“ตอนนี้กำลังตามหาที่อยู่ของท่านธรรมโฆษ เพื่อขออนุญาตนำเรื่องลีลาวดี มาลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุน
เรื่องลีลาวดีนี้ พระเรวัตตะในเรื่องไม่มีตัวตนจริง แต่ใช้ชื่อพระเรวัตตะในสมัยพุทธกาลแทน ตัวจริงคือพระอานนท์
มาจากตอนที่พระอานนท์ไปขอนำ้ดื่มจากนางกุมภทาสีชื่อโกกิลา พระอานนท์เป็นวรรณะกษัตริย์ ส่วนนางกุมภทาสีเป็นจัณฑาล นางกุมภทาสีถามพระอานนท์ว่า ตนเองสามารถจะให้นำ้แก่วรรณะกษัตริย์ได้หรือ ? เพราะว่าสมัยนั้นเขาถือว่าจัณฑาลนเป็นเสนียดจัญไร
พระอานนท์บอกว่า คนเราทั้งหมดเกิดมาล้วนแต่เสมอกัน ใครทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่ได้แตกต่างกันด้วยวรรณะ
นางกุมภทาสีก็เลยชอบใจ ถวายน้ำแก่พระอานนท์ และยังแอบหลงรักพระอานนท์อีก เขาก็เลยเอาเนื้อหาตรงนี้มาผูกเป็นเรื่องลีลาวดี
แต่ว่าเรื่องลีลาวดีนี้ พระเอกเป็นจัณฑาล คือเรวัตตะไปหลงรักลีลาวดีที่เป็นลูกเศรษฐี ลีลาวดีก็รักตอบด้วย แต่พ่อแม่ของลีลาวดีไม่ยอมให้แต่งงาน ท่านหวงลูกสาว
เรวัตตะช้ำใจก็เลยหนีไปบวช ลีลาวดีก็หนีไปบวชเป็นภิกษุณีตามไปด้วย หมดไปหนึ่งชาติ เพราะว่ามัวแต่บรรยายความตามไท้เสด็จญาติตั้งแต่ต้นยันปลาย สรุปได้แค่นี้
ปรากฎว่าตอนท้ายภิกษุณีลีลาวดีป่วยใกล้ตาย พระเรวัตตะไปเยี่ยม ภิกษุณีลีลาวดีก็ยังคงตั้งกำลังใจผูกมั่นอยู่ พอตายไปก็มาเกิดใหม่ในภาค ๒
ลีลาวดีโตเป็นสาววัยรุ่น ไปเจอกันเข้า ต่างคนต่างจำกันได้ พระเรวัตตะตอนนั้นอายุประมาณ ๔๐ กว่าแล้ว ก็พยายามหนี เพราะว่าตอนนั้นพระเรวัตตะเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงมากแล้ว มีคนเคารพนับถือมาก เมื่อพระเรวัตตะพยายามหนี ลีลาวดีในชาติใหม่ก็ช้ำใจ ไปบวชอีกรอบหนึ่ง
พระเรวัตตะเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ เจอใครที่เป็นศาสดาเจ้าลัทธิเก่ง ๆ หรือจอมโวหาร ก็ยกหลักธรรมพระพุทธเจ้าขึ้นไป อยู่ลักษณะโต้วาทีเอาชนะเขา
พอชนะเขาได้ก็ยิ่งมีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายิ่งมีชื่อเสียงมาก ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังใจของตนต้องการ กำลังใจที่ตัวเองต้องการคืออยากแต่งงานกับลีลาวดี
ก็เลยตัดสินใจว่าจะสึกแล้ว เดินทางกลับเพื่อหาว่าภิกษุณีลีลาวดีอยู่ที่ไหน ก็ไปเจอกันตรงประตูเมือง พระเรวัตตะก็แจ้งความประสงค์กับลีลาวดีว่าจะสึกแล้ว
ภิกษุณีลีลาวดีที่เป็นเด็กสาว อายุน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง บอกว่า “น้องชาย..ให้ตั้งใจปฏิบัติเถิด ธรรมะของพระบรมศาสนานั้นไม่เป็นหมันหรอก ใครปฏิบัติตามก็ได้ผลทั้งนั้น”
ภิกษุณีลีลาวดีเธอเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ก็เลยเรียกพระเรวัตตะว่าน้องชาย หักมุมเอวเคล็ดจริง ๆ อุตส่าห์ตามมาข้ามชาติข้ามภพ ท้ายสุดเห็นทุกข์ ปล่อยวางได้ กลายเป็นพระอรหันต์ พระเรวัตตะที่ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ชาติเดียว ตามไม่ทัน
ตอนที่พระเรวัตตะบวช แล้วกามราคะกำเริบ พระอาจารย์พาไปดูซากศพในป่าช้า นั่งพิจารณาไปแล้ว พระเรวัตตะก็ได้คิด ธรรมโฆษเขาเขียนเป็นกลอนว่า
นารีจะดูงาม ต่อเมื่อยามที่ยังเยาว์
แก่แล้วก็เหี่ยวเฉา บ่มีส่วนจะพึงชม
ดุจปวงบุปผชาติ งามวิาศน่าเด็ดดม
แรกบานก็งามสม แต่บ่นานก็โรยรา
เขามัวบรรยายในลักษณะนี้ ภาคหนึ่งจึงหมดไปตรงลีลาวดีป่วยตาย ตรอมใจตาย
เราจะเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า พระเรวัตตะพยายามหนีตัวเองสุดชีวิต พูดง่าย ๆ คือหนีกิเลส ท้ายที่สุดหนีไม่พ้น ยอมกลับไปเป็นทาสกิเลสใหม่ ปรากฎว่ากิเลสไม่ใช่กิเลสแล้ว ตัวกิเลสกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว..!”
