“บางทีคนเราถ้าหัดคิดในด้านชั่ว ๆ ไว้ก่อน ก็อาจจะหาทางป้องกันเรื่องไม่ดีเหล่านั้นได้ อย่างที่ออกญาพระกลาโหมกล่าวกับออกหลวงนายฤทธิ์ว่า
“คนอย่างท่านทำการใหญ่แล้ว ไม่สามารถที่จะขึ้นไปปกครองประเทศได้หรอก เพราะว่าไม่รู้เท่าทันว่าคนชั่วเขาคิดอย่างไร แต่ตัวข้านี้รู้ เพราะว่าข้าชั่วกว่าพวกนั้น”
ตอนนั้นออกหลวงนายฤทธิ์ถูกจับ เพราะว่าออกญาพระกลาโหมเป็นสมุหกลาโหม คุมทหารทั้งประเทศเลย ออกหลวงนายฤทธิ์อยู่ยงคงกระพันขนาดไหนก็โดนจับจนได้
แต่ออกญาพระกลาโหมบอกว่า จะไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และสำคัญที่สุดก็คือมีฝีมือ
ขอแค่ว่าถ้าปล่อยตัวไปแล้ว ถ้ามีศึกเหนือเสือใต้ที่ต่างชาติเข้ามาเบียดเบียนบีฑา ขอให้กลับมาช่วยกัน ออกหลวงนายฤทธิ์ก็ตกลง
ครั้งนั้นถ้าไม่ได้ออกญาพระกลาโหม เราอาจจะเสียกรุงศรีอยุธยาให้ญี่ปุ่น ไม่ได้เสียให้พม่า เพราะว่าออกญาเสนาภิมุข ก็คือยามาดะ ได้เอานินจามา ๔๐๐ คน แค่นินจา ๑๐๐ คนก็ยึดวังเกลี้ยงแล้ว เพราะนินจาคนหนึ่งสู้ได้เป็นสิบ แล้วนี่ตั้ง ๔๐๐ คน คุณต้องเอาทหารกี่กองทัพจึงจะเอาอยู่ ?
ตอนนั้นของเราทหารแค่ไม่กี่คน ส่วนเขามีนินจา ๔๐๐ คน ออกหลวงนายฤทธิ์เห็น ออกญาพระกลาโหมก็เห็น จึงช่วยกันจัดการนินจา ทีนี้นินจาเขาฝีมือดีแต่หนังไม่เหนียว แลกกันคนละทีก็ตาย
เพราะฉะนั้น...ประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเหมือนกัน ตัดสินใจผิดนิดเดียว ประวัติเศาสตร์สามารถเปลี่ยนได้เลย
ช่วงนั้นถ้าปล่อยให้ยามาดะลงมือก่อน ดีไม่ดีเขายึดกรุงศรีอยุธยาเลย แม้ว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะรู้ ถึงขนาดสร้างเมืองหลวงสำรองไว้ที่ลพบุรีแล้วก็ตาม พระองค์ท่านก็ต้องเสด็จไปเสด็จมา แล้วระหว่างทางจากแม่น้ำเจ้าพระยาจนเข้าแม่น้ำป่าสัก มีคนคอยซุ่มตลอดทาง จะตายตอนไหนก็ไม่รู้ ?”
*************************
“เราอาจจะเห็นว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม่ค่อยมีบทบาทอะไรเลย แต่ทำไมได้เป็นมหาราช ?
พระองค์ท่านได้เป็นมหาราช เพราะว่าใช้คนเป็น ชนชาติกรีกเอย่างคอนสแตนติน ฟอลคอนท่านก็ใช้งาน แต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์บาทหลวงลาลูแบร์ท่านก็ใช้งาน ญี่ปุ่นอย่างยามาดะท่านก็ใช้งาน
โดยเฉพาะบรรดาขุนพลขุนศึกสมัยนั้นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) พระยาสีหราชเตโช พระราชมนู อย่าลืมว่าตำแหน่งโกษาธิดี ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้ก็ต้องว่าการกระทรวงการคลัง ขนาดคลังยังเก่งจนข้าศึกหนาว แล้วกลาโหมจะเท่าไร ?”
*************************
“เราจะสังเกตว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชท่านไม่ค่อยมีบทบาท เพราะว่าท่านใช้คนแทน แม้กระทั่งสุดยอดหมอดูอย่างพระโหราธิบดี ท่านก็ยังใช้งานได้เป็นปกติ
ถามว่าพระโหราธิบดีเก่งแค่ไหน ?
มีหนูตกจากเพดานลงมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเอาขันล้างพระพักตร์ครอบไว้ แล้วให้คนไปเรียกพระโหราธิบดีมา ถามว่าครอบอะไรไว้ ให้ช่วยทายหน่อย ?
พระโหราธิบดีลงฤกษ์ยามเสร็จ บอกว่า “สัตว์สี่เท้า”
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า “ถูกแล้วท่านอาจารย์ แล้วมีกี่ตัว ?”
พระโหาราธิบดีตอบว่า “ ๕ ตัว”
หนูตกมาตัวเดียวแท้ ๆ แต่ตอบว่า ๕ ตัว สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า “เห็นทีจะผิดเสียแล้วท่านอาจารย์” พอเปิดขันน้ำออกดูมี ๕ ตัว จริง ๆ แม่หนูตกมาแล้วคลอดลูกอีก ๔ ตัว นั่นก็แม่นจนเกินเหตุ”
ถาม : ไม่มีตกทอดวิชาหรือครับ ?
