ถาม : จักรวาลในวิทยาศาสตร์และในพุทธศาสนาต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์รู้ไม่เท่าพระพุทธศาสนา จักรวาลทางวิทยาศาสตร์ก็คือหมู่ดาวหมู่หนึ่ง ที่มีดาวฤกษ์คือดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง จักรวาลของพระพุทธศาสนาก็ลักษณะเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าจักรวาลไหนมีมนุษย์อยู่บ้าง และพระองค์ท่านหรือพระอรหันต์ก็เสด็จไปโปรดเขาเป็นประจำ
แต่ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ แค่ดาวพฤหัสบดี กว่าเขาจะส่งยานเข้าไปในบริเวณที่สามารถสำรวจได้ใกล้เคียง ก็ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีทั้งหมดแสนโกฎิจักรวาล ไม่น่าเชื่อว่าเยอะขนาดนั้น สุดชายขอบจักรวาลจึงเร่ิมเป็นเขตของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
มีพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงฤๅษีตนหนึ่ง ท่านอยากจะรู้ว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่เท่าไร ท่านจึงใช้อำนาจอภิญญาเริ่มเหาะจากโลกมนุษย์ไปเรื่อย ๆ มุ่งตรงไปอย่างเดียว ปรากฎว่าท่านหมดอายุของความเป็นมนุษย์เสียก่อน ยังเหาะไม่พ้นเขตจักรวาลเลย นั่นขนาดไปด้วยอำนาจอภิญญานะ ท่านจึงเล่าให้เป็นอุทาหรณ์ว่า เรื่องพวกนี้สงสัยไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะว่าท่านตายฟรีมาแล้ว...!
ถาม : ตายแล้วไปเป็นพรหมหรือครับ ?
ตอบ : เป็นพรหม เพราะตายด้วยกำลังของอภิญญา จำไม่ผิดน่าจะอยู่ในเทวตาสังยุต ของสังยุตตนิกาย ลองไปหาอ่านดู
*************************
ถาม : ขอให้ช่วยอธิบาย การเร่งรัดบารมี ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือ ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ การทำให้มากเข้าไว้ ไม่ได้หมายถึงทุ่มเทที่เวลา แต่จริง ๆ คือ รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง
ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องกันได้ ความที่จิตเคยชินกับความสงบ สมาธิทรงตัวได้ง่าย ปัญญาเกิด ก็จะเห็นช่องทางว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะก้าวหน้า
ถาม : ขี้เกียจเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นกิเลสหยาบมากเลย เป็นส่วนหนึ่งของถีนมิทธะนิวรณ์
ถีนมิทธะนิวรณ์ไม่ใช่ง่วงเหงาหาวนอนอย่างเดียว แต่ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติด้วย ถ้าตราบใดที่จิตยังทรงฌานไม่ได้ เราทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เสร็จแน่ ๆ เพราะฉะนั้น...ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่างน้อยให้ทรงปฐมฌานได้จึงจะพ้น
ถาม : ท่านสอนปฏิบัติสายไหนหรือคะ ?
ตอบ : สอนแบบกลาง ๆ ทั่วไป จะเป็นอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกควบกับการภาวนา แล้วก็อธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องพบเห็นหรือว่าสิ่งที่นักปฏิบัติจะต้องพบเจอ แล้วควรที่จะแก้ไขอย่างไร
จริง ๆ แล้วที่อาตมาเรียนมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เราจะไปดูนรก สวรรค์ เพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เท่าที่มีประสบการณ์มา ส่วนใหญ่คนเอาไปใช้ผิด ในเมื่อไปใช้ผิดก็เลยไม่สอน สอนธรรมะกลาง ๆ ดีกว่า เพราะถ้าผิดแล้วจะติดนาน
อาตมาเองก็เคยไปหลงติดอยู่สามปีเต็ม ๆ คนนั้นให้ดูเรื่องนั้น คนนี้ให้ดูเรื่องนี้ พอถูกต้องแม่นยำเขาชมเราก็ตัวลอย กลายเป็นคนรับใช้เขาโดยที่ไม่ตั้งใจ ใครต้องการรู้เรื่องอะไรก็มาถาม จนกระทั่งต้องเลิกไปเอง เพราะว่าเวลาคนมาหา เขาจะเอาแต่เรื่องของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าเราจะว่างหรือไม่ว่าง
*************************
ถาม : คนที่เป็นโรคไต ถึงขั้นฟอกไตแล้ว พอจะรักษาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้เซี่ยงจี๊หมู ๑ ข้าง ล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แกะพวกเอ็นขาว ๆ ออกให้หมด แล้วก็ต้มกับน้ำฝน ๓ ชาม ต้มให้เหลือนำแค่ ๑ ชาม ระหว่างที่ต้มให้เอาเมล็ดลิ้นจี่ ๗ เม็ด ทุบให้แตก ห่อผ้าขาวบางต้มไปด้วย ถึงเวลากินให้หมดทีเดียว แล้วจะฟื้นสภาพไตชนิดที่ไม่ทำงาน ให้ทำงานใหม่ได้
แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อ มาต้มน้ำ กินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด
ถาม : คนทั่ว ๆ ไปก็ล้างไตได้ ?
