​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๓

 

      ถาม :  วิจิกิจฉาในสังโยชน์ จะมีกับพระอริยเจ้าทุกขั้นไหมครับ ?
      ตอบวิจิกิจฉาจะมีแต่ปุถุชนเท่านั้น ตั้งแต่โคตรภูญาณของพระโสดาบันจะไม่มีความสงสัยเหลืออยู่ เพราะจิตสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ ในเมื่อจิตสัมผัสพระนิพพานได้ จะเกิดความมั่นใจอย่างแน่นแฟ้นว่าการปฏิบัตินี้มีผลแน่
              เพราะฉะนั้น...ตัวสังโยชน์วิจิกิจฉา จะมีได้เฉพาะบุคคลที่ยังเข้าไม่ถึงโคตรภูญาณของพระโสดาบัน ก้าวเท้าเข้าไปก้าวเดียวก็พอแล้ว มั่นใจว่าก้าวไปถึง และถ้าถึงตรงนั้นก็ทำกันชนิดตายไปข้างหนึ่ง เพราะรู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำนี้ดีอย่างไร ? มีค่ามหาศาลแค่ไหน ? ต่อให้แลกทั้งชีวิตก็คุ้มแสนที่จะคุ้ม
              ตอนที่อาตมาปฏิบัติอยู่มีความรู้สึกว่า ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานไปสัก ๑๒๐ ปี แล้วเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว...!
      ถาม :  กรณีที่สงสัยคุณธรรมของครูบาอาจารย์ กับวิจิกิจฉา คืออย่างเดียวกันไหมครับ ?
      ตอบ :  จะเรียกว่าเป็นวิจิกิจฉาได้เหมือนกัน เพราะครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระสงฆ์ ก็คือส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย
              คุณจะไปสงสัยทำเกลืออะไร...! ท่านสอนอะไรมาเราก็ลงมือทำ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นแล้วค่อยว่ากันไม่ใช่ท่านสอนมาแล้ว เราก็ไปนั่งสงสัยว่าท่านดีจริงหรือเปล่า ? มีข้าววางไว้ตรงหน้า แทนที่จะรีบกินกลับไปนั่งสงสัยว่าคนทำอาหารเขามีฝีมือหรือเปล่า ? แบบนี้มีหวังอดจนไส้กิ่ว...!
      ถาม :  กรณีที่สงสัยครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของเราโดยตรงครับ ?
      ตอบ :  เรียกว่าหาเรื่อง...! ไม่ใช่หน้าที่อะไรที่เราจะไปสงสัยท่าน คำสอนท่านเราก้ไม่ได้รับมาอีกต่างหาก กลายเป็นว่าหาเรื่องลำบากให้แก่ตัวเอง แทนที่งานจะน้อยลงก็มากขึ้น การยึดการเกาะก็มากขึ้น กิเลสก็มากขึ้น
              ท่านจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน หรือไม่ก็เอาอย่างหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ยกมือไหว้แล้วกล่าวว่า “แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เถิด”
*************************

      ถาม :  กรณีที่เจริญพรหมวิหาร ๔ จะวัดดูว่าทรงตัวหรือไม่ทรงตัว นอกจากดูจากนิวรณ์แล้ว ดูจากจุดไหนได้อีกครับ ?
      ตอบเวลาเจอกับของจริง เราสามารถที่จะเมตตาสงเคราะห์เขาได้หรือไม่ ?
      ถาม :  ช่วยขยายความให้ฟังหน่อยครับ ?
      ตอบอย่างเราเห็นคน คนหนึ่งรวย คนหนึ่งจน คนหนึ่งสวยงาม คนหนึ่งอัปลักษณ์ คนหนึ่งพูดดี คนหนึ่งพูดไม่ดี เราสามารถที่จะสงเคราะห์ทั้งสองคนเหมือนกันได้หรือเปล่า ? ยังมีการเลือกที่รักมักที่ชังหรือเปล่า ? ยังเกิดโทสะสำหรับบางคนหรือเปล่า ? ขณะเดียวกันก็เมตตาได้เป็นบางคนหรือเปล่า ?
