“มีคนถามว่า การที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานตรงกัน ก็คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหมือนกัน พระองค์ท่านเลือกไว้ก่อนหรือเปล่า ?
ต้องบอกว่าเรื่องของบุญที่ทำมา จะเป็นตัวจัดสรรทุกอย่างให้ลงตัวอยู่แล้ว
ในเมื่อเกิดมาเป็นอัจฉริยะมนุษย์ระดับพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีสิ่งอัศจรรย์บางอย่างไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไป ก็เลยทำให้วันเกิด วันจบการศึกษา และวันตายเป็นวันเดียวกัน ต่างกันที่ปีเท่านั้น
ทำอย่างไรที่พวกเราจะเลือกวันตายได้ และที่สำคัญที่สุด เลือกว่าตายแล้วไปไหนได้ ? ถ้าเลือกได้นี่ประกันความเสี่ยงได้เลย
นักปราชญ์ทั้งโลกบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกที่อยู่ไม่ได้ เลือกกิจการงานที่ทำไม่ได้ เลือกตายไม่ได้
นั่นเป็นเรื่องของทางโลก อย่างพวกเราอย่างน้อยก็เลือกได้ ๒ อย่าง คือเลือกเกิดได้กับเลือกตายได้ ถ้าทำให้จริง ๒ อย่างนี้เลือกได้แน่นอน ...!”
*************************
“เมื่อประมาณวันที่ ๒๔ เมษายน กำลังทำวัตรเย็นอยู่ ท่านคอม (พระพิทยา ติกฺขญาโณ) ท้องเสียจึงไปเข้าห้องน้ำ เหมือนกับท่านโดนบังคับให้ท้องเสีย
พอท่านออกจากห้องน้ำมา เจอวัยรุ่น ๒ คนกำลังใช้เลื่อย เลื่อยกุญแจห้องท่านอยู่พอดี ท่านร้อง “เฮ้ย..!” ขึ้นมา พวกนั้นโยนเครื่องมือทิ้งเผ่นแน่บ...!
เราจะเห็นได้สองประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ ถ้าไม่ได้สร้างกรรมอทินนาทานไว้ อย่างไรก็จะไม่สูญเสียทรัพย์สิน ร้อยวันพันปีท่านไม่เคยท้องเสีย มาท้องเสียเอาวันจะโดนขโมย ออกจากส้วมมาก็เจอพอดีเลย
ประการที่สองคือ คนทุกคนมีปัญญา แม้แต่คนที่กำลังจะสร้างเวรสร้างกรรม เขาก็รู้จักเลือกว่าเวลานี้พระทำวัตร จะไม่มีใครมายุ่งด้วย
แบบเดียวกับสมัยยังอยู่ที่วัดท่าซุง หลังจากที่อาตมาไปอาละวาด จนกระทั่งไม่มีใครมาหาปลาตอนกลางคืน เขาก็มาหาปลาตอนพระบิณฑบาต มาตอนพระฉัน พอเสียงกลองเพลดัง เขาก็ลงข่าย กว่าพระจะฉันเสร็จครึ่งชั่วโมง เขากวาดปลาไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ?
อาตมาไปแอบซุ่มรออยู่ เผื่อว่าพวกนั้นจะมาอีก ในที่สุดก็สรุปได้ว่า จังหวะที่เขาจะมาก็คือ ช่วงทำวัตรค่ำ ตอนทำวัตรเช้าเขาไม่มา เดาว่ามี ๒ สาเหตุด้วยกัน
สาเหตุแรกคือ เขาตื่นไม่ทัน
สาเหตุที่สองคือ กลัวผี...!
