ถาม : คาถามหาสะท้อนมีเคล็ดที่จะใช้ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าคิดร้ายใคร ให้ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้เฉย ๆ ก็พอ
ถาม : เมื่อก่อนใช้แล้วได้ผล เวลามีคนทำอะไรใส่ จะรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างออกไปเวลาท่องคาถา แต่ตอนนี้ท่องคาถาแล้วกลับรู้สึกแย่ลง เหมือนกับคนที่ทำเรามีความสามารถทำให้เราแย่ลง รวมถึงคาถาอื่น ๆ แม้แต่ อิติปิโสฯ ก็รู้สึกอย่างเดียวกันครับ ?
ตอบ : ให้เราเข้าใจว่าคุณพระรัตนตรัยไม่เคยให้โทษใคร ให้แต่คุณโดยส่วนเดียวเท่านั้น เราก็ภาวนาไปด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น โดยเฉพาะความเชื่อมั่นที่ว่า ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าคุณพระรัตนตรัยอีกแล้ว
อย่างที่โบราณเขาว่า “ถ้ากูเอ่ยถึงชื่อครูกู ใครก็สู้กูไม่ได้” ต้องมั่นใจขนาดนั้น แม้ว่าครูตายไปแล้ว แต่ลูกศิษย์ก็ยังเอาชนะเขาได้ เพราะมั่นใจว่าครูช่วยได้
*************************
“พระครูผู้บอกวิทยา ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง
สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง”
คนสมัยก่อนเขามีความภูมิใจมากว่า ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ดีมีความสามารถ
ครูถือเป็นบุรพการี บุคคลที่ทำคุณก่อนโดยไม่หวังประโยชน์ สมัยก่อนครูมักจะถ่ายทอดวิชาให้คนไม่เกิน ๒ คนเท่านั้น
คนแรก คือ ทายาทสืบสายโลหิต
คนที่สอง คือ ลูกศิษย์ที่คัดแล้วคัดอีกว่าความประพฤติดี
อย่างเรื่อง “ซังโด คนกล้าท้าโหงวเฮ้ง” มีคนหนึ่งที่อาจารย์ไม่ยอมรับเป็นลูกศิษย์ แต่ก็มาอ้างว่าตนเป็นศิษย์พี่ของพระเอก เพราะว่าตนอยู่กับอาจารย์มาก่อน
เหตุที่อาจารย์ไม่ยอมรับ เพราะว่าเขาเอาวิชาไปใช้ในทางที่ผิด ไปดูว่าโหงวเฮ้งคุณเป็นอย่างนี้ แล้วจะเจออย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิต ถูกหมดทุกอย่าง แล้วเขาก็บอกว่า อย่างนี้ไม่ดีต้องเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ คือเขาเป็นหัวหน้าม้าให้โรงพยาบาลที่รับผ่าตัด
คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่า ทำไมอาจารย์ไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้ นั่นขนาดลักจำเอา ยังเอาไปทำมาหากินได้จนป่วนไปทั้งเมือง
ถาม : ไปผ่าตัดเปลี่ยนรูปลักษณะ ยังใช้ได้อยู่หรือคะ ?
ตอบ : ได้…ใครอยากรู้ ถ้าอายุยังไม่เกิน ๒๕ ปีให้ลองไปผ่าตัดเสริมจมูก แล้วจะรู้ว่าดวงชะตาเปลี่ยนไปขนาดไหน ยิ่งเสริมมากยิ่งตกแรงมาก
*************************
“ญาติโยมช่วยเก็บเงินไว้คนละนิดคนละหน่อย เอาไว้ตั้งกองทุนการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร พร้อมเมื่อไรจะประกาศในเว็บ
ตอนนี้ที่วัด พระ เณร แม่ชี และฆราวาส รายจ่ายการเรียนค่อนข้างสูง ที่เรียนอยู่มีปริญญาโท ๗ (พระ ๕ แม่ชี ๒) ปริญญาตรี ๕ (พระ ๔ ฆราวาส ๑)
มีหลายคนที่คุณสมบัติพร้อมที่จะเรียน แต่พอเอ่ยปากแล้ว เขาขอร้องหลวงพ่อว่าอย่าส่งไปเรียนต่อเลย ให้เขาไปขุดดินฟันหญ้าแบกหามอะไรก็ได้ แต่อย่าส่งไปเรียนเลย