ตอบ : ทำได้ ช่วงไหนที่เราไม่ได้ออกไปไหน ก็ลองดูสักวัน
ถาม : แล้วล้างลำไส้ค่ะ ?
ตอบ : ใช้ใบชุมเห็ดสักก้านหรือสองก้าน ย่างไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่ไปในหม้อน้ำร้อน กินแทนน้ำ แต่ถ่ายดุเดือดน่าดูเลยนะ
ถาม : ต้นชุมเห็ดหรือคะ ?
ตอบ : ใช่…ใบชุนเห็ด อย่าให้เกินสองก้าน ถ้าใช้เยอะ เดี๋ยวจะถ่ายข้ามวันไม่ได้ไปทำงานกันพอดี
“อะไรก็ตามที่เป็นงานที่สมควรทำ เป็นงานของพระ เป็นงานของพระศาสนา ถึงเวลาจะไปได้เอง ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย
บางคนเขาเห็นว่าอาตมารวย อาตมาก็นั่งหัวเราะ บางวันมีเงินเหลือติดกระเป๋าไม่ถึง ๔๐ บาท เขาเห็นแต่ตอนที่อาตมาจ่ายเท่านั้น
ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ โทรมาหา
“อาจารย์เล็ก...ผมยืมเงินจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างสักสี่แสนก่อนสิ ผมติดร้านค้ามาเป็นปีแล้ว ยังไม่มีจ่ายเลย”
“ท่านอาจารย์ยืมผิดที่แล้ว ผมมีเสียที่ไหน...”
“อาจารย์เล็กรวยจะตายไป...”
“ที่คุณเห็นว่าผมรวย เพราะผมจ่ายหมดทุกบาททุกสตางค์ แต่คนที่ไม่เคยจ่ายให้เห็นเลย คุณไปยืมเถอะ มีเงินทุกคนแหละ”
อาตมาได้มาเท่าไรก็ใช้หมด พอใช้หมดเขาจะเห็นว่าเรารวย เพราะมีใช้อยู่ตลอด วัดนั้นให้ช่วยสร้างอย่างนั้นก็สร้างให้ วัดนี้ให้สร้างอย่างนี้ก็สร้างให้ ไหนจะวัดของตัวเองอีก เขาจึงเห็นว่ารวย ความจริงแล้วได้มาเท่าไรก็ใช้หมด”
*************************
ถาม : ยันต์เกราะเพชร มีคุณอะไรคะ ?
ตอบ : เอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์ แต่ต้องสวด อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ทุกเช้าประมาณสามจบ พอกำลังใจมั่นคง นึกขอบารมีพระท่านช่วยคุ้มครอง จะป้องกันได้ทั้่งวันใครทำไสยศาสตร์ใส่เราจะย้อนคืนหมด กลายเป็นว่า ใครคิดร้ายต่อเรา เขาจะซวยเอง...!
วิชานี้สืบสายมาจากตำราพระร่วง มาดังสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคและมากระหึ่มอีกทีสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจัดงานเป่ายันต์ทีคนไปเป็นแสน
ถ้าเราไม่เคยไปเป่ายันต์ เราก็พกผ้ายันต์ติดตัวไว้ แต่แปลก...ผ้ายันต์เกราะเพชรของอาตมา มีคนเขาเอาไปใช้ในทางค้าขายแล้วขายดี ก็เลยมีคนตามไปหาถึงัด อาตมาก็สงสัยว่าตั้งใจสร้างในทางป้องกัน กลายเป็นค้าขายได้อย่างไร ? อ๋อ...ที่แท้ พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ถ้าเราศรัทธาจริง ๆ และมีบุญเก่าหนุนเสริม อธิษฐานอย่างไรก็ได้อย่างไรก็ได้อย่างนั้น
*************************
ถาม : เวลาจับภาพระ รู้สึกเหนื่อยอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : นานแค่ไหนที่คุณว่าเหนื่อย ?