      ถาม :  อย่างอุเบกขาบารมี เมตตาบารมีจำเป็นต้องเต็มก่อนหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ทุกอย่างต้องมีอุเบกขาต่อท้าย ไม่อย่างนั้นคุณจะเดือดร้อนเอง เมตตาเกินประมาณ ถ้าเจอคนไม่รู้จักพอ เราก็หน้ามืด...!
      ถาม :  พรหมวิหาร ๔ จะนำมาควบคุมในศีลอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเรารักและเมตตาเขา เราจะฆ่าเขาได้ไหมเล่า ? ถ้ารักและเมตตาเขา เราจะขโมยของเขาไหม ? ทุกข้อก็เหมือนกันนั่นแหละ
*************************

      ถาม :  ศีลแปด เรื่องอะพรัหมจะริยาละครับ ?
      ตอบ :  เห็นเขาเหมือนกับญาติพี่น้องของเราเอง เหมือนกับบุคคลที่เรารักก็ไม่ไปล่วงละเมิดเขา
      ถาม :  ถ้าเรารักเขาเอ็นดูเขา แตะเนื้อต้องตัวกอดเขา ถือว่าเป็นการละเมิดไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นข้ออะพรัหมจะริยา ถือว่าละเมิด แต่ถ้าเป็นข้อกาเมฯ ถือว่ายังไม่ละเมิด
*************************

              “ตอนอาตมาเป็นฆราวาส ช่วงที่เข้าวัด บรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงเขาตามกันไปเยอะ ตรงจุดนี้อยากจะบอกว่า ผู้ชายที่เข้าวัดไม่ใช่ว่าจะดี ที่อาตมเข้าวัดเพราะรู้ว่าไม่ดี จึงพยายามเข้าไปแก้ไขตัวเอง แต่เขากลับเห็นว่าเราดี จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะอันตราย...!
              ดังนั้น...พวกเราที่ปฏิบัติธรรมกันในปัจจุบันนี้ จะมีอยู่ส่วหนหนึ่งที่เพศตรงข้ามเห็นว่าเราดี แล้วก็หมายมั่นปั้นมือว่า เราคือบุคคลในฝันร้ายของเขา...! ถ้าถึงตอนนี้ก็ตัวใครตัวมัน รักษาตัวกันเองนะ
              เพราะเรื่องของครอบครัว มีแต่นำภาระมาให้ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง นอกจากความทุกข์ส่วนตัวแล้ว ยังมีความทุกข์ของคู่ครองความทุกข์ของลูกหลานอีก กลายเป็นเพิ่มความทุกข์ใส่ตนโดยใช่เหตุ
              ยังโชคดีว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าวัดปฏบัติธรรมแล้วคิดจะหลุดพ้น ไม่อย่างนั้นคาดว่ามนุษยชาติ คงจะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันไม่นาน...!”
      ถาม :  ก่อนบวช ท่านเห็นทุกข์เห็นโทษของการมีครอบครัวหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ไม่เห็นเลย...! อยากมีครอบครัว เป็นลักษณะปกติของคนหนุ่มสาว พอถึงวาระ แรงผลักดันทางเพศก็ดึงไปหาคู่โดยอัตโนมัติ ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธ แต่มีสาเหตุใหญ่ว่า อาตมาเองดันไปรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องบวช ก็เลยไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับใคร เพราะสองสาเหตุด้วยกัน
              สาเหตุแรก โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว ถ้าต้องรับผิดชอบชีวิตของใคร ก็รับผิดชอบไปทั้งชีวิต จะไม่มีการทิ้งไปกลางคัน ซึ่งจะทำให้ตัวเองบวชไม่ได้
