“พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ เกิดขึ้นได้เพราะขบวนการก่อการร้ายที่มีหลวงตาวัชรชัยเป็นหัวหน้า ตอนช่วงนั้นหลวงตาวัชรชัยท่านเป็นพระพี่เลี้ยง คอยดูแลพระใหม่ ถ้าอาตมาจำไม่ผิด ตอนนั้นตัวเองได้พรรษาที่ ๒-๓ ส่วนท่านอาจารย์สมปองเพิ่งบวชเข้ามา
ปรึกษากันว่า สมัยหลวงพ่อเคยจัดงานนิมนต์พระสุปฏิปันโนให้ลูก ๆ ได้ทำบุญ ในเมื่อพ่อทำตัวอย่างไว้แล้ว พวกเราน่าจะทำกันบ้าง แต่ไหน ๆ ก็จะทำแล้ว เราควรจะหาทุนก้อนหนึ่ง ถวายให้หลวงพ่อเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระท่านบ้าง
พอมาคิดพิจารณาดูแล้ว ในเรื่องของการก่อสร้างท่านมีไม่ขาด เพราะพระและเทวดาท่านสงเคราะห์กันเป็นปกติ เราก็ควรที่จะเอาในเรื่องของกองทุนภัตตาหารพระ เพราะวัดท่าซุงขยายใหญ่ไปเรื่อย จำนวนพระเณรจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราหาเงินก้อนนี้มาได้ ก็ถวายท่านฝากธนาคารในชื่อกองทุนภัตตาหารพระ พอนานไปดอกผลมีมาก ก็เบิกเอามาใช้ในการเลี้ยงภัตตาหารพระเณรในงานต่าง ๆ ด้
คิดว่าวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ สร้างวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง แล้วนิมนต์พระสุปฏิปันโนมาพุทธาภิเษกเป็นการเฉพาะ และจะได้กราบขอให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญแก่ลูกหลานของหลวงพ่อด้วย ตอนนี้คิดรายชื่อกันเป็นการใหญ่ว่าจะนิมนต์ใครบ้าง
ส่วนในเรื่องวัตถุมงคล หลวงตาก็ปรารภเรื่องที่แม่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เคยบอกว่า พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้ากันมาก อย่างไรเสียก็ช่วยทำรูปท่านให้ปรากฎขึ้นในโลกนี้เพื่อเป็นที่บูชาให้ได้ จึงตกลงกันว่าจะหล่อองค์ท่านด้วยเงินแท้ จะหล่อทองคำก็ไม่ไหว เพราะหน้าตักท่านใหญ่ประมาณ ๓๐ นิ้ว
พวกเราช่วยกันร่างแบบขึ้นมา เหล่าบรรดามโนมยิทธิตาดีต่างก็มาสุมหัวรวมกัน สรุปว่าหน้าตาท่านเป็นแบบไหน แล้วก็ร่างแบบออกมาเป็นแบบนี้ หลังจากนั้น คณะทำงานก็นำทีมเข้าไปกราบหลวงพ่อ ขออนุญาตสร้างโดยบอกว่าจะทำอะไรกันบ้าง
หลวงพ่อเมตตาอนุมัติและติติงแก้ไขแบบ เพราะพวกเราสร้างท่านโดยองค์ท่านนั่งและมีรัศมีออกมาเป็นรูปของกลีบบัว หลวงพ่อท่านบอกว่า เอาเป็นลอยองค์ธรรมดา ไม่ต้องมีตรงกลบบัวนั้นก็ได้
พอประกาศงานได้สองวัน โยมก็ช่วยกันบริจาคเงินและทองเข้ามามากมาย เพราะว่าวัตถุมงคลที่ทำจะมีเหรียญทองคำ เหรียญเงิน เหรียญชุบทอง คนที่เขามีทองก็ถวายทองเข้ามาสร้างเลย โดยขอให้เขาได้คืนไปสักเหรียญหนึ่ง
ช่วงประกาศตัวงานสองวัน ได้เงินเข้ามาสี่แสนกว่าบาท และทองอีกหลายสิบบาท อาตมาก็เห็นว่าความสำเร็จมีแน่ ถ้าทำตามนี้ ราคาวัตถุมงคลตามตัวเลขหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะเหลืออยู่ที่ ๒๔ ล้านบาท