วัดท่าขนุนเป็นวัดเปิด เพราะทางเข้าทั้ง ๒ ฝั่ง เป็นทางที่เทศบาลตำบลทองผาภูมิลงทุนทำให้ เขาอย่างเดียวว่าให้เปิดเป็นทางสาธารณะ ถ้าไม่เป็นเป็นทางสาธารณะ เขาไม่สามารถที่จะเบิกงบประมาณมาช่วยเราได้
ในเมื่อเป็นวัดเปิด รั้วรอบขอบชิดก็ไม่มี เพราะทุกด้านเป็นถนน ขโมยก็เข้าออกได้สบาย ยกเว้นทางด้านทิศใต้ที่เป็นลำห้วยจะเข้ายากหน่อย”
*************************
“กล้วยจัดว่าเป็นสมุนไพรอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านทรงอนุญาตน้ำปานะ ทั้งกล้วยมีเมล็ดและกล้วยไม่มีเมล็ด บาลีเขาว่า
โจจะปานะ (น้ำกล้วยมีเมล็ด)
โมจะปานะ (น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด)
สมัยนี้จะไปทำน้ำปานะจากกล้วย คงไม่มีใครมีความอดทนพอ สมัยก่อนเขาจะขยำกล้วยจนเละ เสร็จแล้วเอาห่อผ้าแขวนไว้ ให้น้ำหยดลงมา เราคงไม่มีความอดทนพอที่จะไปรออย่างนั้น
สมัยนี้เขาปั่นแล้วใส่นำ้แข็ง เแต่พระไม่มีสิทธิ์ฉัน เพราะว่าท่านห้ามฉันเนื้อ ฉันได้แต่น้ำ หรือไม่เราก็ปั่นเสร็จแล้วค่อยกรองเอาแต่น้ำ
พอเทคโนโลยีดีขึ้น ความประณีต ความอดทนของคนก็น้อยลง ตอนเด็ก ๆ พอถึงเวลาจะแกงอะไร อาตมาจะโดนบังคับให้ตำน้ำพริก ด้วยความที่อยากจะไปเล่น ก็รีบ ๆ ตำ ผู้ใหญ่เาดูแล้วบอกว่า “ยังใช้ไม่ได้ ให้ตำใหม่”
ตอนนั้นอาตมาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้ไม่ได้ มาตอนนี้รู้แล้วว่าพริกแกงหยาบเป็นบ้าเลย ต้องตำให้ละเอียดจริง ๆ จึงจะได้รสถึงกลิ่น สมัยนี้โยมเข้าเครื่องปั่นได้ก็เอาแล้ว”
*************************
“ระยะหลังนี้เล่นสนุกกับพระมาก พระครูน้อยท่านหยิบขนมปังขึ้นมา อาตมาก็กดมือท่านเอาไว้ “เดี๋ยว...อย่าเพิ่งฉัน ไส้ขนมสีอะไร ?”
พระครูน้อยก็เหวอ “สีขาวมังครับ ?” คือดูแล้ว่าไม่น่าจะมีไส้
“ไม่ต้องแทงกั๊ก ฟันธงมาเลย”
ท่านก็อึกอัก พออาตมาบอกว่าสีเขียว ท่านก็แกะดู ก็บอกว่า “ไม่จริ๊ง...ไม่จริง” ไม่จริงอะไรก็เห็น ๆ อยู่ บางวันไม่มีอะไรก็เล่นสนุก ๆ กันในวงข้าว
วัดท่าขนุนของเราจะให้พระเวียนกันขึ้น ยะถาฯ...สัพพีฯ.. คราวนี้พระใหม่ท่านเพิ่งบวช ก็เป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง แต่ท่านแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะขึ้นบทไหน พระอาจารย์ก็รับได้ทันทุกที
จึงบอกกับท่านว่า “ก่อนคุณจะขึ้น ผมก็รู้แล้วว่าคุณจะขึ้นบทไหน ผมเลยตั้งท่ารับทัน” เล่นเอาลูกศิษย์หายโง่ไปเลย”
*************************
“ตอนที่ไปรับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ใหม่ ๆ มีผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง น่าจะเริ่มเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว เอาลูกพลับมาถวาย ๓ ลูก แล้วก็มาถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติทิพจักขุญาณ เรื่องอภิญญา โดยตั้งสมมุติฐานว่าจะเป็นไปได้ไหม
อาตมาบอกเขาว่า เอาอย่างนี้แล้วกันอธิบายไปก็เสียเวลา หยิบลูกพลับมา ๑ ลูก คุณบอกได้ไหมว่ามีกี่เมล็ด ?
