​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๙

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔


      ถาม :  การพิจารณาขันธ์ ๕ ของ…(ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วง่ายและเหมือนกันหมด ก็คือเริ่มจากการเข้าสมาธิเต็มที่ที่ตัวเองทำได้ แล้วก็พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
              เหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าระดับของการพิจารณาหยาบละเอียดต่างกัน เห็นละเอียดมากเท่าไร ยอมรับมากเท่าไร ก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงมากขึ้นเท่านั้น
      ถาม :  ต้องถอยออกมาพิจารณาขันธ์ ๕ ที่ฌานสี่หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องถึงฌาน ๔ แค่ฌาน ๑ ก็พอ มัวรอให้เข้าฌาน ๔ ได้ บางทีทั้งชีวิตก็ไม่ต้องพิจารณาเลย
*************************

      ถาม :  การกราบพระบนพระนิพพาน ?
      ตอบ :  ถ้ามัวแต่สนใจอยู่ตรงนั้น ก็ไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น สนใจแค่ว่าไปได้ไหม ? บางอย่างรู้ไปก็ฟุ้งซ่าน เพราะคิดว่ากูดีแล้ว
*************************

      ถาม :  เมืองเปียนฮวนในเรื่องจอมคนแผ่นดินเดือด ?
      ตอบ :  เปียนฮวนเป็นเมืองสมมติ อยู่ที่มุมมองของคน เหมือนกับ ๓ จังหวัดภาคใต้ที่มีสารพัดผู้คน ขณะเดียวกันบรรดากิจการต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยจะถูกต้องตามกฎหมายก็เฟื่องฟู อยู่ที่ว่าใครจะสามารถฉวยโอกาสได้มากกว่ากัน
              เหตุการณ์ ๓ จังหวัดภาคใต้ที่รุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยาเสพติดด้วย มีของเถื่อนหนีภาษีด้วย ไม่ใข่เฉพาะเรื่องการเมืองระหว่างเชื้อชาติเท่านั้น มีการสวมรอยกันไปสวมรอยกันมา คนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือชาวบ้านตาดำ ๆ
              เมืองเปียนฮวนสมัยก่อนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ อย่างสมัยก่อนถ้าพม่าจะตีอยุธยาให้ได้ ต้องยึดพิษณุโลกให้ได้ก่อน ถ้ายึดพิษณุโลกไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ตีอยุธยา เพราะว่าถ้ายกทัพเข้ามาตีอยุธยา พิษณุโลกก็จะตีกระหนาบหลัง เมืองเปียนฮวนจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นที่หมายปองของทุกคน
              เราลองนึกถึงสามก๊ก เล่าปี่เดินทางไปเชิญขงเบ้งถึง ๓ วาระ พอวาระที่ ๓ ขงเบ้งกางเแผนที่ให้ดู แล้วเอาเมืองจิ้มงไปที่เมืองเสฉวนเท่านั้น ดินแดนอุดมสมบูรณ์ เสบียงอาหารพรั่งพร้อม ตั้งรับง่าย เข้าตียาก ถ้าท่านสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตนี้ได้ ก็เท่ากับท่านแบ่งแผ่นดินออกแล้วเป็น ๑ ใน ๓ นี่...เห็นความสำคัญของเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์หรือยัง ?
              เมืองเปียนฮวนก็อยู่ในลักษณะนั้น อยู่กึ่งอนารยะกับอารยะ คือกึ่งกลางระหว่างดินแดนเถื่อนและความเจริญ อยู่ตรงกลางพอดี สินค้าทางด้านเจริญก็ต้องมาพักที่นี่ก่อน แล้วถึงจะกระจายออกทางด้านบน สินค้าจากด้านบนก็ต้องมาผ่านตรงนี้ก่อน แล้วถึงกระจายออกด้านล่าง
              นอกจากนี้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพราะมีแม่นำ้ไหลผ่าน การเดินเรือทำให้สามารถยกทัพได้ง่ายและเงียบเชียบ ไม่มีร่องรอย ไม่เหมือนกับการเดินทัพทางบก
              จากทางด้านบนสามารถที่จะล่องเรือ บุกทะลวงไปยังจงหยวนที่ด้านล่างได้เลย กลายเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพาณิชย์หรือการศึกสงคราม ถือเป็นชัยภูมิที่สำคัญที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องยึดเมืองนี้ให้ได้ก่อน
      ถาม :  ธาตุลมกำเริบ เกิดขึ้นเองหรือคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วเกิดจากสภาพร่างกายของเราเอง ถ้าธาตุไม่เสมอ ตัวใดตัวหนึ่งพร่อง ตัวอื่นก็จะกำเริบหรือที่หมอเรียกว่ามากขึ้น เรื่องของธาตุไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ตามห้ามขาด
              ถ้าธาตุลมขาดไป ไม่มีตัวไหนควบคุมธาตุไฟ ธาตุไฟก็ดับ เพราะเรารู้โดยธรรมชาติว่าไฟต้องมีลมถึงจะติดได้ พอธาตุไฟดับ ไม่มีใครควบคุมธาตุน้ำได้ ธาตุน้ำก็ขยายตัวดันธาตุดินให้พองขึ้น ในที่สุดก็แตก
              โบราณเขาถึงได้เก่ง เขามียาคุมธาตุรักษาตามอาการ โดยเฉพาะยาครอบจักรวาล ยาแก้ลมร้อยแปดจำพวก ใครร่างกายไม่ปกติ ลองไปหากินบ้าง จะรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
              สมัยเด็ก ๆ สงสัยว่าทำไมคนแก่ต้องกินยาลมด้วย ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว เพราะว่าตัวเองก็เริ่มกิน มียาลมยี่ห้อหนึ่ง สมัยก่อนลองชิมแล้วรสชาติดุเดือดมากเลย คือ ยาหอมภูลประสิทธิ์ ตราพระอาทิตย์ดั้นเมฆ ในความรู้สึกของอาตมาว่าแรงมาก ๆ เลย แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่าทีละครึ่งตลับ...!
*************************