วันที่สาม หลวงพ่อมีหนังสือสั่งระงับเรื่อง เพราะทำให้แตกความสามัคคี ก็คือ มีผู้หวังดีปรารถนาดีไปพูดในลักษณะว่า พวกนี้จะหาเงินใส่กระเป๋าตัวเองกัน
เราจะเห็นว่า หลักการทำงานของหลวงพ่อคือ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ท่านจึงรับโครงการนี้ไปทำแทน ปรากฎว่าการสร้างพระ หลวงพ่อให้ช่างประเสริฐเป็นคนทำ ช่างประเสริฐบอกว่าไม่มีแบบ หลวงพ่อท่านจึงให้ทำแบบพระพุทธรูปทั่วไป แล้วให้ทำสัญลักษณ์ที่ต่างจากพระพุทธรูปธรรมดา
ถ้าใครอยากเห็นว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ารุ่นแรกหน้าตาเป็นอย่างไรให้ไปดูองค์ใหญ่ที่อยู่หน้าวิหารร้อยเมตร ลักษณะเหมือนพระพุทธรูป แต่เกศด้านหลังจะแยกแฉกออกมาหน่อย ทำให้ดูว่าต่างจากพระพุทธรูปนิดเดียว ดูแทบไม่ออก
แต่ในเรื่องมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านเป็นปรมาจารย์ เรื่องความชัดเจนท่านเหนือกว่าเราจนนับไม่ได้อยู่แล้ว พอมีเวลาท่านก็เลยให้ช่างทำใหม่ ครั้งแรกที่ทำก็คือ สร้างขึ้นมาเพื่อให้สมกับเจตนาญาติโยม ที่ตั้งใจบริจาคมาเพื่อสร้างพระอย่างเดียว ไม่รับวัตถุมงคลง แต่พอระยะเวลาผ่านไปท่านก็ทำให้เหมือนกับรูปแบบที่ท่านเห็น จึงได้อออกมาเป็นองค์ใหญ่ที่มณฑปหน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร
จะว่าไปแล้วกลายเป็นว่า พวกเราสร้างเรื่องเดือดร้อนให้หลวงพ่อท่านโดยใช่เหตุ หลังจากที่ระยะเวลาผ่านไปแล้ว มานั่งวิเคราะห์กันว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดเรื่องขึ้นมา สรุปได้ว่า เพราะคณะกรรมการชุดนั้นเป็นพระใหม่เกือบทั้งหมด
ในเมื่อเป็นพระใหม่เกือบหมด ก็มีสองอย่าง
อย่างแรก มองโลกในแง่ดี พวกนี้ทำไม่สำเร็จหรอก
อย่างที่สอง มองโลกในแง่ร้าย พวกนี้คงจะหาเงินเข้ากระเป๋า
เมื่อมีเรื่องขึ้นมา หลวงพ่อจึงสั่งระงับไป ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นก็คือ พวกเราต้องควักกระเป๋าเพื่อโอนเงินคืน โอนเงินคืนคนที่เขาโอนมาแล้ว คนไหนให้ข้าวของมา ก็ต้องไปไล่คืนทีละคน โดยแจ้งเขาว่าโครงการนี้ระงับแล้ว ถ้าจะทำให้ไปถวายกับหลวงพ่อโดยตรง มีหลายคนที่แจ้งความจำนงว่าถวายแล้วไม่รับคืน พวกเราจึงต้องไปถวายหลวงพ่อกันเอง ตอนไปก็ต้องทำตัวลีบ ๆ เข้าไป...กลัวโดนด่า
เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวว่า รูปพระปัจเจกในลักษณะวัตถุมงคล หลวงพ่อท่านไม่ได้สร้างไว้เลย ที่สร้างไว้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดองค์ ๓๐ นิ้วต้นแบบ ซึ่งอาตมาเป็นเจ้าภาพ ถวายให้วัดพุทธไชโยที่หัวหินลักษณะเหมือนพระพุทธรูป แต่เกศมีแยกออกมานิดหนึ่ง จะเป็นเปลวรัศมีเส้นเดียวที่แยกออกมาเอง ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้
