ถาม :  ถ้าเกิดมีรูปจิ๊กซอเป็นรูปพระค่ะ โรยกากเพชรเอาไว้ แล้วฝุ่นมันจับแล้วทำความสะอาดเอาไปล้างน้ำ มันหักน่ะค่ะ จะเอาไปใส่กรอบแล้วกาวมันหลุดน่ะค่ะ ?
      ตอบ :  อันเดียวกัน อันนั้นเจตนาดีก็ไปซื้อกาวมาซะขวดละ ๒๐ บาท
      ถาม :  ติดเสร็จแล้วใส่กรอบแล้วล่ะค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ อันนั้นเจตนาดีเหมือนกัน จะทำความสะอาดพระ แต่ไม่รู้ว่ากาวมันจะละลาย
      ถาม :  แล้วไปเจียรฐานพระเป็นอะไรมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ฐานพระ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ตกแต่งในลักษณะที่เราจะให้สวยงามใช่มั้ย อันนั้นได้บุญด้วย ต่อไปถ้าเกิดมาจะสเลนเดอร์กว่านี้จ้า (ห้วเราะ)........
      ถาม :  เอาพระไปไว้ในตู้เสื้อผ้าบาปหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  แล้วทำไมต้องไปไว้ในตู้เสื้อผ้าล่ะ หาที่ ๆ เหมาะสมกว่านั้นสิ
      ถาม :  เขาบอกว่ากลัวพระหาย
      ตอบ :  ถ้าหากว่าในลักษณะนั้นถือว่าพอให้อภัยได้ แต่อย่าเอาไปไว้ใต้เสื้อผ้า ยังไง ๆ ก็เอาไว้ในที่ ๆ สูงหน่อย
      ถาม :  ผ่านไปในหลาย ๆ ที่ค่ะ เห็นมีต้นไทรใหญ่ ๆ แล้วเขาก็เอาพระพุทธรูปที่หักเสียหาย ศาลที่เก่าที่เสียหาย ตุ๊กตาเสียกบาลเหล่านี้ค่ะ ไปวางกองกันไว้เต็มไปหมดเลยค่ะ ไม่ทราบว่าเขาทำผิดมั้ยในลักษณะอย่างนี้ค่ะ ?
      ตอบ :  โบราณเขาเรียกว่า “จำเริญ” ก็คือเอาสิ่งที่ไม่ดีนันไปไว้ในที่อื่น เขานิยมเผาไฟ ลอยน้ำ หรือเอาไว้โคนต้นไม้ใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นอย่างอื่นก็คงไม่กระไรนัก แต่ว่าในเรื่องของพระพุทธรูปน่าจะเก็บรวมรวมไว้ แล้ววัดไหนที่เขาสร้างพระฐานใหญ่ก็รวมรวมบรรจุไว้ให้หมด
      ถาม :  เก็บรวบรวมเอาไว้ ?
      ตอบ :  จ้ะ เก็บรวมรวมเอาไว้ จริง ๆ แล้วเขาไปกลัวที่ว่ามันแตกมันหักเป็นลางอะไร ไม่ต้องกลัวหรอก ซ่อมให้ดี เบญจกัลยาณีรออยู่แล้ว (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วอย่างที่บิดเบี้ยวเป็นรูปพระอย่างนี้ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เจตนาสร้างอย่างบริสุทธิ์ แต่กรรมวิธีการเผาการปั๊มอาจจะผิดพลาดไปนิดหน่อย
      ถาม :  พระที่ชำรุดที่เทวดายังอยู่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  อยู่จ้ะ
      ถาม :  แล้วเอาไปไว้ในองค์ใหญ่อีกรอบนี่ ?
      ตอบ :  ยิ่งมากขึ้น
      ถาม :  มีหลายคนที่นั่งสมาธิแล้วจิตฟุ้งซ่านนี่ เขาฝากมาถามว่าพอจะมีอุปกรณ์ช่วยเหลือให้จิตหายฟุ้งซ่านบ้างมั้ยคะ ?