เขาบอกว่าบอกไม่ได้ แต่อาตมาบอกได้ว่ามี ๓ เมล็ด เขาบอกว่า ไม่ใช่ ลูกนี้มี ๖ กลีบ น่าจะมี ๖ เมล็ด
อาตมาจึงให้เขาผ่าดู เขาก็ควั่นกลาง ดึงออกมา ปรากฎว่ามี ๓ เมล็ดจริง ๆ ถามเขาว่า เชื่อหรือยังว่า ..เรื่องพวกนี้สามารถที่จะทำได้ แต่คุณต้องขยันฝึกซ้อมหน่อย
อะไรก็ตามที่เราทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะทำไม่ได้
แต่อะไรก็ตามที่คนอื่นทำได้ เราต้องทำได้ด้วย...!”
*************************
“ยิ่งคนรุ่นใหม่มากเท่าไร ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาจะยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น ทุกย่างก้าวไปหาความเสื่อมเป็นปกติ โดยเฉพาะการปฏิบัติ
จากที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ศาสนาของเรา
พันปีแรก จะมากไปด้วยพระปฏิสัมภิทาญาณ
พันปีที่สอง จะมากไปด้วยพระอภิญญา ๖
พันปีที่สาม คือช่วงตอนนี้ จะมากไปด้วยพระวิชชาสาม
พันปีที่สี่ จะมากไปด้วยพระสุกขวิปัสสโก
พอพันปีที่ห้า มากไปด้วยพระอนาคามี
คำว่ามากก็คือ มีประเภทอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่า
พวกเราจะเห็นว่าอยู่ในลักษณะที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ถ้าไม่มีความพากเพียรพยายามจริง ๆ จะเอาดีได้ยาก อย่างที่เล่าว่าอาตมาเคยคุยกับมารเขา มารเขาบอกว่า ที่ท่านสอนไปไม่มีประโยชน์หรอก ผมครอบไปอีกตั้งกี่ชั้นแล้วก็ไม่รู้
ความสะดวกสบายทางโลกมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ บางอย่างพอเกิดขึ้น ก็ฆ่าเทคโนโลยีเก่า ๆ ตายหมดเลย พอมีซีดีมา เทปก็ตายสนิท ตอนนี้มีเอ็มพีสามมา คาดว่าเดี๋ยวอีกไม่นานซีดีก็ตาย
ปัจจุบันนี้ไอโฟนมา คงจะฆ่าทิ้งไปอีกหลายอย่างเลย เพราะเป็นได้ทั้งโทรศัพท์ เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายรูป เครื่องนำทาง เครื่องแปลภาษา ไฟฉาย
คิดดูก็แล้วกันว่าฆ่าทิ้งไปกี่อย่าง โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือนี่ตายแน่เลย เพราะว่าไอโฟนสามารถกำหนดวันเดือนปีได้ครบ ตั้งเวลาล่วงหน้าได้หลายปี ถึงเวลานัดหมายก็ปลุกเตือนได้อีกต่างหาก”
*************************
“สมัยเด็ก ๆ มีเรื่องผีบุญ เขาลือว่าผู้มีบุญจะมาเกิด ใครเป็นคนอีสานต้องได้ยินเรื่องนี้แน่นอน ที่เขาให้ไปเก็บก้อนหินใส่ไหไว้ พอเวลาผู้มีบุญมาเกิด หินจะกลายเป็นทองคำ ใครอยู่อีสานโดนมาแล้วทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเก็บเอาไว้สักไห เผื่อกลายเป็นทองคำจริงก็สบาย
ฉะนั้น...เรื่องของข่าวลือเป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่เอาเหตุผล เชื่อก็คือเชื่อ
นักการเมืองเขาถึงได้พยายามฉวยโอกาสบนความเชื่อของชาวบ้าน ถ้าเขาเชื่อว่าคุณเป็นคนดี ต่อให้คุณทำผิดอยู่เต็ม ๆ เขาก็ยังเห็นว่าคุณเป็นคนดี”
*************************
ถาม : กำลังใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ?
