​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๘๑

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนมิถุนายน ๒๕๕๔


              “ต้องให้แม่ฝึกสมาธิให้มากกกว่านั้น เพราะว่าแม่ยังระงับอารณ์ใจตนเองไม่ได้
              เป็นธรรมดาของเด็ก เพราะว่าสติ สมาธิ ปัญญาเขายังน้อย ก็เลยกลายเป็นความไม่ธรรมดาของผู้ใหญ่ที่ยังรักษากำลังใจไม่ได้เลยต้องไปตีเด็ก
              เพราะฉะนั้น...มีวิธีก็คือ รักษากำลังใจของตัวเองให้ได้”
*************************

              “คนที่หลุดออกจากวัดไป ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งพอ จะกลับมาบวชอีกยากเหมือนเสือหลุดจากกรงแล้วไม่อยากกลับเข้ากรง ยกเว้นจะรู้ว่ากรงนั้นมีประโยชน์อย่างไร ถึงจะกลับมา”
*************************

      ถาม :  ถ้าอยากให้สมาธิทรงตัว ต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  รักษาระดับเอาไว้ ส่วนใหญ่เราทำแล้วทิ้งเลย ทำแล้วทิ้งเลยก็ถอยหลัง ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
              ถึงเวลานั่งแล้วสมาธิทรงตัวแค่ไหน เลิกไปทำอย่างอื่นแล้ว ต้องทรงให้ได้อย่างนั้น
*************************

              “เมื่อวานอ่านเจอข่าวคนจีนขายไตไปซื้อไอแพด อะไรจะปานนั้นหนอ ?
              นั่นแสดงว่ากำลังใจของเขาต่ำมาก ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านกระแสบริโภคนิยม คือ รัก โลภ โกรธ หลง เลย
              ยังดีนะเลือกขายไตตัวเอง ถ้าเลือกไปปล้นเขาเพื่อไปซื้อไอแพด สังคมจะแย่กว่านี้อีก นับว่ายังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง”
*************************

              “การตั้งศาล เป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพของเรา ต่อท่านที่เป็นเจ้าที่เจ้าทาง ตรงนั้น
              ถ้ารู้วิธีว่าต้องตั้งศาลอย่างไร เราทำเองเป็นดีที่สุด เพราะแสดงออกซึ่งความเคารพและตั้งใจจริงของเรา ไม่ต้องไปง้อหมอพราหมณ์อะไรหรอก ทำเองไปเลย”
*************************

              “สำหรับโยม ถ้าไปที่อื่นอย่ากราบพร้อมกับพระ เดี๋ยวเขาะจดุเอา ปกติพระจะรับไหว้เฉพาะพระเท่านั้น แต่อาตมารับไหว้หมดทุกคน
              ยิ่งปฏิบัติไปต้องยิ่งละเอียดขึ้น ถ้าไปวัดอื่นเจอท่านที่ปากไม่ค่อยดี บางทีท่านจะด่าให้เลย เราต้องระวังไว้ อย่าพลาดให้เขาตำหนิเอาได้”
*************************

              “แม้เราไม่มีรูปท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไว้บูชา แต่ท่านให้พรไว้ว่าใครที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต
              ดังนั้น...ถึงไม่มีรูปท่าน แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดีจริง ๆ ก็นึกถึงท่านได้ ขอให้ท่านโมทนาบุญที่เราทำ แล้วช่วยดูแลรักษาเราด้วย”
*************************

              “ในเรื่องวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาชอบมาก เพราะว่าท่านทำไปในทางแคล้วคลาดมากกว่า ท่านบอกว่าถ้ามหาอุด เดี๋ยวลูกหลานเป็นโจรกันหมด
              พวกเรากำลังใจมักจะเกิน ส่วนใหญ่ไปด้านเดียว ถ้าเป๋ก็เป๋กระฉูดไปเลย ถ้ามีของดีชนิดที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้ มีหวังได้เป็นโจรบ้าง ท่านก็เลยไม่ให้ทำมหาอุด
              แต่อาตมาถ้าวันไหนคันมือก็ทำ ถ้าไม่คันมือก็เอาเรื่องลาภผลดีกว่า ด้านลาภผลนั้น พื้นฐานของคนเสกจะต้องมี ถ้ามาด้วยผลของทานบารมีนี่ขลังสุด ๆ เลย
              ถ้าในเรื่องของเมตตามหานิยม คนทำต้องถนัดในเรื่องแผ่เมตตา ไม่อย่างนั้นทำจะไม่ได้ผล เพราะต้องออกมาจากใจจริง ๆ
              แต่มหาอุดขอแค่อุปจารฌาน ภาวนาจนขนลุกก็ใช้ได้แล้ว ทำยากสุดคือเมตตามหานิยม เพราะว่าต้องออกมาจากใจของคนเสกเอง”
*************************

              “เรื่องการฝึกกสิณเป็นพื้นฐานที่ง่ายมาก ๆ เพราะว่ากสิณเป็นของหยาบ มีวัตถุเป็นเครื่องเพ่ง ยกเว้นกสิณแสงสว่างและอากาสกสิณเท่านั้น
              ในเมื่อวัตถุให้ยึด อารมณ์ใจก็ทรงตัวได้ง่าย สำคัญตรงที่ทำแล้วต้องประคองดวงกสิณไว้ให้ได้ ถ้าประคองไว้ไม่ได้ ปล่อยให้นิวรณ์ ๕ เข้ามา ก็กลับมามืดบอดใหม่ ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
              ดังนั้น...การฝึกกสิณ ถ้าตั้งใจทำตามพระพุทธเจ้าท่านกล่าว รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดไม่ได้เลย เพราะใจเราต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับองค์กสิณอยู่ตลอดเวลา เคยใช้คำเปรียบเทียบว่า
              เหมือนกับเราเลี้ยงลูกแก้วที่ตั้งอยู่บนปลายเข็ม เผลอเมื่อไรลูกแก้วก็ตกแตก เพราะฉะนั้น...ต้องมุ่งมั่นประคับประคองสุดชีวิต ทำให้อารมณ์ที่จะไปปรุงแต่งเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่มี
              ดังนั้น...ในเรื่องของสมาธิหรือกสิณไม่ต้องมาถาม ไปหาตำรามาชอบกองไหนก็ลุยไปเลย ส่วนใหญ่พวกเราหลายใจพอใครว่าอะไรดีก็เปลี่ยนไปทำอย่างนั้น การปฏิบัติกรรมฐานต้องทำของเดิมให้ถึงที่สุดก่อน
              คำว่า “ถึงที่สุด” ก็คือถ้าเป็นในเรื่องของสมถภาวนา ต้องได้ฌานสี่ คล่องตัวในกองกรรมฐานนั้น ๆ แล้วจึงเปลี่ยนกองใหม่
              ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์ที่อาตมาเคยเปรียบว่า ขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ เราตั้งใจจะขุดบ่อ ขุดไปได้ ๓ - ๔ วา จวนจะถึงน้ำแล้ว เขาบอกว่าตรงนั้นน่าจะดีกว่า ก็ย้ายไปขุดตรงนั้น ขุดได้สักวาสองวา เขาบอกทางด้านนี้ดีกว่า เราก็ย้ายมาขุดด้านนี้ อีกกี่ชาติถึงจะได้น้ำ ?
              เราต้องขุดให้ถึงน้ำไปเลย แล้วค่อยเปลี่ยนที่ อย่าหลายใจ มุ่งมั่นกรรมฐานเดิมของตนเองให้ทะลุปรุโปรงก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นกองอื่นใหม่
              ก่อนจะเริ่มต้นกองอื่น เราต้องเริ่มซ้อมทบทวนกองเดิมไว้ทุกครั้ง สมัยที่อาตมาฝึกอนุสติ ๑๐ ไล่ตั้งแต่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณานุสติ กายคตานุสติ อุปมานุสติ และอานาปานสติ ถึงเวลาก็ต้องไล่ย้อนทวนแต่ละกอง ก่อนที่จะขึ้นกองใหม่
              พอทำคล่องก็ไปรายงานหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปด้วยความปลื้มใจมากว่า “หลวงพ่อครับ...เดี๋ยวนี้อนุสติ ๑๐ กอง ผมสามารถไล่ครบได้ภายในครึ่งชั่วโมง”
              หลวงพ่อท่านบอกว่า “ยังใช้ไม่ได้ลูก...ทั้ง ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึงสองนาทีนี่แย่มากแล้ว”
              ตอนแรกอาตมาไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อแล้ว เพราะอารมณ์ท้ายสุดเป็นฌานสี่เท่ากัน ถ้าเราไปไล่ทีละกองก็โง่ตายชัก แค่ขึ้นฌานสี่ให้เต็มที่แล้วขยับทีละกอง สองนาทีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ สำคัญตรงที่เราทำคล่องตัวจริงหรือเปล่า ?
              แต่คำว่าคล่องต้วจนทรงฌานสี่ได้ ไม่ใช่พระอริยเจ้านะ เพียงแต่ทรงกองกรรมฐานนั้น ๆ เท่านั้น
*************************

              การจะทรงความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้ได้อภิญญาแล้ว ก็ต้องย้อนกลับมาในส่วนของสุกขวิปัสสโก ก็คือมาดูเรื่องศีล และมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นกำลังของสุกขวิปัสสโกล้วน ๆ เลย
              ฉะนั้น...ใครจะว่าเรามาด้านของวิชชาสาม มาด้านอภิญญาหก มาสายปฏิสัมภิทาญาณ ถ้าไม่เลี้ยวมาหาสุกขวิปัสสโก บรรลุไม่ได้หรอก แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป กำลังท่านสูง โอกาสบรรลุท่านง่ายกว่า แต่ต้องมาบรรลุด้วสุกขวิปัสสโก ก็คือต้องมาพิจารณาวิปัสสนาญาณทั้งนั้น”
*************************

      ถาม :  ทำกิจการร่วมกับคนอื่นแล้วถูกโกง จะทำอย่างไรดี ?
      ตอบ :  ไปแค่กรอบของศีล พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่สามารถจะร่วมทางกันได้ ก็ให้จากกันด้วยดีเราไปแค่กรอบของศีลก็พอ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่ค่อยคำนึงถึงศีลถึงธรรม คิดถึงแต่ผลกำไรอย่างเดียว
              เมื่อเช้านี้ได้พูดไปแล้ว ตอนโยมเขาเอาตำราเศรษฐศาสตร์มาแจก อาตมาเรียนเศรษฐศาสตร์มา ตำราเขาบอกมาคล้าย ๆ กับพระบอกเลย เขาบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีจำกัด แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงต้องศีกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ เพื่อทำการแบ่งสรรปันส่วนให่ทุกคนได้รับความพึงพอใจอย่างสูงสุด เหมือนเอาพระมาเขียนตำราเลย
              เพราะฉะนั้น...ถ้าพวกเราไปกันไม่ไหวจริง ๆ เราไปแค่กรอบของศีลพอ รักษาใจตัวเองไว้ ถอยออกมาดีกว่า
*************************

