​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๙

 

      ถาม :  เวลาทำสมาธิ เราควรจะจับอยู่แค่ตรงปลายจมูกหรือจับสามฐานครับ ?
      ตอบ :  อยู่ที่เราถนัด จะไม่เอาเลยสักฐานก็ได้ ให้เรากำหนดรู้ลมไหลเข้าไหลออกก็พอ
*************************

      ถาม :  เวลานั่งสมาธิ รู้สึกเหมือนกับอึดอัดจะหายใจไม่ออกตลอดเวลา จนต้องหายใจออกมา ?
      ตอบ :  กำหนดรู้เฉย ๆ โดยไม่กลัวตาย แล้วจะก้าวไปสู่สมาธิที่ลึกขึ้นไปอีก แต่ถ้าเรากลัวตาย ก็จะถอยมาหายใจใหม่ ซึ่งเท่ากับเราถอยหลังเข้าคลองเหมือนกับขึ้นบันไดไปหลายก้าว แล้วก็ถอยกลับมาอีก ทำให้หาความก้าวหน้าไม่ได้สักที
              เขาให้ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย เราทำความดีอยู่ ถ้าตายลงไปเราไปดีแน่ แต่คราวนี้เวลาพูดนั้นง่าย ถึงเวลาแล้วส่วนใหญ่มักจะกลัว
      ถาม :  ไม่เกี่ยวกับว่าเราเพ่งมากไปหรือครับ ?
      ตอบ :  การกำหนดลมหายใจเข้าออก เขาเอาสติความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมเข้าไป ไหลตามลมออกมา ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกส่วนหนึ่งส่วนใดไปเพ่ง แต่กำหนดรู้เฉย ๆ
              ถ้าไปตั้งใจกดมาก ๆ บางทีก็เครียด ปวดหัวไปเลย เราหายใจเข้าออกตามธรรมดา แค่เอาความรู้สึกไหลตามเข้าไป ไหลตามออกมา เพราะฉะนั้น..เราไม่จำเป็นที่ต้องกำหนดรู้ลมเป็นฐานก็ได้ ให้รู้ตลอดลมเข้า รู้ตลอดลมออกก็พอ
*************************

      ถาม :  ถ้ากรรมปรามาสพระรัตนตรัยตกอยู่กับเรา ?
      ตอบ :  ให้ขอขมาพระรัตนตรัย
      ถาม :  ถ้าก่อกรรมปรามาสพระรัตนตรัย เราจะเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แปลว่าชาตินี้เสียชาติเกิด...!
      ถาม :  เราคิดลบหลู่พระขึ้นมา โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ?
      ตอบ :  เป็นเรื่องปกติ ถ้าความดีเริ่มมา ความชั่วก็จะตามมาเอง เพราะฉะนั้น..ต้องรีบขอขมาพระโดยเร็ว
*************************

              หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง ประกาศหาผู้ไปอยู่ประจำเพื่อช่วยงานวัด พระอาจารย์กล่าวว่า
              “เรื่องของการทำงานให้กับพระพุทธศาสนา จะต้องประกอบด้วยศรัทธาก่อน ถ้าคนไม่มีศรัทธา เห็นว่าอยู่วัดสบายแล้วมาอยู่ มักจะอยู่ได้ไม่นาน
              สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านไม่มีการประกาศหาคนมาช่วยงานวัด แต่ก็มีญาติโยมหลายต่อหลายรายที่มาทำงานกันเองโดยไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าตอบแทน รายที่ชัดที่สุดคือ โยมเอี่ยม บางคนก็เรียกท่านว่า “ป้าเอี่ยม” (เอี่ยมศรี อ่อนคำ) ป้าเอี่ยมตามหลวงพ่อมาตั้งแต่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท จนมาอยู่อุทัยธานี
              ป้าเอี่ยมเป็นผู้หญิงแกร่ง ประเภทถือปืนลูกซองเดินเฝ้าวัด เมื่อป้าเอี่ยมมาอยู่วัด ก็อาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีวิตไปวัน ๆ และป้าเอี่ยมนี่แหละที่ทำความดีจนอาตมาต้องยอมให้หวยไปหลายงวด อยู่ ๆ ก็มาบอกว่า “หลวงพี่ขอหวยตัวหนึ่งสิ”
              อาตมาก็ถามว่าจะเอาไปทำไม เขาบอกว่า “อยากได้เงินไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ”
              “ตัวเดียวเล่นได้หรือ ?”
              “เล่นได้”

              ก็เลยให้ป้าแกไป ไม่รู้ว่าไปเล่นมาอย่างไร ได้มา ๖๐๐ บาท และก็เอาไปถวายสังฆทานหลวงพ่อจริง ๆ
              งวดต่อมาอาตมาก็แหย่เอง
              “งวดนี้ไม่เอาหรือ ?”
              “ถ้าได้ก็ดี