ตอบ : ของอย่างนี้ต้องเข้าถึงเอง ถึงจะรู้ว่ากำลังใจที่ล่วงพ้นทั้งสุขและทุกข์นั้น คือความสุขที่แท้จริง เป็นอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ทรงตัวมั่นคงแล้ว
ในเมื่อรัก โลภ โกรธ หลง กระทบกระทั่งไม่ได้ ความยินดียินร้ายกระทบกระทั่งไม่ได้แล้ว สิ่งนั้นคือความสุขที่แท้จริง
ท่านใช้คำว่า อะโสกัง ไม่มีความโศกเศร้าอีกแล้ว
วิระชัง ผ่องใสปราศจากธุลี
เขมัง เกษมแช่มชื่นเบิกบาน
*************************
“มีแต่คนกลัวภัยธรรมชาติจะเกิดกับประเทศไทย ขอยืนยันว่าไม่ต้องกลัว บ้านเราโชคดีมหาศาล
ประการแรก เรามีองค์ในหลวง ร.๙ ที่ทรงทศพิศราชธรรม เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ บารมีของพระองค์ท่านคุ้มประเทศได้
ประการที่สอง เรามีหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าถึงวาระสำคัญ ท่านเหล่านี้ยอมทิ้งขันธ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศ จากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย
ช่วงระยะเวลาที่ไม่นานผ่านมา เราก็จะเห็นหลวงตามหาบัวมรณภาพ
หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม มรณภาพ
หลวงปู่ครูบาผัด วัดหัวฝาย มรณภาพ
ล่าสุดก็คือ หลวงปู่ทอง วัดสำเภาเชย มรณภาพ
ช่วงก่อนหลวงปู่ทองจะมรณภาพ ฟ้ามืดอยู่ ๒ วัน โยมเขาโทรมาถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?
อาตมาบอกว่า พระที่เป็นเสาหลักของปักษ์ใต้จะมรณภาพแล้วให้สังเกตเอาไว้ว่าจริงไหม ?
ที่กล้าเล่าเพราะเรื่องเลยไปแล้ว ถ้ายังไม่ถึงก็จะไม่บอก เพราะว่าจะทำให้แตกตื่นกันไปเปล่า ๆ
เพราะฉะนั้น...เรามีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ เมื่อถึงวาระสำคัญท่านยอมสละตนเองเพื่อความสุขของคนส่วนรวม
ถามว่าท่านสละตนเองอย่างนั้น ท่านลำบากไหม ?
พระที่ปฏิบัติถึงระดับแล้ว ไม่มีท่านใดต้องการอยู่หรอก พูดง่าย ๆ คือได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ท่านเองก็พ้นจากร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ขณะเดียวกันก็ช่วยตัดกรรมหนักของชาติบ้านเมืองลงไปได้ โดยเฉพาะพระระดับใหญ่อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ใครจะไปนึกว่าพระใหญ่ระดับนั้น จะเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มรณภาพแล้วไปดีได้
หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเป็นมะเร็ง การเจ็บปวดจากโรคมะเร็งนี่อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ถูก อย่าลืมว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์สืบสายจากหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ภาษิตจีนเขาว่า ภายใต้เงื้อมมือของขุนพลเข้มแข็งไม่มีทหารอ่อนแอ
เมื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเจ็บปวดจากมะเร็ง มีวิธีก็คือเข้าสมาธิหนีความเจ็บปวด ในเมื่อเข้าสมาธิหนีแล้ว ถึงเวลาออกมาก็ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีก
ท้ายสุดเมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีพิจารณาให้เห็นว่าธรรมของร่างกาย มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นปกติอย่างนี้ ไม่เสียทีที่ท่านเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ ไม่เสียทีที่ท่านจบเปรียญธรม ๙ ประโยครุ่นแรก ๆ เพราะว่าพอถึงเวลาปฏิบัติจริงท่านก็ทำได้ดี
อาตมาไปสรงน้ำท่านวันแรกเลย ก่อนน้ำหลวงพระราชทานนิดเดียว เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมาสว่างมาก ยังคิดว่า “ท่านไปสวยดีจัง”