องค์หน้าตัก ๔ ศอกอยู่ที่หน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร หลัวจากนั้นก็เป็นองค์ใหญ่ ๘ ศอกที่เห็นนี้ และองค์เล็ก ๓๐ นิ้ว ที่เอาไว้ให้เขาปิดทอง สร้างแค่นี้เองในยุคนั้น
อาตมายังตั้งใจอยู่เหมือนเดิมว่า ไว้มีเวลาจะหล่อด้วยเงินแท้ องค์ประมาณ ๓๐ นิ้ว เพราะที่หลวงตาท่านสร้าง ก็กลายเป็นทองคำ ๙ นิ้วไปเสียได้ ในเมื่อพี่ไม่ทำ น้องก็ทำเสียเอง”
“จริง ๆ แล้วพระเศียรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นลักษณะเดียวกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ปฏิมากรรุ่นหลัง ๆ เขาไปใส่เปลวพระรัศมีให้ ในลักษณะแทนดวงปัญญาอันรุ่งโรจน์ ก็เลยกลายเป็นลักษณะของพระเกตุมาลาไป
เราจะเห็นว่า ในพระวินัยของพระ ห้ามภิกษุทำจีวรเท่าพระสุคต ถ้าหากจีวรเท่าของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ดี พระนันทะก็ดี และพระมหากัจจายนะก็ดี เวลาที่แยกกันไป คนจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉะนั้น...เราสามารถสรุปได้เลยว่า ความจริงพระพุทธเจ้าก็มีพระเศียรเหมือนลักษณะของพระภิกษุทั่วไป
พระนันทะเป็นลูกพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ ส่วนพระอานนท์เป็นลูกอา ทั้งสองเป็นพุทธอนุชา ก็เลยมีหน้าตาเหมือนกับพระพุทธเจ้า ส่วนพระมหากัจจายนะ ท่านสร้างบารมีมาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งบารมีใกล้จะเต็มแล้ว ก็เลยมีมหาปุริสลักษณะหลายอย่างที่ทำให้คนเห็นว่าเหมือนพระพุทธเจ้า
เวลาบิณฑบาต แต่ละองค์ไปช้าเร็วต่างกันคนก็ตำหนิเอาว่าสมณะรูปนี้มักมากจริง มาแล้วมาอีก พระพุทธเจ้าจึงให้ตัดเย็บจีวรไม่เท่ากัน คนจะได้แยกออก ส่วนพระมหากัจจายนะ ตัดสินใจเปลี่ยนรูปร่างตัวเองไปเลย”
*************************
“ความจริงการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่วัดก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้ได้ถนนมาด้วย ถ้าเขามาตั้งเสาไฟ เขาต้องตั้งเสาด้านที่เราคิดจะขยายถนนพอดี ซึ่งเวลาขยายถนน เราต้องเอาต้นไม้บางส่วนออก เนื่องจากต้นไม้พร้อมที่จะล้มฟาดสายไฟ จึงต้องรื้อต้นไม้เสียตั้งแต่บัดนี้
อย่างแรก ต้องไปตกลงกับบรรดารุกขเทวดาก่อน ตกลงกันว่า ให้ท่านย้ายไปอยู่ที่เสาอาคารตั้งพระชำระหนี้สงฆ์แทน ส่วนทางด้านนี้เราขอรื้อจะพยายามรื้อให้น้อยที่สุด ต้นไหนที่เว้นได้ก็จะเว้นให้ พอตกลงกันได้ รถแบ็กโฮลก็เริ่มถล่มป่า อาตมาก็ไปเดินดูอยู่ตลอด ช่วงนั้นไม่มีปัญหา
พอรุ่งเช้าติดงานบวชพระ เมื่อบวชพระเสร็จ ปรากฎว่าต้นไม้ล้มทับรถไปเรียบร้อยแล้ว คนขับบาดเจ็บเล็กน้อย ถามว่าเกิดอะไรชึ้น เขาบอกว่าใช้ตัวบุ้งกี๋ของรถจัดการดันให้ต้นไม้ล้มเหมือนต้นอื่น ๆ แต่ต้นนี้ไม่ล้มไปข้างหน้า กลับหักกลางฟาดตูมลงมาที่รถเลย อาตมาก็สงสัยว่าคุยกับรุกขเทวดาแล้ว ทำไมถึงยังเป็นอย่างนี้อีก