      ตอบ :  เชือกจ้า ขนาดพอรับน้ำหนักตัวได้ แขวนคอมันซะเลย หายฟุ้งซ่าน เรื่องจะหายฟุ้งซ่านนี่ต้องจับอานาปานสติอย่างเดียว ถ้าหากว่าจิตทรงเป็นสมาธิเมื่อไหร่หายฟุ้งซ่านเมื่อนั้น แล้วคอยระมัดระวังไว้อย่าให้มันคลายจากสมาธิ ถ้าสมาธิคลายตัวเมื่อไหร่มันจะวิ่งหาความฟุ้งซ่านทันที
      ถาม :  แล้วอย่างถ้านั่งแล้วง่วง หลับจะแก้อย่างไรดีคะ ?
      ตอบ :  จะแก้ยังไง ? ง่วงก็เปลี่ยนอริยาบถ ล้างหน้าไม่ก็เดินไปเดินมา
      ถาม :  ถ้าสมมติเราจะนั่งสมาธิตอนก่อนนอนนี่ ?
      ตอบ :  ถ้าก่อนนอนนี่ส่วนใหญ่จะหลับ เพราะว่าเราเพลียมาตลอดทั้งวันแล้ว เวลานอนนี่ใช้วิธีง่าย ๆ เอานอนหงายผึ่งไปเลย ตั้งใจว่าตอนนี้เรานอนลงร่างกายเราเหมือนกับคนตายแล้ว มันจะตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าตายตอนนี้เอาจิตเกาะนิพพาน ภาวนาหลับไปเลย พอมันนอนเต็มที่แล้วตอนเช้าค่อยมาว่ากันอย่างเป็นทางการ ตอนหัวค่ำนี่แย่ทุกรายยกเว้นตอนบ่ายนอนเต็มที่แล้ว
      ถาม :  คำภาวนาที่จะใช้นี่ ไม่ทราบว่าจะใช้คำภาวนาอะไรคะ ?
      ตอบ เอาที่เราชำนาญ ถ้าเราภาวนาเคยทำอันไหนมาจนชินก็ใช้อันนั้น ยกเว้นว่ากรรมฐานตามกองก็เปลี่ยนคำภาวนาตามกองกรรมฐาน ถ้าหากว่าไม่ได้ทำกรรมฐานตามกอง ตามที่เราเคยชินมันก็จะง่ายแล้วก็เร็ว ถ้าเราไม่ชินก็จะสะดุด ปรับคำภาวนาได้ว่าไม่ลงล็อคซะทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นเลือกอันที่เราเคยชินและชำนาญ
      ถาม :  แล้วมีให้เลือกเยอะทำยังไงดีคะ ?
      ตอบ :  เอาอันที่ชอบที่สุด
      ถาม :  อันนี้อาจจะมีคนใสนใจเจ้าค่ะ อุปกรณ์ช่วยวิธีชะลอความชราแล้วก็ช่วยให้ร่างกายปราศจากโรคทำยังไงคะ มันพอจะมียา.........?
      ตอบ :  โอ้โห..........มันจะฝืนกฎของกรรมทั้งนั้นเลย ชะลอความชรานี่มียาสมุนไพรหลายตัว อย่างเช่น ขมิ้นชันกับหญ้าแพรก ใช้ขมิ้นชันขนาดเท่าหัวแม่มือหญ้าแพรกกำมือหนึ่ง เลือกไอ้ที่ไม่เปื้อนขี้หมานะ หมามันชอบขี้จริง ๆ หญ้าแพรกนี่ ตำรวมกันให้ละเอียดแล้วก็คั้นให้ได้ ๑ ถ้วยชาคือประมาณ ๓๐ ซีซี กินเดือนละครั้งชะลอความแก่ได้ หรือไม่ก็สมัยก่อนที่ทางวัดท่าซุงทำอยู่ เขาเรียกยาพระประทานมั้ง ? อันนั้นก็ชะลอความแก่ได้
              อีกตัวหนึ่งก็ยาเก้าร้อย อันนี้ชะลอความแก่ได้ก็จริงแต่ผิวจะดำ เพราะเป็นยาร้อนมากเกิดจากส่วนผสมของหัวแห้วหมูนา ๓๐๐ หัวกระเทียม ๓๐๐ กลีบ แล้วพริกไทย ๓๐๐ เม็ด รวมแล้ว ๙๐๐ ถ้วนพอดี ร้อนตับแลบเลยล่ะ
              เพราะฉะนั้นกินยาตัวนี้มันมีผลข้างเคียง ๒ ประการ ประการแรกคือ ผิวจะคล้ำขึ้น ประการที่ ๒ ผู้หญิงไม่ทราบ แต่ผู้ชายกินแล้วคึกมาก มันชะลอความแก่ได้อีตรงคึกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
      ถาม :  ยาชะลอความแก่นี่มันชะลอให้รูปร่างไม่แก่แล้ว........?