              ให้ไปสองงวด พองวดที่สามมีคนตามมาอีก ๗ - ๘ คน อาตมาก็ปากคัน บอกว่า “มาเยอะแบบนี้ต้องชักเปอร์เซ็นต์”
              เขาถามว่าเท่าไร ?
              อาตมาบอกไปว่า “สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
              ตอนนั้นพูดเล่น ๆ แต่เขาเอามาให้จริง ๆ...!
              คราวนั้นหลวงพ่อด่าจมดินเลย ท่านบอกว่า “รู้ ๆ อยู่แล้วไปบอกเขา เท่ากับไปปล้นเขา เดี๋ยวพ่อปรับปาราชิกเลย...!”
              ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลยนะ ตั้งแต่นั้นมาท่านสั่งห้ามให้หวยเด็ดขาด ทีนี้ก็หมดสนุก ถ้ายังให้หวยได้ จะสนุกกว่านี้อีกเยอะ
              ป้าเอี่ยมอยู่วัด ไม่มีเงินเดือน พอเห็นคนอื่นถวายสังฆทานกับหลวงพ่ออยู่บ่อย ๆ ก็อยากถวายบ้าง แต่ไม่มีเงิน เจ็บไข้ได้ป่วยมา หลวงพ่อท่านต้องควักย่ามให้ไปหาหมอ หายาให้กิน แกทุ่มเทให้กับวัดจริง ๆ ทำด้วยใจ
              เราจะเห็ว่าคนที่มาช่วยงานหลวงพ่อ อยู่ในลักษณะมาเอง ช่วยงานเอง หลวงพ่อท่านเคยเอาพี่ชาย คือ ลุงวงศ์ มาทำงาน ลุงวงศ์ทำงานดีมากเลย งานทุกอย่างหนักเอาเบาสู้ ไม่ต้องเรียก ลุงหางานทำเอง
              แต่ป้าฟอง เมียลุงวงศ์หรือพี่สะใภ้ของหลวงพ่อ ไม่เอาอ่าวเลย ขนาดหลวงพ่อท่านขึ้นเสียงด่าแล้ว ก็ยังรั้นสุดชีวิต หลวงพ่อท่านด่าคนเพื่อไม่ให้ทำผิดอีก คนที่ไม่เข้าใจก็ว่าทำไมพระถึงได้ด่าโยมขนาดนั้น
              การเอาญาติตัวเองเข้ามา ญาติเขาไม่ได้คิดว่าท่านเป็นหลวงพ่อขอคนทั้งวัด ของคนทั้งประเทศ เขาคิดว่าหลวงพ่อเป็นน้องผัวของตัวเอง นึกออกไหม ?
              สมมติว่าอาตมาเอาพี่มุกดาไปทำงานด้วย แทนที่พี่เขาจะนึกว่า อาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน กลับไปคิดว่าเป็นน้องชายก็บรรลัยสิ เพราะฉะนั้น...ในที่สุดป้าฟองก็โดนหลวงพ่อไล่กลับบ้านไป
              ส่วนลุงวงศ์มาอยู่วัด ช่วยงานจนตายคาวัด กลายเป็นเทวดาเฝ้าวัดอีกต่างหาก คือ ท่านปู่ท้าววาหน ขอยืนยันนะว่า “วาหน” ไม่ใช่ “เวหน”
              หลวงพ่อท่านสร้างกุฏิหลังใหญ่ ก็คือศาลเจ้าที่วัดท่าซุงให้ ฉะนั้น...ท่านเจ้าที่ซึ่งดูแลท่าซุงจริง ๆ ก็คือ ท่านลุงวงศ์ สังข์สุวรรณ”
*************************

              “คนรุ่นเก่า ๆ ที่วัดท่าซุง เขามาทำงานกันด้วยใจ ส่วนใหญ่ตั้งใจจะช่วยวัด อย่างลุงเอี๊ยง ส่วนใหญ่ไปเรียกท่านว่า “ลุงเอี้ยง”
              ลุงเอี๊ยงเป็นคณะแรกที่ไปรับหลวงพ่อจากชัยนาทมาอยู่อุทัยธานีแรก ๆ ลุงเอี๊ยงกินเหล้าเป็นปกติ ลุงบอกว่า “เวลากินแล้วนั่งสมาธิดี”
              จริง ๆ นะ เรื่องของยาเสพติด ถ้าอยู่ในระดับที่พอดี อารมณ์จะทรงตัวจริง ๆ ก็เลยทำให้คนบางประเภทที่เข้าใจผิดไปติดสุรายาเสพติด
              ลุงเอี๊ยงไปทำงานที่วัด หลวงพ่อจ่ายค่าแรงให้พอประมาณ แถมเหล้าให้ด้วย ปรากฎว่าพอหลวงพ่อซื้อเหล้ามาให้ ลุงเอี๊ยงกลับอาย ลุงถึงได้เลิกกิน จำไว้นะ...เราต้องรู้จริงขนาดหลวงพ่อ ถึงจะซื้อเหล้าให้เขา หลวงพ่อท่านรู้ว่าถ้าให้แล้วเขาจะเลิก
              ลุงเอี๊ยงจะรับใช้หลวงพ่ออยู่ข้าง ๆ อาตมาไปแทนลุงเอี๊ยงประมาณปี ๒๕๒๕-๒๕๒๖ เพราะว่าลุงแก่แล้วลุกนั่งลำบาก นั่งขดอยู่ข้างหลวงพ่อเป็นวัน ๆ ก็ไม่ไหว และก็ไม่มีใครเปลี่ยน ลุงก็กัดฟันทำหน้าที่ไปเรื่อย จนกระทั่งอาตมาถามว่า “ลุง...ให้ผมช่วยไหม ?”
              “ได้ก็ดีไอ้หนู”
แต่ลุงก็ไม่ไว้ใจนะ นั่งมองอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นอาตมาทำคล่องตัวไม่มีผิดพลาด จึงค่อยไปพัก
              คนรุ่นเก่า ๆ รับผิดชอบงานดี สมัยก่อนที่อยู่ช่วยหลวงพ่อตอนท่านรับสังฆทาน จะมีลุงเอี๊ยง จ่าประมวญ คุณประเสริฐ คุณไพบูย์ คุณชัยณรงค์ หลวงตาวัชรชัย (ตอนนั้นยังเป็นพี่อุดมอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ) แล้วก็มีอาตมา รุ่นหลัง ๆ ก็ต่อไปเรื่อย ๆ
              ก่อนหน้านั้นเวลาถวายสังฆทาน หลวงพ่อท่านจะแจกวัตถุมงคล อาตมาเห็นท่านแจกแล้วเมื่อยแทน ก็เลยขออนุญาตหลวงพ่อแจกแทน ตอนแรกท่านก็มองหน้า
              อาตมากราบเรียนว่า “เห็นหลวงพ่อโยกอยู่บ่อย ๆ คงจะไม่ไหว”
              “เออ...แกลองดู”

