เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๔
“วิธีฝากบ้านกับเทวดา ท่านให้ทำกระบะทราย แล้วจุดธูป ๕ ดอก ขอบารมีพระ พรหม เทวดา และเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายได้โปรดสงเคราะห์ ช่วยรักษาบ้านของเราให้ปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ เสร็จแล้วก็ปักธูปที่มุมทางทิศเหนือก่อนว่า เวสสุวัณโณ
ไปทางใต้ วิรุฬปักษี
ตะวันตก วิรูปักษา
ตะวันออก ธะตะระโฐ
แล้วมาตรงกลางว่า นะโมพุทธายะ เพราะฉะนั้น...จึงต้องปักธูป ๕ ดอก”
*************************
ถาม : รูปท่านท้าวมหาราช ผมพิมพ์เยอะ ๆ แล้วไปเข้าพุทธาภิเษกได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้…แต่อยากเสือกเอามาให้ตูแจก...! เอาไปแจกเอง อะไรที่ท่านไม่ได้สั่งให้ทำ จะกลายเป็นส่วนเกิน จัดการยาก...!
ถาม : พิมพ์รูปท่านท้าวมหาราชมาติด แล้วหันหน้าไปทางทิศไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ? จำเป็นต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดอย่างคุณก็ลองทดสอบดูได้ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงทานรับสังฆทานอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร พอญาติโยมน้อยลง ท่านก็ขอไปเข้าห้องน้ำ พอท่านเดินไปข้างหลัง ปรากฎว่าเจอพระสังฆทานหน้าตัก ๕ นิ้วอยู่องค์หนึ่ง ที่เขารับแล้วยกไปไว้ข้างหลังแต่หันหน้าผิดทิศ
ท่านถามหลวงพี่วิรัชที่เดินตามไปว่า “ใครเป็นคนวางวะ ? รีบหันเสียให้ถูกเดี๋ยวนี้เลย...!”
นั่นแค่ชั่วคราวนะ...ท่านยังไม่ยอมเลย อะไรที่หลวงพ่อท่านเตือน แสดงว่าท่านโดนจนเข็ดแล้ว แต่ถ้าคุณจะทดสอบดูก็ได้
ถาม : พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในรถ ก็ต้องหันหน้ารถให้ถูกทุกครั้งสิครับ ?
ตอบ : ต้องลอง ของอย่างนี้ลองกันได้ เอาอย่างนี้นะ รถของวัดท่าขนุนเวลาจอด พระจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตลอด
*************************
ถาม : ถ้าจะขอสมบัติจากท่านท้าวมหาราช ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไปหาท่านสิ …!
ถาม : สงสัยต้องไปถ้ำมรกต ?
ตอบ : ตอนนี้พระครูแสงจะรับอาสาโยมหรือตามโยมไปก็ไม่รู้ ไปที่ภูเขาทอง เขากำลังจินตนาการบรรเจิดว่า จะเช่าช้างของชาวบ้านขี่เข้าไป
ถาม : หลวงพี่แสงท่านรู้ทางหรือครับ ?
ตอบ : บอกท่านไปนานเนกาเลแล้ว มีโยมอยู่คนหนึ่ง เขาอยากได้ทองมาก อาตมาบอกว่าไปเอาได้เลย บอกทางให้เขาไปปรากฎว่าพอไปแล้วต้องถอยกลับมาไม่เป็นขบวน เพราะว่าเจอทาก มีทากชนิดหนึ่งเรียกว่า ทากตองอยู่บนต้นไม้ พอเราเดินผ่านก็จะพุ่งลงมาใส่
เจออย่างนั้นก็ถอยกลับมาไม่เป็นขบวนเลย ตามสำนวนของลิลิตตะเลงพ่ายว่า “หนีญะญ่าย พ่ายจะแจ” พอเขารวบรวมความกล้าได้อีก ก็จะไปใหม่
เขาคิดว่าในเมื่อไม่ได้หลวงพ่อไป ก็เอาหลวงน้องไปแล้วกัน หารู้ไม่หลวงน้องนั่นแหละเป็นสายล่อฟ้าเลยไปที่ไหนจะต้องมีเรื่อง ถ้าไม่มีเรื่องกับคน ก็ต้องมีเรื่องกับผี คาดว่าไม่น่าจะรอดกลับมา...!