*************************
“คนที่ไม่เคยนอนแถวเมรุ ไม่รู้หรอกว่าเมรุน่านอนแค่ไหน อาตมาไปวัดโพธิ์เมืองปัก ของหลวงพี่มหาถวัลย์ วัดนี้เป็นวัดเล็ก ๆ เวลาที่วัดจัดงานนี่เสียงดังกลบไปทั้งวัด อาตมาทนรำคาญไม่ไหว อยู่บนศาลานอนไม่ได้แน่ จึงลงไปเดินหามุมเงียบ ๆ
เดินไปเจอบ้านผีที่เขาทำเป็นช่อง ๆ สำหรับเสียบโลงได้โลงหนึ่ง แล้วซ้อนขึ้นไปเป็นชั้น ๆ อาตมาเห็นว่ามีช่องที่ว่างก็มุดเข้าไป เอาหัวเข้าไปได้ก็ปลอดภัยแล้ว อย่างน้อย ๆ เสียงเข้าไปได้ช่องก็ไม่ดังมาก แย่งที่ผีนอนก็แย่งมาแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก...!
แต่ที่ไปแม่สานนั่นไม่ได้เจตนานะ ไม่รู้จริง ๆ เห็นเนินลาด ๆ ประมาณ ๖๐ องศา ต้นไม้ขึ้น ๒ ข้าง ก็คิดว่าสบายแล้ว ผูกเชือกแขวนกลดได้พอดี จัดการเสร็จสรรพเรียบร้อยก็สรงน้ำสรงท่า
พอถึงเวลาเข้ากลด เอนตัวลงจะนอน เห็นผีโผล่มาตรงปลายเท้า ๖ ตัว แต่เทวดาที่มาทางหัว เฉพาะที่นำหน้า ๑๒ องค์ ที่ตามมาอีกเป็นกองทัพ ผีก็เลยต้องเผ่นแทน...!
อาตมาก็สงสัยว่าอะไรวะ อยู่ ๆ มาหลอกกัน แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ภาวนาของตัวเองไป พอรุ่งเช้าเก็บกลดเสร็จ สะพายบาตรเข้าไปที่วัด เณรเกียงดาถามว่าเมื่อคืนนอนที่ไหนครับ ?
อาตมาก็ชี้ให้เขาดู เณรทำหน้าพิกล บอกว่า “นอนเข้าไปได้อย่างไรนั่นป่าช้า...!”
อ้าว...ก็เอ็งไม่บอกนี่หว่า จึงกลับไปพิจารณาใหม่ ไอ้เนินลาด ๆ นั่นที่แท้ก็หลุมศพ มิน่า...เขาหวงหลุมถึงจะมาเล่นงานเอา...!
ว่ามาถึงตอนนี้ก็นึกถึงคุณทัศน์ทรง ชมพูมิ่ง คุณทัศน์ทรงไปรถเสียอยู่กลางป่า รถเสียแกก็นอนพัก ปรากฎว่าพอรุ่งเช้า มีชาวบ้าน ๗ - ๘ คน ถือขันดอกไม้มา บอกว่า “พ่อเลี้ยง..ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย”
คุณทัศน์ทรงก็ถามว่า “ทำไม ? เห็นข้าเป็นอาจารย์ขลังหรืออย่างไร ?
ชาวบ้านเขาบอกว่า “พ่อเลี้ยงนอนตรงนี้ได้ต้องขลังแน่เลย เพราะว่าที่พ่อเลี้ยงนอนเป็นหลุมผีตายทั้งกลม หลอกทุกคนที่มาแถวนี้...!”
พ่อเลี้ยงเขาเข้านอนเร็ว น่าจะไปนอนทับอยู่ ผีเลยออกมาหลอกไม่ได้ ผีโดนทับอยู่ออกมาไม่ทัน...อาตมาฟังแกเล่าก็ขำ ชาวบ้านเห็นว่านอนบนหลุมผีได้ต้องขลังแน่เลย “ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย”
คนยังไม่ทันจะตื่น มานั่งล้อมกันแล้ว คุณทัศน์ทรงเขาคงจะพกวัตถุมงคลอะไรบางอย่าง ผีก็เลยไม่กล้าหือ”
*************************
“มีใครที่ไปปฏิบัติธรรม แล้วยังรักษาศีล ๘ ไว้ได้ถึงตอนนี้บ้าง ?