พอดีช่วงนั้นมีพระรูปหนึ่ง เคยเป็นผู้อำนวยการกองทหารผ่านศึกมาก่อน เขาได้ยินชื่ออาตมามานานแล้ว เลยขอมาพบ พอเจอหน้าอาตมาก็จำได้ เพราะตอนเขาสอบนักธรรมตรี อาตมาเป็นคนเฉลยข้อสอบให้เขาเอง
ก็ถามว่าเมื่อไรจะเรียนนักธรรมโทเสียที เขาบอกว่าเอาแค่นี้แหละ อาตมาจึงบอกกับเขาว่า
“ถ้ามีโอกาสให้เรียนไว้ก่อน เพราะมีแนวโน้มว่าในการปกครองคณะสงฆ์ต้องการความรู้สูงขึ้นเรื่อย ๆ สมัยผมเรียนนักธรรมเอก คนที่จบนักธรรมเอกยืดได้ทั่วประเทศ พอผ่านมา ๒๐ ปี สมัยนี้นักธรรมเอกเขาก็ไม่เห็นหัวแล้ว ขนาดเป็นมหาเปรียญ ถ้ายังไม่ถึงประโยค ๙ เขายังไม่แลเลย”
แต่ท่านก็บอกว่า ผมพอแล้ว..แล้วท่านจะรู้ว่าแค่นี้ไม่พอใช้หรอก
ถ้าหากว่าสิ้นในหลวงอย่างกะทันหัน สิ่งหนึ่งที่วงการสงฆ์คาดไว้ก็คือว่า จะไม่มีพระราชทานสมณศักดิ์อีก ก็แปลว่าบรรดาพระครู เจ้าคุณต่าง ๆ จะไม่ตั้งใหม่ ของเก่าใครเป็นแล้วก็เป็นไปเรื่อย ๆ”
*************************
“ตั้งแต่ตำแหน่งพระสังฆราชลงมาจะมีเงินประจำตำแหน่ง เงินประจำตำแหน่งก็ไม่มาก สมัยหลวงพ่อฤๅษีท่านเป็นเจ้าคุณพระสุธรรมยานเถระ ได้เงินประจำตำแหน่ง ๔๔๐ บาท ปัจจุบันอาตมาเป็นเจ้าอาวาส เงินประจำตำแหน่ง ๑,๕๐๐ บาท มากกว่าสมัยหลวงพ่อเป็นเจ้าคุณตั้งเยอะ
ได้ยินว่าปีนี้เขาจะปรับขึ้นให้ ความจริงสมัยคุณทักษิณตั้งใจจะปรับให้ทีหนึ่งแล้ว แต่ไม่ทันทำสำเร็จก็โดนเด้งเสียก่อน คุณทักษิณจะปรับให้ตำแหน่งตำ่สุดอยู่ที่รูปละ ๓,๓๐๐ บาท
ถามว่า ๓,๓๐๐ เอาเกณฑ์การคิดเงินเดือนจากตรงไหน ?
เขาบอกว่า ให้คนไปนั่งกินในร้านอาหาร คนหนึ่งสั่งกินเต็มที่เลย ดูว่าอิ่มอยู่ที่เท่าไร เขาบอกว่าประมาณ ๕๕ บาทจึงอิ่ม เอา ๕๕x๒ = ๑๑๐ บาท เพราะว่าพระฉัน ๒ มื้อ แล้วคูณอีก ๓๐ วัน ได้ ๓,๓๐๐ บาท
ตอนนี้ ๑,๕๐๐ บาท ถือว่ายังดีนะ เงินประจำตำแหน่งเจ้าอาวาสก่อนหน้านี้แค่ ๕๐๐ บาท เพิ่งขึ้นมาเป็น ๑,๕๐๐ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่พอรวม ๆ แล้วทั้งประเทศ ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ อย่างตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตอนนี้อยู่ที่ ๔๒,๐๐๐ บาท สมเด็จพระราชาคณะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม อยู่ที่ราว ๆ ๓ หมื่นกว่านิดหน่อย
พอนับรวมทั้งประเทศลงไปถึงพระครูสัญญาบัตร จึงเป็นตัวเลขที่เยอะ เขาคิดว่าถ้าหั่นตัวเลขนี้ออก จะได้เอาไปตั้งงบถลุงกันในด้านอื่น จึงมีแนวโน้มว่าต่อไปพระครูหรือเจ้าคุณอาจจะไม่มี
อาตมาจึงมองไว้ว่า เมื่อถึงตอนนั้นจะแยกออกได้อย่างไรว่าใครปกครองใคร เพราะไม่มีตำแหน่งกันแล้ว จึงคาดว่าอาจจะแยกกันด้วยวุฒิการศึกษา”
*************************
“มีอยู่เรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าจะบอกพวกเราดีหรือเปล่า คือว่าการกระทำของพวกเราทุกคน มีผลกระทบต่อโลกและจักรวาลอย่างมหาศาล แค่เราโมโหตะโกนใส่หน้าใครทีหนึ่ง ถ้าพลังงานเหล่านั้นรวม ๆ กัน อาจะทำให้เกิดพายุทอร์นาโดได้ ฟังแล้วเหลือเชื่อไหม ?