      ถาม :  พระ…จับเงิน...ไม่จับเงิน​ ..?
      ตอบ :  ความจริงจับไม่ได้ทั้งคู่แหละ มหานิกายก็ผิด ธรรยุติก็ผิด เพราะ
              สิกขาบทที่ ๘ ในโกสิยวรรค นิสสัคคียปาจิตตีย์กัณฑ์ กล่าวไว้ว่า
              ภิกษุรับเงินทองหรือสิ่งของที่เขาใช้แทนเงินทองก็ดี ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์
              สิกขาบทที่ ๙ กล่าวว่า
              ภิกษุรับเองหรือใช้ผู้อื่นรับก็ดี ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์
              แปลว่า ถ้าพระธรรมยุติให้ลูกศิษย์รับก็โดนเหมือนกัน ฉะนั้น...พระมหานิกายที่ใจกล้ากว่า ก็คว้าเงินเองเลย ไหน ๆ ก็ผิดแล้ว
              สำคัญตรงที่ว่าเรารับไป เราเอาไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมหรือเพื่อตัวเอง ? ถ้าเพื่อตัวเอง ต่อให้จับเงินหรือไม่จับก็แย่พอกัน
              สมัยก่อนหลวงปู่บุดดาท่านก็ไม่จับเงิน แต่พอไปอยู่วัดท่าซุง คนถวายเงินมา หลวงปู่ก็แหวกย่ามให้ใส่ หลวงพ่อท่านหันมาพอดี “ไม่เอาใช่ไหม ? ผมเอาเองก็ได้”
              หลวงปู่บุดดาท่านตะครุบเลย “จับแล้วครับ”
              หลวงพ่อท่านบอกว่า “ต้องอย่างนั้นสิ แค่วัตถุที่เป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าหากทำให้ใจหมอง ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้”
              มีหลายอย่างที่ทางธรรมยุติเขาถือมั่น ความจริงเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้จิตละเอียดขึ้น แต่จำนวนเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นค์ แทนที่จิตจะละเอียดขึ้น ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้ง่ายขึ้น กลายเป็นยึดติดมากขึ้น
              ที่ยึดติดมากขึ้น เพราะไปคิดว่าท่านเคร่งกว่า ท่านดีกว่า ตรงจุดนี้จะเป็นอุปาทานอย่างหนึ่งที่เรียกว่า สีลัพพัตตุปาทาน ยึดมั่นในศีลพรต ยึดว่าหลักปฏิบัติของตนว่าดีกว่าผู้อื่น ก็เลยไปไหนไม่ได้สักที
              แต่ท่านที่ดีทำถูก ความละเอียดตรงนี้ก็ส่งผลให้ท่านเข้าถึงธรรมได้เร็วขึ้น
*************************

      ถาม :  พระทิเบตท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายมักจะไม่เป็นพระอริยเจ้า เพราะว่าท่านมาสายพระโพธิสัตว์
      ถาม :  ส่วนใหญ่...ก็แสดงว่าส่วนน้อยยังมีบรรลุอยู่ ทั้งที่ผิดศีล ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ทิ้งศีล ๑๐ มีสิทธิ์บรรลุทุกคน เพราะว่าศีลพระที่เกิน ๑๐ ข้อ ไปนั้น เป็นศีลที่เอาใจชาวบ้าน
              เราต้องดูว่าสามเณรมีศีล ๑๐ แต่ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ?
              ศีลข้อที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขาติเตียน เขายึดถือมาก่อน ก็เลยต้องตามใจชาวบ้านเขา
              แต่มาสำคัญตรงพวกเรา สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้าม หรือสั่งให้ทำ เราต้องทำด้วยชีวิต ถึงจะแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ
              ก็เลยกลายเป็นพวกเราลำบาก ต้องทำเยอะกว่าเขา ส่วนเขาเองตั้งใจรักษาแค่นั้น สบายใจเฉิบ
*************************

      ถาม :  ฌานในแต่ละระดับแบ่งอย่างไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วไม่ได้แบ่ง สำคัญว่าเราเข้าถึงหรือเปล่า ? ถ้าเราทำเข้าถึงระดับไหน ก็เป็นฌานนั้น ที่เขาแยกแยะให้ เพราะวาแต่ละขั้นตอนมีสภาพที่ไม่เหมือนกัน
              เราเองไม่จำเป็นต้องไปไล่ฌาน ๑ ๒​ ๓ ๔ หรอก บางท่านภาวนาหายใจเข้า หายใจออก ข้าามไปฌานสี่แล้วก็มี ยิ่งฌานมีระดับสูงเท่าไร ก็ยิ่งมีกำลังในการตัดกิเลสมากเท่านั้น
*************************

      ถาม :  ได้คาถาท่านให้มาตอนทำกรรมฐาน จะทำอย่างไรดีครับ ?
      ตอบ :  รับ ๆ เอาไว้และใช้งานซะ ถือว่าตอนนี้เป็นช่วงสร้างตัว นานไปอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้
              ตอนที่ผมไปธุดงค์ในทุ่งใหญ่ ผู้ร่วมคณะเขาขี้เกียจเดินกันจึงไปโบกรถ แต่ไปเจอรถระยำ วิ่งไปหน่อยเดียวก็ดันเสีย ในเมื่ออาศัยรถเขามาก็เลยต้องช่วยเข็น เข็นไป ๗๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น...!
              ไม่ใช่ทางราบนะ ขึ้นเขาลงห้วยไปตลอด เข็นขึ้นเขาไปทีละนิ้ว เอาไม้รองไปเรื่อย พอถึงยอดเขาก็ปล่อยไหลลง กระโดดเกาะรถไป เข็นตั้งแต่เช้ายันค่ำ ขี้โคลนท่วมหัวเลย พอกลางคืนผมนอนเฝ้ารถ ปล่อยให้คนอื่นไปนอนกันที่โรงเรียนบ้านหินตั้ง
              หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผมลำบากแทบล้มประดาตายแม้แต่คำเดียว ท่านมาสั่งงานและให้คาถาไว้ด้วย
              ที่จะบอกคุณก็คือ บางทีท่านให้นั่นให้นี่ไว้ ไม่ได้กล่าวถึงความทุกข์ยากของเราเลย เพราะท่านรู้ว่าแค่นั้นเราทนได้อยู่แล้ว
*************************

      ถาม :  แม่ทำนากุ้ง ผมต้องช่วยแม่ ผิดศีลใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของการขายที่เป็นมิจฉาวณิชชา คือ
              ขายสุรา
              ขายยาพิษ
              ขายมนุษย์
              ขายสัตว์ที่มีชีวิต
              พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พุทธมามกะไม่ควรทำ เพราะคนเข้าใจผิดจะคิดว่าไปสนับสนุนให้เขาศีลขาด

              อย่างเช่นขายเหล้า ความจริงเราไม่ได้บังคับให้เขากิน เขามาซื้อเอง เราไม่มีโทษหรอก แต่คนที่ไม่รู้ไปนินทาเข้าจะเกิดโทษกับเขา ดังนั้น ตัวเราไม่ควรจะเป็นทุกข์โทษเวรภัยแก่ผู้อื่น แม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจเลย
              พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เว้น ถ้าหาอาชีพอื่นได้ ก็บอกแม่เปลี่ยนอาชีพเถอะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องตัดใจ ประเภทเขามาซื้อเราขายให้ ส่วนเขาเอาไปทำอะไร เราไม่ต้องไปรับรู้
*************************

      ถาม :  กำลังใจยึดเกาะครูบอาจารย์ แต่เป็นการยึดในกายเนื้อ รู้สึกว่าผิด ?
      ตอบ :  กำลังใจเราต้องมีหลักยึด ถ้าเราไม่ยึดหลักให้มั่นคงก็จะเคว้งคว้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
              จงมีตัวเองเป็นเกาะ จงมีตัวเองเป็นที่พึ่ง ในการเดินทางข้ามโอฆะคือห้วงกิเลสนี้
              เพราะถ้าเรามัวแต่พึ่งคนอื่นอยู่ เขาไม่อยู่ให้พึ่ง เราก็จะเคว้งคว้างต่อไป
              ท่านถึงได้กล่าวว่า
              อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
              โก หิ นาโถ ปโรสิยา ใครอื่นเลยจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้
              อัตตา หิ สุทันเตนะ ก็ตัวเราเองที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ
              นาถัง ละภะติ ทุลละภัง จะเป็นที่พึ่งที่หาได้โดยยาก
              เพราะฉะนั้น...เราต้องฝึกใจให้มั่นคงจริง ๆ สมาธิต้องทรงตัวจริง ๆ แล้วจะไม่เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นอีก
*************************

              “ใครถวายธรรมาสน์ ถวายตาลปัตร ถวายอาสนะ ถวายพรมรองนั่ง
              พระท่านว่า บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเกิดใหม่จะเล็กไม่เป็น เขายันออกไปอยู่แถวหน้าเสมอ เพราะอานิสงส์ไที่ไปหนุนเสริมผู้อื่นเขา ผลบุญจึงเสริมตัวเองให้เด่นไปด้วย”
*************************

              “สมัยอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเคยจชินกับการที่เาของไปแจกเขา เพราะที่วัดท่าซุงเป็นศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
              พอไปอยู่ทองผาภูมิ อาตมาก็ทำแบบนั้นอีก รับสังฆทานได้ก็เอาไปไล่แจกตามวัดต่าง ๆ พระท่านรับแล้วทำหน้างง ๆ เพราะไม่เคยชินกับการที่พระไปทำบุญ ท่านรู้แต่วาพระมีหน้าที่นั่งรับอย่างเดียว แต่ตอนนี้พวกท่านชินแล้ว ถึงไม่ให้ท่านก็มาขอเอง
              สังฆทานเป็นของส่วนรวม รับแล้วจะเอาไปกินไปใช้คนเดียวไม่ได้ต้องแบ่งให้พระอื่นอย่งน้อยสี่รูปขึ้นไป แต่อาตมาแบ่งให้เป็น ๔ - ๕ วัด”
*************************

              “ในมหาปุริสวิตก ๘ ประการ ที่พระอนุรุทธท่านตรึกถึง มีอยู่ข้อหนึ่งที่ท่านว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น คือ จำสิ่งที่ฟังมานานได้ จำสิ่งที่พูดมานานได้
              ฉะนั้น...อาตมามองทีเดียวจำได้ จำไปตลอดชาติด้วย”
*************************

              “ถ้าไม่ได้มีความชอบส่วนตัว อาวุธของเทวดามักจะเป็นพระขรรค์แก้วเหมือน ๆ กัน ท่านใดที่เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผลบุญก็จะส่งผลให้มีพระขรรค์คู่มืออยู่แล้ว”
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบเห็นความจริงให้ได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น จิตใจจะปลดวางไม่ไปต่อต้าน แล้วความสุขจะเกิดขึ้น
              เหมือนกับเราขังเสือตัวหนึ่งไว้ในกรง เสืออยากจะออกจากกรงก็พุ่งชนกรง ทำให้เจ็บตัวไปเรื่อย แต่ถ้าเสือรู้ความจริงว่ากรงนี้ไม่มีวันเปิดออกมาจนกว่าจะตาย เสือก็แค่นอนนิ่ง ๆ แล้วจะไม่เจ็บตัว
              จึงสำคัญว่าเรายอมรับได้หรือไม่ ? ถ้าเราเห็นความจริง แล้วยอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น อะไรที่ไม่เกินวิสัยเราก็แก้ไขไป ถ้าอะไรเกินวิสัย เราก็ยอมรับว่าเกินกฎของกรรม ไม่ไปดิ้นรน เราก็จะไม่เจ็บตัว
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  ปัญหานี้อิสลามถามอาตมาแล้ว ครั้งนั้นนั่งรถไฟไปสายใต้ด้วยกัน ไม่รู้วาคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอิสลาม เพราะเขาแต่งตัวเหมือนคนทำงานบริษัท นั่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงเขาก็ยกมือไหว้
              “อาจารย์ครับ ...ผมเป็นอิสลาม ทางพระพุทธศาสนามีหลักการปฏิบัติหรือหลักธรรมอะไรที่ช่วยให้หมดทุกข์ได้บ้าง เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้าน แก้ความทุกข์ตัวเองไม่จบ”
              อาตมาจึงอธิบายให้เขาฟัง เขาเกิดศรัทธาอย่างไรก็ไม่รู้ สั่งอาหารมาเลี้ยง อาหารบนรถไฟมีข้าวต้มกับอาหารฝรั่ง อาตมาบอกว่า
              “เอาอาหารฝรั่งมาแล้วกัน เพราะอย่างน้อยก็มีขนมปังคู่หนึ่ง แต่ของโยมเขาไม่ต้องเอาหมูแฮมมา”
              ปรากฎว่าตู้เสบียงกลัวเขาจะขาดทุน เอาหมูแฮมมาจนได้ พอมาถึงเขาก็นั่งมองตาปริบ ๆ อาตมาจึงเอาส้อมจิ้มหมูมาไว้จานตัวเอง บอกว่า “ที่เหลือคุณกินไปก็แล้วกัน” ไปสายใต้บางทีก็เจออะไรที่ตลกมาก
              อย่างโยมที่เป็นการ์ดรถ มีหน้าที่ดูแลรถแต่ละตู้ เขาก็บอกว่า “เช้านี้ผมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารนะครับ พระอาจารย์ฉันเนื้อหมูได้ไหมครับ ?”
              อาตมาได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ เขาเห็นอาตมาเป็นอิสลามมาบวชใช่ไหมนี่ ? เนื่องจากเขาเองอยู่สายใต้ เขาถามผู้โดยสารเสียจนชิน แต่เขาลืมดูไปว่าอาตมาห่มจีวรมา
*************************