พอดีเขาพูดกันว่า ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกกับพระและญาติโยมว่า ท่านหมดภาระแล้ว
ประการสุดท้ายก็คือ พวกเรามีคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก บุคคลที่มั่นคงในคุณพระศรีรัตนตรัยจริง ๆ จะไม่เป็นอันตรายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ ยกเว้นว่าหมดอายุขัย
และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ท้าวจาตุมหาราชท่านเคยให้พรไว้ว่า
“บุคคลใดก็ตาม ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต”
พวกเราดีในเรื่องที่ว่า ขณะทำสิ่งที่เป็นกองบุญการกุศลแล้วเราก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเทพเจ้าที่ปกปักรักษาพวกเรา เทพเจ้าทั่วสากลพิภพตลอดจนพระยายมราช ก็แปลว่าเราต่อสายสัมพันธ์ มีการเชื่อมโยงถึงท่านอยู่ตลอดเวลา อย่างไรเสียถ้าถึงเวลาท่านก็ไม่ทิ้งเราแน่
แต่ว่าต้องปฏิบัติให้จริง ปัจจุบันนี้มีอยู่ส่วนหนี่งที่เป็นลูกศิษย์เก่า ตั้งแต่สมัยพระเดชพระคุณหลวพ่อวัดท่าซุง แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย ต้องบอกว่าเกิดจากการทำไม่จริง
ถ้าคนทำจริงแล้วทุ่มเท พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ก็ต้องบรรลุระดับใดระดับหนึ่ง ใครทำ ๗ ปี แล้วยังไม่ได้อะไรเลย ขอให้รู้ว่า ถ้าไม่ทำขาด ก็ทำผิดไปเลย
อย่างที่เมื่อคืนก่อนบรรยายไปว่า จะขาดในเรื่องของขันติบารมี วิริยบารมี และปัญญาบารมี
๓ ตัวนี้ขาดกันมาก ไม่มีความอดทนอดกลั้น ไปหาพระหาเจ้า อยากให้ท่านเสกเพี้ยงเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าคงเอาพวกเราไปหมดแล้ว
พระองค์ท่านตรัสไว้ชัดแล้ว
สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของจำเพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่
แปลว่าเราต้องใช้ความพากเพียรพยายาม ความอดทนอดกลั้นทุ่มเทปฏิบัติ และต้องทุ่มเทให้ถูกทางด้วย ไม่อย่างนั้นก็แปลว่า เราขาดปัญญาบารมีจริง ๆ คือทำผิดทาง กลายเป็นเหนื่อยเปล่า
แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ต้องผิดบ้างถูกบ้างไปเรื่อย จนกว่าจะไปถึงระดับหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นส่ิงที่ถูกต้องอย่างแท้จริง คราวนี้ก็จะรีบเร่งกัน หัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะกว่าจะรู้ ก็มักจะเป็นวาระท้าย ๆ ของชีวิตแล้ว...!
ดังนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติ อย่าได้ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว อย่างวันนี้ที่โยมถาม เขาสังเกตว่าบุคคลที่ฝึกมโนมยิทธินั้นส่วนใหญ่ใช้ผิด อาตมาก็รับรองกับเขาว่าใช่...ใช้ผิด
มโนมยิทธินี่เป็นพื้นฐานของอภิญญา คนชอบทางฤทธิ์ชอบอภิญญาที่ไม่ซนไม่มีหรอก พอได้มาก็คันไม้คันมือ ใช้มั่วตามวิสัยของตัวเอง
แต่คราวนี้ตามความหวังของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสอนมโนมยิทธินั้น เพราะว่ามโนมยิทธิเป็นวิธีไปพระนิพพานที่ง่ายที่สุด เรารู้จักพระนิพพานได้เราไปพระนิพพานตรง สามารถจดจำอารมณ์พระนิพพานแล้วนำมาปฏิบัติได้ ถ้าหากว่าเราทำถึงเมื่อไร เราจะทราบทันทีว่าเราถึงแล้ว เพราะเราเคยชินกับอารมณ์นั้น
การส่งจิตขึ้นพระนิพพาน เป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา เพราะว่าพวกเราไม่ถนัดในการใช้วิปัสสนาญาณ เราถนัดแต่เรื่องของสมาธิสมาบัติ
ถามว่าสมาธิสมาบัติตัดกิเลสได้ไหม ?