              “ประเทศศรีลังกา พระสมัคร ส.ส.ได้ เป็นรัฐมนตรีได้ มีกระทรวงพระพุทธศาสนาเป็นของตัวเอง ถ้าบ้านเราให้พระลงสมัคร ส.ส.ได้คงสนุก เชื่อว่ามีหลายรายที่จะชนะแบบถล่มทลายเลย
              ถามพระสงฆ์ศรีลังกาว่า ทำไมคุณไปเล่นการเมือง ?
              ท่านบอกว่าทำตามพระพุทธเจ้าสั่ง ตอนแรกที่พระพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ ออกไปประกาศพระศาสนา ทรงตรัสว่า
              จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย
              ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

              เขาบอกว่า การเล่นการเมืองเป็นการทำประโยชน์เพื่อคนหมู่มาก ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งเลย เล่นอ้างบาลีทำเอาอาตมาเถียงไม่ได้ แต่ของอย่างนี้อยู่ที่คนตีความ ท่านเล่นตีความว่าเล่นการเมืองได้”
*************************

              “เรื่องของแม่ชี...จะโทษแม่ชีก็ไม่ถนัด เพราะว่าทุกครั้งที่แม่ชีทำบุญจะอธิษฐานว่า ขอผลบุญนี้ ช่วยให้ข้าพเจ้าสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตกาล
              เมื่อเป็นดังนั้น ก็แปลว่าความเป็นพระอริยเจ้าไม่มี เนื่องจากตั้งใจไปเกิดใหม่ ในเมื่อความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้มาถึง อะไรก็ตามที่เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้า อย่างเช่นการรักศีลยิ่งชีวิตก็จะไม่มี ต่อให้มี ถ้าหากว่าจำเป็นก็จะผ่อนผัน แต่ทีนี้ความจำเป็นของท่านมากน้อยแค่ไหน เราก็ไม่รู้”
*************************