              “ถ้าหากบุคคลพิการมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เขาสามารถที่จะพัฒนาส่วนอื่นขึ้นมาใช้งานแทนได้ อย่างเด็กฝรั่งคนหนึ่งเกิดมาไม่มีแขนเลย แต่เขาใช้ส่วนอื่นขึ้นมาใช้งานแทนได้ อย่างเด็กฝรั่งคนหนึ่งเกิดมาไม่มีแขนเลย แต่เขาใช้เท้าทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ โดยเฉพาะตอนกินไอศกรีมช็อกโกแลตน่าอิจฉามากเลย เขาใช้เท้าคีบ ดูแล้วมีความสุขมาก
              ก่อนหน้านี้ก็มีคุณจุ๋มที่ไปวัดท่าซุงเป็นประจำ นั่งรถเข็นไป เพราะว่าเป็นโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดีมาก ร่าเริงเบิกบนได้ทั้งวัน เขาไม่รู้สึกว่าตนเองพิการ เพราะว่าไปไหนมาไหนได้เอง
              อย่างเวลาขึ้นรถสองแถว อาตมาก็คิดว่าเขาจะขึ้นได้อย่างไร ? แต่ที่ไหนได้ เขาใช้มือหนึ่งเหนี่ยวตัวเองขึ้นรถ ส่วนอีกมือหนึ่งหิ้วรถถเข็นขึ้นตามไป เราเองมือเดียวไม่รู้จะยกไหวหรอืเปล่า ? ตกลงเขาไม่ต้องพึ่งใครเลย ไปได้สบาย
              การที่เราเกิดมามีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเราสร้างกรรมดี แต่เดิมมาเพียงพอแล้ว จึงต้องใช้ให้คุ้มกับความดีที่เราทำมา อย่าเป็นอย่างที่โบราณเขาบอกว่า “เสียชาติเกิด”
              เกิดมาแล้วไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำความดียังพอทน กลับไปทำความชั่วอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นกลายเป็นซ้ำเติมตัวเองมากขึ้น ชาติต่อไปอาจไม่ได้เกิดเป็นคน แต่ไปลงอบายภูมิแทน
              เพราะฉะนั้น...แม้ว่าบุคคลสภาพร่างกายจะพิการ แต่ถ้าสภาพจิตมุ่งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เกิดใหม่เขาดีกว่าเราแน่นอน เรื่องเหล่านี้เราดูเปลือกนอกไม่ได้ ต้องดูใจเขา กำลังใจเป็นอย่างไร
              ถ้าเป็นเราก็มานั่งตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ทำไมเป็นแค่เราคนเดียว ? แบบนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด”
*************************

      ถาม :  เป็นเนื้องอกในสมอง ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นต้องทำใจอย่างเดียว ทำใจให้สบาย ถึงเวลาเราก็รับอาตมาเองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ พอใกล้หาย จะมีภาพนิมิตบอกให้รู้ว่าไปทำอะไรมาแล้วถึงเป็น
              ดังนั้น...โยมที่เจ็บป่วยอยู่ให้รู้ไว้เลยว่า ในอดีตเราต้องไปทำไม่ดีมาแน่นอน ถึงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปน้อยใจ เพราะส่วนใหญ่เราทำเขาถึงตาย เขาทำเราได้ถึงพิการถือว่าดีมากแล้ว
              ช่วงที่อาตมาทุ่มเททำรายงานส่งอาจารย์สามวันสามคืน พอสบายใจที่งานเสร็จแล้ว จึงไปล้างหน้า เตรียมสวดมนต์ทำวัตร ตั้งใจว่าทำวัตร บิณฑบาต ฉันเช้าแล้วจะนอนให้ยันเย็นเลย
              แต่ตอนที่ล้างหน้าอยู่ เส้นหลังจมกึ้ก...! เส้นจมชนิดปวดแทบขาดใจยืดตัวไม่ขึ้น ก็เลยเดินเอียง ๆ ไปทำวัตร หลังทำวัตรบอกกับพระท่านว่า
              “ใครมีความสามารถ ช่วยมานวดให้ผมหน่อย ผมเส้นหลังจม ปวดจนกระดิกไม่ได้”
              พระท่านก็มานวดให้ อาตมาบอกว่า “เส้นหลังเส้นนี้จม ให้กดด้านหน้าตรงนี้แล้วจะขึ้น”
              พระที่ท่านเชื่อฟังมาตลอด วันนั้นเกิดไม่ฟังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ท่านไปกดแต่ข้างหลังตรงที่เจ็บ ย่ิงกดก็ยิ่งเจ็บหนักขึ้น ท้ายสุดเห็นว่าท่านไม่ทำตามที่บอก จึงบอกให้ท่านเลิกนวดเพราะว่ายิ่งกดก็ยิ่งเจ็บ
              ต้องทนกัดฟันเดินเอียงข้างไปบิณฑบาต กลับมาบอกกับน้องเล็กว่า “โทรเรียกป้ามิดให้หน่อย บอกว่าเส้นจมจะให้มานวด” ป้ามิดเป็นคนมอญ เขานวดเก่ง ฉันเช้าเสร็จแล้ว เราถามน้องเล็กว่า “ตกลงป้ามิดจะมากี่โมง ?” น้องเล็กก็ยืนเอ๋อ “อะไร...ให้เรียกป้ามิดด้วย ?”
              นี่วาระกรรมที่ยังไม่เปิด สั่งไปแล้วเขายังลืม หรือคิดว่าพูดให้ฟังเฉย ๆ
              พอโทรไป ปรากฎว่าป้ามิดบอกวันนี้ไม่นวด เพราะว่าพวกมอญพม่าเขาจะถือวันลอยวันจมกัน ถ้าเป็นวันไม่ดีของเขา เขาจะไม่ทำงาน
              อาตมาก็บอกว่าให้เรียกหมอเทียนมา ปรากฎว่าหมอเทียนไม่ว่าง เพราะว่าไปไร่ จึงต้องนอนทนเจ็บจนถึงวันรุ่งขึ้น ปวดอยู่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่ง
              วันรุ่งขึ้นป้ามิดมา อาตมาชี้บอกป้าว่าเส้นสะบักหลังจม ให้กดเส้นคอด้านหน้าให้ที ป้ามิดก็ไม่ทำตาม ป้าเขาบอกว่า “จมข้างหลัง ต้องดึงข้างหลังเท่านั้น”
              รู้ดีกว่าอีกแน่ะ...! ป้ามิดแกดึงเส้นอย่างกับหนังสติ๊ก จับได้ก็กระชากยิ่งดึงก็ยิ่งจม อาตมาปวดแทบตาย ในเมื่อป้าช่วยไม่ได้ ก็บอกป้าว่า “พอเถอะป้า เสียเวลาฉันว่ะ”
              แม่ชีเห็นสภาพนี้มาสองวันแล้ว ตอนฉันเพลแม่ชีจึงส่งยาให้กำหนึาง บอกว่าเป็นยาแก้ยอก ยาแก้ยอกที่พวกมอญพม่าเขานิยมกันนักหนา ความจริงเป็นยาคลายเครียด ตอนนั้นอาตมาเห็นว่ายาแก้ยอก คิดว่าเข้าท่า จึงถามว่ากินแล้วง่วงไหม ? เพราะว่าจะทำงาน
              แม่ชีบอกว่าไม่ง่วงหรอก เพราะว่ากินเป็นประจำ ฟังให้ดีนะประโยคนี้ กินเป็นประจำ ก็เลยไม่ง่วง แต่พออาตมากินลงไปไม่ถึง ๕ นาทีหัวไถพื้นเลย ตอนที่เกือบสลบนั่นแหละที่ไปเก็นภาพในอดีตเข้า
              เห็นภาพว่าตัวเองเป็นทหาร กำลังรบกับฝ่าตรข้ามอยู่ ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้องต้องมาล้มตายเพราะตน ก็เลยท้าดวลกับแม่ทัพของฝั่งตรงข้าม เขาออกมา ๕ คน เป็นพ่อลูกกัน ส่วนของอาตมาก็คนเดียว...!
              ตอนช่วงนั้นใจคิดวางแผนรบไว้เรียบร้อยเลยว่าจะทำอย่างไร เริ่มจากพุ่งเข้าหาขุนทัพตัวพ่อก่อน เขาใช้ขวานสองหน้าซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บังตัวเกือบมิด ส่วนอาตมาใช้ทวน แค่ขนาดอาวุธก็เทียบกันไม่ได้แล้ว แต่สำคัญตรงที่ว่า ถ้ารู้เคล็ดลับเรื่องการใช้แรงก็จะได้เปรียบ
              พอพุ่งเข้าใส่ เขาก็สวนมาด้วยขวาน อาตมารั้งม้ารอจังหวะที่เขาฟันลงมาจนเกินครึ่งค่อยออกทวน จังหวะที่ขวานฟันลงมาครึ่งแรก แรงปะทะจะมาก แต่ครึ่งหลังขวานจะเป็นตัวถ่วง พออกทวนเท่ากับชักนำขวานที่ออกตัวอยู่แล้วให้ผิดทิศไป จนกระชากเขาเซไปทั้งคนทั้งม้า
              พอเขาเซไป อาตมากระชากม้ากลับ คนแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดโดนเลย แทงด้วยทวนเข้าคอหอยพอดี...!
              ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่ตะลึงอยู่อาตมาอาศัยจังหวะนั้นเหน็บทวนไว้ข้างขา เพราะเท้ากับโกลนติดกันอยู่ หนีบทวนไว้แล้วดึงเกาทัณฑ์ขึ้นมา
              เอี้ยวตัวยิงอีกฝ่ายที่กำลังล้อมเข้ามาด้านหลัง โดนคนหนึ่งเข้าเต็ม ๆ ตรงซอกคอทางขวาตกหลังม้าไป แต่เท้าเขาติดอยู่กับโกลนม้า โดนม้าลากไปเป็นทาง รับประกันว่าตายแน่..!
              พอชักม้ากลับ ก็กระตุ้นม้าพุ่งเข้าปะทะคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมาบังคนแรกที่เป็นพ่อไว้ รวบตัวได้แบบจับเป็น ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ก็ถอย เพราะว่าเพิ่งจะปะทะกันไม่เท่าไรก็ตายไปสองคนแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งโดนจับเป็นได้
              พอเขาถอยไป ทหารของเราก็เอาศพฝ่ายตรงข้ามมาให้ดู สมัยนั้นถ้าไม่ตัดหัวมา ก็จะหิ้วมาทั้งตัว อาตมาสำรวจศพ คนหนึ่งคอหอยโดนทวน คนหนึ่งโดนเกาทัณฑ์เข้าตรงข้างคอตรงนี้ อาตมาก็เข้าใจทันที เพราะที่เจ็บก็คือตรงนี้พอดีเลย
              สิ่งที่ทำไว้ถึงเวลาเขามาเอาคืน เจ็บอยู่แค่สองวัน แต่ทำเขาตายไปถึงสองศพ ดังนั้น...ในส่วนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแค่เศษกรรม เหมือนกับเป็หนี้เขา ๒๐ ล้าน เขาขอคืน ๒๐ บาท ก็ให้ไปเถอะ ถ้ายิ่งสามารถรู้ได้ว่าเราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ใจก็จะสบายว่าที่แท้เราทำเขามาเยอะ เขาเอาแค่นี้ก็ให้เขาไป
              ฉะนั้น...ยถากมมุตาญาณช่วยได้ดีมากเลย ดีตรงที่เรารู้ว่าสร้างกรรมอะไรไว้ ใจเราจะได้ยอมรับได้ เพราะเราทำเองเราถึงเจอ ลองอย่างอาตมาบ้างไหม ? เกเรเขาไว้มาก
              ตอนแรกหลวงพ่อวัดทาซุงบอกให้ไปปล่อยปลาทุกเดือน จะได้บรรเทากรรมตรงนี้ เพราะว่าอาตมาเกิดเป็นทหารทุกชาติ ฆ่าเขาไว้ทุกชาติ อาตมาก็มาคิดว่า กรรมของเราจะหนักขนาดนั้นเชีวหรือ ? พอป่วยเช้าป่วยเย็น ถึงรู้ว่าหนักขนาดนั้นจริง ๆ
              ที่กล่าวมานี้เพื่อให้นึกถึงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว ถ้าหากถึงวาระ ไม่ว่าจะไปหลบอยู่ทีไ่หน ก็หนีกรรมไปไม่พ้น
*************************