              ปรากฎว่าแจกใหม่ ๆ คนเขาไม่เอา เขาอยากรับกับมือหลวงพ่อมากกว่า
              จนอาตมาต้องบอกว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ต้องรับกับมือผม ไปรอรับกับหลวงพ่อไม่ได้หรอก”
              หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ บอกว่า “เขาตั้งกฎแล้วก็ช่วยรับหน่อย”
              ตั้งแต่นั้นมาคนก็รับจากอาตมา แต่ใหม่ ๆ ใครถวายสังฆทาน อาตมาก็แจกวัตถุมงคลให้ คนมาด้วยกันไม่ถวายสังฆทาน อาตมาก็ไม่แจก หลวงพ่อท่านมองหน้าแล้วบอกว่า “ให้เขาด้วย” เป็นอันว่าใครถวายหรือไม่ถวายก็แจก
              ทีนี้เด็กเล็ก ๆ มา อาตมามองว่า เด็กเอาวัตถุมงคลไปใส่กระเป๋ากางเกงบ้าง วางต่ำบ้าง กลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย ก็ไม่ให้เด็ก หลวงพ่อท่านบอกว่า “ให้เขาด้วย”
              ตั้งแต่นั้นมาอาตมาก็แจกกระจาย ขนาดเจ้าของยังไมเ่สียดาย แล้วเราะจไปเสียดายทำไม ?
              จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า ถ้าไม่ใช่แขกผู้ใหญ่จริง ๆ ที่หลวงพ่อท่านยื่นให้ ก็เป็นอาตมาแจกเองทั้งหมด
              คนที่ทำงานวัดในช่วงนั้นทำตามศรัทธา มีให้ก็กิน ไม่มีก็ควักกระเป๋าซื้อเอง อาตมาสนิทสนมกับบรรดาแม่ค้าหน้าวัด กินฟรีบ้าง กินเชื่อบ้าง ยืมเงินบ้าง อย่างเวลาไปทำบุญเพลิน ทำจนหมดตัวแล้วไม่มีเงินกลับบ้าน ก็ไปหน้าวัด
              “ยายบ๊วย...ยืมเงินสองร้อย ...เงินหมดแล้ว” ยายบ๊วยก็ควักให้อาตมาก็มีค่ารถกลับบ้าน
              ครั้งหน้าก็รีบเอาไปคืน จำไว้ว่า ...ถ้ารักจะยืมเงินใคร ต้องคืนเขาให้เร็วที่สุด เขาจะทวงหรือไม่ทวง ให้คืนไว้ก่อน ถ้าทำอย่างนี้ได้ ต่อไปก็จะมีความน่าเชื่อถือ”
*************************

              “การขายของหน้าวัดก็เหมือนกัน แรก ๆ ก็ตั้งร้านขายของเกะกะหน้าวัดไปหมด ตอนหลังหลวงพี่ประทีปเป็นหัวหน้าชุดไปจัดการขึงเชือกกั้นไว้ แต่ขึงเชือกก็ยังเกะกะ ก็เปลี่ยนเป็นโรยปูนขาวเป็นเส้น บอกว่า “ห้ามล้ำเส้นนะ ร้านไหนล้ำออกมา เก็บค่าร้าน ๕๐๐ บาท ถ้าใครตั้งหลังเส้น...ฟรี” เขาก็ยอมทำตาม
              โยมบ๊วยขายมะม่วงดองอยู่หน้าวัด ตอนหลังขยายกิจการไปขายหลายอย่าง มีมะดันดอง กระท้อนดอง มะขามดองเพิ่มขึ้นมา อาตมาถามโยมบ๊วยว่างานหนึ่งขายได้สักเท่าไร
              เขาบอกว่า “หลวงพี่อย่าเอ็ดไปนะ อย่างไม่มี ๆ ก็ห้าหกหมื่น ถ้างานใหญ่ ๆ อย่างเป่ายันต์ฯ ก็สองแสนขึ้นไป” เหลือเชื่อจริง ๆ แต่โยมบ๊วยมีลูกค้าประจำ เพราะว่าทำอร่อย
              กลายเป็นว่าร้านค้าหน้าวัดรวยเพราะหลวงพ่อ แต่ที่รู้จักทำบุญเข้าวัดมีแค่สองสามร้านเท่านั้น มีร้านโยมบ๊วย ร้านโยมสมัคร ที่เหลือนอกจากจะไม่ทำบุญแล้ว ยังต่อไฟวัดไปใช้ฟรีอีกด้วย...!”
*************************