ได้...ถ้าเราสามารถกดกิเลสไว้ได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กิเลสเกิดไม่ได้ก็เฉาตายได้เหมือนกัน เขาเรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุตติ คือใช้กำลังข่มกิเลสไว้ เหมือนเอาหินทับหญ้า ถ้าทับได้นานพอหญ้าก็ตายไปเอง
ส่วนการพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้น เป็นปัญญาวิมุติ คือเมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว จิตยอมรับ ก็จะปล่อยวางลงได้
ทั้งสองอย่างนั้นความจริงต้องทำร่วมกัน แต่พวกเรามักจะถนัดด้านเดียว ก็คือเรื่องของสมาธิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้คิดค้นวิชาการ ที่เหมาะสมกับพวกลูกหลานอย่างพวกเรา ก็คือใช้สมาธิเป็นหลักส่งจิตขึ้นไปเกาะพระนิพพาน ซึ่งจะเป็นอารมณ์ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง จริง ๆ
หลวงพ่อท่านเชื่อว่าพวกเราฉลาดพอ เชื่อว่าพวกเราจะเลือกได้ถูกต้อง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด พอได้แล้วแทนที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส ก็เที่ยวไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา ดูแค่นั้นก็ยังพอทน แต่ว่ามีส่วนหนึ่งไปฟื้นความสัมพันธ์เก่าขึ้นมาอีก ทีนี้ก็ยุ่งกันไปใหญ่ แทนที่จะหลุด ก็ยิ่งเกาะกันนัวเนียหนักขึ้น
ถามว่าแล้วมีโทษหรือไม่ ?
โทษใหญ่ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ ยากที่จะหลุดพ้นได้ เพราะว่าภาระทั้งเก่าทั้งใหม่จะผูกเข้ามามากขึ้น
ที่โยมเขาว่ามา อาตมาถึงได้รับรองว่าใช่ ส่วนใหญ่เราใช้ผิด นัยว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าใช้ถูก ก็เป็นการตัดกิเลสที่ง่ายจนไม่มีอะไรจะง่ายกว่านี้อีกแล้ว และเหมาะสมกับกำลังใจของพวกเราอย่างที่สุด
ดังนั้น...ในเรื่องของมโนมยิทธิ ถ้าหากว่าจะดูอดีต จะระลึกชาติ ก็ใส่ปัญญาประกอบไปด้วยว่า แต่ละชาติของเรามีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ชาตินี้เราก็ทุกข์อยู่แล้ว เพราะว่าเรามัวแต่สนุกจนกระทั่งเวลาเหลือน้อยมากแล้ว
อย่าลืมว่าชึวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเดียวเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเหมือนกัน ความตายมาจ่อประชิดติดตัวขนาดนี้แล้ว ถึงเวลายังไปห่วงว่า ตายแล้วเขาจะเผาเราหรือเปล่า ? ไม่ต้องห่วง...เขาไม่เก็บไว้หรอก เผาแน่ ๆ เพราะฉะนั้น...ต้องรีบเร่งรัดตัดทางเข้าหาพระนิพพานให้เร็วที่สุด
การอยู่ในโลกนี้แม้แต่วินาทีเดียวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ อยู่นาทีหนึ่งก็ทุกข์นาทีหนึ่ง อยู่ชั่วโมงหนึ่งก็ทุกข์ชั่วโมงหนึ่ง อยู่วันหนึ่งก็ทุกข์วันหนึ่ง เราย่ำเท้าอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ เราดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ โดนความทุกข์แผดเผาอยู่ตลอดเวลา เหมือนอยู่ในบ้านที่ไฟไหม้ ควรจะรีบหนี หรือว่านอนสบายรอให้ไฟไหม้มาถึงหัว ?
