สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  การบังคับนี่ก็แสดงว่าไม่ได้เข้าไปแทรก ?
      ตอบ :  ไม่ได้เข้าไปแทรก บังคับอยู่ภายนอก โดยส่งพลังจิตที่สูงกว่าบังคับเข้าไป
      ถาม :  เหมือนการสะกดจิต ?
      ตอบ :  ลักษณะเหมือนอย่างกับว่าตัวเราเป็นหุ่นยนต์ แล้วเขาใช้คลื่นวิทยุบังคับเรา
      ถาม :  ใกล้เคียงกับการสะกดจิต ?
      ตอบ :  ก็คล้าย ๆ กันเลย
      ถาม :  แต่ทีนี้ถ้าพูดถึงเรื่องของการแทรกนี่คือเบียดออกไปเลย ?
      ตอบ :  พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มาร้าย ถ้าหากว่ามาร้ายนี่ส่วนใหญ่จะใช้ลักษณะนี้ บางทีมันจะยึดร่างกายของเราเป็นของมันเลย ยึดรถเราเป็นของมันเลย คราวนี้พวกที่ยึดรถของเราเป็นพวกมันนี่ ส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบันนี้ถ้าเรารู้ก็อย่างเช่นพวก “ผีปอบ” มันอยู่ไม่พอ มันยึดเป็นของมันแล้วก็ไม่ดูแล ไม่รักษาไม่อะไร มันเอาแต่อาศัยกินไปวัน ๆ บางทีร่างกายของเรามันพังแล้ว แต่ว่าสามารถทรงอยู่ได้เพราะสภาพจิตของมันแทรกอยู่ บังคับอยู่ พอมันทิ้งปั๊บตัวคนนั้นตายเดี๋ยวนั้นเลย แล้วเน่าเดี๋ยวนั้นเลยก็มี เพราะว่าจริง ๆ แล้วก็คือตายมานาน เพราะจิตของเขาโดนเบียดมานานแล้ว แต่ว่าตัวนี้มันบังคับอยู่แทนอยู่
      ถาม :  ยังสงสัยอยู่นะฮะ คนที่ถูกเบียดออกไปก็คือไม่รู้ตัว ?
      ตอบ :  อันนั้นจริง ๆ ก็แสดงว่าของเขาต้องมีวาระกรรมของเขาอยู่ วาระกรรมที่เคยเนื่องกันมาทำให้ตัวที่มาแทนเขา สามารถที่จะเบียดเขาออกไปได้ ก็หมายความว่าบางทีอุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนของเขา ทำให้เขาต้องตายลงในช่วงนั้นเลย
      ถาม :  กรรมอะไรคะ ถึงทำให้มีในลักษณะนั้น ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วอุปฆาตกรรม จะเกิดจากปานาติบาต ฆ่าสัตว์ใหญ่มาต้องใช้กำลังใจสูงในการกระทำ ฆ่าสัตว์เล็ก ๆ ไม่ต้องใช้กำลังใจมาก ฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ใหญ่มาต้องใช้กำลังใจสูง โทษก็สูงไปด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลารับโทษไปแล้ว ดอกเบี้ยที่ตามมาก็แพงหน่อย ถึงตายเหมือนกัน
      ถาม :  จิตดวงนั้นนี่ ไม่เป็นไปตามวาระกรรมหรอกหรือคะ ?