      ถาม :  ถ้าเรานึกถึงพระ แต่เป็นตอนที่พระกำลังทำไม่ดี เป็นสังฆานุสติหรือไม่ ?
      ตอบ :  เป็นสังฆานุสติ แต่จะมีกิเลสมารคอยชักจูงให้เราออกนอกทาง ถ้าใจเราหมองตอนนั้นก็เสร็จเหมือนกัน
      ถาม :  สังฆานุสติสำคัญตรงท่าทางที่เราจับได้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  สำคัญที่กำลังใจทรงไว้โดยปราศจากนิวรณ์รบกวน นึกถึงชื่อท่านก็ได้ นึกถึงหน้าตาท่านก็ได้ นึกถึงความดีท่านก็ได้ ถ้านึกถึงควาดีได้ถึงจัดว่าเป็นสังฆานุสติจริง ๆ
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  แปลว่ากำลังใจเรายังไม่ทรงตัวจริง ถ้ากำลังใจเราทรงตัวจริง กิเลสตัณหาต่า งๆ จะแทรกไม่ได้
              เพราะฉะนั้น..เมื่อเราแผ่เมตตาทรงอารมณ์จนกระทั่งสบายใจแล้ว ให้ภาวนาต่อไปเลย ภาวนาจนเราสามารถทรงฌานอย่างน้อย ๆ ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป แล้วรักษากำลังนั้นไว้ พวกกิเลสตัณหาต่าง ๆ ที่เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ จะเข้ามากวนเราไม่ได้
              โดยเฉพาะผู้หญิงกับผู้ชายนี่ลำบากมาก พอถึงเวลาเราเมตตาเขา สงเคราะห์เขา ตัวกูของกูต้องโผล่มาทันทีว่า “เขาต้องชอบเราแน่เลย”
              จากเมตตาก็กลายเป็นตัณหาไป ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะก็ให้ความร่วมมือด้วย แทนที่จะพากันขึ้น ส่วนใหญ่ก็พากันลง
              ดังนั้น...ในเรื่องของผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าจะเมตตาสงเคราะห์กัน ต้องมีเส้นแบ่งของตัวเองไว้เสมอ
              สมัยก่อนตอนเป็นฆราวาสอยู่ เวลาอาตมาไปวัดจะมีน้องผู้หญิงไปด้วย ๘ - ๑๐ คนเป็นประจำ แต่อาตมาขีดเส้นไว้แน่นอนแล้วระบุไว้ชัดเลยว่า เธอจะให้เป็นพ่อก็เป็นให้ เป็นพี่ก็เป็นให้ เป็นน้องก็เป็นให้ เป็นลูกก็เป็นให้ แต่เป็นผัวเธอฉันไม่เอา...!
              ในเมื่อระบุไว้ชัด เขาก็ไม่กล้ามาตอแยทางนี้ เพราะฉะนั้น...ต้องมีเส้นที่แน่นอนของตัวเองอยู่ ถ้าไม่มีแล้วล้ำเส้นเมื่อไร สิ่งที่เราทำอยู่ก็จะเสียหายมาก
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วสำคัญเท่ากันทุกตัว แต่เขาพยายามสร้างสติให้ทรงตัวที่สุด เพื่อใช้สติควบคุมตัวอื่นให้เจริญ
              ในเรื่องของอินทรีย์ ๕ หรือพละ ๕ ก็ตาม ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนรถม้าที่เทียมด้วยม้า ๕ ตัว ม้าที่ชื่อสติจะนำหน้า ม้าที่ชื่อวิริยะ กับสมาธิจะตีคู่กันไป ม้าที่ชื่อศรัทธากับปัญญาจะต้องตีคู่กันไป
              ถ้าศรัทธาเกิน จะเป็นอธิโมกขศรัทธา
              ปัญญาไม่มี ก็จะเชื่อแบบงมงาย
              ถ้าปัญญาเกิน ก็จะจด ๆ จ้อง ๆ ไม่กล้าทำอะไร เพราะว่ากลัวผิดพลาด
              ถ้าวิริยะความเพียรมากจนเกินไป สมาธิสูงเกินหนักเกิน จะพิจารณาวิปัสสนาญาณไม่ได้
              เพราะฉะนั้น...ในส่วนของศรัทธากับปัญญาต้องเสมอกันเป็นคู่ที่หนึ่ง ในส่วนวิริยะกับสมาธิต้องเสมอกันเป็นคู่ที่สอง แต่ในส่วนของสติ ท่านบอกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี
              ดังนั้น...ถ้าเราเห็นรถเทียมม้า ๕ ตัววิ่งไป ตัวสติจะนำหน้า ตามมาด้วยคู่ของวิริยะกับสมาธิ และคู่ของศรัทธากับปัญญา
              แต่ทั้งปวงแล้วต้องเป็นผู้มีปัญญาก่อน จึงจะเห็นว่าอะไรดีแล้วควรทำ หลังจากนั้นต้องประกอบไปด้วยศรัทธา จึงอยากที่จะทำ เมื่อทำดังนั้นได้แล้ว ก็ต้องมีวิริยะ คือพากเพียรทำไปจนสมธิทรงตัว สมาธิที่ทรงตัวนั้นแหละ สติก็จะเกิดขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น
              ดังนั้น...การปฏิบัติของเราจะต้องทำทุกอย่างให้เสมอกัน แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่พวกเราจะไปหย่อนเรื่องสมาธิ
              บางท่านอธิบายไว้ว่า “ใช้แค่อุปจารสมาธิ แล้วลดกำลังของตัวอื่นให้มาเสมอกัน เมื่ออินทรีย์เสมอกัน ความก้าวหน้าจึงจะมี”
              อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะว่ากำลังอุปจารสมาธิต่อต้านราคะก็โทสะไม่ได้
              เราควรจะเร่งสมาธิไปจนถึงฌานสี่เลย แล้วดึงเอาตัวศรัทธา วิริยะ ปัญญาตามไปด้วย
              ถ้าทำอย่างนั้นได้ เราจะระงับเรื่องราคะและโทสะลงได้ ตัณหาต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะกินใจเราได้ เพราะกำลังของเราสูงพอที่จะระงับยับยั้งเอาไว้แล้วค่อยใช้ปัญญาไปพิจารณาตัดละเอาทีหลัง
*************************

      ถาม :  เราสอนเขาตามที่เราเข้าใจ และเราก็คิดตามไปด้วยจนทรงฌาน มีไหมครับ ?
      ตอบ :  มี…เพราะว่าสอนเขาแล้วเราได้ด้วย เท่ากับสอนตัวเอง
      ถาม :  เป็นกิเลสไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าอยากสอนจะเป็นกิเลส ถ้าสงเคราะห์เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เป็นไร
      ถาม :  คือสิ่งที่เราปรุงแต่งเอง ?
      ตอบ :  จะปรุงแต่งแต่ก็เป็นในส่วนที่เราชำนาญ ถ้าเขาต่ำกว่าก็ลากเขามาเถอะ ถ้าเขาสามารถไปเหนือกว่าเราได้ ก็ถีบส่งไปเลย
      ถาม :  ถ้านึกถึงสิ่งที่เราทำบ่อย ๆเราก็จะก้าวหน้า ?
      ตอบ :  ไม่ใช่แค่นึก แต่ต้องซักซ้อมของเก่าเอาไว้เสมอ เราจะได้มีความชำนาญและคล่องตัวขึ้น
              ถ้าอย่างเรื่องสมาธิก็จะปรับมาเป็นฌานใช้งาน จะมีความเบาความสบาย ไม่หนักเหมือนสมาธิที่เราฝึกหัด
      ถาม :  จำเป็นต้องกลับไปทำตามแบบแผนไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้ามีโอกาสทำตามแบบแผนได้ ให้เราทำ เพื่อประกันความเสี่ยง ถ้าไม่มีโอกาสก็ข้ามขั้นไปเลย
*************************

      ถาม :  คนที่มีสมาธิมาก ๆ จะมีสติมากหรือเปล่า ?
      ตอบ :  สติจะมั่นคงตามไปด้วย สมาธิยิ่งทรงตัวมากเท่าไร สติจะยิ่งมั่นคงมากเท่านั้น
              ที่บอกว่านั่งเงียบไปเฉย ๆ ความจริงเขานั่งอย่างมีสตินะ เพราะข้างในรู้อยู่ตลอด เพียงแต่ไม่อยากจะคลายออกมาเท่านั้น
*************************

      ถาม :  ตัวราคะก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไร ?
      ตอบ :  โอ้พระเจ้า...ทุกข์หยาบขนาดนี้ยังมองไม่เห็น...!
              ในเมื่อเรายินดี ก็จะเกิดความอยากมีอยากได้ ก็คือตัวกำหนัดขึ้นมา ก็ต้องไปแสวงหา ขึ้นชื่อว่าการดิ้นรนแสวงหา แม้เป็นความคิดก็ทุกข์แล้ว ยังไมต้องพูดถึงการตะเกียกตะกายไปหามาให้ได้นะ
      ถาม :  แต่การทำให้อยาก ก็ต้องเกิดจากการ...?
      ตอบ :  สำคัญว่าเราไปถูกทางไหม ? ถ้าไปถูกทางก็เป็นฉันทะ ถ้าไปไม่ถูกทางก็เป็นตัณหา
              สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าความอยากช่วยให้เราพ้นทุกข์ เป็นฉันทะ
              ถ้าความอยากเพิ่มทุกข์ให้เรา ก็เป็นตัณหา
*************************