ปรากฎว่าอาตมาลืมไป เขาบอกว่าอาคารตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าสร้างพระแล้วเขาต้องลงมาแบกับดิน เพราะถ้าเขาอยู่เสาก็จะสูงกว่าพระ นี่คือความไม่รอบคอบของอาตมาเอง เขาจึงไม่อยากจะย้าย แต่ไม่ทันได้คุยกัน เพราะอาตมามัวแต่บวชพระอยู่ เขาก็เลยจัดการเล่นคนรื้อไปเสียก่อน
ปกติถ้าเราผลักต้นไม้ ก็ต้องล้มไปข้างหน้า ...ใช่ไหม ? แต่นี่ผลักแล้วไม่ล้มเหมือนต้นอื่น กลับหักกลางฟาดกลับมาใส่รถ...!
บางทีการที่รู้อะไรมาก ก็ทำให้เดือดร้อนเหมือนกัน ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้รื้อไปเลย ให้เขาโกรธอยู่ฝ่ายเดียวก็หมดเรื่อง แต่ความจริงเทวดาโกรธไม่ได้ เพราะการหมดอายุของเทวดามีอยู่ตัวหนึ่ง คือโกรธาพลขัย หมดอายุเพราะความโกรธ ไฟโกรธจะเผากายทิพย์ไปเลย เพราะความโกรธอาจทำให้ลงข้างล่างได้ เพราะว่าใจเศร้าหมอง
มีบางคนถามว่า ทำไมเทวดาท่านไม่หักคอคนที่ตัดไม้ทำลายป่าเสียที ? ถ้าเป็นเรา รู้ว่าการทำร้ายคนเท่ากับแลกด้วยชีวิตตัวเอง เราก็คงไม่ทำหรอก นอกจากนี้ ยังมีอาหารขัย ตายเพราะหมดอาหาร อายุขัย ตายเพราะหมดอายุ”
ถาม : นางไม้องค์นั้นที่หงุดหงิด ลงมานั่งหน้ามุ่ย เขาโกรธเพราะ ?
ตอบ : ตอนนั้นอาตมาธุดงค์ไปอาศัยอยู่ใต้ต้นเขา เขาอยู่ข้างบนไม่ได้ ร่วงมากองกับพื้น เขาก็หงุดหงิดสิ...
ถาม : เขาโกรธแล้วไม่หมดอายุหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้โกรธถึงขนาดคิดทำร้าย แค่หงุดหงิดเพราะไม่ได้อย่างใจตัวเองเท่านั้น
*************************
“นี่เป็นเรื่องแปลก เป็นส่วนที่อาตมากลัวและระมัดระวังอยู่ คนอื่นกลับเห็นเป็นของสนุก พยากรณ์กันไปเรื่อยเปื่อย คนฟังก็บ้าจี้เชื่อตามไปด้วย
เรื่องการพยากรณ์มรรคผล เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าโดยตรง เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะได้ไปพยากรณ์ผู้อื่น ใครพยากรณ์แทนพระพุทธเจ้า ถือว่าผิดมารยาทละเมิดเบื้องสูง อาตมาเองก็ต้องระมัดระวังจนตัวลีบ ว่าจะไม่เผลอไปทำอย่างนั้นเข้า”
*************************
“ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดในการจัดสร้างพระบรมรูปในหลวง เขาหล่อแล้วจะเอาไปประดิษฐานที่วัดไทยกสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย ทำให้อาตมาใจคอไม่ดี เพราะเท่าที่สังเกตมา บุคคลที่ทรงความดีสูง ๆ พอมีรูปแทนตัวแล้ว ไม่เกินสามปีมักจะไปเลย”
*************************
“วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เหล่าเทวดานางฟ้าพากันมาสักการะพระเจดีย์ ท่านจะมาลักษณะเป็นหมวดหมู่ เป็นสีสันดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามมาก มาเป็นชุด ๆ เป็นกลุ่ม ๆ บางกลุ่มก็เป็นร้อย บางกลุ่มก็เป็นพัน อาตมานึกว่ามีแต่ประเทศไทยเราที่แบ่งสีแบ่งฝ่าย จริง ๆ แล้วเทวดาเขาแบ่งแบบนี้มานานแล้ว...!”