              “ถ้าจะดูครอบครัวตัวอย่าง ต้องดูครอบครัว พ.อ.นพ.นพพร กลั่นสุภา ก่อนออกจากบ้าน คุณหมอเตือนใจจะมากราบสามีก่อน จริง ๆ แล้วมารยาทโบราณเขาทำอย่างนั้น
              อย่างที่เมื่อเช้าคุณมุกดาบอกว่า พ่อสอนว่าสามีเป็นพระคนที่ ๒ ในบ้าน คุณมุกดายังถามพ่อว่า แล้วจะต้องกราบเท้าสามีก่อนนอนไหม ? โบราณเขากราบเท้าสามีก่อนนอนอย่างนั้นจริง ๆ
              บ้านคุณหมอนพพรนั้นคุยกับลูกเหมือนลูกเป็นผู้ใหญ่ เวลาลูกมาปรึกษาพ่อ พ่อก็ว่า คุณมีความเห็นว่าอย่างไร ? ต้องการจะทำแบบไหน ? พ่อใช้สรรพนามกับลูกว่าคุณ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร ?
              แล้วลูกก็บรรยายมา จากนั้นท่านก็ว่า พ่อว่าน่าจะเป็นแบบนี้นะ คุณมีอะไรจะแย้งไหม ? ทำให้เด็กกล้าแสดงออก เพราะว่าผู้ใหญ่ให้โอกาส ให้เกียรติเหมือนกับว่าเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน เสมอกัน”
*************************

              “เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร ผู้อื่นก็ปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น เราให้เกียรติเขา เขาก็ให้เกียรติเรา ไม่ต้องไปดุไปว่า เพราะว่าพูดคุยกันแล้ว ตกลงกันแล้ว
              สมัยที่อาตมายังเป็นเด็ก พี่สาวจะดูแลอาตมามากกว่าแม่ พี่ ๒ คน จะมีอยู่คนหนึ่ง น้อง ๆ รักและแห่ไปอยู่ด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งถ้าไม่จำเป็น น้อง ๆ จะไม่เดินผ่านเลย แสดงว่าจิตวิทยาการเลี้ยงดูเด็กไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งใช้พระเดชจนเคย อีกคนหนึ่งใช้พระคุณ คนที่ใช้พระเดชก็ต้องทำใจว่าน้อง ๆ ไม่มาหาแน่ ส่วนคนใช้พระคุณจะบอกเลยว่า ถ้าดื้อมากเดี๋ยวจะส่งไปหาพี่คนนั้น”
*************************

              “จังหวัดที่มีวัดมากที่สุดในประเทศไทย คือ อุบลราชธานี เหลือเชื่อไหม ? ขนาดโดนแบ่งแล้วแบ่งอีกนะ อุบลแยกไปเป็นยโสธร แยกไปเป็นอำนาจเจริญ ขนาดนั้นยังมีวัดมากที่สุดในประเทศไทย
              ตอนแรกอาตมาคิดว่าเป็นอยุธยา เพราะว่าอยุธยานี่มีวัดแทบจะทุกสี่แยกเลย ไป ๆ มา ๆ วัดร้างเสียเยอะ วัดที่มีพระจำพรรษาก็เลยน้อย พอแยกบึงกาฬออกจากหนองคายก็ช่วยได้เยอะเลย เพราะว่าเท่ากับว่าหั่นครึ่งจังหวัด หนองคายเป็นจังหวัดยาว ๆ ประจวบคีรีขันธ์ก็ยาว แต่เนื้อที่ไม่มาก พะเยาก็แยกออกมาจากเชียงราย อีกจังหวัดหนึ่งที่น่าแยกมากเลยก็คือ นครราชสีมา เพราะว่าใหญ่มากเหมือนกัน
              กาญจนบุรีอยากจะแยกมานานแล้ว แต่ทองผาภูมิมีประชากรไม่พอ เขาเตรียมการมานานแล้ว ทั้งเรือนจำจังหวัด ศาลจังหวัด ขนส่งจังหวัดมีแล้ว แต่ประชากรในทะเบียนบ้านมีน้อยเกิน ที่เห็นมากมายมหาศาลไปหมดนั่นเป็นคนต่างด้าว
              ทางการเขาไม่สามารถที่จะให้สิทธิ์ตามกฎหมายต่างด้าวได้ เพราะว่าตามกฎหมายต่างด้าว ถ้าคุณเข้ามาแจ้งลงทะเบียนต่างด้าวไว้ เสียภาษีครบ ๒๐ ปีแล้วจะได้สัญชาติไทย ถ้าทำอย่างนี้เขามากันหมดประเทศแน่
              สมัยมาอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ พอถึงช่วงปีใหม่ สงกรานต์ พวกข้าราชการที่ต้องการหาเงินกินเหล้า ก็จับคนมอญ จับคนพม่าไปเรียกค่าไถ่ เดี๋ยวทหาร เดี๋ยวตำรวจ เดี๋ยว ตชด. เดี๋ยวผู้ใหญ่บ้าน จับไปเรียกทีละ ๓ พันบาท ๕ พันบาท
              อาตมาเคยถามเขาว่า อยู่ลำบากขนาดนี้แล้วทำไมไม่กลับบ้าน ?
              เขาบอกว่า อยู่ประเทศไทยลำบากอย่างไรก็ยังดี ยังมีเงินเหลือ อยู่ประเทศเขา ถ้าทหารเอาจะไม่เหลืออะไรเลย ฟังแล้วอนาถใจว่ามนุษย์เราทำกันได้ขนาดนี้”
*************************