ในอุโปสถสูตร บรรดาหญิงชาวบ้านไปรักษาอุโบสถศีลกันเยอะ นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็สอบถามว่า “นี่แน่ะ...แม่ทั้งหลายพวกท่านรักษาอุโบสถศีลไป เพื่อประสงค์สิ่งใดหรือ ?”
หญิงมีอายุมากบอกว่า “เรารักษาอุโบสถศีล เพราะปรารถนาโลกสวรรค์”
หญิงวัยกลางคนบอกว่า “เรารักษาอุโบสถศีล เพราะไม่ต้องการอยู่รวมกับหญิงอื่นของสามี”
พูดง่าย ๆ ก็คือต้องการให้อานิสงส์ของอุโบสถศีล ช่วยให้ผัวไม่มีเมียน้อย
หญิงสาวที่แต่งงานแล้วบอกว่า รักษาอุโบสถศีล เพราะหวังจะได้ลูกเป็นผู้ชาย
ส่วนหญิงที่ยังไม่แต่งงานก็บอกว่า รักษาอุโบสถศีล ด้วยหวังว่าจะได้แต่งงานกับชายในตระกูลที่เสมอกัน พูดง่าย ๆ คือให้เป็นคนวรรณะเดียวกัน ฐานะดีพอกัน
นางวิสาขามหาอุบาสิกาพอได้ยินแล้วก็สลดใจ ไปปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า ทำไมเขาถึงตั้งความหวังกันแค่นั้น ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สำหรับปุถุชนทั่ว ๆ ไปแล้ว การปฏิบัติก็หวังในวัฏฏะทั้งนั้น ก็คือยังยึดข้องอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด จะไปให้เขาหวังความหลุดพ้นเป็นไปไม่ได้” คราวนี้เห็นหรือยังว่านั่นระดับศีล ๘ นะ
จุดที่น่าสังเกตมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นคนฉลาด และช่างคิดมาก ปกติของเราถือศีล ๘ ก็คงไม่คิดไปไล่ถามเขาหรอก ว่าต้องการอะไรถึงได้ถือศีล ๘
ประการที่ ๒ ก็คือ คนถือศีล ๘ สมัยนั้นมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่หญิงสาวรุ่นยังไม่แต่งงาน หญิงสาวที่เพิ่งแต่งงาน หญิงกลางคน หญิงชรา หวังว่าคงไม่มีเด็กอายุ ๖ ขวบอย่างน้องส้มโอ (ชุติกาญจน์ รู้รัก) นะ
*************************
ฉะนั้น...ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกเอาเรื่องจริง ๆ จะได้อะไรเยอะมาก จะเห็นสภาพของสังคมยุคนั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เราจะได้รู้ว่า
“คาม” มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
“นิคม” มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
“ชนบท” มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
คามะหรือคามในสมัยก่อน น่าจะประมาณหมู่บ้านของเราในปัจจุบัน
พวกนิคมต่าง ๆ ต้องใหญ่ประมาณอำเภอหรือจังหวัด
ถ้าหากว่าชนบทนี่เป็นประเทศเลยนะ จะเห็นว่าประเทศในสมัยนั้นไม่ได้ใหญ่โตมาก ประมาณ ๒ - ๓ จังหวัดได้ แต่ถ้าใหญ่ประมาณ ๗ - ๘ จังหวัด เรียกมหาชนบท
สมัยนั้นมหาชนบทมีอยู่ ๑๖ แคว้นด้วยกัน แต่ว่าจะมีอยู่ ๔ แคว้น ที่เป็นแคว้นใหญ่ ก็คือ มคธ โกศล วัชชี วังสะ
วังสะ มีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง
วัชชี มีเมืองเวสาลีเป็นเมืองหลวง
มคธ มีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง
โกศล มีสาวัตถีเป็นเมืองหลวง
ถ้าเปรียบในปัจจุบัน มคธกับโกศล ก็คงเหมือนจีนกับอเมริกา ส่วนวัชชีกับวังสะ ก็คงจะรอง ๆ ลงมาในระดับอังกฤษกับเยอรมัน
แคว้นมคธถ้าเห็นว่าแคว้นอื่นเผลอเมื่อไร ก็ผนวกแคว้นอังคะเข้าไปด้วยทุกที เพราะฉะนั้นมหาชนบท ๑๖ แคว้น บางทีก็มีไม่ครบ ๑๖ แคว้นหรอก เพราะว่าโดนแคว้นใหญ่กว่ากลืนไปบ้าง
แคว้นโกศลมีแคว้นเล็ก ๆ อยู่ในปกครองจำนวนมาก อย่างกบิลพัสดุ์ เทวทหะ ก็เป็นแคว้นในปกครองหมด
