​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๑

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔


              “สัตว์เขาจะทำร้ายเราด้วยสองสาเหตุ
              สาเหตุแรก คือ เรากลัวเขา ถ้าเรากลัวเขา เขาจะไล่เราให้พ้นจากเขตหากินของเขา เพราะถ้าเราอยู่ในเขตนั้น เราอาจจะไปแย่งอาหารเขา ทำให้เขาไม่มีกิน แล้วเขาอาจจะอดตาย
              อย่างที่สอง คือเขากลัวเรา เขาจะกัดหรือทำร้ายเราเพื่อป้องกันตัวเอง
              ถ้าเราเข้าไปหาโดยที่ไม่คิดกลัวเขา และไม่คิดที่จะทำอันตรายเขา เขาจะทำอะไรไม่ถูกเลย
              อย่างงูจงอาง ตอนแรกเขาชูหัวขึ้นมาสูงเท่าหน้าเลย พอเขาเห็นอาตมาไม่ถอย เขาก็ลดหัวลง เลื้อยหนีไปเอง พอเขาลดหัวลงเลื้อย อาตมาก็จับกลางตัวเขาหิ้วไปได้เลย”
      ถาม :  งูไม่ตกใจแว้งมากัดหรือคะ ?
      ตอบ :  ยังไม่เคยโดน...ถ้าโดนเมื่อไรแล้วจะมาบอก...!
*************************

      ถามฤกษ์ออกรถ คือ ออกวันพฤหัส ใช้วันอาทติย์หรือคะ ?
      ตอบหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า การออกรถหรืออกเรือใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นรถหรือเรือที่ใช้ทำมาหากิน ให้ออกวันพฤหัสบดี แล้วเอาไปประเดิมวันอาทิตย์ หรือจะออกวันอาทิตย์แล้วเอาไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดีก็ได้
              แต่ส่วนใหญ่ที่อาตมาแนะนำให้ออกวันพฤหัสบดี แล้วเอาไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ เพราะว่าเว้นแค่สองวัน คือ เว้นวันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น ถ้าออกวันอาทิตย์ไปใช้วันพฤหัสบดี เว้นตั้ง ๔-๕ วัน นานไปหน่อย
      ถาม :  ทำกรรมอะไรจึงทำให้สายตาสั้น ?
      ตอบ :  อาตมาก็สายตาสั้น กำลังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ความจริงก็คือ สายตาพอใช้ไปนาน ๆ ก็ชำรุด
              โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ เกิดจากกรรมนอนเปิดไฟ สายตาจึงสั้น เพราะประสาทตาของเรารับแสงสว่างเร็วมาก เมื่อเรานอนเปิดไฟ ม่านตาของเราจะเปิด ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงไม่มีเวลาพัก เพราะฉะนั้น...ลูกคนไหนที่พ่อแม่เปิดไฟให้นอน ก็ถือว่าเป็นความซวยของตัวเองไปก็แล้วกัน
      ถาม :  เกี่ยวกับโกหกไว้เยอะไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่เกี่ยวกัน ถ้าโกหกเขา เราก็จะโดนโกหกบ้าง
      ถาม :  คนโบราณมีไหมครับที่สายตาสั้น ?
      ตอบ :  น้อยคน...เพราะสมัยโบราณไม่ค่อยมีไฟใช้ มีแต่แก่แล้วสายตายาวมากกว่า
*************************

      ถาม :  ทุกวันนี้มีปัญหาถกเถียงกันว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ?
      ตอบ :  ไปห่าง ๆ เขาซะ...จะได้ไม่ต้องไปเถียงกับเขา
      ถาม :  ถ้าเขาไม่ได้มโนมยิทธิ ก็จะไม่รู้ ?
      ตอบ :  ต่อให้ได้แล้ว เขายังคิดว่าเป็นอัตตาเลย ก็เพราะว่าเขาได้ไปเจอด้วยตัวเอง
      ถาม :  เถียงไปก็ไม่ได้อะไร ?
      ตอบ :  นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังจะเกิดโทษกับตัวเองเสียด้วยซ้ำ คุณไปอ่านเก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ในเว็บวัดท่าขนุนของเดือนที่แล้ว มีพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนแล้ว
*************************