ถาม : สักพักหนึ่ง ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณทำถูกวิธีหรือเปล่า ? เอาเป็นว่าก่อนที่คุณจะจับภาพพระ ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบให้หมด
ถ้าสมาธิทรงตัว ลมจะละเอียด ถ้าลมหยาบยังค้างอยู่ บางทีจะรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้วยังเป็นอีก เขาเรียกว่าขันธมารมาขวาง ถ้าเราเกิดอาการเหนื่อยแล้วท้อใจ หรือกลัวตาย เลิกปฏิบัติไป เราก็เสียผลเอง ต้องตัดสินใจว่าตายเป็นตาย แล้วลุยเข้าไปเลย...!
*************************
“ดอกบัวบ้านเรามีแค่ ๓ ตระกูล ก็คือ ตระกูลบัวหลวง ตระกูลบัวสาย และตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน
ตระกูลบัวหลวง สีขาวคือปุณฑริกา สีแดงคือปัทมา
ตระกูลบัวสาย สีขาวจะเป็นโกมุทหรือกมุท สีแดงจะเป็นสัตตบุษย์หรือสัตตบรรณ
ตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน สีเหลือคือจงกลนี สีน้ำเงินคือนิโลตบลหรือนิลุบล
ถาม : แล้วสีบานเย็น ?
ตอบ : เป็นบัวต่างประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว สีบานเย็นน่าจะจัดอยู่ในพวกนิลุบล ที่โบราณเขาเรียกว่าบัวเขียว
สีม่วง สีเขียว หรือสีน้ำเงิน โบราณจะเรียกว่าสีเขียวทั้งหมด
*************************
ถาม : การเดินจงกรม ควรจะพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือควรจะจับภาพมโนมยิทธิแล้วเดินครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่ที่ความถนัดของเรา ทำอย่างไรก็ได้ ให้นิวรณ์กินใจของเราไม่ได้ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
ถ้าเราพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย สติอยู่กับปัจจุบัน รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดไม่ได้
ถ้าจับภาพแบบมโนมยิทธิ ถ้าใจเกาะมั่นคง กิเลสก็กินไม่ได้เหมือนกัน
เขาต้องการแค่ความสะอาดของจิต ท้ายสุดก็ให้มีปัญญาตัดกิเลส รู้อยู่เสมอว่าเราเดินอยู่บนกองทุกข์ กำลังก้าวไปหาความตายอยู่ทุกก้าว ถ้าเราตายแล้วเราจะไปไหน ?
ถาม : แต่ย่ิงเดิน ยิ่งช้าไปเรื่อย ช่วงท้ายเหมือนจะระเบิด รู้สึกว่าอยากพบอยากคุยกับคนไปหมด ?
ตอบ : นั่นกิเลสชวนแล้ว พอเราบังคับอยู่ในกรอบ สภาวธรรมกำลังเกิด แต่ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นโทสะแทน
ถาม : ใช่ครับ คิดว่าเมื่อไรจะจบสักที ส่วนที่เราต้องทำต่อก็คือควรจะพิจารณาใน...?
ตอบ : เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ เปลี่ยนไปนั่งบ้าง หางานหาการทำบ้าง จะกวาดบ้านถูบ้านก็ได้ แต่ต้องเอาสติอยู่กับปัจจุบัน
*************************
ถาม : ธรรมะของผู้ครองเรือนเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ธรรมะของผู้ครองเรือน บาลีเรียก ฆราวาสธรรม ประกอบไปด้วย
สัจจะ มีความจริงใจต่อกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่นอกใจกัน
ทมะ คือ มีความข่มกลั้น เกิดการกระทบกระทั่งกันขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้
ขันติ ทนต่อความยากลำบากในการครองชีวิต ในการทำมาหากิน
ท้ายสุด จาคะ ต้องมีความเสียสละ สละความสุขส่วนตัวเพื่อคู่ครองของเรา
*************************
ถาม : ถ้าปฏิบัติมโนมยิทธิ จะครองเรือนได้ไหม ? มโนมยิทธิจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ห้าม อยู่ที่เรา ถ้าขยันซ้อมจะไปเสื่อมอะไร ยกเว้นว่าไม่สนใจเท่านั้นเอง
ถาม : หมายถึงเวลาที่เราครองเรือนครับ ?