ตอบ : ตกทอดมาเหมือนกัน แต่รุ่นหลังฝึกไม่ได้ ไม่ใช่ปัญญาไม่ถึง แต่ความพยายามไม่ถึง แค่สมัยนี้พอเริ่มฝึกก็จะเอาบรรลุทันที ต้องใช้การสั่งสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ สิ่งที่เราต้องการจึงจะบังเกิดผล
ถ้าใจร้อนแล้วจะฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่าน ไม่สงบ โอกาสที่จะสำเร็จนั้นยาก ตั้งเป้าไว้ว่าเราไปพระนิพพานแน่ และก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ ส่วนจะไปได้หรือไม่ได้ช่างเถอะ เรามีหน้าที่ทำไปก็แล้วกัน
*************************
ถาม : เปิดเพลงฟังแล้วนั่งสมาธิได้ดี ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อจิตเราได้ยินเสียงแล้ว จะเข้าสู่สมาธิได้ง่ายแค่ไหน ? บางคนก็อาศัยความสงบโยงจิตเข้าหาสาธิ บางคนต้องอาศัยเสียงเพื่อโยงจิตเข้าหาสมาธิ
เพราะฉะนั้น...ทางด้านตันตระจึงมีดนตรีตอนสวดมนต์ เขาเรียกว่า เอาตัณหาพาสู่พระนิพพาน แต่ส่วนใหญ่พาไปไม่ถึงเสียที เหมือนกับเลี้ยงเสือให้อิ่ม แล้วเสือเชื่อง ยอมให้เรลูบหัวได้ แต่ถ้าเผลอเมื่อไรเสือก็กัดเราอีก
*************************
“เรื่องของพระพุทธรูป ในความรู้สึกของคนก็คือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศาสนาพุทธ ดังนั้น...การทำลายพระพุทธรูป ก็เท่ากับทำลายพระพุทธศาสนา
มีอยู่ระยะหนึ่งที่เขานิยมเอาใบลานเก่าที่จารึกพระธรรมมาเผาเพื่อทำเป็นผงสร้างพระ ขอยืนยันว่าไม่คุ้มเลย ในแง่ของตัวเลขรายได้ที่ได้มาน่าจะสูง แต่ในแง่ของการทำลายพระธรรม พอตายแล้วต้องลงอเวจีมหานรก ไม่คุ้มกันเลย”
*************************
ถาม : โยมจะปฏิบัติธรรม แต่ไม่ได้เรียนมโนมยิทธิ ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : มโนมยิทธิควรจะมีคนนำให้ไปได้สักครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็จำวิธีการไปทำเอง
ถาม : ทำมาเยอะแล้วค่ะ หลายอย่าง ?
ตอบ : แล้วจะเปลี่ยนทำไม ? ถ้าเราเปลี่ยนบ่อย จะไม่ตรงกับที่เราชำนาญ
ส่วนใหญ่เวลาปฏิบัติก็ให้พิจารณาดูว่า อารมณ์ใจที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นอย่างไร ? การปฏิบัติเขาดูที่ความบริสุทธิ์ของใจ การเห็นเป็นแค่ของแถมเท่านั้น
ถาม : เวลาไปธุดงค์ที่วัดท่าซุง ไม่รู้ว่าจะใช้มโนมยิทธิไปที่ไหน ไปหาองค์ไหน ?
ตอบ : ย่ิงไม่รู้ย่ิงดี มโนมยิทธิถ้ารู้ก่อนจะไปได้ยาก ถ้าไม่รู้เรื่องเลย เขาบอกอย่างไร เราทำอย่างนั้นก็ง่ายขึ้น เขาจะมีครูฝึกมาคอยนำอยู่ พอเราไปเองได้แล้ว ต่อไปก็จำวิธีนั้นเอาไปใช้ได้
จำไว้ว่าอย่าตั้งใจมากเกินไป ตั้งใจมากเกินไปจะไม่รู้เห็นอะไร การรู้เห็นเหมือนกับมีช่องให้มองตรงหน้า คนที่ตั้งใจเกินไปเท่ากับยืดคอเลยช่อง ทำให้มองไม่เห็น คนที่ไม่ตั้งใจ ก็เหมือนกับก้มหัวตำ่กว่าช่องก็ไม่เห็น ต้องพอดี ๆ
อธิบายได้ยากมาก จะบอกว่าตาเห็นก็ไม่ใช่ตาเห็น แต่ถ้าไม่ใช่ตาเห็น แล้วเห็นอะไร ? ก็เห็นชัด ๆ เหมือนกับตาเห็น เราลองนึกถึงบ้านเราตอนนี้ ไม่ใช่ตาเห็น แต่เรานึกถึงบ้านได้ชัด ๆ เลย การเห็นก็เห็นแบบนั้นแหละ
เพราะฉะนั้น...ครูฝึกเขาบอกให้เรายกจิตไปที่ไหน เราก็นึกว่าตรงหน้าของเราคือที่นั่น เรายกจิตไปพระจุฬามณี เราก็นึกว่าตรงหน้าเราก็คือพระจุฬามณี รู้สึกอย่างไรก็อธิบายความรู้สึกนั้นไป
ถ้าเขาให้ยกจิตไปพระนิพพาน เราก็ตั้งใจว่าตรงหน้าเราคือพระนิพพานมีพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า แรก ๆ จะเหมือนกับการนึกเอาเอง แต่พอซ้อมบ่อย ๆ เคยชินมาก ๆ เข้า ภาพจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ถาม : ไปบ้านสายลม จะไปนั่ง เราก็นึกว่าจะไปตรงไหน เลยไม่กล้าทำ ?