      ถาม :  ตอนถวายสังฆทาน ท่านให้พรเป็นภาษาบาลี แปลว่าอะไรครับ ?
      ตอบ :  บอกมาว่าบทไหน จะแปลให้ฟัง อาตมาสวดตั้งหลายบท
      ถาม :  ยกตัวอย่างให้ฟังก็ได้ครับ ?
      ตอบชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง ขอให้ประสบความสำเร็จ มีชัยชนะ มีลาภ ผลเงินทอง
              โสตถิ ภาคยัง พึงมีส่วนของความสวัสดี
              สุขัง พะลัง ประกอบไปด้วยความสุขและกำลัง
              สิริ อายุ จะ วัณโณ จะโภคัง ประกอบไปด้วยมิ่งขวัญ อายุ ชาติตระกูล และโภคสมบัติทั้งปวง
              วุฑฒี จะ ยะสะวา ขอให้เป็นผู้เจริญด้วยยศศักดิ์
              สะตะวัสสา จะอายู และมีอายุยืนนานประมาณหนึ่งร้อยปี
              จะชีวะสิทธี ภะวันตุ เตฯ และขอให้ความสำเร็จเหล่านี้จงมีแก่ชีวิตของเธอ...
              รับไปเถอะ...คุณอยากรู้ อาตมาก็แปลให้ฟัง ฟังแล้วก็ไม่เอาอีก
      ถาม :  เอาครับ …แต่ร้อยปีไม่เอานะครับ...นานไป ?
      ตอบ :  บอกแล้ว...แปลให้ฟัง..คุณก็ไม่เอา...!
*************************

      ถาม :  ตั้งแต่หลวงตามหาบัวมรณภาพ ท่านได้ไปกราบหลวงตาหรือยังครับ ?
      ตอบ :  ยังเลย...เคยแต่ร่วมถวายทองช่วยชาติกับท่านไป พอท่านมรณภาพแล้วยังไม่ได้มีโอกาสไปถึงวัด ได้แต่ส่งใจไปอย่างเดียวจริง ๆ
              อาตมารู้จักหลวงตาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังไม่โด่งดัง ที่น่าขำที่สุด ก็คือ ขอหวยแล้วท่านให้ ปกติใครไปถามท่านก็คงจะหัวแตกแทน...!
              สมัยนั้นอาตมาเป็นเด็กวัยรุ่นและซน อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอภิญญาสมาบัติ อยากรู้ว่าพระที่ปฏิบัติมาสายวิสุทธิมรรคตรง ๆ แล้ว จะมีความรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่ ? ท่านก็บอกเลขให้ตรง ๆ เลย เพราะท่านรู้ว่าอาตมาไม่ซื้อ และเลขนั้นก็ออกมาตรง ๆ เสียด้วย
              สมัยนั้น มีโอกาสวิ่งรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่น มากต่อมากด้วยกัน จนกระทั่งคนเขาเอารูปเก่า ๆ มา อาตมาบอกได้เลยว่า องค์ไหนเป็นองค์ไหน
              ตอนที่ไปวัดห้วยน้ำขาว เขาติดรูปพระสายหลวงปู่มั่นไว้เต็ม บอกเขาเลยว่า องค์นี้คือใคร ไล่ไปเรื่อย ท่านมหาโรจน์บอกว่า “นี่หลวงพ่อรู้จักทุกองค์เลยหรือ ?” อาตมาจึงบอกว่า ส่วนใหญ่เคยวิ่งรับใช้ท่านมาก่อน
              ตอนนั้นยังเด็ก อายุสิบกว่า ๆ โยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์สร้างพระเจดีย์ ต้องไปบวชชีพราหมณ์ปีละ ๑๐ วัน จริง ๆ แล้วอาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่นั่นแหละ พอหลวงปู่หลวงตาท่านเห็นเด็กวิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ตลอด
              คนอื่นเขาไปใส่บาตรท่าน ส่วนอาตมากลับไปขอข้าวท่านกิน ถือจานไปใบหนึ่ง “หลวงปู่ครับขอหน่อยครับ หลวงพ่อครับขอหน่อยครับ” โดยเฉพาะท่านอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำภูผาเหล็ก ช้อนของท่านใหญ่เกือบเท่าทัพพี...! จ้วงข้าวให้แต่ละทีเกือบค่อนจาน สรุปแล้วคนอื่นเขาไปใส่บาตรพระกรรมฐาน ส่วนอาตมาไปขอข้าวท่านกิน..!
      ถาม :  ฆราวาสถ้าจิตก่อนตายเกาะพระนิพพานได้ จะได้ไปพระนิพพานไหมครับ ?
      ตอบ :  เกาะพระนิพพานได้ก็ไม่ไปที่อื่นแล้ว
      ถาม :  คนที่ไปพระนิพพานได้ บารมีต้องพอไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าไม่พอจะไปได้อย่างไร ? จำไว้ว่า เกาะดีหรือเกาะชั่วก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น วารสุดท้ายจริง ๆ แล้วจะไม่เกาะอะไรเลย แต่พระนิพพานเต็มอยู่ในใจของตัวเอง
              เคยบอกว่า เป็นนกอยู่บนฟ้า แล้วอธิบายให้ปลาในน้ำฟัง ว่นกบินข้างบนเป็นอย่างไร ปลาก็คงไม่รู้เรื่องหรอก..!
              ให้รู้ไว้ว่า อันดับแรกให้เกาะความดีก่อน เพราะว่าความดีเป็นกำลังส่งให้เราหลุดพ้นไปพระนิพพานได้ แต่พอทำไป ๆ ท้ายสุดแม้แต่ดีก็ไม่เกาะ
              ถามว่าในเมื่อไม่เกาะแล้วจะไปพระนิพพานได้อย่างไร ? ก็เพราะว่าเวลานั้น วาระนั้น คำว่าพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงจุดไหน ก็รู้ว่านี่คือพระนิพพาน ก้าวไปถึงตรไงหนก็รู้ว่าพระนิพพานอยู่ตรงนั้น
*************************