ตอบ : ก็ครองไปสิ ไม่ได้ห้ามหรอก
ถาม : แบ่งเวลาเป็นช่วงได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ อย่าลืมว่า แม้แต่พระโสดาบันท่านก็ยังมีคู่ มีลูกมีหลาน เราเองยังไม่ถึงระดับนั้น ถ้าทรงกำลังใจระดับโสดาบันได้เมื่อไร เราก็ใช้มโนมยิทธิไปพระนิพพานเป็นปกติอยู่แล้ว
*************************
ถาม : ภาวนาสัมปะจิตฉามิ และจับภาพพระไปด้วย จะมีอานิสงส์เหมือนจับภาพพระไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน ถ้าทำเป็นจริง ๆ จะได้มากกว่า คาถาสัมปะจิตฉามิถ้าทำขึ้นจริง ๆ เราสามารถใช้อภิญญาได้เหมือนกับฝึกกสิณ ๑๐ มา พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่เราจะไปแต่ใจ เราก็ไปทั้งตัวเลย
*************************
ถาม : เวลาทำงานมีเรื่องที่ต้องพูดเลี่ยงไป แต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดรอน จัดเป็นการละเมิดศีลข้อมุสาหรือไม่ ?
ตอบ : ศีลยังด่างยังพร้อยอยู่ แต่เราไม่ได้โกหกทั้งวัน ระะยะเวลาที่เหลือเราก็รักษาศีลของเราให้ดี
ถาม : ถ้าคิดแล้วไม่ทำผิด …?
ตอบ : การคิดก็เป็นมโนกรรมแล้ว
ถาม : อยากได้ของคนอื่น เกิดกรรมแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนกรรม กรรมที่เกิดจากใจคิด ตายตอนนั้นก็ลงนรกเลย ขาดทุนมาก
ถาม : ศีลข้อสาม รวมคนในปกครองด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ทุกประเภท ถ้าผู้ปกครองไม่ได้ยินยอม กระทั่งท้ายสุดแม้กระทั่งกฎหมายไม่ได้ยินยอม ถือว่าผิดทั้งนั้น
ถาม : แม้ตัวเขาจะยินยอมก็ผิดในธรรม ?
ตอบ : ผิด…เพราะเขาหมายเอาถึงคนที่ยังมีผู้ปกครองอยู่
*************************
ถาม : กามราคะที่เกิดขึ้นด้านความคิด มีความกำหนัด ไม่ว่าจะเกิดจากการเห็น การมอง ก็เป็นมโนกรรมอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นอยู่ตลอดเวลา เท่ากับเราสร้างกรรมอยู่ตลอดเวลา ถึงได้บอกว่า เราต้องชำระจิตของเราให้ผ่องใสให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกามวิตก (การระลึกตรึกถึง) กามราคานุสัย (กามที่นอนเนื่องอยู่ภายในใจ) ตราบใดที่ยังไม่มีคนไปสะกิดให้รู้ตัว ก็ยังมีอยู่ แต่พอสะกิดเข้าจึงรู้ว่ายังมีอยู่เต็ม ๆ
ถาม : นั่งสมาธิแล้วคิดถึงเรื่องกาม ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เขาตั้งใจจะกวนเราอยู่แล้ว เขามาชวนว่าเรื่องนั้นสนุกกว่า
*************************
ถาม : ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ถ้าเราปฏิบัติธรรมภาวนา จะช่วยคนอื่นได้ไหม ?
ตอบ : สำหรับเรา...ถ้าปฏิบัติจนกำลังใจมั่นคง ก็ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้ากำลังของเราน้อยเกินไป ก็อาจจะช่วยคนอื่นไม่ได้ ถ้าตัวเราเอาตัวเองรอดได้ ก็เท่ากับไม่เป็นภาระให้กับคนอื่น
ดังนั้น...เราปฏิบัติของเราให้เต็มที่ไว้ก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระแก่พรหม เทวดาเท่าไร ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม
ถาม : ภาวนาสัมปะจิตฉามิวันละชั่วโมง ภาวนามาได้เดือนกว่า ๆ ตอนนั่งปวดท้องมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นเพราะอะไร เขาแค่ทดสอบกำลังใจว่าจะเอาจริงหรือเปล่า ?อย่าลืมว่าคาถาสัมปะจิตฉามิเป็ฯคาถาอภิญญา คนที่จะฝึกอภิญญากำลังใจต้องเข้มแข็ง มั่นคง สม่ำเสมอ และสำคัญที่สุดก็คือต้องไม่กลัวตาย
เราต้องคิดว่า สภาพร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราทำความดีอยู่ แม้ต้องสิ้นชีวิตลงไปเพื่อแลกกับความดีนี้เราก็ยอม
ถาม : บางทีปวดจนกระทั่งอารมณ์จิตไม่สบาย ?