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนมิถุนายน ๒๕๕๔


              “ต้องให้แม่ฝึกสมาธิให้มากกกว่านั้น เพราะว่าแม่ยังระงับอารณ์ใจตนเองไม่ได้
              เป็นธรรมดาของเด็ก เพราะว่าสติ สมาธิ ปัญญาเขายังน้อย ก็เลยกลายเป็นความไม่ธรรมดาของผู้ใหญ่ที่ยังรักษากำลังใจไม่ได้เลยต้องไปตีเด็ก
              เพราะฉะนั้น...มีวิธีก็คือ รักษากำลังใจของตัวเองให้ได้”
*************************

              “คนที่หลุดออกจากวัดไป ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งพอ จะกลับมาบวชอีกยากเหมือนเสือหลุดจากกรงแล้วไม่อยากกลับเข้ากรง ยกเว้นจะรู้ว่ากรงนั้นมีประโยชน์อย่างไร ถึงจะกลับมา”
*************************

      ถาม :  ถ้าอยากให้สมาธิทรงตัว ต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  รักษาระดับเอาไว้ ส่วนใหญ่เราทำแล้วทิ้งเลย ทำแล้วทิ้งเลยก็ถอยหลัง ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
              ถึงเวลานั่งแล้วสมาธิทรงตัวแค่ไหน เลิกไปทำอย่างอื่นแล้ว ต้องทรงให้ได้อย่างนั้น
*************************

              “เมื่อวานอ่านเจอข่าวคนจีนขายไตไปซื้อไอแพด อะไรจะปานนั้นหนอ ?
              นั่นแสดงว่ากำลังใจของเขาต่ำมาก ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านกระแสบริโภคนิยม คือ รัก โลภ โกรธ หลง เลย
              ยังดีนะเลือกขายไตตัวเอง ถ้าเลือกไปปล้นเขาเพื่อไปซื้อไอแพด สังคมจะแย่กว่านี้อีก นับว่ายังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง”
*************************

              “การตั้งศาล เป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพของเรา ต่อท่านที่เป็นเจ้าที่เจ้าทาง ตรงนั้น
              ถ้ารู้วิธีว่าต้องตั้งศาลอย่างไร เราทำเองเป็นดีที่สุด เพราะแสดงออกซึ่งความเคารพและตั้งใจจริงของเรา ไม่ต้องไปง้อหมอพราหมณ์อะไรหรอก ทำเองไปเลย”
*************************

              “สำหรับโยม ถ้าไปที่อื่นอย่ากราบพร้อมกับพระ เดี๋ยวเขาะจดุเอา ปกติพระจะรับไหว้เฉพาะพระเท่านั้น แต่อาตมารับไหว้หมดทุกคน
              ยิ่งปฏิบัติไปต้องยิ่งละเอียดขึ้น ถ้าไปวัดอื่นเจอท่านที่ปากไม่ค่อยดี บางทีท่านจะด่าให้เลย เราต้องระวังไว้ อย่าพลาดให้เขาตำหนิเอาได้”
*************************

              “แม้เราไม่มีรูปท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไว้บูชา แต่ท่านให้พรไว้ว่าใครที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต
              ดังนั้น...ถึงไม่มีรูปท่าน แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดีจริง ๆ ก็นึกถึงท่านได้ ขอให้ท่านโมทนาบุญที่เราทำ แล้วช่วยดูแลรักษาเราด้วย”
*************************

              “ในเรื่องวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาชอบมาก เพราะว่าท่านทำไปในทางแคล้วคลาดมากกว่า ท่านบอกว่าถ้ามหาอุด เดี๋ยวลูกหลานเป็นโจรกันหมด
              พวกเรากำลังใจมักจะเกิน ส่วนใหญ่ไปด้านเดียว ถ้าเป๋ก็เป๋กระฉูดไปเลย ถ้ามีของดีชนิดที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้ มีหวังได้เป็นโจรบ้าง ท่านก็เลยไม่ให้ทำมหาอุด
              แต่อาตมาถ้าวันไหนคันมือก็ทำ ถ้าไม่คันมือก็เอาเรื่องลาภผลดีกว่า ด้านลาภผลนั้น พื้นฐานของคนเสกจะต้องมี ถ้ามาด้วยผลของทานบารมีนี่ขลังสุด ๆ เลย
              ถ้าในเรื่องของเมตตามหานิยม คนทำต้องถนัดในเรื่องแผ่เมตตา ไม่อย่างนั้นทำจะไม่ได้ผล เพราะต้องออกมาจากใจจริง ๆ
              แต่มหาอุดขอแค่อุปจารฌาน ภาวนาจนขนลุกก็ใช้ได้แล้ว ทำยากสุดคือเมตตามหานิยม เพราะว่าต้องออกมาจากใจของคนเสกเอง”
*************************

              “เรื่องการฝึกกสิณเป็นพื้นฐานที่ง่ายมาก ๆ เพราะว่ากสิณเป็นของหยาบ มีวัตถุเป็นเครื่องเพ่ง ยกเว้นกสิณแสงสว่างและอากาสกสิณเท่านั้น
              ในเมื่อวัตถุให้ยึด อารมณ์ใจก็ทรงตัวได้ง่าย สำคัญตรงที่ทำแล้วต้องประคองดวงกสิณไว้ให้ได้ ถ้าประคองไว้ไม่ได้ ปล่อยให้นิวรณ์ ๕ เข้ามา ก็กลับมามืดบอดใหม่ ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
              ดังนั้น...การฝึกกสิณ ถ้าตั้งใจทำตามพระพุทธเจ้าท่านกล่าว รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดไม่ได้เลย เพราะใจเราต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับองค์กสิณอยู่ตลอดเวลา เคยใช้คำเปรียบเทียบว่า
              เหมือนกับเราเลี้ยงลูกแก้วที่ตั้งอยู่บนปลายเข็ม เผลอเมื่อไรลูกแก้วก็ตกแตก เพราะฉะนั้น...ต้องมุ่งมั่นประคับประคองสุดชีวิต ทำให้อารมณ์ที่จะไปปรุงแต่งเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่มี
              ดังนั้น...ในเรื่องของสมาธิหรือกสิณไม่ต้องมาถาม ไปหาตำรามาชอบกองไหนก็ลุยไปเลย ส่วนใหญ่พวกเราหลายใจพอใครว่าอะไรดีก็เปลี่ยนไปทำอย่างนั้น การปฏิบัติกรรมฐานต้องทำของเดิมให้ถึงที่สุดก่อน
              คำว่า “ถึงที่สุด” ก็คือถ้าเป็นในเรื่องของสมถภาวนา ต้องได้ฌานสี่ คล่องตัวในกองกรรมฐานนั้น ๆ แล้วจึงเปลี่ยนกองใหม่
              ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์ที่อาตมาเคยเปรียบว่า ขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ เราตั้งใจจะขุดบ่อ ขุดไปได้ ๓ - ๔ วา จวนจะถึงน้ำแล้ว เขาบอกว่าตรงนั้นน่าจะดีกว่า ก็ย้ายไปขุดตรงนั้น ขุดได้สักวาสองวา เขาบอกทางด้านนี้ดีกว่า เราก็ย้ายมาขุดด้านนี้ อีกกี่ชาติถึงจะได้น้ำ ?
              เราต้องขุดให้ถึงน้ำไปเลย แล้วค่อยเปลี่ยนที่ อย่าหลายใจ มุ่งมั่นกรรมฐานเดิมของตนเองให้ทะลุปรุโปรงก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นกองอื่นใหม่
              ก่อนจะเริ่มต้นกองอื่น เราต้องเริ่มซ้อมทบทวนกองเดิมไว้ทุกครั้ง สมัยที่อาตมาฝึกอนุสติ ๑๐ ไล่ตั้งแต่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณานุสติ กายคตานุสติ อุปมานุสติ และอานาปานสติ ถึงเวลาก็ต้องไล่ย้อนทวนแต่ละกอง ก่อนที่จะขึ้นกองใหม่
              พอทำคล่องก็ไปรายงานหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปด้วยความปลื้มใจมากว่า “หลวงพ่อครับ...เดี๋ยวนี้อนุสติ ๑๐ กอง ผมสามารถไล่ครบได้ภายในครึ่งชั่วโมง”
              หลวงพ่อท่านบอกว่า “ยังใช้ไม่ได้ลูก...ทั้ง ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึงสองนาทีนี่แย่มากแล้ว”
              ตอนแรกอาตมาไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อแล้ว เพราะอารมณ์ท้ายสุดเป็นฌานสี่เท่ากัน ถ้าเราไปไล่ทีละกองก็โง่ตายชัก แค่ขึ้นฌานสี่ให้เต็มที่แล้วขยับทีละกอง สองนาทีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ สำคัญตรงที่เราทำคล่องตัวจริงหรือเปล่า ?
              แต่คำว่าคล่องต้วจนทรงฌานสี่ได้ ไม่ใช่พระอริยเจ้านะ เพียงแต่ทรงกองกรรมฐานนั้น ๆ เท่านั้น
*************************

              การจะทรงความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้ได้อภิญญาแล้ว ก็ต้องย้อนกลับมาในส่วนของสุกขวิปัสสโก ก็คือมาดูเรื่องศีล และมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นกำลังของสุกขวิปัสสโกล้วน ๆ เลย
              ฉะนั้น...ใครจะว่าเรามาด้านของวิชชาสาม มาด้านอภิญญาหก มาสายปฏิสัมภิทาญาณ ถ้าไม่เลี้ยวมาหาสุกขวิปัสสโก บรรลุไม่ได้หรอก แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป กำลังท่านสูง โอกาสบรรลุท่านง่ายกว่า แต่ต้องมาบรรลุด้วสุกขวิปัสสโก ก็คือต้องมาพิจารณาวิปัสสนาญาณทั้งนั้น”
*************************

      ถาม :  ทำกิจการร่วมกับคนอื่นแล้วถูกโกง จะทำอย่างไรดี ?
      ตอบ :  ไปแค่กรอบของศีล พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่สามารถจะร่วมทางกันได้ ก็ให้จากกันด้วยดีเราไปแค่กรอบของศีลก็พอ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่ค่อยคำนึงถึงศีลถึงธรรม คิดถึงแต่ผลกำไรอย่างเดียว
              เมื่อเช้านี้ได้พูดไปแล้ว ตอนโยมเขาเอาตำราเศรษฐศาสตร์มาแจก อาตมาเรียนเศรษฐศาสตร์มา ตำราเขาบอกมาคล้าย ๆ กับพระบอกเลย เขาบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีจำกัด แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงต้องศีกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ เพื่อทำการแบ่งสรรปันส่วนให่ทุกคนได้รับความพึงพอใจอย่างสูงสุด เหมือนเอาพระมาเขียนตำราเลย
              เพราะฉะนั้น...ถ้าพวกเราไปกันไม่ไหวจริง ๆ เราไปแค่กรอบของศีลพอ รักษาใจตัวเองไว้ ถอยออกมาดีกว่า
*************************