*************************
พระเจ้าปายาสิ ในปายาสิราชัญญสูตร ที่ไปถามปัญหาพระกุมารกัสสปะ นั่นก็เป็นกษัตริย์ที่มีประเทศ แต่อยู่ในปกครองของแคว้นโกศล
พระเจ้าปายาสิถึงได้ตรัสว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลมหาราชทราบแล้วว่าเรามีทิฐิอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงเปลี่ยนทิฐิไม่ได้ เจ้านายรู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนแล้วเดี๋ยวเจ้านายจะไม่ชอบขึ้หน้า
ถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีกษัตริย์ปกครอง แต่บางทีเขาก็เรียกผู้ปกครองว่า กษัตริย์บ้าง ราชาบ้าง แต่ถ้าเป็นแคว้นโกศลเขาเรียกว่ามหาราช เพราะว่าปกครองหลายประเทศ
ส่วนแคว้นวังสะ มีพระเจ้าอุเทนเป็นผู้ครองแคว้น ถ้าเอ่ยถึงแคว้นวังสะ เรื่องที่ชัดที่สุดก็เรื่องของพระนางสามาวดี
ส่วนแคว้นวัชชี พระพุทธเจ้ามาจำพรรษาสุดท้ายอยู่ที่นี่ ที่บ้านเวฬุวคาม เมืองเวสาลี และทรงปลงอายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์”
*************************
ถาม : แคว้นวัชชีมีผู้ปกครองหลายคนไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะคณะผู้ปกครอง ๗,๗๐๗ คน ก็คือหัวหน้าใหญ่มี ๗ คน ทั้ง ๗ คนนี้จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐๐ คน เท่ากับมีแล้ว ๗๐๗ คน
แล้วหัวหน้ารอง ๗๐๐ คนนี้ จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐ คน เป็น ๗,๐๐๐ คน
เพราะฉะนั้น...คณะของกษัตริย์ลิจฉวีที่ปกครองประเทศ มีด้วยกัน ๗,๗๐๗ คน
ถาม : แคว้นวัชชีเป็นเมืองที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องจะตีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่…เมืองเวสาลี แคว้นวัชชีนี่แหละ ที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องมาตั้งแต่สมัยพระราชบิดาของตนแล้วว่า ถ้ามีอำนาจเมื่อไรจะเอาแคว้นนี้แน่
เมื่อเช้าได้กล่าวถึงเรื่องอปริหานิยธรรม ว่าตราบใดที่แคว้นวัชชียังรักษาอปริหานิยธรรมได้ ย่อมไม่มีใครตีบ้านเมืองได้ แต่วัสสการพราหมณ์ใช้เวลา ๓ ปี ทำลายความสามัคคีได้
แล้วก็มีคนตั้งกระทู้ถามว่า พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่า ถ้าตรัสถึงเรื่องอปริหานิยธรรมอย่างนั้นแล้ว วัสสการพราหมณ์จะไปทำการยุยงให้เขาแตกกัน และตีบ้านตีเมืองเขา ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกให้วัสสการพราหมณ์รู้ ?
มีคำเฉลยว่า ถ้าไม่ตรัสอย่างนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปลุยเดี๋ยวนั้นเลย แข็งแต่แข็งเจอกัน เลือดก็นองเป็นท้องธาร
แต่ถ้าตรัสอย่างนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูต้องเสียเวลาวางแผนอีก ๓ ปี ทำให้เสียบ้านเสียเมืองช้าไป ๓ ปี มีเวลาทำความดีอีก ๓ ปี คือจะช้าจะเร็วก็เสียเมืองแน่ แต่ให้เสียช้าหน่อย คนตายน้อยลงหน่อย
*************************
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่ได้เข้าแคว้นโกศล เพียงแต่วนอยู่รอบ ๆ แคว้นนี้ตลอด ๑๔ ปีแรก จนพระพุทธศาสนาปักหลักมั่นคงแล้วถึงได้เข้าแคว้นโกศล เพราะว่าตอนนั้นกบิลพัสดุ์เป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศลอยู่
บวกกับคำทำนายที่ว่า “สิทธัตถราชกุมาร จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก” ได้หลอกหลอนอยู่ทุกแคว้น ถ้าพระพุทธเจ้าเข้าไปแคว้นโกศลตรง ๆ ก็อาจจะหัวขาด...!