ตอบ : ปล่อยให้ตายลงไปเลย ถ้าตัดใจขนาดนั้นได้ถึงจะได้ดี เขาเรียกว่า ขันธมาร แค่มาแหย่เล่นเท่านั้น
วันก่อนไปเลี้ยงพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ที่ปากช่อง อาตมาต้องแวะเข้าส้วมเกือบทุกปั๊มที่เจอ เพราะปวดท้องบิดไปบิดมาเหมือนจะถ่าย แต่พอเข้าไปห้องน้ำกลับไม่ยอมถ่าย พอวิ่งออกมาปวดใหม่ แวะอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ วันนั้นก็เลยมีโอกาสสำรวจห้องน้ำไปตลอดทาง
พอไปถึงพระพุทธฉายก็เดินขึ้นไปไหว้พระพุทธฉาย ปรากฎว่ามาเช้าเกินไป ศาลายังไม่เปิด ก็เลยไปปิดทองพระข้างนอก มีพระนอน พระศรีอาริยเมตไตรย พ่อปู่ฤๅษี ปิดทองเสร็จอาการปวดท้องหายเอาดื้อ ๆ เหมือนกับไม่เคยเป็นอะไรเลย จึงมานั่งหัวเราะ ดีเหมือนกัน อุตส่าห์ไม่สนใจไปตลอดทาง เขาเห็นว่าขวางเราไม่ได้แน่ ก็เลิกไปเอง ปิดทองพระสเร็จ เดินลงเขามา หายปวดไปเฉย ๆ
*************************
“วันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ หลังจากเสร็จงานฉลองบ้านวิริยบารมีแล้ว ใครยังไม่กลับ จะถวายสังฆทานต่อก็เชิญ อาตมาจะนั่งรับต่อเลย เพราะวันนั้นเป็นวันเดียวที่จะแจกพระกับหนังสือ
พระที่จะแจกก็คือ พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อชุบทองพ่นทราย เข้าพิธีเมื่อเสาร์ห้าที่ผ่านมา หนังสือที่จะแจกคือ ปกิณกธรรม เล่ม ๑ ได้คัดเอาเนื้อหาของการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษีบางส่วน การอบรมธรรมที่ปรียนันท์ธรรมสถาน การปฐมนิเทศมโนมยิทธิของพนักงานบริษัททริปเปิ้ลเอ การเทศน์ช่วงกรรมฐานของบ้านอนุสาวรีย์ และเทศน์สอนนาคอีกบทหนึ่ง
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจให้อ่านเนื้อหา ตั้งใจให้ดูรูป เพราะคัดเอารูป พระพุทธรูปใส่ไว้อย่างชนิดไม่เกรงใจตัวเอง ทำให้จำเป็นต้องพิมพ์สี ซึ่งหนังสือที่พิมพ์สีจะแพงกว่าปกติหลายเท่า”
*************************
“หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล คนจะรู้จักท่านน้อย แต่หลวงปู่ทองรัตน์ท่านเป็นพระที่สุดยอดมาก ท่านเดินบิณฑบาตผ่านบ้านโยมหลังหนึ่งเป็นปี ๆ
โยมไม่เคยทำบุญเลย หลวงปู่เดินแหวกรั้วเข้าไป บอกว่า “โยมใส่บาตรหน่อยสิ”
โยมบอกว่า “โยมยังไม่ได้นึ่งข้าวเลย”
หลวงปู่บอกว่า “ไม่เป็นไร รอได้...!”