      ถาม :  พระ…จับเงิน...ไม่จับเงิน​ ..?
      ตอบ :  ความจริงจับไม่ได้ทั้งคู่แหละ มหานิกายก็ผิด ธรรยุติก็ผิด เพราะ
              สิกขาบทที่ ๘ ในโกสิยวรรค นิสสัคคียปาจิตตีย์กัณฑ์ กล่าวไว้ว่า
              ภิกษุรับเงินทองหรือสิ่งของที่เขาใช้แทนเงินทองก็ดี ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์
              สิกขาบทที่ ๙ กล่าวว่า
              ภิกษุรับเองหรือใช้ผู้อื่นรับก็ดี ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์
              แปลว่า ถ้าพระธรรมยุติให้ลูกศิษย์รับก็โดนเหมือนกัน ฉะนั้น...พระมหานิกายที่ใจกล้ากว่า ก็คว้าเงินเองเลย ไหน ๆ ก็ผิดแล้ว
              สำคัญตรงที่ว่าเรารับไป เราเอาไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมหรือเพื่อตัวเอง ? ถ้าเพื่อตัวเอง ต่อให้จับเงินหรือไม่จับก็แย่พอกัน
              สมัยก่อนหลวงปู่บุดดาท่านก็ไม่จับเงิน แต่พอไปอยู่วัดท่าซุง คนถวายเงินมา หลวงปู่ก็แหวกย่ามให้ใส่ หลวงพ่อท่านหันมาพอดี “ไม่เอาใช่ไหม ? ผมเอาเองก็ได้”
              หลวงปู่บุดดาท่านตะครุบเลย “จับแล้วครับ”
              หลวงพ่อท่านบอกว่า “ต้องอย่างนั้นสิ แค่วัตถุที่เป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าหากทำให้ใจหมอง ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้”
              มีหลายอย่างที่ทางธรรมยุติเขาถือมั่น ความจริงเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้จิตละเอียดขึ้น แต่จำนวนเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นค์ แทนที่จิตจะละเอียดขึ้น ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้ง่ายขึ้น กลายเป็นยึดติดมากขึ้น
              ที่ยึดติดมากขึ้น เพราะไปคิดว่าท่านเคร่งกว่า ท่านดีกว่า ตรงจุดนี้จะเป็นอุปาทานอย่างหนึ่งที่เรียกว่า สีลัพพัตตุปาทาน ยึดมั่นในศีลพรต ยึดว่าหลักปฏิบัติของตนว่าดีกว่าผู้อื่น ก็เลยไปไหนไม่ได้สักที
              แต่ท่านที่ดีทำถูก ความละเอียดตรงนี้ก็ส่งผลให้ท่านเข้าถึงธรรมได้เร็วขึ้น
*************************

      ถาม :  พระทิเบตท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายมักจะไม่เป็นพระอริยเจ้า เพราะว่าท่านมาสายพระโพธิสัตว์
      ถาม :  ส่วนใหญ่...ก็แสดงว่าส่วนน้อยยังมีบรรลุอยู่ ทั้งที่ผิดศีล ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ทิ้งศีล ๑๐ มีสิทธิ์บรรลุทุกคน เพราะว่าศีลพระที่เกิน ๑๐ ข้อ ไปนั้น เป็นศีลที่เอาใจชาวบ้าน
              เราต้องดูว่าสามเณรมีศีล ๑๐ แต่ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ?
              ศีลข้อที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขาติเตียน เขายึดถือมาก่อน ก็เลยต้องตามใจชาวบ้านเขา
              แต่มาสำคัญตรงพวกเรา สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้าม หรือสั่งให้ทำ เราต้องทำด้วยชีวิต ถึงจะแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ
              ก็เลยกลายเป็นพวกเราลำบาก ต้องทำเยอะกว่าเขา ส่วนเขาเองตั้งใจรักษาแค่นั้น สบายใจเฉิบ
*************************

      ถาม :  ฌานในแต่ละระดับแบ่งอย่างไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วไม่ได้แบ่ง สำคัญว่าเราเข้าถึงหรือเปล่า ? ถ้าเราทำเข้าถึงระดับไหน ก็เป็นฌานนั้น ที่เขาแยกแยะให้ เพราะวาแต่ละขั้นตอนมีสภาพที่ไม่เหมือนกัน
              เราเองไม่จำเป็นต้องไปไล่ฌาน ๑ ๒​ ๓ ๔ หรอก บางท่านภาวนาหายใจเข้า หายใจออก ข้าามไปฌานสี่แล้วก็มี ยิ่งฌานมีระดับสูงเท่าไร ก็ยิ่งมีกำลังในการตัดกิเลสมากเท่านั้น
*************************

      ถาม :  ได้คาถาท่านให้มาตอนทำกรรมฐาน จะทำอย่างไรดีครับ ?
      ตอบ :  รับ ๆ เอาไว้และใช้งานซะ ถือว่าตอนนี้เป็นช่วงสร้างตัว นานไปอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้
              ตอนที่ผมไปธุดงค์ในทุ่งใหญ่ ผู้ร่วมคณะเขาขี้เกียจเดินกันจึงไปโบกรถ แต่ไปเจอรถระยำ วิ่งไปหน่อยเดียวก็ดันเสีย ในเมื่ออาศัยรถเขามาก็เลยต้องช่วยเข็น เข็นไป ๗๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น...!
              ไม่ใช่ทางราบนะ ขึ้นเขาลงห้วยไปตลอด เข็นขึ้นเขาไปทีละนิ้ว เอาไม้รองไปเรื่อย พอถึงยอดเขาก็ปล่อยไหลลง กระโดดเกาะรถไป เข็นตั้งแต่เช้ายันค่ำ ขี้โคลนท่วมหัวเลย พอกลางคืนผมนอนเฝ้ารถ ปล่อยให้คนอื่นไปนอนกันที่โรงเรียนบ้านหินตั้ง
              หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผมลำบากแทบล้มประดาตายแม้แต่คำเดียว ท่านมาสั่งงานและให้คาถาไว้ด้วย
              ที่จะบอกคุณก็คือ บางทีท่านให้นั่นให้นี่ไว้ ไม่ได้กล่าวถึงความทุกข์ยากของเราเลย เพราะท่านรู้ว่าแค่นั้นเราทนได้อยู่แล้ว
*************************

      ถาม :  แม่ทำนากุ้ง ผมต้องช่วยแม่ ผิดศีลใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของการขายที่เป็นมิจฉาวณิชชา คือ
              ขายสุรา
              ขายยาพิษ
              ขายมนุษย์
              ขายสัตว์ที่มีชีวิต
              พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พุทธมามกะไม่ควรทำ เพราะคนเข้าใจผิดจะคิดว่าไปสนับสนุนให้เขาศีลขาด

              อย่างเช่นขายเหล้า ความจริงเราไม่ได้บังคับให้เขากิน เขามาซื้อเอง เราไม่มีโทษหรอก แต่คนที่ไม่รู้ไปนินทาเข้าจะเกิดโทษกับเขา ดังนั้น ตัวเราไม่ควรจะเป็นทุกข์โทษเวรภัยแก่ผู้อื่น แม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจเลย
              พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เว้น ถ้าหาอาชีพอื่นได้ ก็บอกแม่เปลี่ยนอาชีพเถอะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องตัดใจ ประเภทเขามาซื้อเราขายให้ ส่วนเขาเอาไปทำอะไร เราไม่ต้องไปรับรู้
*************************

      ถาม :  กำลังใจยึดเกาะครูบอาจารย์ แต่เป็นการยึดในกายเนื้อ รู้สึกว่าผิด ?
      ตอบ :  กำลังใจเราต้องมีหลักยึด ถ้าเราไม่ยึดหลักให้มั่นคงก็จะเคว้งคว้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
              จงมีตัวเองเป็นเกาะ จงมีตัวเองเป็นที่พึ่ง ในการเดินทางข้ามโอฆะคือห้วงกิเลสนี้
              เพราะถ้าเรามัวแต่พึ่งคนอื่นอยู่ เขาไม่อยู่ให้พึ่ง เราก็จะเคว้งคว้างต่อไป
              ท่านถึงได้กล่าวว่า
              อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
              โก หิ นาโถ ปโรสิยา ใครอื่นเลยจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้
              อัตตา หิ สุทันเตนะ ก็ตัวเราเองที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ
              นาถัง ละภะติ ทุลละภัง จะเป็นที่พึ่งที่หาได้โดยยาก
              เพราะฉะนั้น...เราต้องฝึกใจให้มั่นคงจริง ๆ สมาธิต้องทรงตัวจริง ๆ แล้วจะไม่เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นอีก
*************************

              “ใครถวายธรรมาสน์ ถวายตาลปัตร ถวายอาสนะ ถวายพรมรองนั่ง
              พระท่านว่า บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเกิดใหม่จะเล็กไม่เป็น เขายันออกไปอยู่แถวหน้าเสมอ เพราะอานิสงส์ไที่ไปหนุนเสริมผู้อื่นเขา ผลบุญจึงเสริมตัวเองให้เด่นไปด้วย”
*************************

              “สมัยอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเคยจชินกับการที่เาของไปแจกเขา เพราะที่วัดท่าซุงเป็นศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
              พอไปอยู่ทองผาภูมิ อาตมาก็ทำแบบนั้นอีก รับสังฆทานได้ก็เอาไปไล่แจกตามวัดต่าง ๆ พระท่านรับแล้วทำหน้างง ๆ เพราะไม่เคยชินกับการที่พระไปทำบุญ ท่านรู้แต่วาพระมีหน้าที่นั่งรับอย่างเดียว แต่ตอนนี้พวกท่านชินแล้ว ถึงไม่ให้ท่านก็มาขอเอง
              สังฆทานเป็นของส่วนรวม รับแล้วจะเอาไปกินไปใช้คนเดียวไม่ได้ต้องแบ่งให้พระอื่นอย่งน้อยสี่รูปขึ้นไป แต่อาตมาแบ่งให้เป็น ๔ - ๕ วัด”
*************************

              “ในมหาปุริสวิตก ๘ ประการ ที่พระอนุรุทธท่านตรึกถึง มีอยู่ข้อหนึ่งที่ท่านว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น คือ จำสิ่งที่ฟังมานานได้ จำสิ่งที่พูดมานานได้
              ฉะนั้น...อาตมามองทีเดียวจำได้ จำไปตลอดชาติด้วย”
*************************

              “ถ้าไม่ได้มีความชอบส่วนตัว อาวุธของเทวดามักจะเป็นพระขรรค์แก้วเหมือน ๆ กัน ท่านใดที่เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผลบุญก็จะส่งผลให้มีพระขรรค์คู่มืออยู่แล้ว”
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบเห็นความจริงให้ได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น จิตใจจะปลดวางไม่ไปต่อต้าน แล้วความสุขจะเกิดขึ้น
              เหมือนกับเราขังเสือตัวหนึ่งไว้ในกรง เสืออยากจะออกจากกรงก็พุ่งชนกรง ทำให้เจ็บตัวไปเรื่อย แต่ถ้าเสือรู้ความจริงว่ากรงนี้ไม่มีวันเปิดออกมาจนกว่าจะตาย เสือก็แค่นอนนิ่ง ๆ แล้วจะไม่เจ็บตัว
              จึงสำคัญว่าเรายอมรับได้หรือไม่ ? ถ้าเราเห็นความจริง แล้วยอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น อะไรที่ไม่เกินวิสัยเราก็แก้ไขไป ถ้าอะไรเกินวิสัย เราก็ยอมรับว่าเกินกฎของกรรม ไม่ไปดิ้นรน เราก็จะไม่เจ็บตัว
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  ปัญหานี้อิสลามถามอาตมาแล้ว ครั้งนั้นนั่งรถไฟไปสายใต้ด้วยกัน ไม่รู้วาคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอิสลาม เพราะเขาแต่งตัวเหมือนคนทำงานบริษัท นั่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงเขาก็ยกมือไหว้
              “อาจารย์ครับ ...ผมเป็นอิสลาม ทางพระพุทธศาสนามีหลักการปฏิบัติหรือหลักธรรมอะไรที่ช่วยให้หมดทุกข์ได้บ้าง เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้าน แก้ความทุกข์ตัวเองไม่จบ”
              อาตมาจึงอธิบายให้เขาฟัง เขาเกิดศรัทธาอย่างไรก็ไม่รู้ สั่งอาหารมาเลี้ยง อาหารบนรถไฟมีข้าวต้มกับอาหารฝรั่ง อาตมาบอกว่า
              “เอาอาหารฝรั่งมาแล้วกัน เพราะอย่างน้อยก็มีขนมปังคู่หนึ่ง แต่ของโยมเขาไม่ต้องเอาหมูแฮมมา”
              ปรากฎว่าตู้เสบียงกลัวเขาจะขาดทุน เอาหมูแฮมมาจนได้ พอมาถึงเขาก็นั่งมองตาปริบ ๆ อาตมาจึงเอาส้อมจิ้มหมูมาไว้จานตัวเอง บอกว่า “ที่เหลือคุณกินไปก็แล้วกัน” ไปสายใต้บางทีก็เจออะไรที่ตลกมาก
              อย่างโยมที่เป็นการ์ดรถ มีหน้าที่ดูแลรถแต่ละตู้ เขาก็บอกว่า “เช้านี้ผมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารนะครับ พระอาจารย์ฉันเนื้อหมูได้ไหมครับ ?”
              อาตมาได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ เขาเห็นอาตมาเป็นอิสลามมาบวชใช่ไหมนี่ ? เนื่องจากเขาเองอยู่สายใต้ เขาถามผู้โดยสารเสียจนชิน แต่เขาลืมดูไปว่าอาตมาห่มจีวรมา
*************************