              สาเหตุที่สอง ถ้าเขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้บวช ก็ไปกันไม่รอด จงต้องตัดใจ ทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นั่งน้ำลายยืด อยากกินจังเลย แต่ถ้ากินไปมีปัญหา ก็พยายามอดใจ ตรงนั้นถือว่าเป็นศีลจริง ๆ เพราะมีโอกาสแล้วไม่ล่วงละเมิด
              ถ้ายังไม่มีโอกาสให้ล่วงละเมิดแล้วสามารถทรงศีลได้ นี่ยังไม่แน่ว่าจะเป็นศีล แต่ถ้ามีโอกาสล่วงละเมิดแล้วละเว้นได้ จึงจะนับได้ว่าเป็นศีลที่แท้จริง
              ถ้าเราเป็นผู้ชาย แล้วตนเองไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นหลักเป็นฐาน ก็รีบ ๆ บอกให้ฝ่ายหญิงเขารู้ตัวโดยเร็ว ไม่ใช่ให้เขาตั้งความหวังอยู่กับเราจนแก่เกินแกงไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเราไม่ยุติธรรมกับเขา ปล่อยเขารอไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลา เราก็บอกว่าไม่แต่ง ทีนี้เขาก็แก่เกินแกงแล้ว หมาก็ไม่แลแล้ว...! กลายเป็นว่าเขาเสียโอกาสไปเพราะเรา

              ดังนั้น...ถ้าหากคิดว่าไม่แต่ง ก็ต้องบอกให้เขารู้ชัดตั้งแต่แรก อย่างอาตมาบอกทุกคนไว้ชัดเลยว่า จะให้อยู่ในฐานะ ในตำแหน่งอะไรก็ได้ จะให้เป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นลูก เป็นหลาน เป็นได้ทั้งนั้น ยกเว้นให้เป็นผัวไม่เป็น...! ในเมื่อบอกชัดอย่างนี้ เขาจะได้ไม่เสียเวลามาตั้งความหวังกับเรา
      ถาม :  แสดงว่าท่านตั้งใจที่จะบวช ?
      ตอบ :  ไม่ได้ตั้งใจ แต่รู้ว่าตนเองจะได้บวช อยากบวชซะที่ไหนเล่า ? ถ้าตอนนั้นแหกปากตะโกนกลางถนนได้ ก็จะตะโกนไปแล้วว่า “อยากมีเมีย...!” เสียดายยังกล้าไม่พอ ไม่ได้คิดอยากจะบวชเลย ขอยืนยัน
              พระพุทธเจ้ท่านว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไรก็ไม่เกินไปกว่าเพศตรงข้าม สุนทรภู่ก็ว่า อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
              ใจจริงไม่ได้คิดอยากจะบวช แต่พอหลวงพ่อท่านเอ่ยปากขึ้นมา และด้วยความที่เกรงกันมาไม่รู้กี่ชาติกี่ภพแล้ว ก็ต้องรับปากท่านว่าจะบวช ขนาดนั้นอาตมาก็ยังอุตส่าห์กราบเรียนถามท่านว่าจะให้บวชกี่วัน ? เกรงว่าบวชนานเกินไปสาว จะหายหมด...!
              ตอนนั้นแค่ถามว่าจะให้บวชเอากี่วัน ? หลวงพ่อก็หัวเราะบอกว่า “บวชแก้บน ใครเขาจะเอานานกัน แค่ ๗ วันก็พอ” อาตมาก็ตั้งใจว่า ๗ วันสึกแน่นอน แต่ปรากฎว่า ไปเจอทีเด็ดของหลวงปู่ขนมจีนเข้า เลยอยู่มาได้เรื่อย ๆ
              ตอนนั้นข้องใจจริง ๆ เรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ กับพระองค์ที่ ๑๑ เป็นไปได้อย่างไร ? คนตายมา ๒ พันกว่าปี มานั่งเป็นรูปเป็นร่าง ให้จับให้ต้องได้อยู่ตรงหน้า แถมท่านยังท้าอีกว่า “ถ้าไม่แน่ใจก็คลำดูได้นะ” อยู่ ๆ มาสั่งสอนเราได้นี่ ก็เลยยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าเป็นไปได้อย่างไร ? ก็เลยเพลินกับการบวช โดยเฉพาะหลวงปู่ขนมจีน ลีลาท่านสุดยอดมาก ท่านเอาอารมณ์พระอรหันต์มาให้เลย กลายเป็นว่า เอาอาหารระดับสุดยอดฝีมือมาให้ชิมเสียแล้ว คราวนี้จะกินอะไรก็หมดรสชาติ มีอยู่ทางเดียว ก็คือ ต้องตะกายทำอาหารชนิดนี้ให้ได้ สรุปว่าตะเกียกตะกายมา ๒๐ กว่าปี จนป่านนี้ก็ยังชิมไม่ลง...!