ตรงนั้นสิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ผีและเทวดา แต่เป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักอยู่ ๒ ตัว บอกไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไร อาตมาไปนอนที่นั่น เอาจีวรคลุมโปงอยู่ข้าง ๆ กองไฟ พอดึ ๆ เขามา ความจริงอาตมานอนอยู่ข้างลำธาร เสียงน้ำในลำธารไหลน่าจะกลบเสียงอื่นหมด แต่เขามาแล้วทำให้เรารู้สึกตัวตื่น เพราะว่าเวลาเขาเดิน แผ่นดินจะสะเทือนเลย น้ำหนักตัวเขามาก
พอมองลอดจีวรออกมา ก็คือ ผ้าจีวรบางพอที่จะมองผ่านผ้าไปได้ เห็นว่าเขายืน ๒ ขาอยู่ แต่ความสูงน่าจะถึง ๓-๔ เมตร ขอยืนยันว่าเป็นสัตว์แน่นอน เพราะติดต่อด้วยกำลังใจแล้ว เขารับไม่ได้ แสดงว่าไม่ใช่พวกในเขตทิพย์
คราวนี้การที่เขายืน ๒ ขา เลยไม่รู้ว่าเป็นคน ? เป็นหมี ? หรือเป็นลิง ? เขาก็มาจิ้ม ๆ ชี้ ๆ ว่า ตัวเล็ก ๆ อะไรสองตัวมานอนเกะกะอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วสักพักหนึ่ง เขาก็เดินขึ้นไปทางภูเขาทอง
เกรงว่าถ้าไปเจอเจ้าสองตัวนี้ขึ้นมา เกิดเขาอารมณ์ร้ายแล้วเดี๋ยวจะซวย เพราะเรื่องผีเรื่องเทวดาเราเจรจากันได้ แต่กับสัตว์นั้นเจรจายาก
โชคดีที่ว่าวันนั้นตั้งใจสร้างกำแพงกั้นเอาไว้ก่อน ใช้คาถาอิติปิโส ๘ ทิศ เสกหิน ๘ ก้อน โยนไป ๘ ทิศ แต่ต้องอธิษฐานว่า เมื่อได้อรุณแล้ว ขอให้เสื่อมอานุภาพ ไม่อย่างนั้นแล้ว เขตนั้นจะไม่มีใครสามารถเข้าออกได้
*************************
ถาม : ประวัติศาสตร์พม่ากับประวัติศาสตร์ไทย ตรงกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยตรงกัน อย่างทางพม่าเขาระบุว่า พระนเรศวรมหาราชโดนทางพม่าทำไสยศาสตร์ถึงแก่ความตาย คือ ทางพม่าเขาจะเชื่อเรื่องเคล็ดลางไสยศาสตร์มาก แต่ของไทยบอกว่า พระนเรศวรเป็นฝีลักษณะติดเชื้อเหมือนเป็นบาดทะยัก
แปลกตรงที่ว่า ประวัติศาสตร์อาจจะสูญหายไป ช่วงเสียกรุงครั้งที่ ๒ เลยไม่มีเนื้อหาที่ระบุชัดเจนว่า มีการอัญเชิญพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาที่เมืองไทยหรือว่าทำการปลงพระศพกันที่พม่า ? ก็เลยมีคนพยายามที่จะโยงประวัติศาสตร์
โดยเฉพาะที่เมืองหางนั้น มีพระเจดีย์องค์หนึ่งชื่อเจดีย์พระนเรศวร เขาเชื่อว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิของท่าน ทีนี้เราลองมาคิดดูว่า ทหารไทยไปเป็นหมื่นเป็นแสน จะเอาศพเจ้านายคนเดียวกลับมาไม่ได้หรืออย่างไร ? ยิ่งเจ้านายที่เป็นศูนย์รวมจิตรวมใจของคนทั้งประเทศ เราลองคิดดูว่า ถ้าเป็นเราไปกันขนาดนั้น จะเผาศพเจ้านายที่ต่างประเทศหรือ ?