              “ถ้าใครไปงานวัดท่าขนุน แถวโรงทาน จะเห็นฝรั่งแก่ ๆ คนหนึ่งมาทำกับข้าวออกโรงทาน ฝรั่งคนนี้ชื่อ เดวิด อลัน คันนิ่งแฮม เขาอยู่เมืองไทยจนกลายเป็นคนไทยไปเลย พูดไทยไม่ได้นะ แต่ฟังออกบ้าง
              ตอนแรก ๆ ป้าอุ๋ย (ภรรยา) สอนให้ใส่บาตรตอนเช้า ๆ ฝรั่งทำอะไร เขาทำจริง ลุงเดฟก็ตื่นมาหุงข้าวใส่บาตร ใส่ไปใส่มาป้าอุ๋ยขี้เกียจ นอนสบาย ปล่อยให้ลุงเดฟใส่บาตรอยู่คนเดียว
              จนกระทั่งมาวันหนึ่งลุงเดฟโวยวายกับป้าอุ๋ยว่า “นี่ตกลงศาสนาของใครกันแน่ ของเธอหรือของฉัน...!? ฝรั่งเขาทำจริง ลุกขึ้นมาใส่บาตรทุกวัน ใส่ไปใส่มาเมียขี้เกียจใส่บาตรเสียเอง”
*************************

              “ปัจจุบันนี้อาตมาจะให้โยมไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร ท่านเจ้าคุณโสภณ (พระเทพคุณาภรณ์) รองเจ้าคณะภาค ๑๓ เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร ท่านให้คนดูแลดี บางวันไปท่านอยู่ ก็กุลีกุจอลงมาบัญชาการเองเลย ท่านเป็นคนหนุ่มที่อนาคตไกลมาก
              ก่อนหน้านั้นท่านเป็นพระมหาโสภณ ป.ธ.๙ อยู่วัดหัวลำโพง ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร พอดีทางคณะสงฆ์ต้องการเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร ซึ่งไม่มีใครกล้ารับอาสา เพราะว่าวัดเทวราชกุญชรช่วงนั้นเหมือนสลัมชัด ๆ คนเข้าไปสร้างบ้านสร้างเรือนจนดูรกไปหมด
              พระมหาโสภณท่านก็รับอาสาไป ท่านทำอยู่แค่ ๓ ปี ดังระเบิดเลย เพราะท่านรื้อทิ้งเสียเกลี้ยง เร่ิมต้นบูรณะของเก่า ดัดแปลงขึ้นมาใหม่จนใหญ่โตดูดี”
*************************