ตอบ : ให้ขึ้นไปไหว้พระพุทธเจ้าข้างบนก่อน แล้วเราจะไปไหนก็ขอท่านเดี๋ยวท่านก็พาไปเอง
ถาม : แล้วการปฏิบัติสายนี้ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ควรเปลี่ยนสาย ถ้าเราเคยปฏิบัติมา ชินอย่างไรให้ทำอย่างนั้น แล้วจะได้เร็ว
อาตมาเคยเปรียบว่าเหมือนกับการขุดบ่อน้ำ เราขุดไปตั้งสองสามวา เขาบอกว่าตรงนั้นดีกว่า เราก็ย้ายไปขุดตรงนั้น เขาบอกว่าตรงนี้ดีกว่า ก็ย้ายมาขุดตรงนี้ แล้วเมื่อไรจะถึงน้ำเสียที ? เพราะฉะนั้น...อย่าเปลี่ยนบ่อย ถนัดแบบไหนให้ทำแบบนั้นอย่างเดียว
การรู้เห็นเป็นแค่ของแถมของการปฏิบัติ ต่อให้เป็นพองหนอยุบหนอก็เถอะ พอเราทำไปเรื่อย ๆ จิตสงบได้ที่ก็จะเห็นเอง แต่สายพองหนอยุบหนอ เขาให้ตัดทิ้งหมด รู้หนอ ๆ เห็นหนอ ๆ เท่านั้น
การรู้เห็นเป็นเพียงของแถม ถ้าทำถึงอย่างไรก็มาให้เห็นแน่ ๆ
*************************
ถาม : มีครั้งหนึ่งไปวัด เรากำหนดว่ารู้หนอ ๆ ได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งพูด พอตอนเช้าคุยกับเขา เขาบอกว่าจะได้ยินได้อย่างไร ก็นึกในใจไม่ได้พูดออกมา แต่เราได้ยินเป็นคำพูด ?
ตอบ : ในเรื่องของเจโตปริยญาณ เขาคิดอะไรก็ตาม เราสามารถบอกได้ทุกคำเลย แต่จริง ๆ แล้วเขาเอาไว้ดูใจตัวเอง แบบเดียวกับสายพองยุบ ที่ตอนนี้สภาวธรรมอะไรที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้ตามรู้ใจของตนเอง
รู้ใจของคนอื่น ก็แค่พูดให้เขาตื่นเต้นเท่านั้น ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้กิเลสอะไรเกิดขึ้น นิวรณ์อะไรเกิดขึ้น ให้เรารู้เท่าทันให้ได้
*************************
ถาม : ภาวนาก็มีความสุขดี ?
ตอบ : การปฏิบัติหลายคนข้ามขั้นไปเลย ไม่ต้องไปนับหนึ่งก็ได้ โยมทำอย่างนั้นก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าเราจับที่ศูนย์กลางกาย ให้ดิ่งลงตรงกลางไปเรื่อย ๆ พอจิตสงบถึงที่สุดแล้วก็จะเห็นภาพพระเอง พอภาพพระปรากฎ คราวนี้อยากไปที่ไหนก็บอกท่าน ให้ท่านพาไป
เรื่องของการปฏิบัติท้ายสุดจะลงที่เดียวกันหมด เหมือนกับเรามุ่งตรงมาที่นี่ จะมาจากกี่ที่กี่ทางก็ตาม ท้ายสุดจะมาถึงบ้านหลังนี้
เพราะฉะนั้น...เรื่องการปฏิบัติสำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ใจสงบ พอสงบแล้วปัญญาเกิด รู้เท่าทันสภาวธรรมในปัจจุบัน แล้วปล่อยวางให้ได้
ไม่ต้องไปเสียเวลาทำอะไรมากมาย อายุมากแล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เด็ก ๆ ก็พอ นึกถึงภาพพระไว้ คิดว่าเราตายเมื่อไรขอไปอยู่กับท่าน
*************************
“ประเทศเกาหลี เดิมเป็นอาณาจักรใหญ่ ๓ อาณาจักรด้วยกัน คือ โกกุเรียว ชิลล่าและแพ็กเจ ต่อมาโกกุเรียวสามารถกลืนอีก ๒ อาณาจักรรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมาได้ ก็ตั้งเป็นอาณาจักรเกาหลี
พอมาช่วงสงครามเกาหลี ทางโลกตะวันตกตั้งใจจะช่วยกันสกัดอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ไม่ให้แผ่ขยาย หลังจากจบสงครามแล้ว เขาก็เลยแบ่งเกาหลีเป็นเหนือกับใต้ กลายเป็นว่าคนเชื้อชาติสัญชาติเดียวกัน แบ่งเป็นคนละประเทศแล้วก็รบกันเอง
ปัจจุบันนี้ มีหลายอย่างที่ประเทศเขาไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรมากมายมหาศาลขนาดนั้น อย่างเช่นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำขนาดมหึมาของเกาหลีใต้ เขาไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อจะกั้นน้ำไว้ผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่เขาสร้างขึ้นมาเผื่อว่าเกาหลีเนหือปล่อยน้ำลงมาท่วมเกาหลีใต้
เขาคิดเผื่อไว้แล้วว่าถ้าเกิดสงคราม เกาหลีเหนือจะเล่นวิธีไหนบ้าง เช่น อาจจะระเบิดเขื่อน เพราะว่าเกาหลีเหนืออยู่สูงกว่า น้ำก็จะทะลักทางเกาหลีใต้
เกาหลีใต้ก็เลยต้องสร้างเขื่อนที่ใหญ่กว่า เพื่อที่จะรับน้ำทั้งหมดเอาไว้ให้ได้ กลายเป็นสูญเสียงบประมาณเป็นแสนล้านไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย สร้างทิ้งเอาไว้เฉย ๆ เผื่อเกาหลีเหนือจะระเบิดเขื่อน