ถาม : ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นพระธาตุส่วนไหนครับ ?
ตอบ : เป็นเครื่องใช้ของพระพุทธเจ้า มีไม้เท้า หม้อกรองน้ำ สังฆาฏิ เป็นต้น
ถาม : เป็นของใช้ของพระพุทธเจ้าองค์ไหน ?
ตอบ : เป็นของสี่พระองค์ที่ผ่านมา องค์หนึ่งก็จะให้ของใช้ไว้ชิ้นหนึ่ง
*************************
“วัฒนธรรมอีสานที่เผยแผ่ไปทั่วประเทศ เพราะคนอีสานเขาไม่ค่อยกลัวในการเปลี่ยนแปลง คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงจะไม่ค่อยกล้าไปที่อื่น หรือย้ายที่ทำกิน เป็นนิสัยรักการผจญภัยของเขาจริง ๆ.
สมัยก่อนนายฮ้อยจะเป็นหัวหน้าคุมคาราวานวัวควายไปขายต่างบ้านต่างเมือง นายฮ้อยต้องเป็นคนที่ซึ่อสัตย์สุจริต เพราะขายได้ก็ต้องเอาเงินมาคืนเขา และตัวเองก็รับรางวัลในส่วนที่ควรจะได้ไป
นายฮ้อยต้องเป็นคนกล้าหาญ เพราะการเดินทางจะต้องผ่านป่าผ่านดง ผจญสิงสาราสัตว์ ตลอดจนภูตผีปีศาจและโจรผู้ร้าย และต้องมีวิชาความรู้ติดตัว เพื่อที่จะได้นำคณะฟันฝ่าให้รอดไปได้ สมัยก่อนใครเป็นนายฮ้อยย่อมเป็นที่นับถือของคนทั้งบ้านทั้งเมือง”
ถาม : พวกนายฮ้อยต้องมีวิชาอะไรบ้าง ?
ตอบ : ๑) วิชาการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือปืน
๒) คาถาอาคม เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
๓) ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศต่าง ๆ ที่จะไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ดิน น้ำ หญ้า เพราะวัวควายไปด้วยเป็นร้อย ๆ ตัว ถ้าไม่รู้พื้นที่ สัตว์อาจจะอดตายได้ แค่จะหาที่ให้กินหญ้ากินน้ำก็ลำบากแล้ว
๔) มีมนุษยสัมพันธ์ ไปไหนต้องมีเพื่อนฝูง มีเส้นสาย ต้องรู้จักว่าคนไหนค้ายขายด้วยแล้วให้ราคายุติธรรม คนไหนจะมากดราคา
๕) มีความซื่อสัตย์ บางทีไปกันหลายเดือน วัวควายที่ไปตกลูกกลางทาง เขายังไม่ยึดเป็นของตัวเองเลย พอขายได้ก็ให้เงินแก่เจ้าของไป
ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่สมัยก่อนที่เขาทำได้เพราะเขามีสัจจะ เราจะเห็นว่าตัวสัจจะบรมีตัวเดียวนี่แหละ ที่ทำให้คนประสบความสำเร็จมาก ในสมัยก่อนแม้กระทั่งพวกเสือปล้น เขาจะถือสัจจะต่อครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าผิดสัจจะ เขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือถึงแก่ชีวิต สมัยนี้สัจจะบารมีไม่ค่อยจะมีกัน
*************************
ถาม : ผมมีบุญพอที่จะได้พบแร่เพรียงไฟไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาไปสี่ปียังไม่ได้เลย ขาดอยู่อย่างเดียวคือแร่เพรียงไฟ
เหมือนกับท่านลองใจ บอกว่ามีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอาตมาไปผิดที่ทุกที ทั้งที่ตอนเรียนวิชาทหาร อาตมาสอบได้ที่หนึ่งในวิชาแผนที่เข็มทิศ แต่เดินผิดที่ทุกทีเลย เป็นเรื่องแปลกมาก ขึ้นไปก็ว่าใช่แน่ แต่พอถึงเวลาตรวจสอบกลับไม่ใช่ทุกที
ถาม : น่าจะไม่ถึงเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะประมาณนั้น เพราะถ้าเป็นระยะนี้ พวกนักการเมืองแสนดีเขาจะรวยแทน จะไม่ถึงมือประชาชนส่วนใหญ่
ถาม : ถ้าทำเพื่อชาติละครับ ?