ถาม : ใครเป็นคนสร้างเจดีย์พระนเรศวร ?
ตอบ : สมัยนั้นเวลาไปที่ไหน ส่วนใหญ่เขามักจะสร้างที่ระลึกเอาไว้ แบบเดียวกับพระนางเจ้าจามเทวี ท่านไปถึงที่ไหนก็สร้างวัดไว้ตรงนั้น เดินทางจากลพบุรี กว่าจะถึงหริภุญชัย ก็สร้างวัดไว้เยอะแยะ
ทางพม่าเขานิยมสร้างเจดีย์ ทหารไปกันตั้งเยอะตั้งแยะ ก่ออิฐกันคนละก้อน ก็เสร็จแล้ว
ที่อัศจรรย์อย่างหนึ่งคือ พระมหาธาตุมุเตา (มุเตา แปลว่า จมูกร้อน) พม่าเรียก ชุย มอดอ เป็นเจดีย์องค์เดียวในพม่า ที่มียอดฉัตรแบบไทย เพราะว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกยอดฉัตรถวายเอาไว้ตอนที่ไปตีหงสาวดี
ได้ถามทางด้านฝั่งพม่าเขาว่า ทำไมถึงไม่เปลี่ยนยอดฉัตรกลับไปเป็นแบบพม่า ? เพราะถ้าปล่อยเอาไว้ เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่าคนไทยเคยมายึดแผ่นดินนี้ และแสดงพระราชอำนาจไว้โดยการยกฉัตรเจดีย์เสียใหม่ ทางด้านพม่าเขาให้เหตุผล ซึ่งค่อนข้างจะเป็นไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสาตร์
เขาบอกว่า สิ่งที่บุคคลซึ่งทรงกฤษฎาอภินิหารระดับนั้นได้ตั้งเอาไว้ ส่วนใหญ่ท่านจะอธิษฐานขอบางอย่างไว้ ถ้าอยู่ ๆ ไปรื้อ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดโทษอะไรบ้าง
กลายเป็นว่า พระมหาธาตุมุเตา เป็นเจดีย์องค์เดียวที่ประกาศความเป็นไทยชัดที่สุด เพราะว่ายอดฉัตรเป็นไทย และเป็นหนึ่งในสิบสองสถานที่สำคัญ ที่พม่าเขาจะต้องไปให้ได้ในชีวิต
ฉัตรแบบพม่า จะมีลักษณะเป็นคล้าย ๆ พระมงกุฎครอบลงมา แต่ฉัตรแบบไทย เป็นแบบร่มเป็นชั้น ๆ ลงมา
ตอนนี้วัดหนองบัวที่สร้างไว้ ทหารพม่าเขาสกัดตัวหนังสือไทยออกหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า เดี๋ยวจะเป็นข้ออ้างให้ทางรัฐบาลไทยมายึดพื้นที่ ว่าเป็นเขตของคนไทย เขาฟุ้งซ่านได้ดีมากเลย...!
ตกลงว่า ตัวหนังสือที่อาตมาอุตส่าห์ใช้ภาษาพม่าอยู่ด้านบน แล้วยอมให้ภาษาไทยอยู่ล่าง ปรากฎว่าเขาสกัดภาษาไทยทิ้งหมดแล้ว
มีอยู่อย่างหนึ่งที่พม่าทำไว้ที่เชียงใหม่ เป็นความเชื่อถือของเขา คือกาแล ลักษณะไม้กากะบาด เป็นไม้สะกดผีของพม่าเขา พอฝังศพเสร็จแล้ว ก็จะปักไม้กากบาดไขว้ไว้บนหลุมศพ
ถาม : ไม่ให้วิญญาณออกมาอาละวาดหรือครับ ?
ตอบ : ใช่…คราวนี้ที่พม่าบังคับให้คนทางเหนือใส่กาแลเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีบุญมาเกิด ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้ามีผู้มีบุญมาเกิด เดี๋ยวจะนำคนไปแข็งเมืองและยึดบ้านยึดเมืองคืนจากพม่าได้ ปัจจุบันนี้เราเห็นว่ากาแลเป็นของสวย ก็เลยทำกันใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วโบราณเขาถือว่าเป็นของอาถรรพ์
ถาม : พม่ามองว่ากาแลเป็นอาถรรพ์ ?