      ตอบ :  มันไม่ใช่ไม่แก่ มันแก่ช้า ตำราเขาบอกว่าให้ถ่ายรูปไว้ก่อนกิน เดี๋ยวไม่ใช่อย่างที่คิด (หัวเราะ) ถ่ายรูปไว้ก่อนกินครบกำหนดอาจจะ ๓ เดือน ๖ เดือนหรือ ๑ ปี ตามที่เขากำหนดแล้วถ่ายรูปไปเปรียบเทียบกันใหม่ ดีไม่ดีไอ้ของเก่ามันอาจจะแก่กว่า
      ถาม :  แล้วความแข็งแรงอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  สภาพของมันก็คนแก่ดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ร่างกายมันเสื่อมโทรมช้า ทีนี้มันจะประเภทแก่ในแล้วมันไม่แก่นอก
      ถาม :  มันแก่ข้างใน แต่ข้างนอกดูดี
      ตอบ :  จ้า....ข้างนอกดูดี เพราะฉะนั้นตายแล้วศพสวยหน่อย
      ถาม :  ทีนี้อยากชะลอความแก่ ก็จะมาช่วยในเรื่องการทำงานน่ะค่ะ ทำยังไงให้สามารถมีแรงแล้วไม่เหน่อยหรือว่าถ้าเหนื่อยแล้วนี่.....?
      ตอบ :  เดี๋ยวนี้ยาม้าเม็ดละเท่าไหร่.....(หัวเราะ).......อันนี้ถามเล่น ๆ นะ ถ้าหากว่าเราทรงสมาธิได้อยู่การทำงานของเรามันจะไม่เหนื่อยมันไปได้เรื่อย ๆ เหมือนกันแต่พอสมาธิคลายตัว บางทีหลวงพ่อท่านแผ่สี่สลึงเลย คือพอรู้ตัวก็หมดเกลี้ยงเลย อย่างอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ ๗ โมงเช้าถึง ๓ ทุ่มทุกวัน คนอื่นนั่งไม่ได้หรอก แต่พอหลัง ๓ ทุ่มโยมอาจจะไม่เคยเห็น หงายลงก็ป๊อกเลย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะทำงานไม่รู้จักเหนื่อยก็ต้องทรงสมาธิให้คล่องตัว ไม่ว่าอยู่ในอริยาบถไหนของเรา ต้องเข้าสมาธิได้ ถ้าอย่างนั้นจะช่วยได้มากเลย
      ถาม :  พระพุทธศาสนาของเราทำไมวันสำคัญของเรานี่ ส่วนใหญ่จะเป็นวันเพ็ญคะ ?
