เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓
ถาม : พระชำระหนี้สงฆ์ที่ปิดทอง คนที่ร่วมบุญกับเราก็จะได้อานิสงส์เหมือนกันทุกคน แต่ถ้าพระ องค์นั้นไม่ได้ปิดทอง คนที่มาร่วมกับเราจะได้อานิสงส์หรือไม่ ?
ตอบ : เขาได้อานิสงส์สร้างพระ แต่ไม่ได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ ถ้าไม่ได้ปิดทอง เจ้าภาพได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์เพียงคนเดียว
ถาม : ถ้าการสร้างพระนั้นไม่ได้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ จะมีอานิสงส์อัตโนมัติหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องตั้งใจด้วย อย่าลืมว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ เจตนาเท่านั้นจึงจะเป็นบุญ
ถาม : ถ้าเราไปร่วมกับเขา แล้วเจ้าภาพไม่ได้ตั้งเจตนาตรงไว้ ?
ตอบ : ในเมื่อเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร เราก็ตั้งเจตนาเองได้
*************************
ถาม : สมมติว่ามีคนได้รับการพยากรณ์ว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านจะมีโอกาสถอยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่ถอยแล้ว สมาธิหลุดได้ แต่ว่ากำลังใจไม่มีตกต่ำแน่นอน แต่อย่าลืมว่าการพยากรณ์เป็นหน้าที่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
ฉะนั้น...ใครพยากรณ์มา ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถือว่าผิดมารยาท ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า อย่าเพิ่งเชื่อ
*************************
ถาม : สิ้นเดือนนี้จะมีสอบ ปกติภาวนานะมะพะธะ ?
ตอบ : ถ้าสอบต้องใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์
ถาม : ไม่เคยได้ยินค่ะ ?
ตอบ : คาถาท่านปู่พระอินทร์ ท่านให้ว่า สะหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ
ถึงเวลาก็ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ช่วยให้เรามีความคล่องตัวในการสอบ
ท่านให้คว่ำกระดาษคำถามลง อย่าเพิ่งดูคำถาม ว่าคาถาสัก ๓ จบ อธิษฐานเสร็จเรียบร้อยก็เปิดอ่าน ถ้าหากยังทำได้ไม่หมด ให้คว่ำลงว่าคาถาอีก ๗ จบ คราวนี้นึกอยากจะเขียนอย่างไร ให้เขียนไปอย่างนั้น
ถาม : เฉพาะข้อเขียนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่…ถ้าเป็นสัมภาษณ์ก็อธิษฐานขอให้มีความคล่องตัว
*************************
“จนป่านนี้น้อยคนที่จะรู้ ว่าทำไมเขาจึงกำหนดอายุเทวดานพเคราะห์ไว้เท่านั้นเท่านี้ อย่างเช่น อาทิตย์มีกำลัง ๖ จันทร์มีกำลัง ๑๕
เขาเชื่อว่าพระพรหมสร้างเทวดานพเคราะห์ขึ้นมา อย่างเช่นว่า ใช้ราชสีห์ ๖ ตัว สร้างเป็นพระอาทิตย์ พระอาทิตย์จึงมีกำลัง ๖ ใช้นางฟ้า ๑๕ ตน สร้างเป็นพระจันทร์ พระจันทร์จึงมีกำลัง ๑๕
ดังนั้น...ส่วนใหญ่กำลังดาวนพเคราะห์จึงเป็นไปตามสิ่งที่นำมาสร้าง ว่าเอามาเท่าไร โบราณเขาได้ผูกไว้เป็นโคลงว่า
อาทิตย์หกต่อตั้ง พรรษา
จันทร์สิบห้าคณนา นับได้
อังคารแปดพุทธ สิบเจ็ด
เสาร์สิบกำหนดให้ โลกรู้ กำลัง
พฤหัสบดีสิบเก้า สืบสนอง
อุสรินทร์สิบสอ เช่นชี้
ศุกร์ยี่สิบเอ็ดกอง กอปรเกตุ เก้านา
ทวยเทพนพเคราะห์นี้ ท่านเลี้ยง รักษา
เขาบอกเอาไว้ชัด ๆ เลย โดยเฉพาะถ้าเราศึกษาเรื่องโหราศาสตร์ จะพบว่าดาวราหูไม่มี เพราะราหูก็คือโลกเราเอง ดาวราหูจึงกลายเป็นดาวนพเคราะห์ เทียมตาหลักโหราศาสตร์ ก็คือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาโหราศาสตร์ ถ้าพูดไปก็จะไม่เข้าใจ ให้เข้าใจแค่ว่ากำลังของดาวนพเคราะห์ เกิดจากการที่เขาเอาสิ่งต่าง ๆ มาสร้าง อย่างเช่น ใช้กระบือ ๘ ตัว สร้างพระอังคาร พระอังคารก็เลยมีกำลัง ๘ เป็นต้น”
ถาม : คนที่เกิดวันอังคารเหมือนกระบืออย่างไรครับ ?
ตอบ : อึด ถึก และบึกบึน...!