ตอบ : ไม่ใช่มองว่า แต่เป็นสิ่งที่เขาเจตนาเลย
ถาม : ถ้าเป็นอาถรรพ์ ตอนนี้จะยังส่งผลอยู่หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสิ่งที่เขาเชื่อเป็นจริง ก็คงจะส่งผลแน่
ถาม : เห็นตำหนักของสมเด็จย่าก็มีกาแล ?
ตอบ : ที่เกาะพระฤๅษีมีเยอะแยะ
ถ้าตามความเชื่อของเขา จะเป็นการสะกดทุกอย่าง แต่จุดมุ่งหมายจริง ๆ คือ ป้องกันคนมีบุญมาเกิด ถามว่าป้องกันได้หรือไม่ ? ไม่ได้หรอก ภาคเหนือพระอรหันต์มีเพียบเลย ...!
*************************
“ในเรื่องของการเมืองการปกครอง เราจะเห็นได้ว่า ระบอบต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับคน ต่อให้ระบอบดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าคนมีความดีไม่เพียงพอ ระบอบก็เละจนได้
พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้สรรสเริญเลยว่าระบอบการปกครองแบบไหนดี แต่พระองค์ท่านมอบหลักธรรมให้สำหรับแต่ละระบอบว่า ถ้าปกครองในลักษณะไหน ต้องใช้ะรรมอย่างไรไปกำกับถึงจะดี
ถ้าเป็นระบอบกษัตริย์ ต้องมีทศพิศราชธรรม
ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ต้องมีจักรวรรดิวัตร
ถ้าเป็นสามัคคีธรรม หรือสมัยนี้เรียกว่าประชาธิปไตย ต้องมีอปริหานิยธรรม
เพราะฉะนั้น...ในการปกครองต่าง ๆ ถ้าขาดธรรมาธิปไตย ก็ไปไม่รอดสักราย แต่เราจะบอกว่าอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ไม่ดีได้ไหม ? ไม่ได้หรอก
อย่างสมัยรรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองเราเจริญอย่างมาก นั่นเผด็จการเต็มขั้นเลยนะ อัตตาธิปไตยชัด ๆ แล้วโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ หรือประชาธิปไตยอย่างในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ก็แค่พวกมากลากไป
ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบไหน ถ้าไม่มีหลักธรรมกำกับ ของดี ๆ ก็พาให้เละจนได้
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกหรอกว่าระบอบการปกครองไหนดีล้วน ๆ ควรให้ปฏิบัติตาม เพราะพระองค์ท่านรู้อยู่ว่าขึ้นอยู่กับคน”
*************************
ถาม : ทำธุรกิจ ๔ - ๕ ปีแล้ว มีแต่ปัญหา ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดหรือเปล่า ? ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับเรื่องตั้งศาล มีคนบอกว่าเป็นที่สงฆ์ค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นที่สงฆ์แก้ง่ายจะตายไป จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่แถวนั้น ว่าแต่ละปีเราจะชำระหนี้สงฆ์ให้ เราก็เอาเงินใส่ซองสัก ๓๐๐ - ๕๐๐ บาท ถือว่าเป็นการเช่าที่สงฆ์ในปีนั้น เอาไปถวายพระ บอกพระท่านว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์
ถาม : เรื่องการตั้งศาลค่ะ ?
ตอบ : เรื่องการตั้งศาลสำคัญตรงทิศ เอาตัวสถานที่เป็นหลัก ให้ศาลอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของที่ ศาลของเราอยู่ทิศไหน ?
ถาม : ทิศใต้ ?
ตอบ : เป็นศาลอะไร ?
ถาม : ศาลพระพรหม ?
ตอบ : ศาลพระพรหมอยู่ทิศนั้นได้ แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวกับศาล
ถาม : ต้องมีศาลพระภูมิทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีพระพรหมแล้ว จะเอาพระภูมิปทำซากอะไรอีก...!
*************************
ถาม : อยากให้ช่วยอธิบายเรื่องที่หลวงพ่อบอกว่า อย่าคิดว่าเราดีกว่าเขาเลวกว่าเขา ?
