เขาเป็นตัวแทนบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต สาขาชัยนาท ทำสถิติยอดเงินประกันสูงสุดของภาคเหนือทุกปี อยู่ในลักษณะที่ลูกค้าวิ่งไปหาเขาเอง เขาไม่ต้องหาลูกค้า เพราะว่าเขาดูแลลูกค้าดีมาก
              อย่างน้อย ๆ อาทิตย์หนึ่งลูกค้าจะต้องเห็นหน้าเขาครั้งหนึ่งจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องเขาก็ไปถึงบ้านลูกค้าตลอด ถามสารทุกข์สุขดิบ วันเกิดปีใหม่ก็ส่งกระเ้าไปให้ ลูกค้าเกิดเรื่องอะไรเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยขนาดไหน เขาทำเคลมให้หมด
              เขาไปทะเลากับสำนักงานใหญ่จนสำนักงานใหญ่ระอา เขาบอกว่าเป็นสิทธิ์ของลูกค้าจะสามร้อยบาท ห้าร้อยบาท ก็เบิกให้หมด ก็เป็นสิทธิของเขาที่จะเบิกได้ คุณมีหน้าที่คุณก็จ่ายมา
              บางทีแม้กระทั่งลูกค้าก็ไม่อยากได้ แต่เขาบอกว่าเซ็นมาเถอะ เขาจะเคลมให้ ในเมื่อเขาดูแลดี ลูกค้ารู้ก็วิ่งมาหาเอง พอเยอะเข้า ๆ ตัวเองทำไม่ไหว จึงให้สามีออกจากโรงเรียนที่สอนอยู่ มาช่วยทำประกัน แล้วก็เอาลูกออกจากงานมาช่วยทำ ไป ๆ มา ๆ ทั้งตระกูลก็มาช่วยกันทำ
              ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า การทำงานหรือปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าทุ่มเทอย่างจริง ๆ จัง ๆ คือเมื่อฉันทะเกิดแล้ว วิริยะตามมาพากเพียรทำไป จิตใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง
              เพราะเขาก็วิ่งหาลูกค้าอยู่ตลอด พูดง่าย ๆ ว่าเดือนหนึ่งลูกค้าเห็นหน้า ๓ - ๔ ครั้ง ก็เกิดความมั่นใจว่าตัวแทนไม่ทิ้งเขาแน่ เรื่องเล็กเรื่องน้อยขนาดไหนเขาก็จัดการเคลมให้หมด
              ขนาดตัวเองไม่ไปโรงพยาบาล ก็ยังไปหาเพื่อนหมอที่คลินิก บอกให้เพื่อนเซ็นรับรองว่าป่วย ในเมื่อเราทำได้ ลูกค้าก็วิ่งมาซนเอง
              เขาไปเที่ยวต่างประเทศจนเบื่อ เพราะรางวัลพวกนี้ส่วนใหญ่ให้ไปเที่ยวต่างประทเศ ไปจนไม่อยากจะไปแล้วฟรีก็จริง แต่เวลาอยากได้อะไรก็ต้องควักกระเป๋าซื้อเอง
              เรามาดูกำลังใจว่า เขาทุ่มเทให้กับงานขนาดนั้น พวกเราก็ควรทุ่มเทกับการปฏิบัติแบบนั้นบ้าง ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ดีที่สุด ก็ต้องได้ให้มากที่สุด”
*************************

      ถาม :  ทำพรหมวิหารสี่ให้เป็นฌานได้อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  แผ่เมตตาจนกระทั่งเต็มที่แล้วก็ให้ภาวนาต่อแค่นั้นเอง อย่างเราแผ่ส่วนแผ่ ภาวนาส่วนภาวนา ไปทำแยกกัน
              ให้แผ่เมตตาตามแบบที่เคยสอนไป จนกระทั่งอารมณ์ใจเต็มที่แล้ว เราก็จับลมหายใจภาวนาต่อ
      ถาม :  เราเอาเมตตามาใส่ จะได้หรือคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเต็มที่อยู่แล้ว ถึงเวลาเราแค่ภาวนาต่อท้ายเท่านั้นเอง เท่ากับเป็นตัวสมาธิในเมตตา
*************************

              “พวกเราส่วนหนึ่งเวลากำลังใจตก จะไม่ค่อยกล้ามาหาพระ ไปรอว่ากำลังใจดีเมื่อไรแล้วค่อยมา ขอบอกว่าถ้าทำอย่างนั้นคิดผิดมาก
              ส่วนใหญ่เพราะพวกรเากลวว่าพระรู้เรื่องไม่ดีของตัวเองแล้วจะว่าเอา อาตมาพูดไม่ผิดหรอก...เพราะว่ารู้จริง ๆ
              แต่พระไม่ได้มีหน้าที่มาพูดว่าเราทำอะไรไม่ดี พระท่านมีหน้าที่ดูว่าจะช่วยอย่างไรให้เราดีต่างหาก
              เพราะฉะนั้น...ความลับก็ยังเป็นความลับอยู่เหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลไป
              พระไม่มีหน้าที่ซ้ำเติมใคร ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมจริง ๆ ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามวาระของกรรม
              คนที่ทำกรรมดี ก็ติดอยู่ในกระแสขาวที่ดึงขึ้นไป
              คนทีทำความชั่ว ก็หลงอยู่ในกระแสดำ ที่ไหลลงต่ำไปเรื่อย ๆ
              พระท่านมีหน้าที่แค่ดูว่าจะเสริมเขาให้ดีอย่างไร ? จะช่วยเขาให้ดีอย่างไร ? ไม่ได้มีหน้าที่ไปดูแล้วก็ไปตำหนิด่าว่าใคร
              ยกเว้นว่าการด่านั้นทำให้เขาสำนึกแล้วกลับมาดี ท่านจึงทำ ดังนั้น...ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่รอว่าดีแล้วค่อยมาหาพระ ถ้าดีแล้วะจมาทำไมวะ...?!
              ถ้ารู้ตัวว่าชั่วให้รีบมาหาพระ เผื่อว่าท่านจะช่วยได้บ้าง ถ้ารอให้ตะเกียกตะกายเอง มักจะช้า เสียเวลามากโดยใช่เหตุ ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุนยับเยิน”
*************************