นึกถึงบ้านเราเมืองเราปัจจุบันนี้คล้าย ๆ กันไหม ? คนไทยด้วยกันเริ่มเแบ่งสีแบ่งฝ่าย ยุ่งไปหมด
คำว่ายุติธรรม แปลว่า ทุกอย่างหยุดลงด้วยความเป็นธรรม
คราวนี้ในการถือปฏิบัติของเรา มี ๒ มาตรฐานมาแต่ไหนแต่ไร นั่นคือมาตรฐานหนึ่งสำหรับผู้มีอิทธิพลมีเส้นมีสาย อีกมาตรฐานหนึ่งสำหรับตาสีตาสาชาวบ้านทั่วไป
ในเมื่อไม่ยุติธรรม ก็กลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกลงไป ยุคสมัยหนึ่งคอมมิวนิสต์ถึงได้เกิดขึ้นในประเทศของเราเพราะเขาปลุกระดมในข้อที่ว่า ราชการข่มเหงรังแกชาวบ้านเป็นจำนวนมาก
อย่างในปัจจุบันนี้ปลุกระดมในเรื่องของการกระทำที่เป็น ๒ มาตรฐาน กลายเป็นว่าสิ่งที่เขาทำ ต่อให้ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปไม่มีการศึกษาก็เห็นอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ในเมื่อมาตรฐานไม่เท่ากัน ขาดความยุติธรรม คนที่เดือดร้อนและเห็นด้วยก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ”
*************************
“ตอนสมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่นอยู่ มีครอบครัวหนึ่งที่รู้จักกัน สามีชื่อนายลิ้มือ ส่วนภรรยานั้นเก่งมวยจีนมาก เขาก็เลยซ้อมสามีทุกวัน ทำอะไรไม่ถูกใจก็จัดการ บางวันจับสามีทุ่มใส่ข้างฝา ข้างฝาหลุดไปทั้งแถบ สามีหายจุกก็ต้องไปตามช่างมาซ่อมบ้าน
อีกครอบครัวหนึ่งตรงกันข้าม สามีซ้อมภรรยาเกือบทุกวัน จนกระทั่งในที่สุดภรรยาก็ทนระบการปกครองด้วยมือด้วยเท้าไม่ไหว มาปรึกษาภรรยาของนายลิ้มจือว่าจะทำอย่างไร
ภรรยาของนายลิ้มจือก็บอกว่า ให้ใช้ ๓ นิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง) จิ้มสามี พอจิ้มแล้วสามีก็ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ได้ไปพักหนึ่ง
ปรากฎว่าภรรยาไปจิ้มเข้า สามีตาย...! เขาให้ใช้ ๓ นิ้ว แต่ภรรยากลัวสามีจะเป็นอะไรมาก ก็เลยใช้แค่นิ้วเดียว สามีตายเลย...!
๓ นิ้วนั้น เวลาจิ้ม นิ้วกลางจะมีนิ้ว ๒ ข้างคอยกันอยู่ ก็จะไม่เข้าลึก อาการก็จะไม่หนัก นี่ดันกลัวผัวตายเลยจิ้มนิ้วเดียว โดนเข้าไปตายเลย...!
ตั้งแต่นั้นมาภรรยาของนายลิ้มจิ้มก็เลิกฝึกวิทยายุทธ เอามือไปแช่น้ำร้อนทุกวัน แล้วก็ขูดหนังออก คือเขาฝึกหมัดทรายเหล็กมา ต้องเอามือไปคั่วทราย จนมือเขาหนาชนิดตบกระดานแตกได้ พอทำคนตายไปคนหนึ่งก็เลยเลิก เขาบอกว่า ดีเหมือนกันจะได้สวยกับเขาสักที เอามือแช่น้ำอุ่น แล้วก็ขูดหนังทิ้งไปเรื่อย ๆ เพราะว่ามือเขาหนาปึ้ก ด้านเป็นหนังควายเลย”
*************************
“คู่สร้างคู่สม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่เวรคู่กรรม คู่ของนายลิ้มจือนี่คู่เวรคู่กรรม จริง ๆ อยู่กันได้ทั้ง ๆ ที่ตีกันทุกวัน
แต่จะมีนรก มีเปรต ที่เตรียมไว้รองรับคู่สามีภรรยาที่ทำร้ายกันมา ฉะนั้น...คู่ไหนแต่งกันไปก็พยายามละนิสัยนั้นด้วย ขอยืนยันว่ามีนรก และเปรตสำหรับรองรับพวกนี้โดยเฉพาะ
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระสุบินนิมิต ๑๖ ประการ มีอยู่ประการหนึ่งคือ เขียดไล่กินหงูเห่า ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เพราะว่ามีแต่งูเห่าไล่กินเขียด
พระพุทธเจ้าทำนายว่า ต่อไปในกาลข้างหน้า ภรรยาจะทำร้ายทุบตีสามีเป็นปกติ คงใกล้ ๆ ยุคเรานี่แหละ ยุคเราเริ่มมีมากขึ้นทุกทีแล้ว
สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นใหญ่ในครอบครัว ผู้หญิงแต่งงานไป อย่างไรก็ต้องฝืนอดทนอดกลั้นอยู่ให้ได้ เพราะว่าถ้าสามีไม่เลี้ยง ภรรยาก็ไไม่รอด
แต่สมัยนี้ผู้หญิงทำงานเองเสียส่วนใหญ่ ก็เลยไม่ต้องง้อให้ผู้ชายเลี้ยง ในเมื่อเลี้ยงตัวเองได้ เรื่องอะไรจะหาเจ้านายมาอีกคน จึงอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น