เพราะฉะนั้น...เราต้องคิดดี ทำดี พูดดีต่อคนอื่น เพื่อให้ผลที่เกิดขึ้นเป็นผลเฉพาะในด้านดีเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด อย่างที่กวีเขาบอกว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เพียงแต่ว่าถ้าหากสภาพจิตของเรายังไม่ละเอียดพอ จะไม่เห็นความเกี่ยวเนื่องนั้น
มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาไม่สบายมาก นำทำวัตรอยู่แล้วท้องเสียขึ้นมาก็ให้พระครูหน่อยนำทำวัตรแทน แล้วก็ไปเข้าส้วม โอ้โห...เกือบตาย แต่ไม่ใช่เกือบตายเพราะท้องเสียนะ เกือบตายเพราะฟังเสียงพระครูหน่อยสวดมนต์ เหมือนกับท่านตะโกนใส่ไมค์แล้วเป็นแรงกระแทกมา
เคยฟังดนตรีที่เปิดเสียงเบสเยอะ ๆ ไหม ? เสียงตึง ๆ กระแทกเราแทบกระเด็น แบบนั้นแหละ ก็เลยกลับขึ้นมา พอสวดมนต์เสร็จก็คุยกัน บอกว่า “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณสวดมนต์เสียงดังฉิบหายเลย...!” ใช้คำว่าฉิบหายจริง ๆ”
*************************
“การสวดมนต์ ถ้าหากเราสวดเป็น พลังงานที่ต่อเนื่องกันอย่างไม่ขาดสาย จะอยู่ในลักษณะอ่อนโยนละมุนละไม จะน้อมจิตของคนให้หันเข้าหาความดี
แต่ท่านที่ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ก็ใส่เข้าไปเต็มที่เท่าที่ตัวเองทำได้ กลายเป็นว่า เอารัก โลภ โกรธ หลง ของตัวเองใส่เข้าไปด้วย เจตนาในการสวดมนต์จึงผิด คือเรื่องพวกนี้ต้องทำไปให้ถึงในระดับหนึ่ง แล้วจะเข้าใจว่าคืออะไร”
ถาม : ให้วัดจากใจของเราเองหรือคะ ?
ตอบ : ให้สวดไปพร้อมกับแผ่เมตตาไปด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้จะรู้สึกว่าสวดได้รื่นหู เคยฟังเสียสวดมนต์ทิเบตไหม ? อย่างนั้นฟังแล้วรื่นหู เขาเอาเสียงนี้ไปเปิดให้คนท้องฟัง เด็กเกิดมาจะสุขภาพจิตดี
*************************
“พระชัยวัฒน์เกราะเพชร เนื้อเงินกับเนื้อนวโลหะไม่ได้วางจำหน่ายทั่วไป เพราะว่าทำอย่างละ ๓๐๐ องค์ แต่เนื้อนวโลหะมีเกินมา ๒๐ กว่าองค์
จะจัดเป็นชุดละ ๓ องค์ มีเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ และเนื้อชุบทองพ่อทราย เอาไว้สำหรับคนที่ทำบุญเรื่องการศึกษาพระภิษุสามเณร ซึ่งจะประกาศในวาระที่เหมาะสม มีอยู่แค่ ๓๐๐ ชุดเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย ส่วนเนื้อนวโลหะที่เกินมานั้น แจกฟรีสำหรับผู้ไปรำถวายในงานเป่ายันต์ฯ
มีโหละอยู่ตัวหนึ่งเรียกว่า “ชิน” เป็นตะกั่วผสมกับสังกะสี แต่ถ้ามีส่วนผสมของสังกะสีด้วย พระจะกินตัวเอง คำว่ากินตัวเองก็คือเป็นสนิม แล้วเนื้อจะผุง่าย
ดังนั้น...พระโบราณที่เป็นเนื้อชิน ถ้าผุแบบกรอบ ๆ ร่วงเป็นแผ่น ๆ เลย นั่นของแท้ ถ้าหากว่าไม่ผุในลักษณะนั้นก็ไม่ใช่ชิน”
*************************
“วัตถุประสงค์จริง ๆ ที่คนโบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุ คือต้องการทำให้เป็นทอง แต่ถ้าได้โลหะอื่นมา เขาถือว่าเป้นของแถม ก็จะมี