พอโยมเจอพระตื๊ออย่างนี้เข้าก็ต้องไปนึ่งข้าว พอใส่บาตรเสร็จท่านก็ให้พร เดินยิ้มกลับวัด หลวงปู่ท่านทำอย่างนี้ก็เพื่อให้เขาได้บุญ เมื่อไปถึงวัดท่านหยิบข้าวก้อนนั้นส่งให้เณร เพราะถือว่าได้โดยไม่บริสุทธิ์ สำหรับพระแล้วสัมมาอาชีวะคือการได้มาโดยศรัทธา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับศรัทธาเขา
แล้วก็มีพระตั้งใจจะจับผิดท่าน เพราะเห็นจริยาพิลึกพิลั่นไม่เหมือนชาวบ้านของท่าน พระรูปนี้ไปอยู่ที่วัดหลวงปู่สามเดือน ระหว่างที่อยู่ในวัด ไม่เห็นหลวงปู่ผิดวินัยแม้แต่นิดเดียว เขาจับผิดไม่ได้ ก็พยายามที่จะใช้วาจากระทุ้งให้หลวงปู่ท่านโกรธ หลวงปู่ท่านบอกว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะผมไม่ได้นั่งทับอาวุธเหมือนคุณ” ทำเอาพระรูปนั้นสะดุ้ง เพราะใต้อาสนะท่านซุกมีดเอาไว้
ในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป หลวงปู่เป็นพระที่รุ่มร่ามและขี้โมโห แต่ความจริงนั่นเป็นสิ่งที่ท่านแสดงออกให้คนอื่นเขาเห็น แต่พอเป็นเวลาที่อยู่ส่วนตัว ท่านระมัดระวังทุกสิกขาบท และเรื่องรู้ใจคนอื่น ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้”
ถาม : หลวงปู่ทองรัตน์ ท่านอยู่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ท่านเป็นพระธุดงค์ อยู่ไม่เป็นที่ ท่านธุดงค์ไปเรื่อย ๆ บางทีก็อยู่สงเคราะห์เขา ๒-๓ ปี แล้วก็ไปต่อ อาตมาก็ไม่ทันหลวงปู่ทองรัตน์หรอก หลวงปู่รูปอื่นท่านเล่าให้ฟัง สมัยก่อนอาตมามีโอากสวิ่งรับใช้งานทั้งหลายเหล่านี้อยู่ เพราะโยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์ท่านสร้างพระเจดีย์
จากผืนนาเปล่า ๆ พวกเราช่วยกันสร้างเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ และพระเจดีย์หลังนั้น คุณช่วง มูลพินิจ เป็นคนออกแบบ ปกติเรารู้จักว่าเขาเป็นจิตรกร ไม่นึกว่าเขาจะเป็นสถาปนิกด้วย ออกแบบลายสวยมาก
ปีหนึ่ง ๆ ช่วงเดือนมกราคม จะมีการรวมลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น ไปทำพิธีสวดลักขี ก็คือ สวด อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ หนึ่งแสนจบ คำว่า “ลักขี” หรือ “ลักขัง” ก็คือ หนึ่งแสน จะมีการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลต่าง ๆ
ทุกรั้งโยมแม่จะไปบวชชี ๑๐ วัน อาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่จริง ๆ ก็คือไปให้หลวงปู่หลวงพ่อท่านเรียกใช้ เพราะเป็นเด็กวิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ จนกระทั่งเกิดความเคยชิน รู้ว่าจะต้องล้างบาตร เช็ดบาตร เอาบาตรไปตั้ง ไปปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันรอไว้ตามลำดับพรรษาของท่านเลย”
*************************
“หลวงปู่กินรี จนฺทิโย ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ช่วงแรก ๆ หลวงพ่อชาไปอยู่กับหลวงปู่กินรี หลวงปู่กินรีก็สอนให้หลวงพ่อชาฉันอาหารช้า ๆ ฉันไปและพิจารณาไปด้วย สวนหลวงปู่กินรีเองท่านฟาดเต็มที่ พักเดียวก็เสร็จ
หลวงพ่อชาข้องใจมาก มีอยู่วันหนึ่งก็กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อสอนผมอย่างนี้ แล้วหลวงพ่อทำอีกอย่างหนึ่งก็ไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านว่า สอนอย่างไรต้องทำอย่างนั้น” (หลวงพ่อชาเรียกหลวงปู่ว่า หลวงพ่อ)