              “ถ้าหากบุคคลพิการมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เขาสามารถที่จะพัฒนาส่วนอื่นขึ้นมาใช้งานแทนได้ อย่างเด็กฝรั่งคนหนึ่งเกิดมาไม่มีแขนเลย แต่เขาใช้ส่วนอื่นขึ้นมาใช้งานแทนได้ อย่างเด็กฝรั่งคนหนึ่งเกิดมาไม่มีแขนเลย แต่เขาใช้เท้าทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ โดยเฉพาะตอนกินไอศกรีมช็อกโกแลตน่าอิจฉามากเลย เขาใช้เท้าคีบ ดูแล้วมีความสุขมาก
              ก่อนหน้านี้ก็มีคุณจุ๋มที่ไปวัดท่าซุงเป็นประจำ นั่งรถเข็นไป เพราะว่าเป็นโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดีมาก ร่าเริงเบิกบนได้ทั้งวัน เขาไม่รู้สึกว่าตนเองพิการ เพราะว่าไปไหนมาไหนได้เอง
              อย่างเวลาขึ้นรถสองแถว อาตมาก็คิดว่าเขาจะขึ้นได้อย่างไร ? แต่ที่ไหนได้ เขาใช้มือหนึ่งเหนี่ยวตัวเองขึ้นรถ ส่วนอีกมือหนึ่งหิ้วรถถเข็นขึ้นตามไป เราเองมือเดียวไม่รู้จะยกไหวหรอืเปล่า ? ตกลงเขาไม่ต้องพึ่งใครเลย ไปได้สบาย
              การที่เราเกิดมามีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเราสร้างกรรมดี แต่เดิมมาเพียงพอแล้ว จึงต้องใช้ให้คุ้มกับความดีที่เราทำมา อย่าเป็นอย่างที่โบราณเขาบอกว่า “เสียชาติเกิด”
              เกิดมาแล้วไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำความดียังพอทน กลับไปทำความชั่วอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นกลายเป็นซ้ำเติมตัวเองมากขึ้น ชาติต่อไปอาจไม่ได้เกิดเป็นคน แต่ไปลงอบายภูมิแทน
              เพราะฉะนั้น...แม้ว่าบุคคลสภาพร่างกายจะพิการ แต่ถ้าสภาพจิตมุ่งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เกิดใหม่เขาดีกว่าเราแน่นอน เรื่องเหล่านี้เราดูเปลือกนอกไม่ได้ ต้องดูใจเขา กำลังใจเป็นอย่างไร
              ถ้าเป็นเราก็มานั่งตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ทำไมเป็นแค่เราคนเดียว ? แบบนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด”
*************************

      ถาม :  เป็นเนื้องอกในสมอง ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นต้องทำใจอย่างเดียว ทำใจให้สบาย ถึงเวลาเราก็รับอาตมาเองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ พอใกล้หาย จะมีภาพนิมิตบอกให้รู้ว่าไปทำอะไรมาแล้วถึงเป็น
              ดังนั้น...โยมที่เจ็บป่วยอยู่ให้รู้ไว้เลยว่า ในอดีตเราต้องไปทำไม่ดีมาแน่นอน ถึงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปน้อยใจ เพราะส่วนใหญ่เราทำเขาถึงตาย เขาทำเราได้ถึงพิการถือว่าดีมากแล้ว
              ช่วงที่อาตมาทุ่มเททำรายงานส่งอาจารย์สามวันสามคืน พอสบายใจที่งานเสร็จแล้ว จึงไปล้างหน้า เตรียมสวดมนต์ทำวัตร ตั้งใจว่าทำวัตร บิณฑบาต ฉันเช้าแล้วจะนอนให้ยันเย็นเลย
              แต่ตอนที่ล้างหน้าอยู่ เส้นหลังจมกึ้ก...! เส้นจมชนิดปวดแทบขาดใจยืดตัวไม่ขึ้น ก็เลยเดินเอียง ๆ ไปทำวัตร หลังทำวัตรบอกกับพระท่านว่า
              “ใครมีความสามารถ ช่วยมานวดให้ผมหน่อย ผมเส้นหลังจม ปวดจนกระดิกไม่ได้”
              พระท่านก็มานวดให้ อาตมาบอกว่า “เส้นหลังเส้นนี้จม ให้กดด้านหน้าตรงนี้แล้วจะขึ้น”
              พระที่ท่านเชื่อฟังมาตลอด วันนั้นเกิดไม่ฟังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ท่านไปกดแต่ข้างหลังตรงที่เจ็บ ย่ิงกดก็ยิ่งเจ็บหนักขึ้น ท้ายสุดเห็นว่าท่านไม่ทำตามที่บอก จึงบอกให้ท่านเลิกนวดเพราะว่ายิ่งกดก็ยิ่งเจ็บ
              ต้องทนกัดฟันเดินเอียงข้างไปบิณฑบาต กลับมาบอกกับน้องเล็กว่า “โทรเรียกป้ามิดให้หน่อย บอกว่าเส้นจมจะให้มานวด” ป้ามิดเป็นคนมอญ เขานวดเก่ง ฉันเช้าเสร็จแล้ว เราถามน้องเล็กว่า “ตกลงป้ามิดจะมากี่โมง ?” น้องเล็กก็ยืนเอ๋อ “อะไร...ให้เรียกป้ามิดด้วย ?”
              นี่วาระกรรมที่ยังไม่เปิด สั่งไปแล้วเขายังลืม หรือคิดว่าพูดให้ฟังเฉย ๆ
              พอโทรไป ปรากฎว่าป้ามิดบอกวันนี้ไม่นวด เพราะว่าพวกมอญพม่าเขาจะถือวันลอยวันจมกัน ถ้าเป็นวันไม่ดีของเขา เขาจะไม่ทำงาน
              อาตมาก็บอกว่าให้เรียกหมอเทียนมา ปรากฎว่าหมอเทียนไม่ว่าง เพราะว่าไปไร่ จึงต้องนอนทนเจ็บจนถึงวันรุ่งขึ้น ปวดอยู่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่ง
              วันรุ่งขึ้นป้ามิดมา อาตมาชี้บอกป้าว่าเส้นสะบักหลังจม ให้กดเส้นคอด้านหน้าให้ที ป้ามิดก็ไม่ทำตาม ป้าเขาบอกว่า “จมข้างหลัง ต้องดึงข้างหลังเท่านั้น”
              รู้ดีกว่าอีกแน่ะ...! ป้ามิดแกดึงเส้นอย่างกับหนังสติ๊ก จับได้ก็กระชากยิ่งดึงก็ยิ่งจม อาตมาปวดแทบตาย ในเมื่อป้าช่วยไม่ได้ ก็บอกป้าว่า “พอเถอะป้า เสียเวลาฉันว่ะ”
              แม่ชีเห็นสภาพนี้มาสองวันแล้ว ตอนฉันเพลแม่ชีจึงส่งยาให้กำหนึาง บอกว่าเป็นยาแก้ยอก ยาแก้ยอกที่พวกมอญพม่าเขานิยมกันนักหนา ความจริงเป็นยาคลายเครียด ตอนนั้นอาตมาเห็นว่ายาแก้ยอก คิดว่าเข้าท่า จึงถามว่ากินแล้วง่วงไหม ? เพราะว่าจะทำงาน
              แม่ชีบอกว่าไม่ง่วงหรอก เพราะว่ากินเป็นประจำ ฟังให้ดีนะประโยคนี้ กินเป็นประจำ ก็เลยไม่ง่วง แต่พออาตมากินลงไปไม่ถึง ๕ นาทีหัวไถพื้นเลย ตอนที่เกือบสลบนั่นแหละที่ไปเก็นภาพในอดีตเข้า
              เห็นภาพว่าตัวเองเป็นทหาร กำลังรบกับฝ่าตรข้ามอยู่ ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้องต้องมาล้มตายเพราะตน ก็เลยท้าดวลกับแม่ทัพของฝั่งตรงข้าม เขาออกมา ๕ คน เป็นพ่อลูกกัน ส่วนของอาตมาก็คนเดียว...!
              ตอนช่วงนั้นใจคิดวางแผนรบไว้เรียบร้อยเลยว่าจะทำอย่างไร เริ่มจากพุ่งเข้าหาขุนทัพตัวพ่อก่อน เขาใช้ขวานสองหน้าซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บังตัวเกือบมิด ส่วนอาตมาใช้ทวน แค่ขนาดอาวุธก็เทียบกันไม่ได้แล้ว แต่สำคัญตรงที่ว่า ถ้ารู้เคล็ดลับเรื่องการใช้แรงก็จะได้เปรียบ
              พอพุ่งเข้าใส่ เขาก็สวนมาด้วยขวาน อาตมารั้งม้ารอจังหวะที่เขาฟันลงมาจนเกินครึ่งค่อยออกทวน จังหวะที่ขวานฟันลงมาครึ่งแรก แรงปะทะจะมาก แต่ครึ่งหลังขวานจะเป็นตัวถ่วง พออกทวนเท่ากับชักนำขวานที่ออกตัวอยู่แล้วให้ผิดทิศไป จนกระชากเขาเซไปทั้งคนทั้งม้า
              พอเขาเซไป อาตมากระชากม้ากลับ คนแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดโดนเลย แทงด้วยทวนเข้าคอหอยพอดี...!
              ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่ตะลึงอยู่อาตมาอาศัยจังหวะนั้นเหน็บทวนไว้ข้างขา เพราะเท้ากับโกลนติดกันอยู่ หนีบทวนไว้แล้วดึงเกาทัณฑ์ขึ้นมา
              เอี้ยวตัวยิงอีกฝ่ายที่กำลังล้อมเข้ามาด้านหลัง โดนคนหนึ่งเข้าเต็ม ๆ ตรงซอกคอทางขวาตกหลังม้าไป แต่เท้าเขาติดอยู่กับโกลนม้า โดนม้าลากไปเป็นทาง รับประกันว่าตายแน่..!
              พอชักม้ากลับ ก็กระตุ้นม้าพุ่งเข้าปะทะคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมาบังคนแรกที่เป็นพ่อไว้ รวบตัวได้แบบจับเป็น ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ก็ถอย เพราะว่าเพิ่งจะปะทะกันไม่เท่าไรก็ตายไปสองคนแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งโดนจับเป็นได้
              พอเขาถอยไป ทหารของเราก็เอาศพฝ่ายตรงข้ามมาให้ดู สมัยนั้นถ้าไม่ตัดหัวมา ก็จะหิ้วมาทั้งตัว อาตมาสำรวจศพ คนหนึ่งคอหอยโดนทวน คนหนึ่งโดนเกาทัณฑ์เข้าตรงข้างคอตรงนี้ อาตมาก็เข้าใจทันที เพราะที่เจ็บก็คือตรงนี้พอดีเลย
              สิ่งที่ทำไว้ถึงเวลาเขามาเอาคืน เจ็บอยู่แค่สองวัน แต่ทำเขาตายไปถึงสองศพ ดังนั้น...ในส่วนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแค่เศษกรรม เหมือนกับเป็หนี้เขา ๒๐ ล้าน เขาขอคืน ๒๐ บาท ก็ให้ไปเถอะ ถ้ายิ่งสามารถรู้ได้ว่าเราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ใจก็จะสบายว่าที่แท้เราทำเขามาเยอะ เขาเอาแค่นี้ก็ให้เขาไป
              ฉะนั้น...ยถากมมุตาญาณช่วยได้ดีมากเลย ดีตรงที่เรารู้ว่าสร้างกรรมอะไรไว้ ใจเราจะได้ยอมรับได้ เพราะเราทำเองเราถึงเจอ ลองอย่างอาตมาบ้างไหม ? เกเรเขาไว้มาก
              ตอนแรกหลวงพ่อวัดทาซุงบอกให้ไปปล่อยปลาทุกเดือน จะได้บรรเทากรรมตรงนี้ เพราะว่าอาตมาเกิดเป็นทหารทุกชาติ ฆ่าเขาไว้ทุกชาติ อาตมาก็มาคิดว่า กรรมของเราจะหนักขนาดนั้นเชีวหรือ ? พอป่วยเช้าป่วยเย็น ถึงรู้ว่าหนักขนาดนั้นจริง ๆ
              ที่กล่าวมานี้เพื่อให้นึกถึงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว ถ้าหากถึงวาระ ไม่ว่าจะไปหลบอยู่ทีไ่หน ก็หนีกรรมไปไม่พ้น
*************************