      ตอบ :  เราต้องยอมรับว่าโลกของเราก็ดี ดวงดาวอื่น ๆ ก็ดี มันมีพลังงานของเขาอยู่ พลังงานเหล่านี้จะเกื้อหนุนกันอยู่ตลอดเวลามีอิทธิพลต่อตัวบุคคลทั้งสิ้น อย่างเช่นว่าแค่ดวงจันทร์ดวงเดียวก็ทำให้น้ำขึ้นน้ำลงได้แล้ว ลักษณะของผู้หญิงที่มีรอบเดือนก็อยู่ในรอบการโคจรของดวงจันทร์พอดี
              คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อมีอิทธิพลอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมที่พลังงานเหล่านี้เกื้อหนุนกันพอดี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงคือคืนวันเพ็ญ เมื่อถึงวาระนั้นบางทีเรื่องสำคัญต่าง ๆ อะไรที่มันดีมันงามก็จะเกิดขึ้นช่วงนั้น แต่ถ้าของฝรั่งอะไรนะมนุษย์หมาป่าใช่มั้ย ? เจอดวงจันทร์แล้วหอนเลย
      ถาม :  แล้วก็สงสัยต่อว่า เพราะว่าเวลาช่วงวันพระเทวดาเขาจะไปฟังพระพุทธองค์ท่านเทศนา ทีนี้ถ้ามีการทำพิธีเชิญในช่วงนั้น ........?
      ตอบ :  เชิญได้จ้ะ เชิญได้ การทำพิธีบวงสรวงเชิญเทวดา จำให้ให้แม่น ๆ อย่าให้สาย เรียกว่าไม่ควรเกิน ๙ โมงเช้า เพราะว่าหลังจากนั้นท่านจะเข้าเทวสภา ถ้าไม่ใช่ประชุมกันก็จะต้องไปฟังพระเทศน์เพราะฉะนั้นถ้าต้องการจทำการบวงสรวงให้ได้ผลดีก็ควรจะบวงสรวงเช้า และก็ไม่ควรจะเกิน ๙ โมงหรือ ๙ โมงครึ่ง ไม่อย่างนั้นท่านติดธุระมาไม่ได้
      ถาม :  ถ้าไม่สายนี่กลางคืนเลยได้มั้ยคะ ?
      ตอบ :  กลายคืนเลยก็ได้ไม่ว่ากัน แต่ว่าอาตมาไม่ค่อยนิยมเพราะว่าเวลากลางคืนกับเวลาตอนเย็นมันคล้ายกันอย่างหนึ่งคือผีเยอะ มันเวลาของเขา ในเมื่อเวลาของเขาบางทีทำพิธีกรรมอะไรถ้าหากว่าเกิดมีช่องว่างรอยโหว่เขาจะแทรกเข้าง่าย ๆ ดีไม่ดีพิธีล้มไปเลย อยู่ ๆ ทำพิธีมีใครสักคนหนึ่งกรี๊ดลุกขึ้นมาเต้นแร๊พขึ้นมาเฉย ๆ
      ถาม :  แต่เวลาบนสวรรค์นี่มันก็ไม่เหมือนกับเวลาของเรานี่ครับ ?
      ตอบ :  มันก็ไม่เหมือนกันแต่ว่ามันก็อิงกันอยู่ เพราะฉะนั้นเวลาของเรากับข้างบนนี่จริง ๆ ถ้าหากว่าท่านที่ประสงค์ความดีก็แทบจะได้อยู่กับความดีตลอด สังเกตมั้ย ? พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ไม่กี่ประโยค เทศน์นานไม่ได้หรอกเดี๋ยวเลยวันพระ
      ถาม :  อย่างนี้เข้าเทวสภานี่ก็พบ.....?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ว่าในความเป็นทิพย์ของท่าน ๆ ทำได้เวลามันเหลือเฟือ แต่เวลาของเรานี่ประเภท ๓ ก้าวไม่รู้จะถึงหรือเปล่า
      ถาม :  ถ้าในช่วงวันพระที่เราทำบุญกัน ช่วงนี้การทำบุญให้กับพวกสัตว์นรกที่อยู่ข้างล่างนี่เขาจะเปิดให้กับพวกเขารับบุญกุศลหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ ถึงเขาเปิดก็รับไม่ได้ เนื่องจากว่าท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่ ๆ ลำบาก คือสัตว์นรกทุกขุม เปรตอีก ๑๑ จำพวกนั้น มันเหมือนกับคนที่กำลังโดนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันอยู่ ไปส่งขนมให้เขากินเขารับไม่ได้หรอก โทษของเขาหนักมาก
              แต่ว่าที่เราทำไปนั้นจะมีผู้ที่เต็มใจจะมาโมทนาก็คือปรทัตตูปชีวีเปรต คือเปรตที่กรรมเหลือน้อยแล้ว หรือว่าอสุรกาย ๔ จำพวก สัตว์เดรัจฉานหรือสัมภเวสีผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย เทวดา พรหมตลอดจนพระบนนิพพาน ถ้าหากต่ำกว่าเปรตจำพวกที่ ๑๒ แล้วรับไม่ได้ ทำให้เขาได้แต่ว่าเขารับไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเองได้ก่อน
      ถาม :  ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมีการบรรจุอัฐิไปตามประติมากรรมตามเสาหรือตามเจดีย์กับการที่เราเอาอัฐิเหล่านั้นไปลอยอังคาร ไม่ทราบว่าผลที่ได้จากการทำบุญนี้มีผลแตกต่างกันยังไงบ้างคะ ?