      ถาม :  กรรมกิเลส แปลว่ากรรมที่เนื่องจากกิเลสหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ใช่…กรรมกิเลส ๔ ข้อคือ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาาม การดื่มสุราเมรัย
              การฆ่าสัตว์ เกิดจากกิเลสใหญ่คือโทสะ
              การลักทรัพย์ เกิดจากโลภะ
              การประพฤติผิดในกาม เกิดจากราคะ
              การดื่มสุราเมรัย เกิดจากโมหะ ดื่มแล้วก็ขาดสติหลงลืม
              การพูดปดจัดเป็นกรรมกิเลสไม่ได้ เพราะว่าการพูดปดเกิดได้หลายสาเหตุ เราโลภอยากได้ของเขา เราก็โกหกหลอกลวงเขา เราโกรธเขา เราก็โกหกเพื่อปิดบังความจริงเขา การพูดปดบอกชัดไม่ได้ว่าเป็นกิเลสตัวไหน ท่านก็เลยจัดไว้แค่สี่อย่าง
*************************

      ถาม :  ผมบูชามีดหมอชาตรีมา จะใช้รักษาโรค ต้องใช้กี่ครั้ง อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ใช้กี่ครั้งก็ได้ แต่การรักษาโรคให้ใช้คาถากำกับว่า ทุกขา ทุกขัง ปะติฏฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ
              ถ้าไม่ใช้ทำน้ำมนต์ด้วยมีดหมอเพื่อให้คนไข้ดื่ม ก็ใช้สับไล่จากข้างบนลงข้างล่าง ให้เขานั่งเหยียดปลายเท้าไปทางทิศตะวันตก ที่สำคัญอย่าให้ใครไปนั่งขวางตรงปลายเท้า เพราะคนนั้นจะซวยแทน...!
*************************

      ถาม :  ศีลห้ากับกรรมบถ ๑๐ ต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  กรรมบถ ๑๐ จะเน้นเรื่องวาจา ศีลห้าแค่ห้ามโกหก
              แต่กรรมบถ ๑๐ ห้ามพูดคำหยาบ
              ห้ามพูดส่อเสียด
(ยุยงให้เขาแตกร้าวกน)
              ห้ามพูดคำหยาบ
              ห้ามพูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
กลายเป็นบังคับเรื่องวาจา
              และเน้นเรื่องใจ ไม่คิดโลภอยากได้จนเกินพอดี ถ้าอยกาได้ให้หามาอย่างถูกต้องตามศีลตามธรรม
              ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร โกรธแล้วก็ลืม ไม่ให้ผูกโกรธ
              และมีสัมมาทิฐิ เห็นว่าที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้นดีทุกอย่าง เราจะทำตาม
      ถาม :  ถ้าทำได้ก็ควรทำควบไปด้วยใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่…รักษาศีล ๕ ควบกับกรรมบถ ๑๐ ไปด้วย
*************************

      ถาม :  การที่พระโพธิสัตว์ให้ทานเป็นสุรา ?
      ตอบสุราเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระเวสสันดรก็ให้สุราเป็นทาน
              พระอานนท์ทูลถามว่า ผู้ดื่มสุรานั้นผิดศีล แต่ทำไมถึงให้เป็นทาน ? อย่าลืมว่าท่านให้เฉย ๆ ไม่ได้บีบคอให้เขากิน จะกินหรือไม่กินนั้นรอยู่ที่ตัวเขา
              ท่านให้เพราะว่าท่านต้องการให้ในสิ่งที่คนเขาชอบ นักเลงเหล้าชอบแต่เหล้า ท่านก็ให้เหล้าเขาไป ส่วนเขาจะกินหรือไม่กินไม่ได้เกี่ยวกับท่านแล้ว เพราะฉะนั้น...ให้ได้ แต่ไม่มีอานิสงส์
      ถาม :  การขายสุรา ?
      ตอบ :  การขายสุราก็ไม่ผิด บอกแล้วว่าเราไม่ได้บีบปากเขากรอกลงไปเราไม่ผิดหรอก แต่คราวนี้คนที่ไม่รู้ จะไปตำหนิว่าเขาทำผิด แล้วก็เกิดโทษแก่คนที่ตำหนิ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า บุคคลผู้เป็นพุทธมามะกะไม่ควรทำ
*************************

      ถาม :  ควรบูชาท่านแม่ทั้งสามอย่างไร ?
      ตอบ :  ถ้าจะบนท่านแม่ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ให้บนถวายผ้าไตร ถวายองค์ละชุดไปเลยก็ได้
              แต่ขณะเดียวกันถ้าบูชาทั่ว ๆ ไป ก็ให้สวดมนต์และเจริญกรรมฐานเป็นปกติ ท่านจะชอบอย่างนั้น เพราะว่าท่านแม่ทั้งสามตอนนี้ ท่านไปพระนิพพานกันหมดแล้ว
              ถ้าเป็นสมัยก่อนท่านให้ถวายด้วยผ้าสไบ แต่วาพอไปพระนิพพานแล้ว ท่านบอกว่าเปลี่ยนเป็นจีวรแล้วกัน พระจะได้ใช้ประโยชน์ด้วย
*************************