      ถาม :  ถ้าเรานึกถึงพระ แต่เป็นตอนที่พระกำลังทำไม่ดี เป็นสังฆานุสติหรือไม่ ?
      ตอบ :  เป็นสังฆานุสติ แต่จะมีกิเลสมารคอยชักจูงให้เราออกนอกทาง ถ้าใจเราหมองตอนนั้นก็เสร็จเหมือนกัน
      ถาม :  สังฆานุสติสำคัญตรงท่าทางที่เราจับได้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  สำคัญที่กำลังใจทรงไว้โดยปราศจากนิวรณ์รบกวน นึกถึงชื่อท่านก็ได้ นึกถึงหน้าตาท่านก็ได้ นึกถึงความดีท่านก็ได้ ถ้านึกถึงควาดีได้ถึงจัดว่าเป็นสังฆานุสติจริง ๆ
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  แปลว่ากำลังใจเรายังไม่ทรงตัวจริง ถ้ากำลังใจเราทรงตัวจริง กิเลสตัณหาต่า งๆ จะแทรกไม่ได้
              เพราะฉะนั้น..เมื่อเราแผ่เมตตาทรงอารมณ์จนกระทั่งสบายใจแล้ว ให้ภาวนาต่อไปเลย ภาวนาจนเราสามารถทรงฌานอย่างน้อย ๆ ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป แล้วรักษากำลังนั้นไว้ พวกกิเลสตัณหาต่าง ๆ ที่เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ จะเข้ามากวนเราไม่ได้
              โดยเฉพาะผู้หญิงกับผู้ชายนี่ลำบากมาก พอถึงเวลาเราเมตตาเขา สงเคราะห์เขา ตัวกูของกูต้องโผล่มาทันทีว่า “เขาต้องชอบเราแน่เลย”
              จากเมตตาก็กลายเป็นตัณหาไป ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะก็ให้ความร่วมมือด้วย แทนที่จะพากันขึ้น ส่วนใหญ่ก็พากันลง
              ดังนั้น...ในเรื่องของผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าจะเมตตาสงเคราะห์กัน ต้องมีเส้นแบ่งของตัวเองไว้เสมอ
              สมัยก่อนตอนเป็นฆราวาสอยู่ เวลาอาตมาไปวัดจะมีน้องผู้หญิงไปด้วย ๘ - ๑๐ คนเป็นประจำ แต่อาตมาขีดเส้นไว้แน่นอนแล้วระบุไว้ชัดเลยว่า เธอจะให้เป็นพ่อก็เป็นให้ เป็นพี่ก็เป็นให้ เป็นน้องก็เป็นให้ เป็นลูกก็เป็นให้ แต่เป็นผัวเธอฉันไม่เอา...!
              ในเมื่อระบุไว้ชัด เขาก็ไม่กล้ามาตอแยทางนี้ เพราะฉะนั้น...ต้องมีเส้นที่แน่นอนของตัวเองอยู่ ถ้าไม่มีแล้วล้ำเส้นเมื่อไร สิ่งที่เราทำอยู่ก็จะเสียหายมาก
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วสำคัญเท่ากันทุกตัว แต่เขาพยายามสร้างสติให้ทรงตัวที่สุด เพื่อใช้สติควบคุมตัวอื่นให้เจริญ
              ในเรื่องของอินทรีย์ ๕ หรือพละ ๕ ก็ตาม ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนรถม้าที่เทียมด้วยม้า ๕ ตัว ม้าที่ชื่อสติจะนำหน้า ม้าที่ชื่อวิริยะ กับสมาธิจะตีคู่กันไป ม้าที่ชื่อศรัทธากับปัญญาจะต้องตีคู่กันไป
              ถ้าศรัทธาเกิน จะเป็นอธิโมกขศรัทธา
              ปัญญาไม่มี ก็จะเชื่อแบบงมงาย
              ถ้าปัญญาเกิน ก็จะจด ๆ จ้อง ๆ ไม่กล้าทำอะไร เพราะว่ากลัวผิดพลาด
              ถ้าวิริยะความเพียรมากจนเกินไป สมาธิสูงเกินหนักเกิน จะพิจารณาวิปัสสนาญาณไม่ได้
              เพราะฉะนั้น...ในส่วนของศรัทธากับปัญญาต้องเสมอกันเป็นคู่ที่หนึ่ง ในส่วนวิริยะกับสมาธิต้องเสมอกันเป็นคู่ที่สอง แต่ในส่วนของสติ ท่านบอกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี
              ดังนั้น...ถ้าเราเห็นรถเทียมม้า ๕ ตัววิ่งไป ตัวสติจะนำหน้า ตามมาด้วยคู่ของวิริยะกับสมาธิ และคู่ของศรัทธากับปัญญา
              แต่ทั้งปวงแล้วต้องเป็นผู้มีปัญญาก่อน จึงจะเห็นว่าอะไรดีแล้วควรทำ หลังจากนั้นต้องประกอบไปด้วยศรัทธา จึงอยากที่จะทำ เมื่อทำดังนั้นได้แล้ว ก็ต้องมีวิริยะ คือพากเพียรทำไปจนสมธิทรงตัว สมาธิที่ทรงตัวนั้นแหละ สติก็จะเกิดขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น
              ดังนั้น...การปฏิบัติของเราจะต้องทำทุกอย่างให้เสมอกัน แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่พวกเราจะไปหย่อนเรื่องสมาธิ
              บางท่านอธิบายไว้ว่า “ใช้แค่อุปจารสมาธิ แล้วลดกำลังของตัวอื่นให้มาเสมอกัน เมื่ออินทรีย์เสมอกัน ความก้าวหน้าจึงจะมี”
              อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะว่ากำลังอุปจารสมาธิต่อต้านราคะก็โทสะไม่ได้
              เราควรจะเร่งสมาธิไปจนถึงฌานสี่เลย แล้วดึงเอาตัวศรัทธา วิริยะ ปัญญาตามไปด้วย
              ถ้าทำอย่างนั้นได้ เราจะระงับเรื่องราคะและโทสะลงได้ ตัณหาต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะกินใจเราได้ เพราะกำลังของเราสูงพอที่จะระงับยับยั้งเอาไว้แล้วค่อยใช้ปัญญาไปพิจารณาตัดละเอาทีหลัง
*************************

      ถาม :  เราสอนเขาตามที่เราเข้าใจ และเราก็คิดตามไปด้วยจนทรงฌาน มีไหมครับ ?
      ตอบ :  มี…เพราะว่าสอนเขาแล้วเราได้ด้วย เท่ากับสอนตัวเอง
      ถาม :  เป็นกิเลสไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าอยากสอนจะเป็นกิเลส ถ้าสงเคราะห์เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เป็นไร
      ถาม :  คือสิ่งที่เราปรุงแต่งเอง ?
      ตอบ :  จะปรุงแต่งแต่ก็เป็นในส่วนที่เราชำนาญ ถ้าเขาต่ำกว่าก็ลากเขามาเถอะ ถ้าเขาสามารถไปเหนือกว่าเราได้ ก็ถีบส่งไปเลย
      ถาม :  ถ้านึกถึงสิ่งที่เราทำบ่อย ๆเราก็จะก้าวหน้า ?
      ตอบ :  ไม่ใช่แค่นึก แต่ต้องซักซ้อมของเก่าเอาไว้เสมอ เราจะได้มีความชำนาญและคล่องตัวขึ้น
              ถ้าอย่างเรื่องสมาธิก็จะปรับมาเป็นฌานใช้งาน จะมีความเบาความสบาย ไม่หนักเหมือนสมาธิที่เราฝึกหัด
      ถาม :  จำเป็นต้องกลับไปทำตามแบบแผนไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้ามีโอกาสทำตามแบบแผนได้ ให้เราทำ เพื่อประกันความเสี่ยง ถ้าไม่มีโอกาสก็ข้ามขั้นไปเลย
*************************

      ถาม :  คนที่มีสมาธิมาก ๆ จะมีสติมากหรือเปล่า ?
      ตอบ :  สติจะมั่นคงตามไปด้วย สมาธิยิ่งทรงตัวมากเท่าไร สติจะยิ่งมั่นคงมากเท่านั้น
              ที่บอกว่านั่งเงียบไปเฉย ๆ ความจริงเขานั่งอย่างมีสตินะ เพราะข้างในรู้อยู่ตลอด เพียงแต่ไม่อยากจะคลายออกมาเท่านั้น
*************************

      ถาม :  ตัวราคะก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไร ?
      ตอบ :  โอ้พระเจ้า...ทุกข์หยาบขนาดนี้ยังมองไม่เห็น...!
              ในเมื่อเรายินดี ก็จะเกิดความอยากมีอยากได้ ก็คือตัวกำหนัดขึ้นมา ก็ต้องไปแสวงหา ขึ้นชื่อว่าการดิ้นรนแสวงหา แม้เป็นความคิดก็ทุกข์แล้ว ยังไมต้องพูดถึงการตะเกียกตะกายไปหามาให้ได้นะ
      ถาม :  แต่การทำให้อยาก ก็ต้องเกิดจากการ...?
      ตอบ :  สำคัญว่าเราไปถูกทางไหม ? ถ้าไปถูกทางก็เป็นฉันทะ ถ้าไปไม่ถูกทางก็เป็นตัณหา
              สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าความอยากช่วยให้เราพ้นทุกข์ เป็นฉันทะ
              ถ้าความอยากเพิ่มทุกข์ให้เรา ก็เป็นตัณหา
*************************