ตอบ : ตรงตามนั้นเลย ยังจะต้องอธิบายอะไรอีก ?
ถาม : ควรคิดว่าอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เลิกคิดเท่านั้นเอง เห็นว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครจะดี ใครจะเลว ก็ตายเหมือนกันหมด ในเมื่อตายเหมือนกันทั้งหมด จะมีใครดีกว่าใครเลวกว่าเล่า ?
*************************
“ปี ๒๕๔๙ ทหารปฏิวัติและยึดอำนาจ มีโยมถามอาตมาว่า บ้านเมืองเราจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม ? อาตมาบอกว่า บ้านเราถ้าไม่ถึงปี ๒๕๕๖ แล้วดียาก
ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ แต่ปัจจุบันนี้ยืนยันได้แล้ว ถึงปี ๒๕๕๔ แล้วยังเอาดีไม่ได้เลย แต่ปี ๒๕๕๖ ก็ไม่ใช่ดีพรวดพราดขึ้นไปนะ ดีในลักษณะเข็นครกขึ้นภูเขา เข็นกันหลายปีทีเดียวกว่าจะดีจริง
ของบางอย่างบอกไป ก็เหมือนกับบ้าอยู่คนเดียว เพราะสถานการณ์ตอนนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด ตอนนั้นประชาชนดีใจ สนับสนุนการปฏิวัติ ถึงขนาดเอาดอกไม้ไปให้ทหาร คิดว่าบ้านเมืองน่าจะดีขึ้น
เรื่องลักษณะอย่างนี้เคยมีอยู่ ๒ - ๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งก็คือ คุณบังเอิญอ่องคล้าย ภรรยาของจ่าปัญญาที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ช่วงที่กิจการท่านดี ท่านก็ไล่กว้านซื้อที่ดิน ซื้อไปสามร้อยกว่าแปลง แปลงใหญ่ ๆ ขนาด ๓๐๐ - ๕๐๐ ไร่ ก็มี
พอปี ๒๕๔๐ เศรษฐกิจตก คุณบังเอิญก็มาถามว่า กว่าจะดีขึ้นอีกนานไหม ? เพราะตอนนี้เงินสดในมือไม่มีเลย อาตมาก็บอกไปว่า อย่างของคุณบังเอิญต้องอีกประมาณ ๘ ปี คุณบังเอิญจากไปด้วยความไม่เชื่อไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะนานอย่างนั้น เพราะว่าถ้าเขาสามารถขายที่ดินได้สักผืนเดียว เขาก็ยืนได้สบายแล้ว
หลังจากนั้น ๘ ปีผ่านไป คุณบังเอิญก็มาใหม่ มาขอขมาที่คราวนั้นไม่เชื่ออาตมาบอกว่า สิ่งที่อาตมาพูดเป็นเรื่องที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว ไม่ต้องขอขมาก็ได้
ส่วนอีกรายหนึ่งตายไปแล้ว เป็นผู้มีอิทธิพลขาใหญ่ของทงอผาภูมิ ท่านลงทุนกู้เงินธนาคาร ๗๐๐ ล้านบาท เพื่อสร้างเมืองใหม่ที่ทองผาภูมิ เนื่องจากหลักทรัพย์ของท่านพอค้ำประกัน ธนาคารจึงให้กู้
ท่านตั้งใจจะขยายตัวเมืองทองผาภูมิออกมา เพราะว่าตัวเมืองทองผาภูมินั้น บ้านมาก่อนถนน ที่ไหนก็ตามถ้าบ้านมาก่อนถนน จะขยายถนนไม่ได้ ที่ทางจะคับแคบ ทำอะไรก็ไม่สะดวก
ช่วงนั้นเศรษฐกิจรุ่งมาก เป็นช่วงปลายรัฐบาลน้าชาติ ทองผาภูมิสมัยนั้น ที่ไร่หนึ่งราคาถึง ๑ ล้านบาทก็ยังไม่ค่อยมีคนอยากจะขายเลย ปัจจุบันนี้ที่ไร่หนึ่งราคา ๓ - ๔ หมื่นบาทก็ขายได้แล้ว