ตอบ : ใคร ๆ ก็ทำเพื่อชาติทั้งนั้นแหละ คุณไปถามนักการเมืองดูสิ...!
ถาม : จุดที่ผมไปขุดจะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลองดู...อาจจะใช่ ขนาดของอาตมาเขามายืนยันให้ ยังไม่ใช่เลย
ถาม : อยู่ที่ผาช่อใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่
ถาม : ต้องไปทางตะวันตกเฉียงหนือของน้ำตกหรือครับ ?
ตอบ : คุณหันหน้าเขาหาผาช่อเยื้องขวาหน่อยเดียว จะมียอดเขาเตี้ย ๆ สองยอด อยู่ยอดที่สอง อาตมาเล็งมาสามสี่ทีแล้ว ขึ้นผิดทุกที ไปขุดจนจอบหักยังไม่ได้อะไรเล ยทั้งที่หลวพ่อฤๅษีบอกว่าลึกเมตรเดียว ขุดจนจะฝังตัวเองตายก็ยังขุดไม่เจอ
*************************
“ดอกตะไคร้ อาตาเคยเอามาใส่ตู้ให้เขาดูอยู่พักหนึ่ง เพราะว่าหาได้ยาก จัดเป็นมหาเสน่ห์ในตว พวกพ่อค้าแม่ค้าสมัยก่อนเอาไว้ช่วยในการค้าขาย
ดอกตะไคร้ะจมีได้ก็คืนที่เกิดจันทรคราส ถ้าเกิดจันทรคราส บ้านใครมีต้นตะไคร้อยู่ให้ไปดู เผื่อว่าจะออกดอก ส่วนใหญ่พอได้มาเขาจะเอามาแช่ในน้ำมันหอม ถึงเวลาก็เจิมหรือพรมสินค้าด้วยน้ำมันดอกตะไคร้นี้ ปัจจุบันนี้เขามักเอาดอกตะไคร้หอมมาแหกตากัน...
ส่วนว่านดอกทองที่อาตมารู้จัก เป็นว่านที่น่ากลัวมาก กลิ่นลอยไปถึงไหนก็ตะกายหาผัวหาเมียกันที่นั่น กระตุ้นยิ่งกว่าไวอะกร้าเสียอีก ถ้าว่านนี้เกิดขึ้นเหนือน้ำแล้วเกสรตกลงน้ำ พวกที่อยู่ทางท้ายน้ำคงไม่เหลือสักคน...!”
*************************
ถาม : รักและเมตตาบุคคลคนหนึ่ง ก็ให้ความรักความเมตตาสงเคราะห์เขาตลอด จนรู้สึกว่าพอแล้ว อารมณ์ใจก็นิ่งสงัด เรียบเหมือนเป็นเส้นตรง ไม่เกิดอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น อารมณ์นี้เป็นอุเบกขาหรือไม่ ?