แม้ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้ แต่ก็ทำให้เขาสร้างเวรสร้างกรรมอันใหญ่หลวง พระพุทธเจ้าจึงต้องรอเวลาที่สมควร
รอจนกระทั่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงาน
รอจนกระทั่งธนัญชัยเศรษฐีไปอยู่แคว้นโกศล
รอจนกระทั่งอนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นพุทธสาวก เป็นพระโสดาบัน
รอจนกำลังหนุนมากพอ เพราะว่ากี่ยุคกี่สมัยคนรวยเสียงย่อมดัง ในเมื่อแต่ละคนล้วนแล้วแต่กลายเป็นพุทธสาวก ให้ความเคารพ และเอ่ยถึงพระพุทธเจ้ามาก ๆ เข้า ท้ายสุดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทนไม่ไหว ต้องเข้าไปหากับเขาด้วย
ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกแล้วรู้จักคิดจะสนุกมากเลย เพียงแต่อ่านแล้วต้องมีหลักนะ ถ้าคิดอย่างไม่มีหลักแล้วจะฟุ้ง
*************************
“คนที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก จะไม่ให้ความรัก ความชังหรืออารมณ์ส่วนตัว มาอยู่เหนือกว่าประโยชน์ของส่วนรวม
อย่างนิยายจีนเรื่อง แส้สะบัดเลือด พระเอกกับตัวละครตัวหนึ่งที่มีนิสัยกึ่ง ๆ ตัวโกง จะสู้กันทุก ๓ ปี โดยตัวละครที่มีนิสัยกึ่งตัวโกงนี้เขามีฉายาว่า ขงเบ้งพิษ เป็นระดับสุดยอดฝีมือเลย
๓ ปี ดวลกันครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคยชนะพระเอก ไม่ว่าจะวางแผนมาอย่างไร พระเอกก็แก้ได้หมด จนเขาเองก็แปลกใจว่า เขามีฉายาว่าขงเบ้งนะ พระเอกฉลาดกว่าหรืออย่างไร ?
ความจริงก็คือ พระเอกเป็นหัวหน้าพรรค มีลูกน้อง ๓๐๐ กว่าคน
ส่วนขงเบ้งพิษเป็นคนโดดเดี่ยว กึ่งธรรมะกึ่งอธรรม
พระเอกเขาเฉลยว่า บุคคลที่ต้องคิดแทนผู้อื่น ๓๐๐ กว่าคน กับบุคคลที่คิดแค่คนเดียว บุคคลที่คิดแทนคนอื่นอย่างไรก็รอบคอบกว่า กำลังใจเหนือกว่ากันเยอะ”
*************************
ถาม : ระหว่างคนที่เมตตาผู้อื่น กับคนที่ไม่เมตตา ?
ตอบ : คนที่เมตตาผู้อื่น มุมมองของชีวิตจะกว้างกว่า สามารถที่จะเห็นชัดเจนเลยว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเอง รัก โลภ โกรธ หลง จึงน้อยลง โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากขึ้น
แต่ถ้ากอบโกยเพื่อตัวเอง จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ก็หลุดพ้นยากขึ้น
*************************
“ครอบครัวคนจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม เขาจะไม่กินสัตว์ใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นคุณูปการของเจ้าแม่กวนอิม ที่ช่วยชีวิตสัตว์ได้อย่างมหาศาล ถ้าไม่อย่างนั้นสัตว์คงต้องตายกันอีกนับไม่ถ้วน”
*************************
ถาม : อิสลามเขาสอนลูกหลาน ไม่ให้กินหมูตั้งแต่เด็ก ๆ ?
ตอบ : ทางตะวันออกกลางสมัยนั้น สภาพภูมิประเทศไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหมู เพราะว่าอากาศร้อน และหมูสกปรก จะเกิดโรคระบาดได้ง่าย ก็เลยเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นแทน จนกลายเป็นข้อห้ามไป
ตอนอาตมาวัยรุ่น อยู่แถว ๆ ประเวศ มีเพื่อนเป็นอิสลามเยอะแยะ เอาหมูให้เขากินมาเยอะแล้ว เราก็ถามว่าเป็นอิสลามทำไมกินหมูได้ ? เพื่อนเขาบอกว่าถ้าไม่พูดถึงก็กินได้ แต่ถ้าพูด เขาต้องไปล้วงคอทิ้ง
*************************
ถาม : อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีครบทั้งสี่ข้อหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา คือมีฉันทะ วิริยะถึงจะพากเพียรตามมา แต่ถ้าปัญญาไม่เพียงพอ จิตตะกับวิมังสาจะไม่มี
เพราะฉะนั้น..คนที่มีอิทธิบาท ๔ ต้องมีปัญญาประกอบด้วย
พอใจที่จะทำ ก็พากเพียรทำไป แต่ถ้าปัญญาไม่พอ จิตใจอาจจะไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับงานนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จักทบทวนว่าทำไปถึงไหนแล้ว
ที่อาฬวกยักษ์ท่านถามว่า อะไรเป็นเครื่องนำไปสู่ความหลุดพ้น ?