ตรีโลหะ ส่วนผสม ๓ ชนิด
ปัญจโลหะ ส่วนผสม ๕ ชนิด
สัตตโลหะ ส่วนผสม ๗ ชนิด
นวโลหะ ส่วนผสม ๙ ชนิด
นวโลหะนั้นออกมาในลักษณะของนาก ก็คือสีเหมือนอย่างกับทองแดงใหม่ แต่ถ้ามีส่วนผสมของเงินมาก ก็จะกลับดำ
ปัจจุบันนี้การเล่นแร่แปรธาตุที่จะให้เป็นทองนั้น เห็นอยู่เพียงสำนักเดียว คือ วัดเขาอ้อ วัดเขาอ้อทำวัตถุมงคลออกมา ๒-๓ รุ่น รุ่นขุนทรัพย์ พุทธาคม กับรุ่นมงคลจักรวาลพุทธาคมเขาอ้อ มีพระกริ่ง พระปิดตา
เขาจะบอกแค่ว่าเป็นเนื้อทองสัตตโลหะพิเศษสูตรของวัดเขาอ้อ จริง ๆ ก็คือเขาผสมจนเป็นทองแล้ว เป้นทองที่สีไม่เปลี่ยนแล้ว อาตมาบูชาไว้หลายองค์ แต่ถูกคนอื่นงาบไปเกลี้ยงเลย ตั้งใจจะเอาไว้ศึกษาเนื้อเท่านั้น”
*************************
“สมัยก่อนอย่างหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านก็เล่นแร่แปรธาตุพวกนี้ ที่ชัดที่สุดคือ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ที่ว่านี่หมายถึงท่านที่ทำสำเร็จเป็นทองจริง ๆ นะ
หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ พอทำเป็นทองแล้วพวกลูกศิษย์แย่งกันขอ ท่านก็นั่งสูบบุหรี่ของท่าน สูบไปคิดไป ในที่สุดก็หยิบเอาทองขว้างไปกลางสระน้ำ เอาค้อนทุบเตาหลอมทิ้ง เลิกทำไปตลอดชีวิต เพราะเห็นแล้วว่าคนอาจจะฆ่ากันได้ พอให้คนหนึ่ง คนที่เหลือก็ไม่พอใจที่ตัวเองไม่ได้ ครั้นจะให้ทุกคนก็ไม่มีทุนมากพอที่จะทำให้
ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ท่านเล่นแร่แปรธาตุ ได้เงินมาเท่าไรก็ไปซื้อถ่านมาสุมโลหะหมด จนกระทั่งท่านเลิกทำ ปรากฎว่าพอได้สูตรการสร้างพระกริ่งเนื้อนวโลหะมา ท่านก็เลยมาเร่ิมต้นทำใหม่ กลายเป็นพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ฯ ที่ดังระเบิดมาจนถึงทุกวันนี้
พระกริ่งสายวัดสุทัศน์หลังจากสิ้นยุคเจ้าคุณศรีฯ (สนธิ์) แล้วพอจะเป็นที่ยอมรับในวงการได้ก็มีพระกริ่งหลังปิ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) หรือ หลวงลุงเสงี่ยม ที่เรียกหลวงลุงเพราะว่า ท่านสนิทสนมคุ้นเคยกับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาก หลวงพ่อท่านเรียกว่าหลวงพี่ ลูกศิษย์ที่ตามไปจึงเรียกหลวงลุงกันหมด
หลวงลุงเสงี่ยมท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะ แต่ไม่ถือเนื้อถือตัว พระที่ไม่ถือตัวนี่อันตรายมาก เพราะถ้าเราไม่รู้จริง ก็อาจจะล่วงเกินพระอริยเจ้าโดยไม่รู้ตัว”
*************************
“ในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุ พอได้โลหะธาตุบางอย่างที่แปลกพิสดารออกไป จะเป็นวัตถุล้างอาถรรพ์ได้ อย่างสมัยก่อนที่เขาเล่นคาถาอาคมต่าง ๆ จะมีคาถาบทหนึ่งที่ชื่อว่าโองการมหาทะมื่น ถือว่าเป็นคาถาที่ค่อนข้างจะครอบจักรวาล