เรื่องพวกนี้เรามีปัญญาพอที่จะพิจารณาได้ แต่ให้ตระหนักไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่พอว่ากันครั้งหนึ่งก็ได้สติครั้งหนึ่ง ถึงเวลาก็เพลิดเพลินเจริญใจกันต่อ ถ้าอย่างนั้นถ้าครูบาอาจารย์ล่วงลับไป แล้วใครจะมาเตือนสติพวกเราอีก
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกแล้วว่า ฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย
ใครฟังเทป ฟังซีดี หรืออ่านหนังสือของท่าน จะเจอข้อความทั้งหลายเหล่านี้อยู่เป็นประจำ อย่าปล่อยให้ผ่านหูผ่านตาไปเฉย ๆ
ฟังสิ่งที่ท่านสอนให้เหมือนอย่างกับว่าท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป อย่าฟังคำสอนเป็นคำสอน
ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสอน เราอาจจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสั่ง เราจะต้องทำเดี๋ยวนั้น
เอาอย่างทหารคือ...รับคำสั่ง ทำทันที ไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นถึงจะมีโอกาสที่จะหลุดรอดจากวัฏสงสารได้”
*************************
“บ้านวิริยบารมีนี้ สำหรับบางคนแล้วมายากขึ้น แต่อีกหลายคนมาสะดวกขึ้น ก็เลยมาทุกวัน วันละสามรอบ เพราะว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ นี่เองแสดงว่ามีประโยชน์สำหรับบางคนเช่นกัน
ถึงแม้จะมาลำบาก แต่พอเคยชินแล้วก็จะเหมือนกับอยู่ใกล้ เมื่อคราวอาตมาไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ รู้สึกว่าไกลน่าดูลเย เพราะจากตัวจังหวัดกาญจนบุรี ต้องวิ่งไปทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร แต่พอไปอยู่นาน ๆ เข้าก็เคยชิน จากไกลก็เหมือนกับใกล้ เดี๋ยวเดียวก็ถึง ก่อนหน้านั้นนั่งรถเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที
ลักษณะก็เหมือนกับการปฏิบัติ ระยะแรก ๆ ที่ภาวนา พอทรงฌานได้ก็เริ่มสนุก ตื่นเต้นมาก เหมือนตัวเองได้อะไรเยอะแยะ ได้อะไรมโหฬาร พอทำไป ๆ เคยชินแล้ว รู้สึกว่าเหลือนิดเดียว ฉะนั้น...อะไรเริ่มเคยชินก็จะรู้สึกว่าธรรมดา”
*************************
ถาม : ปีติที่เกิดจากการทำบุญ ฟังธรรม การนั่งสมาธิ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะเป็นปีติที่เกิดจากการฟังธรรม การทำบุญ การนั่งสมาธิ เป็นปีติแบบเดียวกัน
แต่ถ้าเป็นปีติทางโลก ที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส จะเป็นปีติอีกอย่างหนึ่ง เป็นปีติที่ต้องมีส่ิงกระตุ้นจากภายนอกจึงจะเกิดขึ้น ตัวเองจะมีความสุขไปสักพักหนึ่ง พอสิ่งกระตุ้นหมดไป ความสุขก็หายไปด้วย จึงทำให้มีคนประเภทนี้ติดกินติดเที่ยว เพราะเขาทำแล้ว เขามีความสุข แต่เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน
ปีติที่เกิดจากการทำบุญ จากการปฏิบัติธรรม และการนั่งสมาธิภาวนา เป็นปีติที่สร้างขึ้นในใจของเราเองจะยั่งยืน คนที่ไม่เข้าใจจึงเตลิดไปไกล กลายเป็นนักเที่ยวกลางคืนไปเยอะทีเดียว น่าเสียดาย น่าเป็นห่วงการเที่ยวกลางคืนมีแต่เสียมากกว่าดี
*************************
ถาม : สมัยพุทธกาลที่คนฟังธรรมแล้วสำเร็จอรหันต์เลย จิตท่านไล่จากขั้นโสดาบันหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้อง จากปุถุชนเป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระอนาคามีเลยก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระสกทาคามีเลยก็ได้
ถาม : เขาลัดมาพระอรหันต์เลยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจของตนว่าเข้มแข็งระดับไหน ปัญญาระดับไหนหากว่ามีมากก็ได้มาก
ถาม : ที่บอกว่าต้องผ่านโคตรภูญาณก่อน ?
ตอบ : โคตรภูญาณก็ผ่านเพียงแวบเดียว
ถาม : ไม่รู้สึกว่าผ่าน ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่บุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิแต่เดิมมา จะข้ามพรวดไปเลย เหมือนกับเราก้าวข้ามรางเล็ก ๆ
แต่ถ้าเป็นพุทธภมิ ขานี้อยู่ฝั่งหนึ่ง อีกขาอยู่ฝั่งหนึ่ง แช่กันอยู่นานเอาให้มั่นใจว่าใช่แน่แล้ว ถึงจะยอมก้าวผ่านไป
ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดมา บันไดมีกี่ขั้นบางทีเรายังไม่รู้เลย แต่พุทธภูมินอกจากจะต้องรู้ว่าบันได้มีกี่ขั้นแล้ว กว้างยาวเท่าไร ใช้วัสดุอย่างไร สร้างด้วยวิธีไหนต้องรู้หมด ถึงเวลาก็สามารถที่จะสร้างบันไดเองได้เลย
*************************
|