      ตอบ :  เป็นไปตามวาระ เรื่องของวาระกรรมนี่มีก่อนมีหลัง อันไหนมาถึงก็ให้ผลก่อน คราวนี้ว่า ความดีรออยู่ก็จริง แต่อุปฆาตกรรมเข้ามาถึงก่อนก็ต้องไปตามนี้ก่อน พอคุณพ้นจากตรงนี้แล้ว คุณค่อยไปรับความดีต่อ แต่บังเอิญว่าอันนี้มันแรงไปหน่อยเราก็เลยตายเลย คราวนี้พอตายก็ต้องดูต้นทุนของเราตอนนั้นว่าดีกับชั่วเป็นอย่างไร สภาพจิตของเราตอนนั้นเกาะอะไร ? เราก็ต้องไปหารถคันใหม่ของเรา
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  ถ้าหากว่าหมดอายุ ก็ต้องไปตามทางของเรา ต้องปล่อยให้มันยึดรถไป ไฟแนนซ์ดุ (หัวเราะ) ปัจจุบันนี้ที่เขาทรงหาที่เป็น “ของแท้” หมายความว่าบุคคลที่มาดี มาต้องการช่วยเหลือผู้อื่น มาเพื่อสร้างสมบารมีตัวเอง ของแท้นี่อยากจะกล่าวว่าเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระ น่ะหายากมาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของปลอมที่หลอกอาศัยเบื้องสูงเพื่อหากิน
              คราวนี้วิธีสังเกตง่าย ๆ ถ้าเราไม่ได้ทิพจักขุญาณที่จะพิสูจน์ได้ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ก็ให้สังเกตจากการกระทำของท่าน ถ้าเป็นของแท้ในความหมายที่อาตมาพูดไป คือเป็นเทวดา หรือพรหมหรือพระ อันดับแรกท่านจะไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ อาจจะเป็นดอกไม้ธูปเทียนหรือว่าเงินบูชาครู ๓ บาท ๙ บาท เต็มที่ไม่น่าจะเกิน ๑๐๘ บาท เหล่านี้เป็นต้น จะไม่ซ้ำเติมให้เราเดือดร้อนยิ่งขึ้น
              อันดับต่อไปก็คือว่าท่านจะมาเป็นเวลา คืออาจจะมาเฉพาะวันอังคาร วันเสาร์ หรือวันพฤหัส ฯ อาจจะมาเฉพาะวันพระใหญ่ หรืออาจจะมา ๓ เดือนครั้ง ๖ เดือนครั้ง ปีละครั้ง เป็นต้น เพราะว่างานของท่านก็มี ไม่ใช่ถึงเวลานึกจะมาก็มา อันไหนมาได้ตลอดเวลาคิดไว้ก่อนเลยว่า “ปลอม” อันดับต่อไปอันนี้สำคัญที่สุด ถ้าเป็นของอแท้เรื่องที่ท่านรับปากช่วยจะมีผลตามนั้น ถ้าของปลอมหลอกกินอย่างเดียว
              คราวนี้จำง่าย ๆ ว่า ถ้าป็นของแท้ท่านจะไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา บางคนต้องการแค่ดอกไม้ธูปเทียนในการแสดงออกซึ่งความเคารพ ถ้าเราไม่มีท่านก็ใช้ลูกศิษย์ของท่านจัดให้เราซะด้วยซ้ำไป อันดับที่ ๒ ก็คือว่าท่านจะมาเป็นเวลามีวาระจำเพาะของท่าน อันดับสุดท้ายก็คือเรื่องที่ท่านรับปากแล้วจะมีผลตามนั้น อันนี้พิสูจน์ง่าย ๆ สำหรับคนที่ไม่ได้ทิพจักขุญาณแล้วไปพิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร
      ถาม :  มีเรื่องไม่สบายใจจะสอบถาม ก็คือคุณพ่อผมเพิ่งจะเสียชีวิต เคยได้ยินคนพูด พอดีมาเสียที่โรงพยาบาล ไม่สบายใจที่บอกว่าถ้าเกิดมีคนเสียที่โรงพยาบาลนี่เขาจะหาทางออกไม่ได้ ?
      ตอบ :  ไม่จริงจ้ะ ไม่จริง
      ถาม :  ซึ่งก็เป็นไปตามบุญกรรม ?
      ตอบ :  เป็นไปตามบุญตามกรรมของเขา แต่ส่วนใหญ่คนที่ตายพอจิตออกจากร่างใหม่ ๆ นี่ ยังไม่รู้ตัวว่าตาย มักจะกลับบ้านก่อน ที่บอกว่าหาทางออกไม่ได้ ไม่ใช่หรอกจ้ะ
      ถาม :  แล้วพิธีที่คนจีนเขาถือ พอดีผมมีแผนจะแต่งงาน ?
      ตอบ :  ทำตามไป ไม่ขัดคอเขาจะสบายเอง ถ้าขัดคอเขาเดี๋ยวเป็นเรื่องทะเลาะกัน
      ถาม :  คือเขามองว่าเหมือนกันไม่ดีต้อง ๓ ปี
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก รอก็รอ แต่เราอยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ ก่อน (หัวเราะ) ไม่ว่ากัน
      ถาม :  คือจริง ๆ ที่บ้านผมไม่ได้ถือมาก หมายความว่าจริง ๆ มันเหมือนเป็นแค่ธรรมเนียม ใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  มันก็แค่ธรรมเนียมเท่านั้นเอง คือสมัยก่อนเขาอยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นกฎตายตัวเลยว่าลูกหลานต้องกตัญญูต่อบุพพการีโดยเฉพาะพ่อแม่ของเรา คราวนี้ว่าเขาให้ไว้ทุกข์ถึง ๓ ปี ถ้าหากว่าช่วงนี้เราไปจัดงานมงคลอื่นซึ่งเป็นงานรื่นเริงหรือว่างานในลักษณะเฉพาะตัวของเราเองเพื่อประโยชน์ตัวของเราเอง เขาถือว่าไม่ให้ความเคารพบรรพบุรุษ คราวนี้ถ้าเราไม่ได้ถือตรงจุดนั้น เราจะทำอะไรก็ทำไป ๓ ปีรอไหวมั้ย ? ลูกแก่พอดี (หัวเราะ)
      ถาม :  ผมก็เคารพอยู่แล้ว
      ตอบ :  ถ้าหากว่าญาติผู้ใหญ่ของเขา เขายังเห็นตรงจุดนี้เป็นเรื่องสำคัญเราก็คล้อยตามเขานะ แต่งงานมันเป็นแค่พิธีเท่านั้น สำคัญตรงคนอยู่ร่วมกันต่างหากล่ะ แต่งถูกพิธีตีกันบ้านแตกมาเยอะแล้วจ้ะ
      ถาม :  บวงสรวงทำไมเสาร์ห้า ?