ท่านระบุเลยว่า คงในน้ำ คงบนบก คงกลางวัน คงกลางคืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งยืน คงทั้งนั่ง คงต่อธนูธน้า มีดพร้าปืนไฟ คงต่อหอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง พอไปเจอโลหะผสมจึงกันไม่ได้ เพราะว่าไม่มีระบุไว้ เห็นหรือยังว่ากันขนาดไหน ก็ยังมีคนแหกคอกไปเล่นเข้าจนได้
ของพวกเรานี้ ถ้าหากว่ารุ่นเก่า ๆ ที่เรียนวรรณคดีมาจะเห็นเรื่องไกรทอง ใช้หอกสัตตโลหะฆ่าพญาชาละวันได้ อย่างอื่นทำอะไรชาละวันไม่ได้ ของบางอย่างที่อยู่นอกตำราจะล้างอาถรรพ์ได้ พวกที่เล่นคาถาหนังเหนียวจะกลัวของอยู่ ๒ - ๓ อย่าง
อย่างหนึ่งก็คือ กระสุนดินธรรมดา ที่ยิงด้วยคันกระสุนที่เป็นคันธนู เพราะว่าคันกระสุนนี้จะแรงกว่าหนังสติ๊กประมาณ ๗ - ๘ เท่า ยิงกระบอกไม้ไผ่แตกได้
ปฐวีธาตุเป็นแม่ธาตุที่ช่วยในการอยู่ยงคงกระพัน ในเมื่อยิงด้วยปฐวีธาตุแล้วจะไปเหลืออะไร
อีกอย่างหนึ่งที่เขากลัวคือ หลาวไม้ไผ่ เพราะเขาเชื่อว่าในอดีตชาติ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ไม้ไผ่ก็เลยกลายเป็นไม้ เคล็ดล้างอาถรรพ์ เพราะว่าไม่มีอานุภาพอะไรเหนือกว่านั้น มีพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าในอดีตถึงปัจจุบันถึง ๕ พระองค์ด้วยกัน
อีกวิธีหนึ่งที่เขาใช้คือ หอกสวนทวาร ในเมื่อรอบตัวไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ต้องหาช่องเข้าให้ได้ อย่างแสนตรีเพชรกล้าในเรื่องขุนช้าง ขุนแผน โดนฟันโดนแทงที่ตัวเท่าไร ๆ ก็ไม่เข้า สุดท้ายเขาจับเอาหอกสวนทวาร ตายจนได้
แต่สายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ในเรื่องของการอยู่ยงคงกระพัน ท่านบอกไว้เลยว่า นอกข้อจะไม่กันให้
คือนอกข้อมือออกมาและนอกข้อเท้าลงไป เคยถามหลงพ่อเหมือนกันว่า ทำไมไม่กันให้ครบทั้งตัว ?
ท่านบอกว่า “ถ้าไม่มีจุดอ่อนไว้บ้าง พวกแกจะเป็นโจรกันหมด”
คือลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนใหญ่มาสายพุทธภูมิ กำลังใจเกินมนุษย์อยู่แล้ว ถ้ายิ่งหนังเหนียวชนิดที่ไม่มีจุดอ่อนเลย เดี๋ยวก็ไปรังแกชาวบ้านเขา
อาตมาเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดของเรื่องนอกข้อไม่เหนียว โดนทีไรเข้าทุกที เคยโดนหมากัดฝ่ามือ แหลกหมดเลยนะ แต่ว่าข้างบนเลยข้อขึ้นไปเป็นแค่รอยขูด ๆ เท่านั้น ท่านกันให้แค่ข้อมือจริง ๆ
หมาวัดท่าซุงก็แสนรู้ ครั้งแรกอาตมาเดินไปเข้ากรรมฐานที่ตึกธัมมวิโมกข์ บ้านลุงเพชร กลีบบัว เขามีหมา ๒ ตัว ดุมาก แล้วทางขึ้นตึกธัมมวิโมกข์จะเฉียดผ่านบ้านลุงเพชรไป
อาตมาเดินขึ้นบันไดไป ๓ ก้าวแล้ว หมาของลุงเพรย่องมากัดน่องกระชากตกบันไดเลย ปวดแทบตาย ให้กัดเข้าเสียยังดีกว่า กัดไม่เข้าแต่กระชากเต็ม ๆ ลองนึกดูว่าจะเจ็บแค่ไหน ?