      ถาม :  คนประเภทนี้ผมเจอเยอะ คนที่ได้มโนมยิทธิ ...?
      ตอบ :  อาตมาก็เจอมาเยอะ ๙๙ เปอร์เซ็นต์เพี้ยนหมด...!
      ถาม :  ผมถามหลวงปู่ท่อนว่า มโนมยิทธิเป็นอย่างไรครับ ? หลววปู่ท่อน บอกว่า ให้จิตอยู่กับตัวเรา อย่าไปสนใจใคร เดี๋ยวจะเป็นนิมิตหลอกเสียเปล่า ๆ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่จะโดนหลอกไปสัก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ...!
      ถาม :  จุดประสงค์จริง ๆ ก็คือให้เกาะพระนิพพานใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ทำอะไรก็ได้ให้กิเลสกินใจเราไม่ได้ ในเมื่ออยู่กับความปราศจากกิเลสของพระนิพพานไปนาน ๆ ท้ายสุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะรับอารมณ์ชินนั้นมาเป็นของตนเอง
*************************

      ถาม :  ปรามาสพระอรหันต์ที่ล่วงลับไปแล้ว จะบาปไหมครับ ?
      ตอบ :  ปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะล่วงลับหรือไม่ล่วงลับก็บาปสาหัสพอกัน
      ถาม :  ปรามาสพระที่ปาราชิก แต่ยังใส่ผ้าเหลืองอยู่ และมรณภาพไปแล้ว บาปน้อยกว่าปรามาสพระที่เป็นอรหันต์ไหมครับ ?
      ตอบ :  สำคัญตรงที่ว่า ตอนนั้นสภาพจิตของเราประกอบไปด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าเราใส่อารมณ์โกรธไปเต็ม ๆ กับการที่เราทำไปด้วยความไม่รู้ โทษก็ต่างกัน
              แต่ส่วนใหญ่แล้ว ระหว่างการปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์จริง ๆ กับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์โทษจะหนักกว่า มีเรื่องของโยมคนหนึ่งที่ไปด่าพระรูปนั้นท่านทำผิดจริง ๆ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสที่จะไปด่าพระ​ โยมก็เลยไปเกิดเป็นเปรต เสวยทุกข์โทษจนนับเวลาไม่ถ้วน
              โยมท่านนั้น (ที่เป็นเปรตอยู่) สรุปว่า กรรมของคนอื่นแท้ ๆ แต่ไปรับมาเป็นของตนเอง เขาทำผิดก็เรื่องของเขา เราไปด่าเขา จิตของเราประกอบไปด้วยโทสะ จิตมีแต่ความเศร้าหมอง ตายไปก็เลยซวยไปด้วย
      ถาม :  ถ้าพระรูปนั้นมรณภาพไปแล้ว หรืออยู่ที่นรก ?
      ตอบ :  ตามไปขอขมาท่านในนั้นก็แล้วกัน
*************************