              “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากถามญาติโยมทั้งหลายว่า สมัยก่อนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราทำไร่ทำนาอยู่ตลอดปี แต่ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะไปวัด อย่างเช่น พอไถหว่านดำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องรอประมาณ ๔ - ๖ เดือน แล้วแต่ว่าเป็นข้าวหนักหรือข้าวเบา ช่วงนั้นก็จะเป็นฤดูงานบุญ เพราะว่าคนว่างงานแล้ว
              หลังจากเกี่ยวข้าว นวดเสร็จเรียบร้อย ก็ยังว่างอีกตั้ง ๓ - ๔ เดือน รอจนกว่าฝนใหม่มา ถึงจะได้ไถหว่านกันอีกครั้ง สมัยนี้มีเครื่องมือเครื่องไม้สะดวกขึ้น รถไถก็มี รถหว่านก็มี รถเกี่ยวก็มี รถดำนาก็มี แต่ทำไมคนจึงไม่มีเวลาเหลือเลย ? เคยคิดกันบ้างไหม ? หรือว่าอาตมาฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว ?
              สมัยอาตมาเด็ก ๆ เวลาจะทำบุญ เขาต้องเดินกันข้ามทุ่งเพื่อไปส่งข่าวอีกหมู่บ้านหนึ่ง อีกตำบลหนึ่ง กว่าญาติพี่น้องจะรู้กันครบก็ใช้เวลาหลายวัน สมัยนี้ยกมือถือครั้งเดียวรู้ได้ทั่วโลกเลย แต่สมัยก่อนนั่นเดินกันเป็นวัน ๆ กว่าจะไปส่งข่าวได้ครบ บางทีต้องไปค้างบ้านเขาด้วยถึงค่อยกลับบ้าน หรือไม่ก็ขี่เกวียนกลับมา
              สมัยนี้ถ้าไม่ยกหูโทรศัพท์ ก็บึ่งรถทีเดียวถึง แล้วทำไมคนจึงไม่มีเวลา ? สมัยก่อนเวลาเขาว่าง ไม่มีอะไรทำก็ตีไก่ กัดปลา ทำน้ำตาลเมา หมักสาโท ทำกระแช่กินกัน ถึงเวลาตำรวจหรือสรรพสามิตมาไล่จับ ก็วิ่งหนีกันอุตลุต...!
              สมัยก่อนกิจกรรมบันเทิงไม่ค่อยมี คนก็เลยมีเวลา สมัยนี้เดินห้างครั้งหนึ่งก็ ๔ - ๕ ชั่วโมงเข้าไปแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาเหลือ ? เดินห้างบางทีก็เพลินไม่รู้ตัว...ใช่ไหม ? เพราะว่าเขาเปิดสว่างอยู่ตลอดเวลา พอโผล่มาข้างนอกปรากฎว่ามืดตื๋อเลย...ค่ำไปตั้งนานแล้ว
              ฉะนั้น...พอกิจกรรมต่าง ๆ เยอะขึ้น ก็เลยแย่งเวลาเราไปหมด อย่างพวกเราก็ต้องเข้าอินเตอร์เน็ตวันหนึ่ง ๑ - ๒ ชั่วโมง เด็กบางคนเข้าอินเตอร์เน็ตกันข้ามวันข้ามคืน ฉะนั้น...จะเอาเวลาที่ไหนไปสังสรรค์กับคนอื่นเขาได้ โดยเฉพาะโหลดเกมส์มาเล่นกันหามรุ่งหามค่ำ
              สรุปได้ว่าทุกอย่างมีความสะดวกขึ้น คล่องตัวขึ้น แทนที่เวลาจะเหลือ กลับแย่งเวลาไปจนหมด เพราะว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาทำมีมากขึ้น
              เมื่อกระแสโลกแรงขึ้น ดึงเราไปง่ายขึ้น การปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งเพื่อต้านกระแแสก็ยากขึ้น ต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ ถ้าหากว่าใครไปมืออ่อนหย่อนให้หน่อย มีหวังถูกกิเลสตีตายเลย...!”
*************************