พระพุทธเจ้าตอบว่า ปัญญานำไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไม่มีปัญญาก็ทำผิด ถ้าพยายามผิด พากเพียรผิด ผลก็จะผิดไปด้วย
*************************
ถาม : ผู้ที่อธิษฐานให้มีอายุอยู่ต่อ ท่านอธิษฐานอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ใช่อธิษฐาน ท่านปรับธาตุร่างกายตัวเองให้เสมอกัน คือให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ถ้าธาตุในร่างกายเราสมบูรณ์บริบูรณ์ ก็สามารถที่จะใช้งานไปได้เรื่อย ๆ
ทางด้านพม่า จะมีหลวงปู่โกวิทะ พม่าเขาออกเสียงว่า “โกวิด๊ะ” ท่านอายุ ๙๐๐ กว่าปีแล่ว จะออกมาเจอประชาชนปีละครั้งเดียว ช่วงประมาณวันเกิดครบรอบปีของท่าน
เขาจะสร้างเหมือนถ้ำหรือเหมือนกับเตาเผาถ่าน แล้วใส่ของหอมเยอะแยะไปหมด ท่านก็จะเข้าไป จุดไฟแล้วก็ปิดประตู ไฟไหม้ลุกท่วม พอเสร็จสรรพท่านก็เดินยิ้มออกมา เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง จะทำอย่างนั้นปีละครั้งหนึ่ง
คนไปงานนี้เป็นแสน ๆ คน เขาถ่ายวีดีโอเอาไว้ เวลาดูนี่เหมือนอย่างกับจัดฉากเลย เพราะว่าคนเป็นแสน
ทางด้านที่อยู่ห่างก็เรียก “หลวงปู่...ทางนี้หน่อย” ท่านก็แวบไปตรงนั้น กล้องถ่ายรูปจะจ่อทางนั้น พอเรียก “หลวงปู่ทางนี้หน่อย” ท่านก็แวบมาทางนี้ แต่ขอโทษ ...มีปีละครั้งเดียว นอกนั้นท่านไปหลบอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ?
ถาม : สังขารท่านหนุ่มหรือแก่ ?
ตอบ : แก่…แต่กี่ปี ๆ ก็แก่แค่นั้น ไม่ได้แก่ไปกว่านั้น
ถาม : ปกติ ?
ตอบ : ปกติเลย เดินเหินคล่องตัวเหมือนหนุ่ม ๆ เดิน พอถึงเวลาปรับธาตุเสมอกัน ก็เหมือนกับหนุ่ม ๆ นั่นแหละ
*************************
ถาม : อิทธิบาทสี่ต้องปรับธาตุ ?
ตอบ : ทำอย่างนั้นแหละ ถ้าอิทธิบาทไม่พอก็ทำไปไม่ถึง ทางบ้านเราก็มีหลวงปู่โลกอุดร
ถาม : ต้องใช้กำลังของอะไรครับ ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ กสิณ ๑๐ ต้องคล่องตัว ถ้ากสิณ ๑๐ ไม่คล่อง ทำไม่ได้อยู่แล้ว
ถาม : ถ้าทำได้แล้ว อธิษฐานให้คนอื่นมีอายุต่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตัวเองจะอยู่ก็ยังคิดหนัก แล้วจะให้ไปช่วยแมวที่ไหนเล่า ? ทำได้ขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็ยอมรับกฎของกรรม ที่ต้องทนอยู่ต่อไปเพราะงานยังไม่หมด
*************************
“แม่ชีจะทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หัวข้อวิชชาจารณสัมปันโน จึงถามว่าวิชชาจารณสัมปันโนครอบคลุมแค่ไหน ? เพราะประโยคนี้หมายความว่า ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติทั้งปวง
วิชชา ในที่นี้ต้องเน้นเอาอย่างเดียว ก็คือว่าความรู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือต้องเน้นความรู้ในมรรค ๘ สรุปลงเป็นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ส่วนจรณะ คือความประพฤตินั้น ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่า
ยถาวาที ตถาการี คือ พูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ถึงจะเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นได้
แต่สมัยนี้มีเยอะที่เขาบอกว่า “จงทำอย่างที่ผมพูด แต่อย่าทำอย่างที่ผมทำ” เพราะผมเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้
ความจริงต้องถามอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาอาจจะมีแนวความคิดเพิ่มเติมขึ้นมา ที่มาถามอาตมาก็คงได้แนวความคิดกว้าง ๆ แล้วก็ไปค้นเอกสารไว้ก่อน
แม่ชีบอกว่า จะส่งโครงร่างวิทยานิพนธ์ภายในอาทิตย์นี้ ถ้าโครงร่างเสร็จก็เท่ากับวิทยานิพนธ์เสร็จ เพราะโครงร่างนั้นมีถึง ๑๐ หัวข้อ มาแยกใส่บทที่ ๒ และบทที่ ๓ ได้ ส่วนที่เหลือไปสรุปเนื้อหาให้ตรงกับสภาพปัญหาที่ทำวิจัยก็ใช้ได้แล้ว”
*************************
“พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ยังมีอีก ๒ เนื้อที่ยังไม่ได้ออก เนื้อแรกคือเนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อที่สองเป็นเนื้อชิน แต่เนื้อชินสร้างแค่ ๓๐๐ องค์ จัดเข้าเป็นชุดกรรมการ เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้...! ยกเว้นแต่ว่าเป็นกรรมการ