              นึกถึงความประพฤติสมัยนั้น ก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าหากว่าบารมีพร่อง คงไม่ได้บวชแน่ โดยเฉพาะตัวสัจจบารมี ตั้งใจไว้กับตัวเองว่าไม่ ก็ต้องไม่จริง ๆ มีโอกาสเป็นร้อยเป็นพันก็ต้องไม่
              สมัยนั้นมีอาชีพไปเป็นลูกชายเขาหลายบ้าน เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่รูจัก ก็มักจะมีแต่ลูกสาว ไม่มีลูกชาย พอเวลาไปเจอกันที่บ้านสายลม หรือที่วัดท่าซุง ท่านเกิดชอบใจอัธยาศัย ก็ชวนไปเที่ยวบ้าน บ้านนั้นก็ลูกสาว ๒ คน บ้านนี้ก็ลูกสาว ๓ คน ไม่มีลูกชายเลย อาตมาก็เลยมีอาชีพเป็นลูกชายเขา พอไปค้างบ้านเขา เขาก็จับนอนห้องเดียวกับลูกสาว กลายเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นอนน้ำลายยืด อยากจะกินก็กินไม่ได้
              ถึงเวลามีงาน เขาชวนไป ก็ไปเป็นเป็นเพื่อนเขา หรือไม่ก็บอกว่าไม่ว่าง ช่วยพาน้องเขาไปหน่อย ถ้าหากว่าเอานิสัยของนายเสือมาใช้ สงสัยว่าคงจะมีเมียเกินร้อยไปแล้ว...!
              เมื่อครู่ที่ได้กล่าวว่า เอาตัวรอดมาได้ ต้องบอวก่าเป็นเรื่องของบารมีจริง ๆ ในเรื่องของสัจจบารมี ตั้งใจไว้แล้วว่าในเมื่อต้องบวช ก็อย่าไปยุ่งกับชีวิตของใครเลย อย่าไปเป็นตัวถ่วงเขาเลย ถึงได้ต้องชี้แจงกันให้ชัด ๆ ไปเลย ว่าเป็นได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นอยู่ตำแหน่งเดียวขอเว้นไว้
              ดังนั้น...ในเรื่องของบารมี ๑๐ ถ้าบารมีใดบารมีหนึ่งเกิดขึ้น บารมีอีก ๙ อย่างที่เหลือก็จมาครบ
              อย่างในเรื่องสัจจบารมี การที่จะมีสัจจบารมีได้ ต้องมีปัญญาบารมี เราถึงจะรู้ว่าสัจจบารมีเป็นของดี ในเมื่อมีสัจจบารมีมั่นคง เราก็จะไม่ละเมิดในศีลบารมี บุคคลที่ไม่ละเมิดศีลบารมี อย่างน้อย ๆ จิตก็ต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี และโดยเฉพาะเราตั้งใจที่จะงดเว้นเรื่องคู่ ก็เป็นเนกขัมบารมีอยู่แล้ว ลองไล่ไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นว่า เมื่อบารมีตัวใดตัวหนึ่งเกิดขึ้นมา อีก ๙ ตัว ก็ตามมาด้วยทั้งหมด ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการปฏิบัติในด้านของบารมี คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราต้องบวช ในเมื่อรู้ว่าจะต้องบวช ถ้าหากว่ามีคู่ ก็อาจจะบวชไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องไปรับผิดชอบชีวิตเขา สถานการณ์ก็เหมือนกับถึงวาระ เหตุการณ์ช่วยต้อนให้เข้าวัดเอง ปกติหลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ชวนใครบวช อยู่ ๆ ท่านบอกว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บน ๓ องค์ บวชให้ท่านได้ไหม ? ครูบาอาจารย์ที่เรามอบกายถวายชีวิตให้ อยู่ ๆ ถามอย่างนั้น แล้วจะให้ปฏิเสธได้อย่างไร ?