      ตอบวันเสาร์ห้า ตามสายครูบาอาจารย์ท่านถือเป็นวันไหว้ครูประจำสายของเรา พิธีบวงสรวงก็คือว่า เหมือนกับรำลึกถึงครูบาอาจารย์ ที่มีเมตตากรุณา สั่งสอนพวกเราสืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ลักษณะของงานบวงสรวงที่ทำก็ไหว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาเลย เพราะพระพุทธเจ้าต้องเป็นครูใหญ่อยู่แล้ว
      ถาม :  ทำไมต้องใช้เสาร์ห้านี้คืออะไร ?
      ตอบ :  คือวันเสาร์ขึ้นห้าค่ำ ถ้าได้เดือนห้ายิ่งดี ถ้าไม่ได้เดือนห้าเดือนไหนก็ได้แต่ต้องเป็นข้างขึ้นคือ ตามสายครูบาอาจารย์เขากำหนดมาอย่างนั้น
      ถาม :  ไม่มีเหตุผลเลยเหรอคะ ?
      ตอบ :  มีซิจ๊ะ แต่ว่าเหตุผลนี้ยิ่งยอมรับยากใหญ่ อย่างเช่น วันเสาร์ห้านี้เป็นวันแข็งวันที่กำลังสูงอยู่ ถ้าทำอะไรผลประโยชน์ก็จะได้มาก
      ถาม :  ใช่ ๆ คือคนนี่ชอบบอกแต่ว่ากำลังสูง วันแข็ง คำว่า “กำลังสูง” คำว่า “วันแข็ง” นี่จริง ๆ แล้ว หมายถึงอย่างไร ?
      ตอบ :  อยู่กับช่วงระยะ จังหวะ เวลา ของการโคจรของดวงดาวเรา ต้องยอมรับว่าโลกของเรามีพลังงาน ดวงดาวทุกดวงมีพลังงานของมันอยู่ จังหวะนั้นวาระนั้นเวลานั้น พลังงานจะหมุนเสริมกันมาสูงกว่า จังหวะอื่น มันเหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลง มันขึ้นมันก็ขึ้นเป็นปกติ แต่วันนั้นมันจะขึ้นที่สูงที่สุด อย่างนี้เป็นต้น คราวนี้โบราณาจารย์ที่ท่านมีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์หรือว่าดาราศาสตร์ การโคจรของดวงดาวต่าง ๆ ท่านจับเคล็ดตรงนี้ได้ ท่านก็เอาวันอย่างนี้มาเพื่อประยุกต์ใช้งานไป ไม่แจ่มแจ้งประท้วงได้นะ (หัวเราะ)
      ถาม :  กำลังสงสัยว่าถ้าเกิดพลังงานที่มันได้มาสูงในที่นี้นี่ แล้วเรามีความจำเป็นอะไรจะต้องไปข้องเกี่ยวด้วย ?
      ตอบ :  ในลักษณะของการข้องเกี่ยว คือว่าวันเสาร์ห้าจริง ๆ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ว่าเราทำเพื่อสงเคราะห์คนอื่นด้วย อย่างเช่นว่า คณะศิษย์ที่เขาต้องการที่จะให้การช่วยเหลือบางส่วนที่เขายังขาดอยู่ ถ้าหากมันไม่มากจนเกินไป อย่างเช่นว่า น้ำแก้วหนึ่งมีแค่นี้ ถ้ามันขาดอยู่แค่นี้ ถ้าอาศัยตรงจุดนั้นอาจจะเติมเต็มพอดี สิ่งที่เขาตั้งความปรารถนาไว้ก็จะสำเร็จตามนั้น แต่ถ้าหากว่ามันขาดมาก ๆ ก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน
      ถาม :  เรื่องพูดอย่างนี้ค่อนข้างจะไม่ค่อยเชื่อนะคะ ตรงที่บอกว่าถ้าเราตั้งปรารถนาแล้วเรามาได้ร่วม พิธีตรงนี้นี่จะส่งผลให้เราสมปรารถนา ?