แต่ว่าเนื้อเมฆสิทธิ์นี้กำลังรออยู่ว่า ถ้าพระอาจารย์วันชาติบอกว่าพร้อมเมื่อไร อาตมาจะออกเนื้อเมฆสิทธิ์ทันที เพราะว่าอาจารย์วันชาติจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๕๐ ศอก ใหญ่กว่าสมเด็จองค์ปฐมวัดหนองหญ้าปล้องถึง ๑๐ ศอก ท่านขอทุนเริ่มต้นไว้ที่ ๑ ล้านบาท
สมเด็จองค์ปฐมองค์นี้ฐานจะทำเป็นโบสถ์ แปลว่าสร้างพระองค์หนึ่ง ได้โบสถ์อีกหลังหนึ่ง ท่านขอทุนเริ่มต้นที่ ๑ ล้านบาท
เพราะฉะนั้น พระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์กำลังรอท่านอยู่ ถ้าท่านยกมือว่าผมพร้อมแล้ว ก็ออกได้ทันที อาตมาหาให้ท่านก่อน ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นก็ทยอยไป
แบบเดียวกับของวัดหนองหญ้าปล้อง ถึงเวลาก็ให้ทุนไปเริ่มแรก ๑ ล้านบาท แล้วก็ให้ไปเรื่อย ๆ กว่าจะปิดงบได้ อาตมาหมดไป ๘ ล้านกว่าบาท
เงิน ๘ ล้านกว่าบาทนี่ถือว่าจ่ายน้อยแล้วนะ เพราะว่ารอบแรกตกลงกันว่า เจ้าภาพ ๑๘ รูป รูปละ ๑ ล้านบาท
แต่ไป ๆ มา ๆ มีแต่อาตมาจ่าย ๑ ล้านบาทอยู่คนเดียว คนอื่นเขาจ่ายแสนหนึ่งบ้าง สองแสนบ้าง รวม ๆ แล้วได้เงินมาแค่ ๒ ล้านกว่าบาท และ ๒ ล้านกว่าบาทนั้นจมอยู่ใต้ดินหมด มองอะไรไม่เห็น
ส่วนอาตมาก็ไม่รู้จะไปไหน เขายันขึ้นหน้าไปเป็นประธานแล้วก็ทำเรื่อยไป ท่านอาจารย์โนรีเองก็วิ่งเหนือวิ่งใต้ หาเงินมาเพื่อไม่ให้งานสะดุด ท้ายสุดอาตมาก็ยกกฐินไปปลดหนี้ให้ท่านถึงจบ
คราวนี้สร้าง ๕๐ ศอก ไม่รู้ว่าจะต่อเนื่องอีกนานเท่าไร แต่บอกท่านวันชาติแล้วว่า เริ่มต้นให้ล้านหนึ่งที่เหลือไปจัดการเองแล้วกัน ถ้ามีจะช่วย ถ้าไม่มีก็จะเอาใจช่วย...!”
*************************
“ที่วัดท่าขนุน หลังจากทำวัตรค่ำแล้วจะมีการถวายน้ำปานะ คือถวายครั้งเดียวในรอบวัน ใครอยากได้มากกว่านั้นให้ไปหามาฉันเอง งดกาแฟ ชา โอเลี้ยง น้ำอัดลมพวกน้ำดำ และเครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท
แรก ๆ เขาถวายกันเป็นปกติ ปรากฎว่ากว่าพระจะหลับได้ ก็ห้าทุ่มเที่ยงคืนไปแล้ว และจะไปง่วงจัดอีกทีตอนนั่งกรรมฐานทำวัตรเช้า ตอนแรก ๆ อาตมาก็ได้แต่นั่งมอง อย่างไรตรงจุดนี้ต้องแก้ไข
พอเป็นเจ้าอาวาส จึงสั่งเลิกของพวกนี้เลย ถวายน้ำปานะอะไรก็ได้ ยกเว้นพวกนี้ โดยเฉพาะชา กระตุ้นหนักกว่ากาแฟอีก
แต่ชาจะกระตุ้นแบบนิ่ม ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ดีดเราลอยไปกลางฟ้าแล้ว ไม่เหมือนกาแฟที่กระตุ้นพรวดพราดเลย จึงทำให้พระท่านนอนไม่หลับ แล้วก็จับกลุ่มคุยกันจนดึก พอถึงเวลาตี ๔ จะนั่งกรรมฐาน ก็คอพับไปตาม ๆ กัน
ถ้าหากว่าเราเห็นจุดบกพร่องตรงไหน ก็ต้องรีบแก้ไข อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน แต่การที่จะแก้ไข ก็ต้องดูว่ามีอำนาจหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ามีอำนาจ ก็สั่งการไปได้เลย ถ้าหากว่าไม่มี ก็ต้องรอวาระที่เหมาะสมไปก่อน
ถ้าเห็นว่าผู้มีอำนาจท่านให้ความใส่ใจ เราก็เสนอแนะไป การเสนอแนะที่มีศิลปะ ก็คือบอกแนวคิดให้ท่านฟัง แล้วให้ท่านนำไปปฏิบัติเอง เหมือนกับว่าเป็นผลงานของท่าน แต่ถ้าบอกท่านว่าต้องอย่างนี้ ๆ บางคนไม่ทำหรอก
*************************
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า
สิปฺปจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การมีศิลปะจัดเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง
ศิลปะในที่นี้ นอกจากหมายเอาความรู้ความสามารถต่าง ๆ แล้ว ยังมีศิลปะในการดำเนินชีวิตด้วย เพราะถ้าไม่มีศิลปะในการดำเนินชีวิต บางทีก็ไม่ประสบความสำเร็จ
สมัยก่อนตอนที่อาตมาไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม ไม่สนใจเรื่องงานเหมือนกัน บอกกับเจ้านายว่า ถ้าเห็นว่าผมผิดก็ไล่ออกไปเลย จนท้ายสุดเจ้านายเห็นว่าไม่ยอมลงให้จริง ๆ ก็ต้องใช้วิธีปรับงาน
กลายเป็นว่าเจ้านายรู้กำหนดการงานของหลวงพ่อมากกว่าอาตมาเสียอีก เพราะว่าเขาจะต้องจ่ายงานให้คุ้มกับที่อาตมาไม่อยู่ เขาจะรู้ว่าเดือนนี้หลวงพ่อจะไปไหน ที่วัดมีงานอะไร ช่วงว่างเอ็งก็รับงานอ้วกไปแล้วกัน...!