กัดน่องไม่เข้าใช่ไหม ? ครั้งต่อไปเลยงับเอ็นร้อยหวายแทน เป็นรูโบ๋เลย ฉลาดขนาดนั้น อย่างกับรู้วาหลวงพ่อบอกว่านอกข้อกันไม่ได้ สุดยอดหมาจริง ๆ”
*************************
ถาม : เพื่อนต้องการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่เป็นพระยืน ต้องสูงเท่าไรคะ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยินว่าพระชำระหนี้สงห์มีพระยืนนะ แต่พระยืนนี่ปกติก็ต้อง ๒ เท่าของพระนั่ง
ถาม : ถ้าพระนั่งสี่ศอก พระยืนก็ต้องแปดศอก ?
ตอบ : อย่งน้อยก็คงจะต้อง ๘ ศอก แต่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์ที่เป็นพระยืน จึงไม่ยืนยันให้
จะไปยากอะไร ถ้าอยากสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ในลักษณะยืน เราก็สร้างพระยืนสักองค์ แล้วที่เหลือก็ไปร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์กับใครก็ได้
ถาม : ถือว่าเป็นพระชำระหนี้สงฆ์ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นพระชำระหนี้สงฆ์ แต่เราไปสร้างพระร่วมกับคนอื่นเขาอย่างไรก็ได้ชำระหนี้สงฆ์อยู่ดี
*************************
“พระเจ้าจักรพรรดิราชในสมัยโบราณ บอกกัลบก (ช่างตัดผม) ว่า ถ้าสังเกตเห็นว่าผมของพระองค์หงอกแล้วให้เตือนด้วย
พอช่างตัดผมตัดไป ๆ เห็นผมหงอกโผล่มา ๒- ๓ เส้น ก็ทูลบอกพระเจ้าจักรพรรดิราช ปรากฎว่าพระองค์ท่านสละราชสมบัติออกบวชเลย
ท่านบอกว่า ท่านทำงานเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว ตอนนี้แก่แล้ว ขอทำเพื่อตัวเองบ้าง
ต้องบอกว่า ท่านเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสารจริง ๆ เพราะว่าท่านตั้งใจเลยว่าถ้าหัวหงอกเมื่อไร ก็บวชเมื่อนั้น ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ท่านบรรลุธรรมได้ มีการตัดสินใจล่วงหน้าเด็ดขาด ถึงเวลาเมื่อไรก็ทิ้งเลย
ถ้ายังละล้าละลังห่วงหน้าพะวงหลัง แสดงว่ากำลังใจยังเด็ดขาดไม่พอ ในเมื่อเด็ดไม่ขาดก็ไปไม่ได้สักที หรือว่าเด็ดแล้วยืด เหมือนเด็ดบัวแล้วยังเหลือเยื่อใย”
*************************
“คนทำปาณาติบาตน้อย อายุจะยืน ร่างกายแข็งแรง
พระพากุละเถระ อายุยืนที่สุดที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก คือ ๑๕๐ ปี แต่ท่านเบื่อ ก็เลยเข้ากรรมฐานไปเลย อยู่มา ๑๕๐ ปี ไม่ป่วยสักที นอกจากความหิวที่ถือว่าเป็นโรคแล้ว ไม่เคยป่วยเป็นโรคอื่นเลย”
*************************
ถาม : ท่านเคยเทศน์ว่า กิเลสเอาความดีมาหลอกเรา แล้วจะคิดต่ออย่างไร ?
ตอบ : ไม่เห็นต้องคิดต่อเลย ก็แค่รู้เท่าทัน แล้วก็พยายามทำตรงข้ามกับที่กิเลสต้องการ เขาหลอกให้เราทำความดีช้า เราก็เร่งทำให้เร็วขึ้น
*************************
ถาม : ภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าทำไมเราไม่มีเพศ เลยนึกว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงผู้ชาย มีเสียงบอกว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่มี พระอรหันต์ก็ไม่มี ตัวเราก็ไม่มี แล้วเราก็สบาย สิบชั่วโมงผ่านไปจึงรู้ว่า โลภ โกรธ หลง ยังอยู่ครบ ?