              “ใน “หนังสือสมบัติพ่อให้” เล่มนี้ เราจะเห็นรูปหลวงปู่เนียม วัดน้อย ถ้าเป็นรูปจริง จะเป็นรูปที่เขาถ่ายหลังจากท่านมรณภาพแล้ว
              หลวงปู่เนียมเป็นพระที่บรรดาช่างภาพกลัวกันมาก เครื่องมือจะดีแค่ไหนก็ตาม ขออนุญาตหรือไม่ขอก็ตาม ถ่ายไม่ติดทั้งนั้น รูปหลวงปู่เนียมมีอยู่ ๒ รูป ก็คือรูปนอนกับรูปนั่ง เขาจับท่านถ่ายหลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว”
*************************

              “สมัยก่อนที่วัดท่าซุง มีรุ่นพี่อยู่ ๑ ท่าน คือ หลวงพี่บรรจง กวิวํ โส แต่พวกเราเรียกว่า “หลวงปู่จง” เขามีหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ก็เลยต้องมีหลวงปู่จง วัดท่าซุงด้วย
              หลวงปู่จงนี่ท่านบวชรุ่นเดียวกับหลวงพี่ชัยวัฒน์ เป็นนักสะสมพระเครื่อง เล่นมาตั้งแต่ก่อนบวช วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่จงจะมีทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นแรกยันรุ่นล่าสุด หลวงปู่จงออกกิจนิมนต์ได้เงินมาเท่าไร ถวายหลวงพ่อเพื่อรับเป็นวัตถุมงคลหมด จนพวกเราล้อกันว่า “หลวงปู่จง...ดูคานกุฏิซิว่าร้าวหรือยัง ?”
              มีอยู่วันหนึ่ง “ไอ้โหน่ง” (น้องสาวหลวงปู่จง) เอาพระเครื่องมาไล่ถวายพระในวัดคนละองค์สององค์ไอ้โหน่งอยากได้บุญ ก็เลยไปรื้อห้องของหลวงปู่จงที่บ้าน เจอพระเครื่องก็ขนเอามาถวายพระในวัด พระในวัดรับไปก็ดีอกดีใจ แต่หลวงปู่จงเกือบจะคลั่ง...!
              เราจะเห็นได้ว่า คนที่ปฏิบัติธรรมมานาน สติสมาธิที่จะระงับยับยั้ง เรื่องของกิเลสนั้นใช้ได้จริง ๆ ของรักของหวงขนาดนั้น แล้วโดนคนอื่นอาไปแจก หลวงปู่จงสามารถระงับตัวเองไม่ให้ด่าน้องได้ ไม่ให้ตีน้องได้
              อาตมาเห็นก็รู้สึกว่าหลวงปู่จงนี่ใช้ได้เลย ถ้าเป็นของรักของหวงของเรา แล้วถูกเขาเอามาไล่แจก คงได้มีรายการตุ้บตั้บกันแน่เลย
              ส่วนอีกคนที่เห็นชัด ก็คือหลวงพี่อาจินต์ วันหนึ่งหลวงพี่อาจินต์ก็เดินมา
              “เฮ้ย…เล็ก...พี่ยังมีโทสะอยู่ว่ะ”
              “อ้าว...ใครไปยั่วกิเลสพี่จนเกิดโทสะ ?”
              “น้องชายของพี่เอง”
              “เขาทำอะไร ?”
              “รู้ไหมว่า พี่สละสมบัติทุกอย่างในบ้านหมดแล้ว เหลือเก็บไว้แต่กระบี่พระราชทานเล่มเดียว มันเอากระบี่ของพี่ไปจำนำ...!”