              “เรื่องของการทำบุญ พระพุทธเจ้าตรัสอยู่แล้วว่า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆังทำให้เร็ว ทำให้ไว แสดงออกซึ่งความเข้มแข็งในบารมีของเรา ยิ่งบารมีสูงมากเท่าไร ก็ยิ่งทำบุญได้ง่ายมากเท่านั้น การที่เราทำบุญง่าย ถึงเวลาจะได้รับสิ่งที่ดี ๆ ก็จะได้รับง่าย ๆ”
*************************

              พอ.นพ.นพพร กลั่นสุภา มาแจ้งงานบุญประดับเพชรพระอุณาโลมสมเด็จองค์ปฐม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า
              “อุณาโลมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นโบราณจารย์ ท่านจะถือว่าเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าได้เลย
              ดังนั้น...ถ้าเขาเขียนอุณาโลมตัวหนึ่ง ก็เท่ากับพระพุทะเจ้าองค์หนึ่งในทางโยคะศาสตร์เขาถือเป็นกุณฑาลินี คือแหล่งพลังงานที่สามารถเปล่งพลังสูงสุดได้ เป็นจักระที่สำคัญที่สุด
              ในส่วนของยอดมงกุฎเราก็น่าจะรู้อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสามารถค้นพบเพชรยอดมงกุฎ คืออริยสัจ ๔ ต่อท้ายของพราหมณ์ที่เขาไปถึงสมาบัติ ๘ เเพราะฉะนั้น...เพชรยอดมงกุฎในพุทธศาสนาของเราคืออริยสัจ ๔
              ครอบครัวคุณหมอนพพรกับคุณหมอเตือนใจ ทุ่มเทชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา บุญเล็กบุญใหญ่แค่ไหน ถ้ามาถึงตรงหน้าไม่เคยปฏิเสธมีแต่จะนำเขาทำ ถ้าหากบุญใหญ่ที่เรารู้สึกว่าเกินกำลัง ถ้ามีผู้นำแบบคุณหมอทั้งสองท่านเราก็สบาย เจอบุญแบบนี้ให้วิ่งใส่เลย”
*************************