เมื่อเป็นดังนั้น ถึงเวลาผิดหูผิดตาผิดท่าผิดทางขึ้นมา แต่งงานกันไปแล้วก็มักไม่ค่อยจะยอมลงให้กัน ก็คือว่าไม่ต้องง้อผัวเราก็อยู่ได้
*************************
ถาม : รับยันต์เกราะเพชร ถ้าเราไม่ได้อยู่ในพิธี จะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : อยู่มุมไหนของโลกก็รับได้ พอตรงเวลาเราก็ตั้งใจบูชาพระ นั่งภาวนาพุทโธไปสักครึ่งชั่วโมง ระหว่างที่นั่งภาวนาอยู่ให้ตั้งใจว่า บารมีใดที่พระท่านสงเคราะห์มาเราขอรับไว้ทั้งหมด
ช่วงที่ภาวนาอยู่ ถ้ามีอากรขนลุกหรือคันตามตัว เหมือนมีตัวอะไรเกาะตัวอะไรไต่ บางคนก็รู้สึกร้อนเป็นระยะ ๆ บางคนก็รู้สึกหนักหัวหนักตัว ร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่ายันต์กำลังเริ่มเข้าตัว
ฉะนั้น...อยู่ที่ไหนก็รับได้ พระท่านว่าอยู่จักรวาลไหนก็รับได้ ไม่จำเป็นต้องในโลกนี้ด้วยซ้ำไป
ตอนอาตมาทำพิธีเป่ายันต์ครั้งแรก พวกปักษ์ใต้ที่ยอู่ยะลา เขาจัดพิธีรับกันทางบ้าน รวมตัวได้สิบกว่าคน เขาสวดมนต์ไหว้พระ นั่งภาวนาปรากฎว่ามีอาการปรากำชัดทุกคน เขาถึงได้มั่นใจว่ารับได้จริง ครั้งต่อไปเขาก็แห่กันไปวัดเอง อยู่บ้านก็รับได้ แล้วดันไปวัด...!
ถาม : ช่วงพุทธาภิเษก ของที่ไม่ได้อยู่ในพิธี ?
ตอบ : วัตถุมงคลต้องเอาไปเข้าพิธี
ถาม : นอกปะรำพิธีไม่ได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นช่วงเป่ายันต์เอาไว้ที่ตัวก็ได้ พระท่านอนุญาต
*************************
“น้องส้มโอ อยู่วัดตอนเย็น ๆ เขาไม่กินข้าวเลย เพราะว่าถือศีลแปด เขาเดินจงกรมกัน ส้มโอก็เดินตามเขา เขานั่งสมาธิกัน ส้มโอก็นั่งตามเขา พอชั่วโมงท้าย ๆ ของการนั่งก็บิดไปบิดมา ยังอุตส่าห์ทนอยู่ได้ เด็ก ๖ ขวบ ฝึกได้ขนาดนั้น ถือว่าใช้ได้เลย
น้องถิงถิงอีกคน ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เขาไม่มีจังหวะกับใครหรอก พอซ้ายยังไม่ทันจะย่าง ถิงถิงก็วางเท้าลงแล้ว แต่เขาก็เดินได้ทั้งวัน อาตมาบอกถิงถิงว่า พยายามให้จังหวะการเดินกับที่เราพูดนั้นตรงกัน แต่เด็กเขาทำไม่ได้ เขายังไม่เข้าใจ
เด็ก ๆ เราต้องค่อย ๆ ปลูกฝังไป พอถึงเวลาแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะไปเกิดดอกออกผล ตอนที่เขาไปดำเนินชีวิตของตัวเองหรือไปมีครอบครัว เขาจะมีความอดทนอดกลั้นมากกว่าคนอื่น เพราะได้รับการฝึกหัดมาดีแล้ว”
“ขอยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบครัวไฮโซแต่เลี้ยงลูกดีมาก วันเสาร์-อาทิตย์ พาลูกไปขุดดิน ฟันหญ้า ปลูกผัก ถึงเวลาก็สอนให้ลูกตัวเองกินพวกผักพวกผลไม้ที่เด็ก ๆ ปลูก เด็กเขาปลื้มใจด้วยและได้เล่นด้วย พอกินไปกินมาก็ติดนิสัยเดียวกับอาตมา
อาตมาเองอยู่กับไร่กับสวนมา มีแต่พวกผักพวกผลไม้ ไม่มีขนม สมัยก่อนจะมีขนมกินต้องรอตอนช่วงมีงาน อย่างเช่นหน้าตรุษหน้าสารท ในเมื่อกินผักผลไม้จนชินมาอย่งนั้น ก็ไม่ชินกับขนม ชินกับผลไม้มากกว่าเด็ก ๆ พวกนี้ก็เหมือนกัน
พอเข้าอนุบาล พ่อแม่เขาก็เอากล้วย กล้วยน้ำว้าสุกนี่แหละ ปวดหัวปาดท้ายเหลือแต่ลูกพอดี ๆ ใส่ปิ่นโตไปให้ เด็กเขาก็กินอร่อยของเขาทุกวัน ด้วยความที่ตัวเองกินอร่อย เขาก็อยากให้ครูได้ของอร่อยด้วย วันนั้นก็เอาไปให้ครู ครูก็มารยาทดี รับแล้วก็วางไว้บนโต๊ะ
วันที่ ๒ ก็ยังวางอยู่ วันที่ ๓ เด็กก็มาบอกว่า “คุณครูขา...ถ้าคุณครูไม่กิน หนูขอคืนนะคะ”
เด็กเขาเสียดาย แต่ต้องบอกว่า ครอบครัวนี้เก่ง เลี้ยงลูกดี ทั้ว ๆ ที่มีเงินเป็นร้อยล้าน แต่เลี้ยงลูกดีมากเลย แล้วเด็กก็แข็งแรง ไม่เป็นภูมิแพ้ อาจเป็นเพราะว่าไปคลุกดินคลุกทราย ตากแดดตากลมอยู่ทุกวัน
เด็กต้องให้ผู้ใหญ่นำ พ่อแม่ขุดดิน เด็ก ๆ มองกันตาเป็นมัน อยากทำบ้าง พอส่งพลั่วส่งจอบให้ เด็กก็สนุกกันใหญ่เลย ไม่ฟันหัวกันก็พอแล้ว ปล่อยให้เขาสนุกไปเถอะ”
*************************
“สมัยก่อนลูกกบเข้าอนุบาล เพื่อน ๆ วิ่งเล่นกัน แต่ลูกกบนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่คนเดียว
ครูก็มาถามว่า “หนูทำอะไร ?”