หลวงปู่กินรีท่านบอกว่า “คนหัดขับรถใหม่ ๆ ต้องขับช้า ๆ จึงจะปลอดภัย แต่ถ้าขับรถเก่งแล้ว ขับเร็ว ๆ ก็ปลอดภัยเหมือนกัน”
บางครั้งหลวงปู่ท่านก็นั่งเย็บจีวร ย้อมผ้า ถักขาบาตร เหลาก้านกลด หลวงพ่อชาก็สงสัย เพราะไม่เห็นหลวงปู่นั่งกรรมฐาน เอาแต่ทำนั่นทำนี่อยู่ทั้งวัน อดทนไม่ได้ก็ไปถามอีก
หลวงปู่กินรีบอกว่า “งานทุกอย่าง ถ้าใส่สติอยู่เฉพาะหน้าเป็นปัจจุบันธรรม เป็นยิ่งกว่ากรรมฐานอีก เพราะสติที่อยู่กับปัจจุบัน จะไม่ปรุงแต่งไปใน รัก โลภ โกรธ หลง ต่อให้คุณเดินจงกรมให้ตาย แต่ถ้าไปคิด รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ก็ไม่เกิดประโยชน์”
หลวงปู่ท่านทำงานของท่านไปเรื่อย ท่านไม่ได้ถนัดนั่งนิ่ง ๆ ท่านถนัดทำงานไป พร้อมกับกำหนดปัจจุบันธรรมไปด้วย
เราจะเห็นว่า พระสายหลวงปู่มั่นมีลีลาหลากหลายกันมาก แล้วแต่ว่าเราได้มีโอกาสกราบองค์ไหน”
*************************
ถาม : พระที่ทันหลวงปู่มั่น ที่เราน่าจะไปกราบ มีองค์ไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ท่านยังอยู่หรือเปล่า ? หลวงปู่ทองบัว วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อยู่สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
ส่วนอีกรูปปหนึ่งก็ หลวงปู่วิริยังค์ วัดธรรมมงคล นี่ท่านทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นสามเณร
ส่วนหลวงตามหาบัว ทันตอนเป็นพระ ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ ๘ พรรษา หลวงปู่มั่นก็มรณภาพ
สายนั้นต้องยืนยันว่า ท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติกันจริง ๆ ปฏิบัติกันอย่างทุ่มเทชนิดเอาชีวิตเข้าแลก บางทีผ่อนอาหาร ลดกันวันละคำ ๆ จนกระทั่งไม่ฉันเลย ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน
มีบางท่านในชีวิตได้เห็นหลวงปู่มั่นแค่แวบเดียวเท่านั้น หลวงปู่มั่นท่านเดินทางไปรักษาตัวที่อุบลราชธานี ท่านนั่งรถไฟไป พอพระเณรได้ข่าวก็ไปยืนรับตามสถานีรถไฟ รถไฟวิ่งผ่านก็ยกมือไหว้
หลวงปู่มั่นก็โบกมือทางหน้าต่าง “เอ้อ...ไปปฏิบัติเอาเน้อ” ทั้งชีวิตได้คำสอนนี้ประโยคเดียวพอมาปัจจุบันท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นหลักชัยให้แก่ชนหมู่มากได้ด้วย ถ้าเป็นเราทั้งชีวิตได้ประโยคเดียว ก็คงลงแดงตายไปแล้ว แสดงว่าพวกเรายังไม่เอาจริง”
*************************
“หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร บางทีเรียกกันว่า หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล (สันโค้ง) ก็เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่องค์นี้เป็นหนึ่งในหลวงปู่ไม่กี่องค์ ที่สมัยหลวงพ่อท่านล่าพระอาจารย์ พาลูกศิษย์ไปกราบ เขาลือว่าท่านเป็นเจ้าของ “รอยยิ้มพระอรหันต์” ท่านยิ้มทีคนเห็นร้องไห้โฮเลยเพราะว่าปีติเกิด”
*************************
ถาม : สงสัยในคุณธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ ถือเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คุณมีสิทธิ์ที่จะสงสัย นี่เป็นตัววิจิกิจฉาสังโยชน์ ในเมื่อเป็นตัววิจกิจฉาในสังโยชน์ ก็แปลว่า กิเลสใหญ่ยังคาใจเราอยู่