              นาน ๆ จะเห็นรุ่นพี่เขาน็อตหลุดสักที หลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน นั่งยิ้มทั้งวัน อาตมาก็สงสัยว่าพี่เขาท่าจะหมดโกรธแล้ว วันนั้นเดินมาบอกเองเลย ว่าพี่ยังมีโทสะอยู่
              ถ้าเป็นเรา ของพระราชทานจากในหลวง โดนน้องเอาไปจำนำ จะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ...? เพราะถือว่าเป็นส่ิงมงคลสูงสุดในชีวิต
              ก่อนบวชหลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์สอนอยู่ในโรงเรียนนายเรืออากาศ ยศเรืออากาศโท ถ้าเป็นนายทหารตั้งแต่ยศร้อยตรี เรือตรี ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป จะได้รับกระบี่พระราชทาน กระบี่แต่ละเล่มจะมีหมายเลขประจำตัวอยู่ว่าพระราชทานเมื่อไร รุ่นไหน สามารถที่จะตรวจสอบได้
              ที่แสบที่สุดคือโรงจำนำที่กล้ารับจำนำด้วย เพระามั่นใจว่าอย่างไรเขาก็ต้องมาไถ่คืนแน่
              พอหลวงพี่อาจินต์พูดถึงเรื่องนี้ ก็นึกถึงตัวเองทันทีเลยว่าเหมือนกับตัวเองเลย ตอนนั้นปี ๒๕๓๐ ในหลวงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา แต่ละจังหวัดก็จะมีโครงการต่าง ๆ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
              หลวงพ่อท่านก็นำวัดท่าซุงเข้าโครงการหลายอย่าง อย่างเช่นว่า โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มหาวิหารแก้วร้อยเมตร มณฑปสมเด็จองค์ปฐม ทางจังหวัดก็รีบรับเข้าโครงการด้วยความยินดี ราคาตั้งร้อยล้านพันล้าน ...ใช่ไหม ?
              ตอนนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี มาถึงประมาณ ๘ โมงนิดหน่อยเท่านั้น มาเร็วมากเลย แต่ว่าหลวงพ่อท่านขึ้นกุฏิไปแล้ว ช่วงเช้าหลวงพ่อท่านมาประมาณ ๗ โมงครึ่ง พอรับท่านขึ้นกุฏิ ท่านบอกว่า “เล็ก...วันนี้ใครมาหาพ่อ ก็บอกว่าให้รอตอนบ่ายนะ เพราะว่าหมอจะให้น้ำเกลือ”
              อาตมาก็ “ครับ “ แล้วส่งท่านเข้ากุฏิ
              วันนั้นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ บรรดาหัวหน้าส่วนราชการมากันเยอะมาก มาถึงก็ขออนุญาตเข้าพบหลวงพ่อ อาตมาเรียนท่านว่า “ไม่ได้หรอกครับ หลวงพ่อให้น้ำเกลืออยู่”
              ด้วยความที่ท่านผู้ว่าฯ กระตือรือร้นกับงาน หรือไม่รู้จักกาลเทศะก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า “ให้นำ้เกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?”
              โอ้โห...ตอนนั้นบอกได้ว่า โกรธไฟแลบเลย แต่ด้วยความที่ไม่ได้โกรธคนมาหลายปี ก็เลยตีหน้าไม่ถูก ลืมไปแล้วว่าต้องทำหน้าอย่างไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าโกรธเขาฉิบหาย...! จึงหันหลังเดินหนีไปเฉย ๆ ปล่อยให้ท่านผู้ว่า ฯ และคณะยืนเซ่ออยู่พักใหญ่ พอเขาเห็นว่าอาตมาไม่ไปรายงานให้จริง ๆ ก็เลยกลับ
              อาตมาก็ไปนึกว่า แบบเดียวกับหลวงพี่จินต์เลย หลวงพี่บอกว่าโกรธมากเลย แต่ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร ก็เลยเดินมาบ่นกับอาตมา เสียงพี่เขาบอกว่าโกรธ แต่หน้าตาไม่ได้บอกเลยว่าโกรธ ประเภทเดียวกันเลย ส่วนอาตมาเองไม่ได้โกรธมานาน จึงปั้นสีหน้าไม่ถูก
              เรื่องที่นึกไม่ถึงก็คือ ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เหมือนกับว่าท่านจะเอาแต่งานตัวเอง ไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อเรากำลังจะตาย พูดออกได้ว่า “ให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?”
              ตอนนั้นปั้นหน้าไม่ทัน ถ้าเขามาตอนนี้มั่นใจว่าปั้นหน้าทัน รับรองว่าโดนไปเต็ม ๆ แน่ ตอนนั้นวิทยายุทธ์ยังไม่แก่กล้าพอ...!
*************************

              “ที่โบราณท่านให้ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น จริง ๆ แล้วท่านให้เราปฏิบัติพระกรรมฐานโดยตรง เพียงแต่ว่าท่านแฝงเอาไว้ในพิธีกรรม เป็นมรณานุสติเต็ม ๆ
              เป็นอุปสมานุสติ นึกถึงพระนิพพานได้
              เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
              เป็นเทวตานุสติ นึกถึงความดีของเทวดา
              กล่าวถึงสิ่งไหน เรานึกถึงสิ่งนั้น ก็เป็นการปฏิบัติในพระกรรมฐานกองนั้น ๆ”
*************************

              “สังคมอินเดียโบราณ ถ้าเศรษฐีไม่มีลูกชาย ถึงเวลาตายไป เขาจะยึดสมบัติเป็นของหลวงหมด เพราะอย่างนั้นพ่อแม่ของพระรัฐบาลเถระ ถึงได้เป็นลมตอนท่านออกบวช เพระาะไม่มีใครดูแลสมบัติ สมัยก่อนเขาไม่เชื่อความสามารถลูกผู้หญิง ต้องเป็นลูกผู้ชายเท่านั้น จึงจะให้ปกครองตระกูลต่อไปได้
              พระสุทินนกันทบุตรออกบวช พ่อแม่เสียอกเสียใจ อ้อนวอนเท่าไรลูกก็ไม่สึก พอพระสุทินน์กลับไปเยี่ยมบ้าน พ่อแม่จึงเอาทรัพย์สมบัติมากองไว้เต็มบ้าน ขอให้สึกมารักษาสมบัติ ท่านก็ไม่สึก
              พ่อแม่จึงขอให้ท่านมีหลานไว้สักคนหนึ่ง ถ้ามีหลานเป็นผู้ชาย จะได้รักษาสมบัติไว้ได้ ไม่อย่างนั้นจะโดนยึดเป็นของหลวงหมด
              สมัยนั้นยังไม่มีศีลของพระ พระสุทินน์ก็เลยไม่รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเป็นสิ่งต้องห้าม ในเมื่อพ่อแม่ขอ ท่านก็ตกลง พ่อแม่จึงส่งภรรยาให้ไปนอนด้วย จนกระทั่งตั้งท้องขึ้นมา
              พระสุทินน์ก็สะกิดใจว่า เราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แล้วมาเสพเมถุนซึ่งเป็นเรื่องของคนคู่ ไม่น่าจะถูกต้อง
              ท่านเกิดเครียด กังวลมาก ผอมดำดูไม่ได้เลย เพื่อนพระก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระสุทินน์ท่านจึงเล่าให้ฟัง เพื่อนพระก็ไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า
              พระพุทธเจ้าท่านจึงเรียกมาสอบถาม แล้วก็บัญญัติศีลข้อแรกขึ้นมาว่า ภิกษุเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก ถ้าใครทำเช่นนี้อีก จะขาดจากความเป็นพระไปเลย...!
              รู้ไหมว่า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลพระข้อแรกขึ้นมาในพรรษาที่เท่าไร ?
              ศีลพระข้อแรกของพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นในพรรษาที่ ๒๑ ขององค์สมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้า
              แสดงว่า ๒๐ ปีผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเลย เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้ากันหมด ท่านรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
              พระสุทินนกลันทบุตรท่านเป็นปุถุชน ท่านเองแม้จะสะกิดใจว่าไม่ควร แต่ไม่มีข้อห้าม ในเมื่อไม่มีข้อห้าม จึงกลายเป็นว่าถึงแม้จะทำผิด แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงยกให้ว่า
              บุคคลผู้เป็นอาทิกัมมิกะ คือเป็นต้นบัญญัติ ไม่ถือว่าผิด
              เหมือนกับว่ายังไม่มีกฎหมายห้ามไว้ในเมื่อไม่มีกฎหมายก็ไม่ถือว่าทำผิด แต่ทันทีที่บัญญัติกฎหมายขึ้นมา คนต่อไปทำแล้วจะผิดทันที”
*************************