              “ท่านแม่ทั้งสาม ตอนนี้ท่านเข้าพระนิพพานกันหมดแล้ว ท่านที่ขอให้ท่านแม่ช่วย ถ้าสำเร็จแล้ว ให้ถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านแม่ด้วย
              เวลาปกติเราสวดมนต์ไหว้พระ นั่งกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศลถวายท่านเป็นประจำ จะเป็นส่ิงที่ท่านชอบใจ แต่ถ้าต้องการบนให้ท่านช่วยเรื่องอะไรเป็นการเฉพาะ ให้บนถวายผ้าไตร ขอยืนยันว่าผ้าไตรครบชุดนะ ไม่ใช่ชิ้นเดียว ถวายอุทิศให้ท่านแม่ทั้ง ๓ พระองค์พร้อมกัน
              โดยปกติแล้วเราเรียกท่านแม่ว่า ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่กลาง ท่านแม่เล็ก แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะเรียกนามในสมัยพระเจ้าศรีทรงธรรมปิฎก (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ)
              ท่านจะเรียกท่านแม่ใหญ่ว่า ท่านแม่ศรีระจิตร (มิ่งขวัญของดวงใจ)
              ท่านแม่กลาง ท่านเรียกว่า ท่านแม่จิตรตี (มีดวงจิตอันยินดี)
              ท่านแม่เล็ก ท่านเรียกว่า ท่านแม่ประภาศรี (ผู้มีมิ่งขวัญอันสว่างรุ่งเรือง)
              แต่ถ้าอยู่ข้างบน ท่านแม่ใหญ่ชื่อ ท่านแม่พรรณวดีศรีโสภาคย์
              ท่านแม่กลางชื่อ ท่านแม่จิตราวดีศรีโสภาคย์
              ท่านแม่เล็กชื่อ ท่านแม่ประภาวดีศรีโสภาคย์
              อย่าไปปะปนกับชื่อท่านย่านะ เดี๋ยวจะโดนท่านย่าดึงหูเอาว่าขนาดชื่อข้าก็ยังลืม
              ท่านย่าชื่อ รัตนาวดีศรีโสภาคย์
              แต่กรุณาอย่าเรียกชื่อ เพราะว่าเราไม่ใช่ผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก เรียกท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่กลาง ท่านแม่เล็ก หรือว่าเรียกท่านย่าก็พอแล้ว”
      ถาม :  พังครานี ?
      ตอบ :  ท่านย่านั่นแหละ คือท่านย่าพังครานี คำว่า พังครานี คือ พระราชินีแห่งพิงคนคร
              พวกเราพอฟังคำว่า “พังคะ” รู้สึกไม่เข้าท่า ฟังแล้วเหมือนกับมีอะไรพัง บางคนก็เลยไปเรียกท่านว่า ​ “อินทิรานี” ก็คือพระราชินีของพระอินทร์
              คราวนี้ขอให้รู้ว่า คำว่าอินทิรานีนั้นเราเรียกกันเอง ถ้านามของท่านในสมัยเชียงแสน ก็คือท่านย่าพังครานี ท่านปู่ก็คือ ท่านปู่พังคราช (พระราชาแห่งพิงคนคร)
              เรื่องของอดีต ถ้าไม่แม่นอย่าไปมั่ว เพราะว่าถ้าข้อมูลผิดก็จะผิดไปเรื่อย ๆ แล้วคนรุ่นหลังก็จะจำผิด พากันผิดไปอีกยาวเลย
              พวกเราทุกคนต้องเกิดเป็นลูกท่านแม่ใดท่านแม่หนึ่งมาอย่างน้อยก็หลาชาติ ไม่ใช่ชาติสองชาติ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดเป็นลูกของแม่ใหญ่กันทั้งนั้น แต่ก็แปลก เกิดเป็นลูกแม่ใหญ่ แต่ไปกินข้าวบ้านแม่กลางบ้าง บ้านแม่เล็กบ้าง มีหลายแม่นี่สบาย ไปบ้านไหนก็มีให้กิน
*************************