ลูกกบบอกว่า “นั่งสมาธิค่ะ”
“ใครสอนหรือจ๊ะ ?”
“หลวงปู่ข้างบนท่านสอน”
“หลวงปู่สอนว่าอย่างไร ?”
“หลวงปู่สอนว่าให้รักษาศีลและนั่งสมาธิทุกวัน ทำน้อยเหมือนได้ทอง ทำมากเหมือนได้เพชร”
นี่ไม่ใช่สำนวนของเด็ก เด็กอนุบาลพูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก แล้วเขาเป็นคนที่จำแม่นมาก น่าจะเป็นเพราะสมาธิดี
เขาเอาปิ่นโตไปกินที่โรงเรียน ครูคงลิงชิมแล้งติดใจ ครูเขาก็เลยขอบ้าง ลูกกบบอกว่า “เดี๋ยวจะให้คุณแม่ทำมาเผื่อ”
พอรุ่งขึ้นเขาเอาไปให้ครู แต่ครูลืมไปแล้วว่าขอเด็กไว้ แต่เด็กเขาจำได้
วีรกรรมของลูกกบแสบแค่ไหนต้องถามนางมารร้ายดู เขาฉลาดขนาดหลอกผู้ใหญ่ได้ คนประเภทนี้ถ้าไม่ดึงเข้าหาธรรมะก่อน คงประเภทขายโลกได้ครึ่งใบ...!”
*************************
“เมื่อ ๔-๕ วันก่อน อากาศวิปริตมาก มีโยมโทรไปถามว่าทำไมอากาศเป็นอย่างนี้ ?
อาตมาบอกว่า ทางใต้มีพระผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของประเทศมรณภาพ ปรากฎว่ารุ่งขึ้นท่านมรณภาพจริง ๆ ไม่ได้แช่งท่านนะ ท่านหมดอายุแล้วจริง ๆ
เคยไปกราบท่านหลายครั้ง สมัยก่อนเวลาไปหาท่าน ก็นั่งดูท่านทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย ถักสายรัดข้อมือบ้างอะไรบ้าง สิ่งที่ท่านทำก็คือการทรงสมาธิ ท่านอยู่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี กลางดงระเบิดเลย
เรื่องของพระผู้ใหญ่ที่ละสังขาร ถ้าเราดูฟ้าดูดินเป็นก็จะรู้ ไม่ตัองใช้ทิพจักขุญาณอะไรหรอก ใครที่ทันสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงละสังขาร จะรู้ว่าอากาศเป็นอย่างไร ตอนนั้นเหมือนกับฟ้าปิด มืดฟ้ามัวดินไป ๗ วันเต็ม
ถ้าหากดูในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็จะมีเหตุนิมิตต่าง ๆ เกิดขึ้น กลองทิพย์บันลือขึ้น มีแผ่นดินไหว ดอกมณฑารพตกจากอากาศเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ยิ่งท่านที่มีบุญบารมีมากเท่าไร นิมิตที่แสดงออกก็จะยิ่งชัดมาก
ในเรื่องของคน ถ้าไม่ได้ประสบอบัติเหตุหรอืเจ็บไข้ได้ป่วยมาก ๆ จนทนไม่ไหว มักจะตายตอนช่วงเปลี่ยนอากาศ เช่น ช่วงฝนต่อหนาว ช่วงหนาวต่อร้อน ช่วงร้อนไปฝน
ช่วงรอยต่อระหว่างอากาศ ถ้ามีคนแก่มีคนป่วยอยู่ต้องดูแลให้ดี เพราะว่าร่างกายของคนแก่หรือคนป่วยมักจะอ่อนแอ พอทนสภาพอากาศไม่ไหวก็ไปเลย ใครที่ป่วยบ่อย ๆ จะรู้ว่า เวลาอากาศเปลี่ยนจะเหมือนกับซ้ำให้อาการหนักขึ้น”
*************************
“เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เขาว่า
ทั้งเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตพิสดารทุกบ้านเมือง
ตอนนั้นฟ้าปิดมืดหมด แต่ทางด้านใต้ฟ้ามีสีเหลือง แบบที่เรียกว่าสีหมากสุกหรือผีตากผ้าอ้อม อาตมาบอกพระเณรว่า
“คุณจำไว้เลยนะ...สภาพอากาศแบบนี้ ถ้าอยู่ในทะเลให้หนีขึ้นบกสุดชีวิตเลย พายุใหญ่กำลังจะมา”
เรื่องของการดูลมฟ้าอากาศ ถ้าหากดูเป็นก็เหมือนกับมีทิพจักขุญาณ พยากรณ์ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่เกาะหลีเป๊ะ มีคุณตาแก่ ๆ คนหนึ่ง เป็นคนบอกเรื่องสภาพอากาศ พอสภาพอากาศแบบน้เกิดขึ้น ตาเขาบอกให้จับหมูมาฆ่าได้เลย จัดแจงทำรวนเค็มด้วยกระทะใบมหึมา
ก็ถามว่าทำไม ?