      ถาม :  จิตมีความเบามากจนตกใจ เบาโหวงเหวง จับต้องไม่ได้เลย ?
      ตอบ :  เบา บาง และนิวรณ์กินไม่ได้
      ถาม :  ใช่ค่ะ …เหมือนกับว่าไม่มี ?
      ตอบ :  อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าดี เชื่อเมื่อไรเดี๋ยวโดนกิเลสบีบคอตายอีก ตามดูไปสักระยะหนึ่ง
              กติกาอะไรที่เราทำแล้วเกิดสิ่งนี้ได้ เราต้องซักซ้อมทำไปทุกวัน โดยเฉพาะในส่วนของ กาย วาจา ใจ อะไรก็ตามที่จะกระทบกับผุ้อื่น พยายามระมัดระวังให้สุดขีด เพราะว่าถ้ามาถึงระดับนี้จิรง ๆ ก็จะเป็นโทษแก่เขามาก กลายเป็นว่าเราต้องปรับตัวขนานใหญ่
      ถาม :  ทรงสมาธิระดับปกติ แต่จิตเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ ?
      ตอบ :  จิตจะทำงานอัตโนมัติเองอยู่แล้ว
      ถาม :  เป็นอัตโนมัติใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเราทำถึงตรงนั้นเมื่อไร ก็จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ จำไว้นะ...อย่าเชื่อเป็นอันขาด เชื่อว่าดีเมื่อไร ตายเมื่อนั้น เราไม่ใช่ไกรทอง ที่บอกว่าเราไม่ใช่ไกรทอง ก็คือ ไกรทองเขามั่นใจในครูบาอาจารย์ เขาเลยไม่กลัวชาละวัน กลอนเขาว่า
              ไกรทองเข้าชิดติดชนัก         จมน้ำสำลักไม่ยักหนี
              ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีล์       เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา

              เชื่อดีก็คือ เชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ เชื่อในความสามารถของตัวเอง แต่ของเราอย่าไปเชื่อว่าดีอย่างนั้น เชื่อว่าดีเดี๋ยวจะแย่
*************************

      ถาม :  เผลอปรุงแต่งว่าเราดี แต่สมาธิก็มาหยุดไว้ทันที แล้วใช้ปัญญาพิจารณาว่า แม้แต่การเห็นว่าเราดีหรือชั่ว ก็ยังเป็นอารมณ์ที่หนักอยู่ ถ้าอย่างนั้นไม่ดีไม่ชั่วก็แล้วกัน ตรงนี้จะใช่มากกว่า ?
      ตอบ :  เราต้องไม่เกาะทั้งสองฝ่าย ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ กรรมฐานพวกนี้เขาจะขึ้นมาทำหน้าที่ของเขาโดยอัตโนมัติเอง อย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อเดือนก่อนว่า อยู่ ๆ ก็โดนอสุภกรรมฐานเข้ามาเล่นจนเกือบหงาย
*************************

      ถาม :  พูดกับเพื่อนว่า แม้กระทั่งจิตก็ไม่ใช่เรา เพื่อนรู้สึกค้านในใจ เขาบอกว่าหลวงพ่อฤๅษีบอกไม่ใช่หรือ ว่าร่างกายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน ร่างกายไม่ใช่เรา เราคือจิตที่แยกออกมา ก็บอกเพื่อนว่า ถ้าทำไปจนท้ายสุดเห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่เรา แล้วจิตเป็นส่วนที่ละเอียดที่สุด จะเห็นว่าเป็นเราได้อย่างไร ? คือ มีสภาวะของความเป็นจิตอยู่ แต่เราไม่ไปยึดมั่น ถือมั่นว่าจิตนั่นคือเรา ?
      ตอบ :  สาธุ…อธิบายได้ชัดแล้ว แต่เพื่อนจะเข้าใจหรือเปล่า ?
*************************