ก่อนจะกู้เงิน ท่านมาถามอาตมาว่า จะทำกิจการอย่างนี้จะดีหรือไม่ ? อาตมาเตือนไปว่าอย่าทำเลย เพราะว่าอีกไม่นานเศรษฐกิจจะแย่ แต่เขาดูจากเหตุการณ์แล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าช่วงนั้นเศรษฐกิจรุ่งจริง ๆ ปั่นราคาที่ดินจนกระทั่งใครจับก็ได้กำไรเดี๋ยวนั้นเลย
สรุปว่าท่านไม่เชื่อ ไปกู้เงินธนาคารมาทำ ทำไปได้แค่ประมาณสองปีเศษ โครงการยังไม่เสร็จเรียบร้อย เปิดให้จองยังไม่ทันจะเท่าไร ก็เข้าปี ๒๕๔๐ เศรษฐกิจก็ตก
ท่านสบายใจมาก วัน ๆ มีแต่ธนาคารคอยไปประคับประคอง เจ็บไข้ได้ป่วยธนาคารก็ต้องไปช่วย หาหมอหายาไปให้ เพราะลูกค้าคนนี้ห้ามตายเป็นอันขาด..! จนทุกวันนี้ ๑๕ - ๑๖ ปีผ่านไป โครงการของท่านยังขายได้ไม่ถึงครึ่งเลย
เพราะฉะนั้น...บางอย่างพูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากว่าค้านจากเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนั้น แต่วันนี้ที่พูดขึ้นมา เพื่อให้พวกเราทราบว่า บ้านเราสถานการณ์ยังจะอืมครึมและเลวร้ายไปอีกพักใหญ่ ส่วนพักใหญ่ของอาตมานานแค่ไหน ? บอกแล้วเดี๋ยวโยมจะเป็นลม เพราะฉะนั้น...อดทนอดกลั้น สู้ต่อไป โบราณบอกว่า ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ให้ดิ้นกันต่อไป
นึกถึงปลาที่ติดแห้งอยู่บนบก ก็ต้องตะเกียกตะกายไปเรื่อย พอหมดแรงก็นอนอ้าปากพะงาบ ๆ มีแรงก็ตะกายต่อ ตัวไหนดวงดีไปถึงแหล่งน้ำทันก็รอดไป ตัวไหนดวงไม่ดี ไปไม่ถึงแหล่งน้ำ ก็กลายเป็นอาหารของสัตว์ต่าง ๆ ไป
ความจริงเรื่องอย่างนี้ไม่สมควรที่จะบอก แต่ที่บอกให้รู้ก็เฉพาะในส่วนที่พอจะพูดได้ เผื่อพวกเราะจได้ทำใจล่วงหน้าไว้บ้าง...!”
*************************
ถาม : ไปหาหมอแล้ว หมอวินิจฉัยโรคไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะหายครับ ?
ตอบ : หาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงมาดีกว่า อธิษฐานกินรักษาโรค ถ้าไม่เกินกฎของกรรมจะรักษาได้ทุกโรค
*************************
ถาม : ………ระหว่างทางเสียชีวิตลงกะทันหันค่ะ ?
ตอบ : ไม่กะทันหันหรอกจ้ะ เพียงแต่เราทำใจไม่ทันเท่านั้นเอง
มีนิทานเล่าว่า คนหัวหมอคนหนึ่ง ตายแล้วไปต่อว่าพระยายมว่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้เอาชีวิตเขามา ไม่มีการตักเตือนกันล่วงหน้าก่อน ทำอย่างนี้ถือว่าผิดระเบียบ...!
พระยายมบอกว่า “ข้าส่งจดหมายไปให้เอ็งตั้งหลายฉบับเป็นการเตือน เอ็งไม่ได้รับเลยหรือ ?”
“ไม่เคยได้รับเลย ท่านส่งไปจริงหรือ ?”
“ส่งไปจริง”
“ส่งไปแบบไหน ?”
“ครั้งแรกที่ข้าส่งไป คือ ให้เอ็งเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เอ็งไม่เคยรู้ตัวใช่ไหมว่าจะตาย ? ครั้งต่อไปก็ผมหงอก ครั้งต่อไปก็ฟันหัก ครั้งต่อไปหูก็เริ่มหนวก ทำไมเอ็งถึงไม่ฟังคำเตือนของข้าบ้างเลย ?”