ตาเขาบอกว่า ๗ วันนี้ออกทะเลไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีอะไรกิน เพื่อนบ้านก็จะมาขอ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย
ถึงเวลาพายุใหญ่มา คลื่นหัวแตกซัดโครม ๆ ทำให้เรืออกทะเลไม่ได้ เมือ่ชาวเลออกทะเลไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรจะกิน ถึงเวลาก็วิ่งมาพึ่งตา ซึ่งตาทำไว้เรียบร้อยแล้ว มาถึงก็ตักแจกเพื่อนบ้านไป
ในความรู้สึกของอาตมา เหมือนกับท่านเป็นผู้วิเศษ สามารถบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่านั่นเป็นประสบการณ์ชีวิต สังเกตมามาก อยู่นานไปก็รู้ แบบเดียวกับที่มดขนไข่ขึ้นที่สูง เพราะรู้วาพายุฝนกำลังจะมา ยิ่งขึ้นสูงมากเท่าไรก็ตัวใครตัวมัน เพราะว่าต้องขึ้นไปให้พ้นระดับน้ำที่จะท่วม น่ากลัวขนาดไหนก็ลองนึกดู”
*************************
“ตอนเด็ก ๆ พอเร่ิมหมดฝนเข้าหน้าหนาว ทางบ้านจะไปข้อนกุ้งกัน เขาจะเอาหม้อข้าวผูกเชือกแล้วโยงกับเอว ถือสวิงไล่ช้อนกุ้ง ถึงเวลาก็เทใส่หม้อ เรื่องส้างบาปสร้างกรรมตอนเด็ก ๆ นี่อาตมาถนัดมาก
มีอาเจ็กอยู่คนหนึ่ง พอพวกเราลงน้ำแล้ว อาเจ็กก็นั่งสูบยาอยู่ แกนั่งสูบยาไปเรื่อย บางครั้งพวกเราช้อนกุ้งเป็นชั่วโมงก็เริ่มหนาว ต้องขึ้นมาจากน้ำแล้วก่อไฟผิง ถามอาเจ็กว่าไม่ลงน้ำหรือ ?
อาเจ็กบอกว่ายังไม่ได้เวลา แกก็นั่งสูบยาไปเรื่อย พอถึงเวลาแกลุกขึ้นนัดเขมรเมื่อไร แปลว่าได้เวลาแล้ว แกลงตักไม่กี่ทีก็ได้กุ้งหม้อหนึ่ง แล้วกลับบ้านเลย ส่วนพวกเราช้อนกันตั้งครึ่งคืน ได้อย่างเก่งก็ได้แค่ห่อเดียว
ตอนหลังอาเจ็กบอกว่า ที่นั่งสูบยานั่นคือนั่งดูดาว จะมีดาวดวงหนึ่ง ถ้าขึ้นเมื่อไร กุ้งจะมาออกันตรงทางน้ำไหล อาเจ็กเขาเก่งขนาดนั้น ไม่ต้องไปทนอย่างเรา
ลักษณะนี้คล้าย ๆ ทิพจักขุญาณ แต่จริง ๆ แล้วเป็นประสบการณ์ที่เขาเรียนรู้ แบบที่โบราณบอกว่าถ้าดาวหมาหลับขึ้นเมื่อไร ขโมยจะขึ้นบ้าน พิสูจน์ได้ชัดเลยที่วัดท่าขนุน
อาตมาตื่นมาประมาณตีหนึ่งกว่า เดินจะเหยียบหัวหมาแล้วยังเงียบเลย หมาซึมเหมือนกับช่วงนั้นกำลังง่วงสุดขีด ใครมาก็ไม่เห่า แต่ถ้าเป็นเวลาอื่นเดินนี่ เห่าสนั่นกันทั้งวัด แต่ช่วงนั้นจะไม่เห่า แสดงว่าดาวหมาหลับ ต้องขึ้นตอนประมาณตีหนึ่งตีกว่าแน่ ๆ
แต่ถ้าเป็นตาไป๊ ไม่ต้องรอดาวหมาหลับ ตาไป๊เป็นนักย่องเบาตัวฉกาจ ย่องเบามานับไม่ถ้วน และเจ้าทรัพย์ไม่เคยจับได้สักครั้ง เขารู้อยู่ว่าตาไป๊ย่องเบา แต่ก็ไม่มีหลักฐาน จับไม่ได้คาหนังคาเขา
พอตาไป๊อายุมากแล้วก็ล้างมือ หลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนนั้นท่านอยู่วัดช่างเหล็กที่กรุงเทพฯ มีเวลาว่างก็ถามตาไป๊ “แกย่องเบาอีท่าไหนวะ ?”