      ถาม :  ทำอย่างไรจะระงับโทสะได้ ?
      ตอบ :  เป็นพระอนาคามี...! นี่ตอบตรง ๆ เลย
              อันดับแรก ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวอย่างน้อยในระดับปฐมฌานละเอียด แล้วอย่าหลุดออกจากสมาธินั้น ก็จะไม่มีรัก โลภ โกรธ หลงอะไรกวนเราได้ หลุดออกมาเมื่อไรก็โดนอีกเมื่อนั้น ทันทีที่เรารู้ตัวว่าหลุดแล้ว ให้รีบวิ่งกลับมาหาลมหายใจเข้าออกใหม่ ภาวนาให้ทรงตัวใหม่ ก็จะรักษาอารมณ์ไว้ได้ตามเดิม
              แสดงว่าคุณมัวแต่ไปหงุดหงิดกลุ้มใจอยู่กับความโกรธ แล้วก็ทิ้งลมหายใจไปเลย ให้รีบวิ่งกลับมาภาวนาใหม่โดยด่วน อารมณ์ทรงตัวเมื่อไรก็เลิกโกรธ หลุดเมื่อไรก็โกรธใหม่อีก นี่แค่ขั้นแรก
              พออารมณ์ทรงตัวแล้ว ต้องไปพิจารณาตัดให้ได้ด้วย แผ่เมตตาให้เขาให้ได้ แรก ๆ ก็ให้คนที่เรารักก่อน แผ่เมตตาให้คนที่เรารักก่อน หลังจากนั้นก็ไปคนที่เรารักน้อย คนที่เราไม่รักไม่เกลียด คนที่เราเกลียดน้อย คนที่เราเกลียดมาก ถ้าหากว่าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าเลยทีเดียว ไม่ไหวหรอก เพราะกำลังเราไม่พอ ก็ต้องเริ่มจากน้อยไปหามาก แต่ว่าต้องทำบ่อย ๆ
              รู้ตัวเมื่อไรอย่าไปมัวแต่ขุ่นมัวกับอารมณ์นั้น อย่าไปหงุดหงิดอยู่กับความโกรธ รีบวิ่งไปหาลมหายใจเข้าออก เครื่องช่วยชีวิตของเรานี้ทิ้งไม่ได้เลย กลับมาหาลมหายใจก่อน อยู่กับปัจจุบันก่อน เรียกสติคืนมาให้ได้
*************************

      ถาม :  ก่อนนี้ปฏิบัติได้ดี อารมณ์ทรงตัวง่าย แต่ตอนนี้ทำไม่ค่อยได้ ?
      ตอบต้องดูว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร อยู่ในส่ิงแวดล้อมแบไหน แล้วเราทำได้ดี
              ถ้าหากว่าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องอย่งนั้นอีก สมาธิก็จะทรงตัวได้ง่าย ทำได้ดีเหมือนเดิม ถ้าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกต้อง อารมณ์เสียต่อไปอีก
*************************

      ถาม :  ใช้มโนมยิทธิดูเรื่องต่าง ๆ แล้วถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ?
      ตอบถ้าหากว่าเคยถูก ให้จำด้วยว่าเราวางอารมณ์แบบไหนถึงถูก ถ้าเราจำได้แล้ว ถึงเวลาใช้อารมณ์อย่างนั้นก็จะถูกไปเรื่อย แต่ถ้าเราจำไม่ได้ ไปมั่วเข้าก็จะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง
*************************