ถ้าตราบใดที่ยังสงสัย เราก็จะไม่มอบกายถวายชีวิตจริง ๆ ในเมื่อไม่ทุ่มเทมอบกายถวายชีวิต โอกาสที่จะได้ดีก็มีน้อย
ในธรรมบท พระท่านไปฝากตัวกับอาจารย์เพื่อเรียนกรรมฐาน พระอาจารย์ถามว่า มีความตั้งใจแค่ไหน ? ท่านบอกว่า ถ้าอาจารย์สั่งท่านให้เอาตัวเองฝนกับหินตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ ให้สึกหมดทีละน้อย ๆ จนกระทั่งสิ้นชวิตไป ท่านก็ยอมทำ ต้องได้ขนาดนั้น
หรือไม่ก็คณะของพระพาหิยะเถระ ที่ท่านทำบันไดปีนขึ้นไปบนยอดเขา แล้วถีบบันไดทิ้ง ตั้งใจว่าถ้าไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เหาะได้ ก็ให้ตายอยู่ข้างบนไปเลย แต่นั่นท่านมั่นใจนะว่าท่านเป็นอรหัต์แล้วท่านจะเหาะได้ เกิดมีใครเป็นสุกขวิปัสสโกละก็เป็นเรื่องเลย
นึกถึงฮุ่ยเข่อโจ้วซือ ท่านเป็นสังฆปรินายกองค์ที่สองของจีน ถัดจากท่านตั๊กม้อ ท่านไปตามตื๊อขอให้ท่านตั๊กม้อสอนวิชาให้ ท่านตั๊กม้อถามว่า มีความตั้งใจจริงแค่ไหน ? ท่านก็เลยชักมีดฟันแขนตัวเองข้างหนึ่งถวายให้เลย ลีลานี้ไม่ต้องห่วง พุทธภูมิเก่าแน่ ๆ สามารถตัดแขนถวายเพื่อบูชาธรรมได้
พวกเราเองลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นเรา เราตัดใจทำเช่นนั้นได้หรือหรือไม่ ? เรามีความจริงจังสักเท่าไร ? เปรียบเทียบโบราณาจารย์กับปัจจุบันของเรา สายหลวงปู่มั่นท่านเดินจงกรมจนกระทั่งทางเดินจงกรมสึกลึกถึงเข่า เราเองเดินสึกไปสักกี่หุน ? การที่ท่านได้ธรรมบรรลุธรรม จนกลายเป็นหลักชัยของคนหมู่มากได้ เพราะท่านทุ่มเทอย่างจริงจัง ทุ่มเทแบบเอาชีวิตเข้าแลก
ถาม : ต้องขอขมาพระรัตนตรัยเฉพาะข้อนี้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้ารู้สึกว่าเป็นโทษก็ขอขมา แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเร่งรัดปฏิบัติ ไม่ใช่ขมาเสร็จ ก็ปล่อยเอ้อระเหยลอยชายต่อไป
เวลาฟังครูบาอาจารย์ ฟังให้เหมือนกับว่า ท่านสั่งให้เราทำ อย่าไปฟังว่าท่านกำลังสอนเรา ถ้าฟังว่าท่านกำลังสอนเรา บางทีเราก็ไม่คิดที่จะทำ แต่ถ้าเราฟังว่าท่านสั่งให้เราทำ เราจะต้องลงมือทำทันที
เพราะฉะนั้น...การฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ ให้ฟังในลักษณะที่ท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็เร่งลงมือตั้งหน้าตั้งตาทำ ถ้ามัวแต่ไปฟังว่าท่านสอนเราสอนดีเหลือเกิน มัวแต่ไปชื่นชมกับคำสอนท่าน ไม่ได้ปฏิบัติอีกต่างหาก คงได้เกิดใหม่กันอีกหลายรอบ...!
*************************
ถาม : จับลมหายใจอย่างเดียว กับบริกรรมพุทโธไปด้วย อย่างไหนจะได้ผลเร็วกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ความถนัด การจับอานาปานสติอย่างเดียว ถ้าจิตใจมั่นคงจริง ๆ ก็สามารถที่จะได้ฌานได้สมาบัติ
การจับอานาปานสติพร้อมพุทโธ เป็นการเพิ่มงานขึ้นมา เพื่อให้จิตมีความระมัดระวังมากขึ้นไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะเผลอ พลาดจากลมหายใจหรือคำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งไป
ดังนั้น...ขึ้นอยู่กับความถนัดของตัวเราเอง ถ้าจิตใจไม่ยุ่งยากมากความถึงเวลาแค่ตามดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ทรงสมาธิได้ ก็ใช้อานาปานสติอย่างเดียว แต่ถ้ารู้สึกว่างานน้อยเกินไป จิตใจฟุ้งซ่านมาก ก็เพิ่มงานให้จิต
*************************
|