      ถาม :  ถ้าพ่อแม่ไม่ให้บวชตอนนั้น ท่านจะได้บวชหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ได้บวชแน่นอน เพราะแม่อยากให้บวชตั้งแต่เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีแล้ว ท่านเร่งมาทุกปี ต้องถือว่าท่านอนุญาตตั้งแต่แรกแล้ว
              อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ บิดามารดาของเธออนุญาตแล้วหรือ ? ตอบได้เต็ม ๆ เลยว่า อามะ ภันเต อนุญาตแล้วครับ
      ถาม :  ถ้าหากเคยอนุญาตในการบวชครั้งก่อน แต่ปัจจุบันอาจจะไม่อยากให้บวช ?
      ตอบ :  ถ้าหากท่านยังไม่ได้ถอนคำพูด ถือว่ายังมีผลอยู่ แต่ตอนนอาตมาบวชก็ไม่ได้บอกใครนะ ไปรับหลวงพ่อที่สนามบินดอนเมือง พอเจอหน้าก็กราบท่าน กราบเรียนว่า “ที่หลวงพ่อจะให้บวช ผมตกลงครับว่าจะบวช แล้วหลวงพ่อจะให้ไปวัดวันไหนครับ ?”
              ท่านถามว่า “ถ้าพร้อมก็ไปวันนี้เลย”
              ตอบท่านไปทันที่ว่า “พร้อมครับ” แล้วกก็กระโดดขึ้นรถไปกับท่านเลย
              ปกติเวลาอาตมาไปวัดจะไม่เกิน ๔ วัน ถ้าวัดมีงานก็ไปก่อนวันงาน ๒ วัน ไปช่วยเตรียมงาน หลังจากนั้นช่วยเก็บงาน เต็มที่แค่ ๔ วัน ก็ต้องกลับ ปรกฎว่าพอถึงวันที่ ๖ โยมแม่หอบเครื่องบวชพร้อมทุกอย่างเลย ไม่ว่า บาตร จีวร หมอน มุ้ง กระโถน ฯลฯ ต้องบอกว่า รู้ใจลูกไม่มีเกินแม่
              พอแม่ไปถึงก็ถามคำเดียวว่า “จะบวชจริงหรือ ?” บอกว่า “จริงครับ” ท่านก็หอบเอาบริขารไปถวายหลวงพ่อที่ศาลานวราชบพิตร บอกว่า “ดิฉันขอบวชลูกชายด้วย”
              หลวงพ่อบอกว่า “ให้โยมตั้งใจใหม่ ตั้งใจว่างานนี้เขาบวชกี่องค์ ดิฉันขอเป็นเจ้าภาพทั้งหมด อย่าเอาแค่ลูกชายคนเดียว” แม่เลยต้องตั้งใจใหม่ ตกลงว่าบวชพระทั้งหมด ได้อานิสงส์บวชพระไปเกือบ ๓ โหล...!
              พออาตมาบวชไปแล้ว บรรดาท่านสุภาพสตรีที่ยังมีความหวังอยู่ เขาก็ตามว่าเมื่อไรจะสึกเสียที กำลังใจตอนนั้นยังตัดรอนไม่ขาด บอกเขาไปว่า “ขออยู่สักพรรษาก่อน”
              พอออกพรรษา เขาก็ถามอีกแล้ว “เมื่อไรจะสึก ?” ก็บอกว่า “ขอรับกฐินก่อน” ผลัดไปเรื่อย ผลัดไปผลัดมารู้สึกว่าไม่ไหว ประเภทกินยารักษาโรคแบบนี้ไม่หายแน่ ต้องผ่าตัด ว่าแล้วก็หั่นฉับ...!
              สาเหตุที่ต้องเด็ดขาด เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อน เขาตามตื๊อบ่อย ๆ เดี๋ยวจะเผลอไปรับปากเขาเข้า ตอนนั้นมีเพื่อนดีด้วย แต่ละท่านช่วยกันลุ้นสุดชีวิต พอผู้หญิงมา เพื่อนก็จะรีบบอก “เฮ้ย ๆ รถคันนั้นมาแล้ว หลบ ๆ” ท่านช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้”
*************************