      ถาม :  การรู้สึกว่ากินเหล้าได้ เป็นอารมณ์ที่กินก็ได้ ไม่กินก็ได้ เพียงแต่ว่าไม่กินเพราะรู้ว่าไม่ดี เป็นอารมณ์วางหรือเป็นมิจฉาทิฐิคะ ?
      ตอบ :  เป็นมิจฉาทิฐิ แต่ว่ายังมีปัญาประกอบอยู่ จึงไม่ล่วงละเมิด ดังนั้น...เขาเรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ยังเป็นกิเลสที่กรุ่นอยู่ข้างในใจ ยังไม่ล่วงละเมิดออกมา
              ถ้าล่วงละเมิดออกมา ก็จะเป็นวีติกกมกิเลส ถ้าขาดปัญญานิดเดียวก็ไปเลย
*************************

      ถาม :  ลูกชายเหมือนเป็นออทิสติก เป็นกฎของกรรม โยมเป็นแม่จะช่วยเขาอย่างไรคะ ?
      ตอบดูแลเขาให้ดีที่สุด บางทีคนออทิสติกก็มีอัจฉริยภาพบางอย่างเหนือกว่าคนทั่วไป เราดูว่าเขาถนัดทางด้านไหน แล้วให้เขาศึกษาทางด้านนั้น เขาจะทำได้ดีมากเลย ลองให้หมอทดสอบดูก่อนว่าเขาถนัดทางด้านไหน
              ออทิสติกจะมีแค่การรับรู้หรือการอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ลำบากเท่านั้น แต่การเรียนของเขาบางด้านจะเป็นอัจฉริยะเลย
      ถาม :  จะติดไปตลอดชีวิต หรือว่าจะเบาบางลง ?
      ตอบ :  จะมีพัฒนาการของเขาอยู่ ถ้าพัฒนาถูกทางก็จะเบาบางลงได้
      ถาม :  กรรมตัวนี้ เขาต้องรับไว้ทั้งชีวิตเลยหรือคะ ?
      ตอบ :  อาจจะหลายชาติด้วยซ้ำไป ถ้ามีโอกาสก็ให้เขาทำบุญ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ ขอให้อโหสิกรรมให้เขาด้วย
      ถาม :  มีโอกาสที่เขาจะไปพระนิพพานในชาตินี้บ้างไหมคะ ?
      ตอบต้องดูว่าเขาจะมีความเข้าใจและตัดสินใจในการปฏิบัติได้หรือไม่ ? ถ้าหากสามารถที่จะเข้าใจธรรมะ ตัดสินใจได้ ก็มีโอกาส
      ถาม :  สอนลูกอย่างไรให้ได้สติทีละน้อย ?
      ตอบทำตัวเองให้เป็นตัวอย่าง อยากให้เขาทำสมาธิ เราก็ต้องนั่งสมาธิให้เขาดู อยากให้เขาทำบุญ เราก็ต้องพาไป สำคัญตรงพ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง
              ลองให้หมอเขาทดสอบก่อนว่าเด็กเขาชำนาญทางด้านไหน แล้วให้เขาศึกษา ให้เขาทำในสิ่งที่เขาชอบ เขาก็จะมีความสุข
      ถาม :  โรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ บางทีเขาก็ไม่อยากเอา ?
      ตอบ :  เดี๋ยวนี้กฎหมายเขาบังคับแล้ว บังคับว่าแต่ละโรงเรียนจะต้องรับเด็กด้อยโอกาสหรือเด็กพิการกี่คน
*************************