แต่อาตมาก็เต็มใจรับ เพราะว่าถึงเวลาจะไปก็ไปได้โดยสะดวก ความจริงสะดวกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถึงโดนห้ามอาตมาก็ไม่ฟัง แปลว่าจะต้องยอมรับชะตากรรม
ถ้าอะไรจะเกิดขึ้น เขาหมั่นไส้ไล่ออกก็คือต้องออก ต้องไปแบบไม่ตัดพ้อต่อว่าใคร เพราะว่าเราผิดจริง ๆ แต่ตอนอยู่ก็ทำงานให้คุ้ม
เพื่อน ๆ เขาถึงบอกว่า “มึงเก่งจริง กูไม่เถียง คนอื่นทำงาน ๔ - ๕ คนเท่ากับมึงคนเดียว แต่มึงรู้อะไรแล้วทำไมต้องพูดด้วยวะ ?”
ก็จริงของเขา นิสัยนี้ไม่ค่อยดี คนเขาจะเกลียดปาก พวกเราอย่าไปรุนแรงกับเจ้านายขนาดนั้นนะ เดี๋ยวเขาจะชอกช้ำเสียก่อน”
*************************
ถาม : พระสายป่าท่านไม่เน้นการสร้าง ?
ตอบ : ท่านพยายามอยู่กับธรรมชาติ แต่คนมักจะศรัทธาไปสร้างให้ สร้างหรูเสียด้วย เรื่องพวกนี้ต้องเด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ถ้าไม่เด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ในที่สุดก็ทนเสียงอ้อนวอนของญาติโยมไม่ได้ ต้องยอมให้สร้าง
ดูอย่างวัดอนาลโย ที่พะเยา ถ้าเราไม่ดูข้าง ๆ จะไม่รู้เลยว่า เขาต่อเสาขึ้นมาสูง ๓๐ - ๔๐ เมตร เพราะว่าพื้นที่เป็นภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ เขาต้องปรับพื้นที่ให้เท่ากัน เขาเทเสาขึ้นมา มองข้าง แล้วใจหาย สูงกว่ายอดตาลอีก
เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างหลวงตาบัว ในที่สุดก็ต้องสร้างจนได้ เพราะว่าโยมเขาศรัทธากันมาก
*************************
“โบราณเวลาเขาชมลูกสาวลูกชายบ้านใคร เขาใช้ประโยคว่า
มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง
มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย
“มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง” ส่วนใหญ่ข้าวเหนียวเขาใช้นึ่งเอา คนที่สามารถหุงข้าวเหนียวได้สวยเหมือนนึ่ง ต้องสุดยอดฝีมือเลย
“มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย” รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยเห็นคนถากไม้ ถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็คือถากได้เรียบกริบ ถากไม้เขามีผึ่งกับขวานเท่านั้นไม่น่าเชื่อว่าจะถากได้เรียบขนาดนั้น
“ผึ่ง” เป็นลักษณะขวาน แต่เป็นขวานที่มีทรงเหมือนขอบ เขาก็เลยถากสองมือได้ ส่วนขวานนี่เอาไว้เก็บรายละเอียด หลัง ๆ เขามีกบเพิ่มขึ้นมา ก็ทำงานได้ดีขึ้น
แต่ถ้าคนโบราณกล่อมเสาได้เหมือนหมาเลียก็ต้องสุดยอดฝีมือ พวกนี้ส่วนใหญ่นิยมไปทำเสาศาลา ทำเสาโบสถ์”
*************************
|