              “เดือนที่แล้ว จำได้ไหมว่าอาตมาติดค้างเรื่องอะไรไว้ ?
              เรื่องสาเหตุของแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตันตปิฎก พระองค์ท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า แผ่นดินไหวนั้นมีสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน
              ประการที่ ๑ คือ ลมกำเริบ คำว่าลมกำเริบนี่เป็นภาษาโบราณ ถ้าเอาอย่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ ภายใต้โลกของเรานั้นมีแม็กม่า คือหินหลอมเหลว ซึ่งจะเดือดคลั่ก ๆ อยู่ตลอดเวลา
              ความร้อนที่เดือดนี้พอมากขึ้นจนไม่สามารถที่จะระบายได้ ก็จะทำให้เกิดแรงดัน ที่สามารถจะดันเอาพื้นโลก ซึ่งไม่ได้ติดเป็นชิ้นเดียว แต่ว่าแยกเป็นชิ้น ๆ ให้เคลื่อนที่ไปได้
              พอเคลื่อนที่ครั้งหนึ่ง ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งหนึ่ง แล้วแต่ว่าการเคลื่อนที่นั้นหนักเบาเท่าไร ซึ่งสมัยปัจจุบันนี้เขาสามารถคิดมาตรวัดเป็นริกเตอร์สเกลได้แล้ว
              สูงสุดในมนุษยชาติที่วัดได้ ก็คือล่าสุดนี้ ๙ ริกเตอร์สเกล สร้างความบัติให้กับทางประเทศญี่ปุ่นอย่างแสนสาหัส จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขให้คืนดีกลับมาได้
              ประการที่ ๒ ท่านบอกว่าเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล คือบรรดาท่านที่ทรงอภิญญาสมาบัติ สามารถที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อใดก็ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระอุปคุตเถระ
              พระอุปคุตเถระได้รับอาราธนาจากพระเจ้าอโศกมหาราชให้มาป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ในชมพูทวีป ไม่ให้งานล่มเพราะการกลั่นแกล้งของพญามาร
              พอพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นรูปร่างพระอุปคุตแล้วไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าจะต้องมีหุ่นแบบอาร์โนลด์ ชวาสเซเนกเกอร์ ต้องล่ำสันสูงใหญ่หน่อย ถึงจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
              ซึ่งเพระเจ้าอโศกมหาราชคิดผิด เห็นว่าพระอุปคุตเถระเป็นหลวงตาผอม ๆ จนกระทั่งบางคนเรียกว่า “กีสะนาคะอุปคุต”
              กีสะ แปลว่า ผอม อย่างนางกีสาโคตรมี ก็เป็นบุตรสาวของตระกูลโคตมะที่ผอมกะหร่อง
              เหตุที่พระอุปคุตเถระผอมไปหน่อย ก็เพราะว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยจะได้ฉันข้าว
              พระเจ้าอโศกมหาราชทดสอบด้วยการปล่อยช้างตกมันให้ไปไล่เหยียบท่าน แต่ปรากฎว่าแค่พระอุปคุตเถระหันไปมอง ช้างก็ยืนแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ได้
              พอทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการลอง เพื่อทดสอบดูว่า ท่านมีฤทธิ์จริงหรือไม่
              พระอุปคุตเถระก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว
              พระเจ้าอโศกมหาราชก็ฉลาดสมกับเป็นพระมหากษัตริย์จริง ๆ กล่าวว่า แล้วโยมจะเชื่อได้อย่างไร ? เพราะว่าอาจจะบังเอิญเกิดแผ่นดินไหวตอนนั้นพอดี
              พระอุปคุตเถระบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมหาบพิตรจึงเอาน้ำมา ๑ ขัน อาตมภาพจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว โดยให้นำ้ในขันนั้นสั่นสะเทือนเพียงครึ่งขันเท่านั้น
              พระเจ้าอโศกมหาราชก็อยากทดสอบ ท่านตักน้ำมา ๑ ขันวางไว้ พระอุปคุตเถระก็บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว สะเทือนไปถึงน้ำรองปฐมพี ก็คือสะเทือนถึงด้านล่างใต้โลก ปกติแผ่นดินเราหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ แต่น้ำในขันสะเทือนเพียงซีกเดียวจริง ๆ
              พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้ยอมรับว่า แผ่นดินไหวนั้นเกิดจากการบันดาลของพระอุปคุตเถระจริง ๆ แล้วพระอุปคุตเถระก็สามารถที่จะป้องกันงานฉลองพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์นั้น ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทรมานจนพญามารยอมกลับใจเป็นสัมมาทิฏฐิได้ นี่เป็นสาเหตุที่ ๒ ของแผ่นดินไหว ก็คือผู้มีฤทธิ์บันดาลให้เป็นไป
              ประการที่ ๓ นั้น ท่านบอกว่าเกิดจากพระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์พระพุทธมารดา
              ประการที่ ๔ พระโพธิสัตว์ประสูติ
              ประการที่ ๕ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แล้วนะ ถ้าตรัสรู้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า
              ประการที่ ๖ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใ่พระโพธิสัตว์แล้วนะ ถ้าตรัสรู้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า
              ประการที่ ๗ ท่านบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร
              ประการที่ ๘ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน
              พระอานนท์พอได้ยินใจหายแวบเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงปรารภถึงร่างกายของพระองค์ว่าจะไปไม่รอดแล้ว ไปไม่ไหวแล้วมาตลอดทาง พระอานนท์ก็ไม่ได้เฉลียวใจทูลอาราธนาไว้
              พอได้ยินดังนั้น ทราบว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้วแน่นอน ก็รีบทูลอาราธนาให้พระองค์ท่านดำรงพระวรกายอยู่ต่อไปให้ได้ถึง ๑ กัป พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ทันแล้ว เพราะว่าพระองค์ท่านรับอาราธนาพญามารไปแล้ว ว่าอีก ๓ เดือนถัดจากนี้ จะปรินิพพานที่สาลวโนทยานของกรุงกุสินารา”
*************************