              “การเลี้ยงลูกต้องมีทั้งขนมทั้งไม้เรียว เราจะไปรักไปเมตตาเขาอย่างเดียวไม่ได้หรอก ถ้าเมตตาอย่างเดียว เดี๋ยวจะเหมือนในข่าว ที่ลูกไม่พอใจก็เลยขับรถเบนซ์ไล่ชนคนตายไปสามสี่ศพ..!
              เด็กจะมีจิตสำนึกได้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของพ่อแม่ เพราะพ่อแม่จะเป็นคนที่อบรมสั่งสอนก่อน หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องของครูบาอาารย์ สำคัญตรงพ่อแม่ ส่วนใหญ่จะตัดใจไม่ได้ ไม่กล้าตีลูก
              บางทีอาตมาตีเด็กวัด พ่อแม่เขาก็ดูไปร้องไห้ไป เขาบอกว่าดีแล้วที่หลวงพ่อตี ถ้าผมตีก็ไม่กล้าตีขนาดนั้น แต่ก็แปลก..เราตีเท่าไรเขาก็อยู่กับเรา เพราะเขารู้ว่าที่เขาทำนั้นผิดจริง ๆ
              เราจะมีข้อตกลงกันก่อน ตกลงกันว่า ทำผิดครั้งแรกโดนตี ๑ ที ครั้งที่สองโดนตี ๒ ที ครั้งที่สามโดนตี ๓ ที เพิ่มไปเรื่อย ๆ บางคนโดนเป็นโหล แต่เขาจะไม่ผิดเรื่องเดิม เขาจะไปผิดเรื่องใหม่
              ถ้าเด็กเขารู้ว่าเราหวังดี เขาก็จะรับได้โดยเฉพาะถ้าได้ตกลงกันไว้ก่อนว่า ทำผิดแล้วจะโดนลงโทษ เขาจะรู้ตัวเร็ว อย่างเราบอกเขาว่า จะทำผิดแค่ไหนก็ไม่ว่า ยกเว้น หนึ่ง...ถ้าเราเห็นเอง สอง...มีคนฟ้องแล้วยอมเป็นพยานให้ อย่างนี้จะโดน
              เด็กพวกนี้เขารักกันมากเลย บางทีก็ไปตัดพ้อต่อว่ากัน “ทำไมมึงต้องไปฟ้องหลวงพ่อด้วย” เพราะถ้าอาตมาไม่เห็นเอง และไม่มีคนฟ้องเป็นพยาน ก็จะปล่อย ถือว่าไม่รู้ไม่ชี้ จะทำอะไรเรื่องของเอ็ง แต่ถ้าเห็นเอง หรือมีคนฟ้องเป็นพยานให้ โดนแน่นอน
              บางทีญาติโยมเขาเห็นเด็กขาแตกเป็นแผล ลายไปหมด เขาก็ใส่บาตรไปน้ำตาไหลไป “นี่หลวงพ่อตีเด็กขนาดนั้นเลยหรือ ?” อาตมาก็บอกว่า “ให้เจ็บตัวแล้วจำ ดีกว่าให้เด็กไปเป็นโจร...!”
              เวลาตี อาตมาไม่ได้ตีเขาด้วยความโกรธ บางคนกว่าจะตีครบ ๑๒ ที ก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมง พอตีแล้ว เขาก็ลงไปม้วนกองกับพื้น อาตมาก็สอนไปเรื่อย ๆ หายเจ็บก็ให้ลุกขึ้นมาตีใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ เสียงไม่มีเปลี่ยน อารมณ์ทรงตัวดีมาก เขาก็จะรู้ว่า ที่ตีเขาเพราะเขาผิดจริง ๆ
              มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาไม่อยู่วัด พอกับไปเด็กวัดหายเกลี้ยง ไปถามดูจึงรู้ว่าอาจารย์สมพงษ์ตีเด็ก ท่านตีแค่ ๖ ที แต่ตีในลักษณะระบายอารมณ์ ตอนแรกเขาก็ปล่อยเด็ก ไม่ทำโทษ แต่พอนาน ๆ เข้า เด็กทำผิดบ่อยจนตัวเองอดรนทนไม่ไหว ทีนี้ก็เลยตีระบายอารมณ์ ตีไปด่าไป เด็กเขารับไม่ได้จึงหนีกลับบ้านหมด อาจารย์สมพงษ์ก็แปลกใจ “ผมตีแค่ ๖ ทีเอง พวกเด็กหนีกันหมดเลย หลวงพ่อตีเป็นโหล ก็ยังอยู่กัน”
      ถาม :  ก่อนตีควรตักเตือนเขาไหมคะ ?
      ตอบ :  ต้องมี บอกเขาว่าทำอย่างนี้ทำไม่ถูกนะ ถ้าคราวหน้าทำอีกก็จะโดนตี บอกเขาไปเลย ถ้าทำอีกจะโดนตีกี่ที พอคราวหน้าเขาทำอีกให้บอกก่อนว่า “แม่บอกแล้วใช่ไหมว่า ถ้าทำอย่างนี้จะโดนตี เพราะฉะนั้น...มาให้ตีเสียดี ๆ”
              เด็กสมัยนี้เขาฉลาด เขารู้ว่าจะจัดการพ่อแม่อย่างไร ถึงจะอยู่มือเขา แล้วเด็กจะเรียนรู้เร็วมากเลย มีอย่างเดียวก็คือ ต้องวางใจเป็นอุเบกขาแล้วลงโทษเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไปจะไม่มีใครเอาอยู่
*************************