ตอบ : ที่ว่ามาเกิดจากสองประการด้วยกัน
ประการแรก เราก้าวถึงตัวอุเบกขาในพรหมวิหาร
ประการที่สอง วาระที่เนื่องด้วยกรรมหมดแล้วพอดี
บางอย่างที่เราไปทำอย่างนั้น อาจจะไม่ใช่ความเมตตา แต่เกิดจากวาระกรรมที่เราต้องไปสงเคราะห์เขา คิดให้ดี ๆ นะ ตรงนี้ต่างกันมาก
ถ้าหากเป็นตัวเมตตาในพรหมวิหารจริง ๆ จะมีตัวอุเบกขากำกับอยู่เสมอ คือ สงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้ายังมีความผูกพันอันใดอันหนึ่งอยู่ ให้รู้เลยว่านั่นเป็นวาระกรรมมากกว่า
ดูตัวเองให้ดี ๆ ว่า ตั้งแต่ต้นที่ไปสงเคราะห์เขา พอสงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกครั้งเราสามารถปล่อยวาง ตัดทิ้ง ลืมไปได้เลยหรือเปล่า ? จนกว่าจะเจอหน้ากันใหม่ และสงเคราะห์กันใหม่ไปตามวาระ ถ้าอย่างนั้นเกิดจากตัวเมตตาในพรหมวิหาร เพราะมีอุเบกขากำกับ
แต่ถ้าถึงเวลาแล้วต้องไปคิดถึง พะวงอยู่ เขาจะเป็นอย่างนั้นไหม ? เขาจะเป็นอย่างนี้ไหม ? เราไม่ช่วยเขาต้องถึงตายหรือเปล่า ? ถ้าอย่างนั้นให้รู้ว่าเป็นเพราะวาระกรรมมากกว่า
ถาม : แบบนี้จะจบหรือคะ ?
ตอบ : จบไปเรื่องหนึ่ง ถ้าเคยสร้างกรรมไว้มาก เดี๋ยวก็มาอีกรอบ
“โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา นักธรรมเขาออกข้อสอบว่าเป็นคำพูดของใคร ?
เป็นคำพูดของพระรัฐบาลเถระ บอกกับพระเจ้าโกรัพยะ
พระเจ้าโกรัพยะถามพระรัฐบาลเถระว่า ท่านออกบวชเพราะอะไร ?
พระรัฐบาลบอกว่า ท่านเห็นโทษในโลกนี้ก็เลยบวช
พระเจ้าโกรัพยะตรัสว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โยมก็พอเข้าใจ โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตนโยมก็พอเข้าใจ แต่โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา โยมไม่เข้าใจ”
พระรัฐบาลเถระกล่าวว่า “ถ้ามหาบพิตรได้ข่าวว่าอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร มีบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์มาก ประกอบไปด้วยทรัพย์สินมหาศาลและผู้คนจำนวนมาก แต่ไม่มีกองทัพเลย มหาบพิตรคิดว่าจะไปยักทัพตีเอามาเป็นข้าขบขัณฑสีมาหรือไม่ ?” พระเจ้าโกรัพยะบอกว่าไป
นั่นแหละ...คือโลกยังพร่องอยู่ ไม่เพียงพอ ต้องไปหาเพิ่ม เพราะมีความอยาก คือ ตัณหาเป็นเครื่องนำไป พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นท่านมีความฉลาดมาก ฟังแค่นี้ก็เข้าใจทันที”
*************************
ถาม : ทำทานแล้วไม่มีพรหมวิหารสี่จะเป็นอย่างไร ? ถือว่าขาดเมตตาต่อตัวเองหรือเปล่า เพราะทำจนเกินตัว ?
ตอบ : คุณเข้าใจพรหมวิหารสี่แค่ไหน ? อย่าลืมว่าพรหมวิหารสี่มีอุเบกขาด้วย ถ้าคุณขาดอุเบกขาในเรื่องใดก็จะเละทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องทานอย่างเดียว
เรื่องทานที่คุณว่ามาไม่ใช่ขาดพรหมวิหาร แต่เป็นการขาดปัญญา ในเมื่อขาดปัญญา ไม่รู้ว่าอะไรพอดี ก็ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน
*************************
|