      ตอบถ้าหากว่าคนตายหรือว่าผู้ตายนั้นเขายังยึดมั่นอยู่ ชิ้นส่วนของเขามันเหลืออยู่ตรงไหนเขาก็จะยังวนเวียนอยู่ตรงนั้น แต่ว่าถ้าหากเขาไม่ยึดมันก็เป็นอันว่าเหมือนกัน ผลเหมือนกันก็คือว่าคุณจะเอาไว้ตรงไหนคุณจะลอยไปไหนก็ช่าง แต่ถ้าเขายึดนี่ที่บรรจุเอาบางทีเขาก็ยังยืนเฝ้าอยู่ (หัวเราะ) ถึงเวลาไปไหว้ถ้าเขาจะสะกิดหลังก็สะดุ้งแล้ว
      ถาม :  การทำสมาธิต้องจำกัด สถานที่ เวลา อิริยาบถมั้ยคะ ?
      ตอบ :  เอาทีละอย่างนะจ๊ะ สถานที่ ถ้าหากว่าคนใหม่แล้วจำเป็นต้องใช้ที่สงัดก่อน ยกเว้นว่าทรงฌานได้มีความคล่องตัวแล้วที่ไหนก็ทำได้ ส่วนระยะเวลาเอาตอนที่เราว่าง โดยเฉพาะตอนที่ร่างกายมันสดชื่นอยู่ อย่างเช่น ช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ เราพักผ่อนมาพอแล้ว สมาธิจะทรงตัวได้ง่าย อริยาบถยืน เดิน นั่ง นอนท่าไหนก็ได้ อาตมาเคยตีลังกาทำ ๆ ได้หมด คืออยากจะรู้ว่ามันทรงได้มั้ย ?
              แต่ว่าเรื่องของอริยาบถนี้เรายังไม่เคยชินนั่งไปก่อน ถ้าไปใช้อริยาบถอื่นจะลำบาก อย่างเช่นว่า นอน การนอนภาวนาถ้าสติขาดเมื่อไหร่มันหลับเลยนะ ต้องซ้อมกันอย่างขนานใหญ่เลยทีเดียวกว่ามันจะไม่หลับได้
      ถาม :  การบวชนั้นมีความสำคัญ จำเป็นหรือไม่อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ถ้าสำหรับเราแล้วไม่จำเป็น แต่ถ้าสำหรับคนที่รอแล้วมีค่ามหาศาลเลย เพราะว่าสิ่งที่เราทำนั้นบุญเป็นของเราเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนการกรวดน้ำก็คือการแผ่ส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่นโดยเฉพาะบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่ท่านลำบากอยู่ท่านจะรอรับอยู่
              เพราะฉะนั้นเราทำเมื่อไหร่ ถ้าสามารถเป็นไปได้ก็รีบกรวดน้ำเสีย การกรวดน้ำของเราไม่จำเป็นต้องเอาน้ำรดมือ แค่เราตั้งใจว่าผลบุญที่เราทำนี่ขออุทิศให้กับใคร ขอให้บุคคลผู้นั้นมาโมทนา เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เขามารับด้วย
      ถาม :  ต้องจำกัดเวลามั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่มี จะก่อนเพลหลังเพล ทำไปแล้วหลายวันหรือทำไปแล้วเป็นปีก็ได้
      ถาม :  อย่างกรวดน้ำนี่ก็นึกเอาเหรอคะ ?