ตอบ : ยังดีที่รักษาได้ตั้งสิบชั่วโมง ถ้าเราสามารถประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ได้ ก็จะอยู่กับเรานานไปเรื่อย ๆ ย่ิงอยู่ได้นานเท่าไร จิตใจที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง จะทำให้ความผ่องใสเกิดมากขึ้น มีปัญญารู้เห็นว่าจะหลบหลีกสิ่งที่ไม่ดีอย่างไรและก็ทำสิ่งที่ดี
อารมณ์ของการทรงฌาน จะเป็นฌานใดฌานหนึ่งขึ้นไปก็ตาม เป็นคุณสมบัติของพรหม พรหมเป็นบุคคลที่ไม่มีเพศแล้ว
*************************
“ตอนนี้เขากำลังเห่อเลือดขระเข้กันอยู่ ใครเคยไปดูจรเข้ในฟาร์มบ้างไหม ? บ่อสกปรกสุด ๆ เลย สารพัดเชื้อโรค บางทีจระเข้กัดกันเป็นแผล แล้วก็แช่น้ำเน่า แต่ไม่เป็นอะไรสักตัว แถมยังแผลหายเร็วอีกต่างหาก
เขาไปทำวิจัย พบว่าเลือดจระเข้สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดีมาก ข่วงนี้เขาก็เลยเอาเลือดจระเข้ไปทำเป็นยาให้กับผู้ป่วยโรคเอดส์ บอกว่าทุกคนที่ได้รับยาไปในฐานะคนไข้ตัวอย่าง มีอาการดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจทั้งหมด ความซวยของจระเข้กำลังจะมาเยือน...!
อาตมาลองกินเนื้อจระะเข้มา ๒ - ๓ ครั้งแล้ว ทำอย่างไรก้ไม่อร่อยเหลืออย่างเดียวคือปิ้ง แต่ทีนี้ร้านเขาไม่ทำให้ ส่วนใหญ่เขาก็ทำผัดเผ็ด ต้มยำ คิดว่าเนื้อจระเข้ต้องปิ้งถึงจะอร่อย อย่างพวกแย้ต้องปิ้งถึงจะร่อย แต่เนื้อจระเข้เขาไม่มีเวลาปิ้งให้เรา
เนื้อจระเข้มีฮอร์โมนสูงมาก ถ้าจะกินต้องระมัดระวังนิดหนึ่ง”
*************************
“สมัยก่อนบ้านอาตมาทำสวน พวกมดส้ม มดแดง ที่เขาแหย่เอารังไข่ไปกินจะเยอะมากเป็นพิเศษ เขาสอนต่อ ๆ กันมาว่า เอาเนื้อจระเข้ไปแขวนให้มดกิน อาทิตย์เดียวมดจะงอกปีก แล้วก็บินไปหมด แสดงว่าเนื้อจระเข้มีฮอร์โมนเยอะมาก ขนาดว่ากระตุ้นให้มดงอกปีกเตรียมผสมพันธุ์ได้ พอมดมีปีกก็จะบินไปหมด
ดังนั้น...ใครอยากลองกินเนื้อจระเข้ ก็ลองดูว่าคึกไหม ? อาจจะคึกแต่มดก็ได้ เพราะว่าของบางอย่างเหมาะกับสัตว์บางชนิด เหมาะกับคนบางคน
อาตมากินเนื้อสัตว์มาแล้วแทบทุกชนิด เนื้อบางอย่างกินแล้วจำแม่นเลย เพราะว่ากลิ่นและรสไม่เหมือนใคร อย่างเนื้อค้างคาว ต่อให้ปิดตากินลงไปก็รู้ว่าเนื้อค้างคาว แต่เนื้อคนยังไม่เคยลอง
ในธรรมบทมีพระเจ้าโปริสาท กินเนื้อคน ท่านเองไม่ได้ตั้งใจกินนะ แต่เป็นความไม่รอบคอบของพวกที่เตรียมเครื่องเสวย ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เขาหยุดฆ่าสุตว์กัน ทำให้หาเนื้อไม่ได้ พอหาเนื้อไม่ได้ก็เลยไปที่ป่าช้า เจอศพคนตายใหม่ ๆ ก็เชือดเนื้อมาทำอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน
ปรากฎว่ารสชาติเป็นที่ถูกใจ พระเจ้าโปริสาทบอกให้พรุ่งนี้เอาอย่างนี้อีก พวกพ่อครัวก็เลยซวย พอหาศพสด ๆ ไม่ได้ ก็ต้องไปตกลงกับเพชฌฆาต ถ้าหากว่ามีศพประหารให้รีบส่งมาเลย
พอบางวันไม่มี ก็ต้องไปกราบทูลความจริงให้ทราบ พระเจ้าโปริสาทบอกว่า เอานักโทษในเรือนจำไปประหารวันละคน และพระองค์ก็กินนักโทษจนหมดเรือนจำ