สรุปว่าพระยายมท่านส่งจดหมายเตือนมาโดยตลอด เพียงแต่เราไม่พยายามรับรู้เอง เรื่องนี้เป็นนิทาน ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นนิทานอิงธรรมะ
*************************
“รู้จักคำว่า “อบายมุข” ไหม ? คำนี้ถ้าแปลตรง ๆ แปลว่า ปากทางแห่งอบายภูมิ เพราะฉะนั้น...ถ้าเลี่ยงได้ก็จะดี อยากประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ให้ทุ่มเททำงาน ไม่มีหรอกทางที่จะรวยง่าย ๆ ถ้ามีเขาก็รวยกันหมดแล้ว
เขาทำวิจัยแล้วพบว่า การพนันทุกประเภท เจ้ามือมีโอกาสชนะ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ คนแทงมีโอกาสแค่ ๒ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น...คนเล่นมีโอกาสหมดตัว โดยเฉพาะได้เงินมาง่าย ก็จ่ายง่ายไม่มีเหลือ โบราณเขาเรียกว่าเงินร้อน ในชีวิตอาตมายังไม่เคยเห็นใครรวยเพราะเรื่องนี้เลย
แต่มีกำลังใจอยู่ส่วนหนึ่งของนักเล่นการพนัน ถ้าปรับเปลี่ยนได้ จะเป็นนักปฏิบัติที่สุดยอดมากเลย สมัยอาตมายังวัยรุ่น ทางบ้านมีรุ่นพี่คนหนึ่ง นั่งตีป๊อกเด้งสามวันไม่ลุกไปกินอะไรเลย นั่นถือว่าระดับนิโรธสมาบัติเลยนะ...! ไม่กินไม่ถ่าย นั่งอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน...!
อาตมาลองไปนั่งดูอยู่สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น พอหลับตาเห็นแต่โพธิ์ดำโพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด บินให้ว่อนเลย แสดงว่าเพ่งเป็นกสิณแทน
แต่ถ้าเรื่องไฮโลว์ ต้องจ่าวิโรจน์ (จ.ส.อ.วิโรจน์ ย่านงูเหลือม) น่าจะเกษียณอายุไปนานแล้ว จ่าวิโรจน์นั่งกินเหล้าอยู่ใกล้ ๆ วงไฮโลว์ เวลาเขาแทงกัน จ่าวิโรจน์ก็กินเหล้าไปฟังไป พอเขาเล่นไปได้สักพัก จ่าวิโรจน์ก็ขอเล่นบ้าง “น้อง ๆ ขอพี่ตาเดียว พี่จะแทงอวดสาว”
พอเจ้ามือเขย่าลูกเต๋าเสร็จ จ่าวิโรจน์แทงคนเดียวสิบกว่าตัวถูกรวดเลย เขาเซียนขนาดนั้น ฟังเสียงรู้ว่าออกอะไรบ้าง นั่นระดับทิพจักขุญาณเลยนะ แต่เขามีสัจจะ เล่นแค่ตาเดียวก็เลิก ไม่อย่างนั้นมือระดับนั้นลงไปเล่นเจ้ามือหมดตูดแน่...!
พวกเราต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของอัจฉริยมนุษย์ อะไรที่พระองค์ท่านบอกว่าไม่ดี ย่อมจะดีไปไม่ได้ อบายมุข ก็แปลตรง ๆ แล้วว่า ปากทางแห่งอบายภูมิ ลงไปก็ฉิบหาย
โบราณบอกว่า โจรปล้นสิบครั้ง ดีกว่าไฟไหม้ครั้งเดียว เพราะโจรปล้นเอาแค่ข้าวของ แต่บ้านยังอยู่
ไฟไหม้สิบครั้ง สู้การพนันครั้งเดียวก็ไม่ได้ การพนันนี่ทั้งบ้านและที่ดินก็ไปหมด มีบางคนแม้กระทั่งเมียก็เอาไปเป็นสินพนัน...!
ถาม : ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน ?
ตอบ : มีจริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นเวรกรรมที่ไปมีครอบครัวอย่างนั้น
*************************
|