      ถาม :  ยกจิตไปเกาะพระนิพพาน มีอานิสงส์อย่างไร ?
      ตอบ :  อันดับแรกได้พุทธานุสติ ถ้ากำลังใจปักมั่นแน่วแน่ เชื่อว่าตรงนั้นคือพระนิพพาน ก็เป็นอุปสมานุสติ อยู่ที่ความเชื่อมั่นของเรา
              สมัยก่อนบางทีอาตมาร่างกายแย่ ๆ จับภาพพระไม่เห็นองค์ท่านเลย จิตมัวมาก เพราะว่าร่างกายแย่ ป่วยหนัก เห็นแต่ยอดเกตุนิดเดียว แหลม ๆ ก็ตั้งใจน้อมกราบลงไปตรงนั้น มั่นใจว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นก็ใช้ได้แล้ว
              ดังนั้น...กำลังใจของเราแต่ละวันไม่เท่ากัน บางวันก็ชัดเจน บางวันก็มัว แต่ให้เรามั่นใจยว่าตรงนั้นคือพระนิพพานแน่นอน
*************************

      ถาม :  การปฏิบัติมโนมยิทธิจะให้ดี มีขั้นตอนอย่างไร ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามีเวลา เราก็นั่งสมาธิจนทรงตัว พิจารณาตัดร่างกายได้ แล้วค่อยส่งจิตไปจะดีมาก แต่ถ้าหากทำจนคล่องตัวจริง ๆ แค่นึกก็ถึงแล้ว ถ้าหากว่านึกก็ถึงแล้ว นั่นเป็นการตัดโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว นี่ว่ากันตามทฤษฎีพื้นฐานก่อน
              ภาวนาให้อารมณ์ทรงตัว แล้วก็พิจารณาเพื่อความมั่นคงของเรา ให้ซ้อมทำจนคล่อง ตอนหลังก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอจิตเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเราก็ไปได้เลย
*************************

      ถาม :  ฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว สามารถเป็นหมอดูได้ ?
      ตอบ :  ถ้าได้มโนมยิทธิแล้วไปเป็นหมอดู อย่าให้เขาถามเฉพาะหน้าแบบนี้ ถามเฉพาะหน้าแบบนี้จะต้องเก่งเท่าอาตมา เพราะว่าเวลาเขาถามมาก เราเกิดรำคาญหงุดหงิดขึ้นมา คราวนี้เราจะเสียไปทั้งวันเลย พอจิตมัวตอบอะไรไปก็ผิด...!
              หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ถ้าจะใช้มโนมยิทธิในลักษณะเป็นหมอดู อย่าไปนั่งต่อหน้าลูกค้า ให้เราอยู่ในห้องพระ แล้วเขาเขียนปัญหาให้คนส่งเข้ามาให้ ถึงเวลากำหนดใจนึกถึงพระ ขอคำตอบแล้วเขียนตอบทีละข้อ จากนั้นส่งคืนเขาไป
              ถ้าไปเผชิญหน้าให้เขาซักนั้่นถามนี่ แล้วอารมณ์ของเราขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ทรงตัว ก็จะพังในเวลาอันรวดเร็ว
*************************

      ถาม :  เขาใช้มโนมยิทธิผิกันผิด ๆ ?
      ตอบ :  เป็นเรื่องปกติ ทางผิดน่าสนุกกว่า มโนมยิทธิที่ถูกต้องจริง ๆ ก็คือรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง การไปพระนิพพานนั้นเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติในตัวอยู่แล้ว ถ้าเราจดจำอารมณ์นั้นได้ แล้วเอามาปฏิบัติละให้ได้อย่างอารมณ์พระนิพพาน เราก็จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย
              แต่ส่วนใหญ่ที่เจอก็คือ พอทำได้แล้วก็ไปเที่ยวดูว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้นกับฉัน คนนี้เป็นยอ่างนี้กับฉัน ดูเสร็จแล้วไม่เข็ด ยังไปฟื้นความสัมพันธ์กับเขาอีก ก็ยิ่งบรรลัยกันหนักเข้าไปใหญ่ นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ จะต้งเจอทุกคนแหละ ถ้ายังไม่เข็ด ก็ยังจะทำไปอยู่เรื่อย ๆ
              อาตมาเองก็เคยไปสนุกอยู่กับเขา ๓ - ๔ ปี ใครถามอะไรก็ดูในห้ตอบให้เขาหมด พอดีวันนั้นทำงานที่บ้านสายลม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า บุคคลที่ได้วิชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ถ้ายังไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ยังแช่อยู่ในนรกทั้งตัว...!
              อาตมาได้ยินนี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ก็ตัวเองยังไม่ได้ขนาดนั้น แล้วไม่จมนรกมิดหัวเลยหรือ ?
              หลวงพ่อท่านก็บอกต่อไปว่า บุคคลที่จะพ้นนรกได้ อย่างน้อยต้องเกาะความเป็นพระโสดาบันให้ได้
              แล้วท่านก็อธิบายให้ว่า พระโสดาบันต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง เคารพพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าจริง ๆ ก็คือไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
              ต้องมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ คำว่าศีลบริสุทธิ์ก็คือ ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ
              แล้วท้ายที่สุดต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว
              ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้ได้ คือเป็นพระโสดาบันได้ ถึงจะรอดจากอบายภูมิ
              ตั้งแต่นั้นมา อาตมาที่เหมือนกับคนหลับอยู่ แล้วหลวงพ่อปลุกให้ตื่นขึ้นมารู้ว่าตกอยู่ในอันตราย ก็โกยสุดชีวิตเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่เป็นขี้ข้าดูให้ใครอีกแล้ว มัวแต่ไปเพลินอยู่ ถ้าไปตายตอนนั้น เราก็ขาดทุนย่อยยับ...!
*************************