เมื่อติดใจรสชาติเนื้อคน ก็ต้องจับชาวบ้านมา พระพุทธเจ้าที่เป็นสุตโสมมาณพในชาตินั้น ก็ต้องไปอนุเคราะห์แสดงธรรมให้ฟัง พระเจ้าโปริสาทจึงได้สติคืนมา
เนื้อคนรสชาติไม่น่าจะเอาอ่าว เพราะว่าอาตมาเผาศพมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน กลิ่นเหม็นเขียวแปลก ๆ กลิ่นไม่ได่น่าชวนกิน พอได้กลิ่นก็รู้เลยว่าเนื้อคน แต่ถ้ากลิ่นไม่ชวนกิน รสชาติดี ก็น่าจะพอกล้อมแกล้มลงไปได้
อีกรายหนึ่งเป็นสมัยพุทธกาล ตอนนั้นพระท่านป่วย โยมเขาปรวารณาไว้ว่า ถ้าต้องการอะไรขอให้บอก พระท่านบอกโยมว่าต้องการน้ำต้มเนื้อ ก็คือซุป
ปรากฎว่าเป็นวันเดียวกับที่เขาไม่ฆ่าสัตว์ โยมเลยปาดเนื้อขาอ่อนตัวเองต้มซุปถวายพระ พอพระฉันเข้าไปก็หายป่วย พอหายป่วยออกบิณฑบาติ เห็นว่าโยมออกมาใส่บาตรไม่ได้ ก็เลยถาม โยมก็ต้องสารภาพว่า เอาเนื้อขาตัวเองต้มซุปให้พระ ทำให้บาดเจ็บออกมาใส่บาตรไม่ได้
พอพระท่านกลับไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยมโยมคนนั้น ด้วยพุทธานุภาพทำให้เนื้อปิดสนิทกลับหายดีตามเดิม จึงออกมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าถึงได้มีบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีประเภทเชือดอีกคนละชิ้นสองชิ้น แล้วจะยุ่ง
ท่านห้ามเอาไว้ ๑๐ อย่าง มี เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้อหมี เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อราชสีห์”
ถาม : เนื้อสัตว์ที่ท่านบัญญัติเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเวลาเรากินเนื้อสัตว์ลงไป กลิ่นตัวเราจะเป็นกลิ่นของสัตว์ชนิดนั้น พอเข้าไปในเขตของเขา เราจะเป็นสัตว์แปลกหน้า เขาจะไล่ทำร้ายเอา เพื่อไล่เราให้พ้นเขตของเขา เพราะว่าสัตว์เขาหวงถิ่นหากิน อยู่ ๆ ถ้าโดนสิงโตควบเข้าใส่จะทำอย่างไร ก็เผ่นกันไม่ทัน
มีคนเขาสงสัยว่าอินเดียไม่ได้มีสิงโต แต่ทำไมพระธรรมบทกล่าวถึงราชสีห์เยอะแยะไปหมด นี่ไม่ได้หมายความว่าสมัยโบราณไม่มีนะ สิงโตอินเดียยังมีมาจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นสิงโตเอเชียสายพันธุ์เปอร์เชีย อยู่ที่อุทยานแห่งชาติกีร์ (Gir) ในรัฐคุชราต
อย่างบ้านเราตอนนี้ก็ไม่มีเนื้อสมัน แล้วทำไมเราถึงรู้ว่าเนื้อสมันมี ถ้าเทคนิคในการสกัดดีเอ็นเอก้าวหน้ากว่านี้ เราอาจเห็นสมันมาเดินปุเลง ๆ ก็ได้ ตอนนี้เขากำลังทดสอบอยู่ก็คือ สกัดดีเอ็นเอของช้างแมมมอธ ตั้งใจว่าจะฝากเอาไว้ในท้องของช้างปกติ แม่ช้างคงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนแม่นกกระจิบที่เลี้ยงลูกนกกาเหว่า
เคยเห็นไหม ? นกกระจิบตัวเล็กนิดเดียว ลูกนกกาเหว่าตัวใหญ่เบ้อเร่อ ใหญ่กว่าแม่นก ๑๐ กว่าเท่า แม่คาบหนอนมาป้อนลูก ลูกนกแทบจะอมแม่นกเข้าไปได้ทั้งตัว
นกกาเหว่ามี ๒ สี ตัวผู้สีดำ ตัวเมียสีน้ำตาลลาย ๆ ตัวที่ส่งเสียงร้องคือนกกาเหว่าตัวผุ้ โบราณเรียกว่าร้องลาตะวัน หรือร้องรับตะวัน ความจริงเขาร้องประกาศเขตแดนให้รู้ว่าอยู่บริเวณนั้น พวกเดียวกันได้ยินจะได้ไม่ล่วงล้ำเข้าไป ไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ตีเอา
*************************

|