      ตอบ :  อันนี้เราแค่มาดูในลักษณะของบุคคลทั่ว ๆ ไปแล้วกัน อย่างเช่นว่า เราอยู่ในตำแหน่งใหญ่ที่ให้คุณให้โทษคนได้ เราจัดงานขึ้นมาแล้ว บริวารเขามา..พูดง่าย ๆ มาโชว์ตัวให้เราเห็น โดยปกติทั่ว ๆ ไปก็ย่อมพอใจว่าเขายังมางานของเรา มันก็จะเกิดความเมตตามากว่าคนอื่่นเขาขึ้น นี่พูดถึงกำลังใจคนทั่ว ๆ ไปนะ ที่ยังประกอบด้วยอคติเต็มที่เลย
              ขณะเดียวกันคนที่ไม่มา เอ๊ะ....นี่มันไม่เห็นหัวกูนี่หว่า ก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าถึงเวลาถึงวาระที่จะต้องพิจารณาความดีความชอบหรือต้องช่วยเหลือใคร ก็จะช่วยเหลือคนที่เราเห็นหน้ามากกว่า นี่เปรียบเทียบง่าย ๆ อย่างหยาบ ๆ เลย แต่ว่าอันโน้นของเขามันลึกกว่าเยอะจ้ะ
      ถาม :  ที่เขาว่า ฟังดูแล้วมันจะขัดกับหลักของกรรม ใช่มั้ยคะ ?
      ตอบมันไม่ใช่ขัดกับหลักของกรรม จริง ๆ แล้วมันตรงไปตรงมา เพราะว่าบุคคลที่เขามาร่วมพิธี เขาต้องทำกรรมดีมาหรือว่าได้มีส่วนอันนั้นมาร่วมกัน เขาถึงได้มาในพิธีนั้น คนอื่นที่นอกสายไปที่เขาไม่เลื่อมใสในตรงจุดนั้นเขาก็ไม่ได้มาร่วมกัน มันไม่ได้ขัดหรอก มันไปด้วยกันเลยแหละ แต่เพียงแต่ว่าของเราเองลืมมองไป
      ถาม :  คือฟังคำอธิบายขัดกับเรื่องของกรรม ก็เหมือนกับช่วยเหลือเกื้อกูล ?
      ตอบ :  มันมีอยู่ แต่ว่าลักษณะการช่วยเหลือบอกแล้วต้องขาดน้อย แล้วลักษณะที่ต้องการช่วยนี่ มันก็เหมือนกับว่าเปิดโอกาสให้คนทุกคนได้ แต่ว่าถ้าหากว่าคนนั้นวาระบุญวาระกรรมของเขาไม่ได้ถึงตรงจุดนั้นเขาก็ไม่ได้มาร่วมกัน
      ถาม :  ฟังดูเหมือนเกี่ยวเนื่องของการยึดบารมีพระเข้ามาช่วยเหลือ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วคือใช้ตัวเอง คนที่มาร่วมพิธีเขาจะต้องมีการภาวนาในลักษณะนั้น ทำกำลังใจในลักษณะนั้น ในเมื่อการภาวนาลักษณะนั้น ทำกำลังใจลักษณะนั้น ก็คือการเติมส่วนที่ขาดให้กับตัวเองนั่นเอง ถ้าหากเราอยู่ที่บ้านบอกให้เขาทำสิ่งแวดล้อมมันไม่ชวนให้ทำ
              แต่ถ้ามาอยู่ร่วมในพิธีกรรม ซึ่งเขารู้สึกว่ามันขลัง มันศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อมั่นของเขากำลังใจของเขายึดโยงได้ง่าย เขาก็จะทำได้ทำได้ดีด้วย จริง ๆ ก็คือตัวของเขาเอง เพียงแต่ว่าพิธีกรรมนั้นเป็นแต่เครื่องโยงเท่านั้นเอง เขาทำของเขาเอง จะไปตะโกนเรียกร้องให้ใครเขาช่วยก็ไม่ได้หรอก นอกจากการแนะนำเฉย ๆ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้า ท่านบอกแล้วว่าท่านมีหน้าที่แนะเท่านั้น จะทำหรือไม่ทำอยู่ที่ตัวเรา