ตาไป๊บอกว่า “ถ้าผมจะขึ้นบ้านไหน ผมก็ไปสังเกตลู่ทางไว้ก่อน พอเย็น ๆ ใกล้ค่ำก็ลงมือ”
“ลงมืออย่างไรวะ ? ใกล้ค่ำยังไม่ทันจะมืด”
ตาไป๊บอกว่า ประกอบเครื่องมือในการย่องเบา”
พอหลวงพ่อถามเครื่องมืออะไร ตาไป๊บอกว่าทำเนื้อสับใส่กัญชาเยอะ ๆ ทอดให้หอม แล้วก็ไโยนไว้แถวรั้วบ้าน เดี๋ยวหมาก็มากิน เขาบอกว่า ถ้าหมากินเข้าไปแล้วเมากัญชา หลับชนิดจับหางลากรอบบ้านก็ไม่ตื่น
ถ้าหมาที่ได้รับการฝึก จะไม่ให้รับอาหารจากคนแปลกหน้า แต่นี่เขาไม่ได้ยื่นให้กิน เขาไปโยนทิ้งไว้ เท่ากับหมามาเจอเอง หมาเจอเองนึกว่าเป็นของที่หาได้เองก็กิน
ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องเปลี่ยนแล้ว จากย่องเบาเปลี่ยนไปย่องหาสาวแทน แต่คงต้องไปทำเนื้อสับใส่กัญชาให้พ่อแม่ของสาวกินแทน..!”
*************************
“มีอีกอย่างหนึ่งที่เขาใช้รมควันแล้วทำให้หลับกันทั้งบ้านก็คือ หนังจงโคร่ง จงโคร่งทางปักษ์ใต้เขาเรียกว่า “กง” เป็นคางคก บางตัวใหญ่เกือบเท่าถาด...! อาตมาไปปีนถ้ำกระแชง ที่ยะลา เจอหินก้อนใหญ่ก็เหนี่ยวเพื่อที่จะปีน ที่ไหนได้...หินก้อนนั้นกระโดดข้ามหัวลงน้ำตูมไปเลย...!
จงโคร่งจะอาศัยนอนในถ้ำ เคยมีโยมเขาเมตตา เอาใส่ตะกร้ามาให้ดูตัวหนึ่งเกือบจะเต็มตะกร้า อาตมาบอกไปจับมาทำไม ?
เขาบอกว่า “คิดว่าหลวงไม่เคยเห็น” ทางใต้เขาเรียกพระอายุไม่มากว่า “หลวง”
อาตมาบอกว่า “ข้าเห็นจนขี้เกียจจะเห็นแล้ว”
ต้องเอาหนังจงโคร่งมาตากแห้งแล้วป่น ผสมกับพวกกำยาน ปั้นเป็นธูป ถึงเวลาจุดทางเหนือลม จะทำให้หลับทั้งบ้าน หลับประเภทหามไปทิ้งก็ยังไม่รู้ตัว ถ้าจะให้ฟื้นเร็ว ๆ ต้องแก้ด้วยว่านแสงอาทิตย์”
ถาม : เอาส่วนไหนของว่านหรือคะ ?
ตอบ : เอาหัวว่านมาตำผสมกับเหล้า แล้วก็ทาจมูก สงสัยเหมือนกันว่าว่านแสงอาทิตย์นี่น่าจะเป็นยากระตุ้นขนาดหนัก คนกำลังหลับสามารถที่จะกระตุ้นให้ฟื้นได้ ขอยืนยันว่า...เขาให้ใช้ทานะ ถ้าใช้ผิด...กินเข้าไปแล้วตาย อย่ามาโทษอาตมาก็แล้วกัน...!
*************************
ถาม : ถ้าเราเป็นเจ้าภาพงานบุญ แต่งานเสร็จไปแล้ว มีคนทำบุญด้วยมาทีหลัง เงินตรงนี้ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่ได้ทำไปมากกว่าที่เราจ่าย เราสามารถรับขึ้นมาได้ เพราะถือว่าเราจ่ายไปแล้ว
ถาม : เขาตามมาทำบุญทีหลัง อานิสงส์ที่เขาจะได้รับ ?
ตอบ : ถึงเวลาได้อะไร ก็จะได้ช้ากว่าคนอื่นเขา
*************************
“ตั้งแต่หลวงตาบัวมรณภาพ ก็มาเป็นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม แล้วที่เรารู้ ๆ กันก็มีหลวงปู่ครูบาผัด วัดหัวฝาย แล้วไม่กี่วันก่อนก็เป็นหลวงปู่ทอง วัดสำเภาเชย ยังมีอีก...ต้องบอกว่าปีนี้โหดจริง ๆ จะเอาถึงสมเด็จพระสังฆราชให้ได้
ได้แต่พยายามประวิงเวลาไว้ ถ้าลากได้จนถึงวันเป่ายันต์ฯ ก็แสดงว่าดวงของบ้านเมืองเรายังไม่เละมากนัก”
“เรื่องของพระ ท่านจะพูดเท่าที่พูดได้ ถ้าไม่พูดแปลว่าถามไปไม่มีประโยชน์
คำว่าไม่มีประโยชน์ในที่นี้ คือ บางเรื่องจะก่อให้เกิดการตื่นตระหนกในวงกว้างเสียด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นพระหรือฆราวาสที่ท่านรู้จริง จะพูดเท่าที่พูดได้ ส่วนใหญ่ใครที่ทำถึงตรงนี้แล้วจะอกแตกตาย บางทีรู้เป็นร้อย แต่ท่านให้บอกได้แค่ ๑ หรือ ๒ เท่านั้น”
*************************
|