      ตอบ :  นึกเอา ไปรษณีย์เมืองนรกเขาเก่ง นึกถึงใครเขาก็ส่งให้คนนั้น
      ถาม :  แล้วถ้าเรานึกซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเหมือนกับว่าพอนึกขึ้นได้ว่าจะทำ อยากให้อีก
      ตอบ :  ให้ไปได้เลยจ้า โดยเฉพาะสตางค์ ให้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อาตมาเต็มใจรับ ความดีก็เหมือนกันซ้ำเขาเต็มใจรับ
      ถาม :  การกรวดน้ำค่ะ บางคนสวดบาลีไม่ได้ ?
      ตอบ :  บาลีนั่นพาเละมาเยอะแล้ว ใช้ภาษาไทยอย่างที่บอกเมื่อครู่ง่ายที่สุดอย่างบทอะไรนะ สมมติว่าผีมันมาขอตรงหน้า เราก็อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้ อุปัชฌายา คุณุตรา ถึงแก่อุปัชฌาย์ผู้มีคุณยิ่งของข้าพเจ้า อาจาริยูปการาจะ ให้กับอาจารย์ผู้มีอุปการคุณ มาตาปิตา จญาตกา ให้แก่บิดามารดาและญาติทั้งหลาย เจ้านั่นไม่ญาติก็เดี้ยงไป บาลีนะ ถ้าแปลออกมานี่บางทีความหมายมันไกลจ้ะ มันไม่ตรงจุดเสียทีหนึ่ง
      ถาม :  ก็พูดไปเลยใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  พูดไปเลย ภาษาไทยง่าย ๆ ถ้าหากว่าพูดยากนักก็นึกซะว่าบุญทั้งหมดที่เราทำมาขอให้เธอผู้นั้นเห็นหน้านึกถึงหน้าเขา ถ้าไม่เห็นหน้าได้ยินแต่เสียงก็นึกถึงเจ้าของเสียงนั้น ไม่ได้ยินเสียง ได้กลิ่นก็ให้นึกถึงเจ้าของกลิ่นนั้น ขอให้เขาโมทนา เขาจะได้เลย
      ถาม :  แล้วถ้ากำลังของเราไม่ถึงล่ะครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นยากหน่อย แต่ถ้าเขามาแสดงว่ากำลังเขาพอ
      ถาม :  คือเราก็ไม่รู้ว่า เขามาหรือไม่มา เราก็ไม่รู้ว่าเขาได้หรือไม่ได้ ?
      ตอบ :  อันนั้นก็เหวี่ยงแหไปเถอะ รับรองได้ว่ามีแต่คนเต็มใจรับ อยู่ ๆ ไปยืนโปรยเงินต่อให้คนไม่รู้มันก็เก็บ
      ถาม :  แต่ว่าผลก็มีใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  มีเต็มที่เลย อันดับแรกของเรา ตัวบารมีได้แน่นอนเลย โดยเฉพาะเมตตาบารมี
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้พอทำบุญลืมกรวดน้ำแล้วขับรถไปขับรถมา มาอยู่กลางป่าช้า นี่เขาดึงตัวไปหรือคะ ?
      ตอบ :  มีส่วน อันนั้นแสดงว่ากำลังเขาสูงมาก ผลบุญที่เราทำก็เป็นบุญใหญ่ เขาต้องการก็เลยใช้วิธีประเภทที่ว่าเชิญมาโดยไม่บอก จริง ๆ เราขับไปเราก็เห็นเป็นทางโล่ง ๆ แต่ไปรู้ตัวอีกทีอยู่ในป่าช้า