ถาม : กระบือไม่โง่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่โง่ เป็นบุคคลที่รักสงบต่างหาก น่าจะไปพระนิพานได้ง่าย เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาอาละวาดขึ้นมา คนก็จะตายเสียเปล่า ก็เลยต้องยอม ๆ ให้คนใช้งานไป
ถาม : แต่ก็แปลกนะครับ คนเกิดวันไหนก็เป็นไปตามบุคลิกลักษณะนั้น ๆ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเป็นสถิติ พราหมณ์เขาเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี พอเก็บสถิติได้มากพอ บรรดาพราหมณาจารย์เขาก็สรุปออกมาเป็นโหราศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง แยกต่างหากออกมาจากดาราศาสตร์
ถ้าว่ากันตามหลักของพระพุทธศาสนาก็คือ บุคคลที่ทำบุญทำกรรมมาใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดในระยะเวลาที่ใก้ลเคียงกัน ฉะนั้น...ส่ิงต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิต เขาก็จะเกิดคล้าย ๆ กัน เต็มที่ก็จะใกล้เคียงกันสักประมาณ ๖๐ เปอร์เซ็นต์
ยกเว้นท่านที่ได้ทิพจักขุญาณ ก็จะสามารถรู้ได้แม่นยำถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะจะมีพวกนอกเหตุเหนือผลสัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่น พวกที่เลือดบ้าเยอะ ถึงเวลาแล้วก็ฝืนดวงไปจนได้
*************************
ถาม : เรื่องกฎของกรรม ถ้าเราเข้าไปบ่ายเบี่ยงกฎของกรรม เราต้องรับผลประมณกี่เปอร์เซ็นต์ ?
ตอบ : ไปเบี่ยงกรรมของเขาประมาณ ๑ ส่วน ก็จะได้รับเองประมาณ ๑๐ ส่วน
ถาม : ทำไมผลเยอะขนาดนั้น ?
ตอบ : เพราะอย่างนี้จึงได้เป็นเรื่องที่น่าทำ ทำหนึ่งได้สิบ หายากนะ...!
*************************
“สมัยอยู่วัดท่าซุง ตอนที่เดินบิณฑบาตแถวบ้านหัวสะพาน ซึ่งห่างจากวัด ๒-๓ กิโลเมตร มีชาวบ้านหิ้วตะกร้ามาพร้อมกับข้าวต้มมัด ๔๐ มัด พอเขาใส่บาตรมาอาตมาก็หิ้วไป
เดินบิณฑบาตไปบ้านที่สอง เขาก็มีตะกร้าพร้อมกับข้าวต้มมัดอีก ๔๐ มัด อาตมาก็ร้อง “เฮ้ย...!” พอเขาเห็นร้องเฮ้ย เขามองดูจึงเข้าใจ บอกกับเราว่า “เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ค่อยถวายครับ” เขาก็หิ้วไปเก็บ
อาตมาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ? เขาบอกว่า “หลวงพ่อธรรมจักรมาเข้าฝันใครที่มีลูกหัวปีเป็นผู้ชายให้ถวายข้าวต้มมัด ๔๐ มัด ไม่อย่างนั้นละเกิดอันตรายแก่ลูกตัวเอง”
อาตมาอยู่วัดท่าซุงมาหลายปี หลวงพ่อธรรมจักรท่านเข้าฝันชาวบ้านหลายรอบเหมือนกัน เขาก็ทำตามกันทั้งเมือง มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเข้าฝันบอกว่า ให้ไปขอเงินเขาคนละหนึ่งบาท ให้ได้ ๒๙ บาท แล้วนำไปถวายพระเป็นสังฆทานให้ทำเฉพาะคนเกิดปีมะ อย่างเช่น มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม เป็นต้น”
ถาม : หลวงพ่อธรรมจักรคือใคร ?
ตอบ : หลวงพ่อธรรมจักร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่วัดธรรมมูล เขาว่าท่านลอยน้ำมา เป็นพระพุทธรูปยืน สูงประมาณ ๑ เมตร ๘๐ ซ.ม. ได้
ถาม : ท่านเข้าฝันคนเดียวหรือว่าหลายคน ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่คนเขาเชื่อถือมาก เพราะท่านขลังจริง ๆ เท่าที่สังเกตทุกครั้ง วิธีแก้ไขของท่านก็คือให้คนทำบุญ ประเภทไปขอเงินเขาบังคับให้ขอคนละบาทเท่านั้น เกินกว่านั้นไม่ได้ ก็แปลว่าต้องไปขอเขาอย่างน้อย ๆ ๒๙ คน
อันดับแรก ได้ทานเพราะให้เงินเขา อันดับสอง คนขอเอาเงินไปถวายสังฆทาน ก็มีบุญอีกรอบหนึ่ง อีกประการคือ คนขอต้องลดมานะตัวเอง จึงไปขอเขาได้ ดูลีลาของท่าน มีลีลาการสอนแบบพระจริง ๆ
เขาจะมีการอุ้มหลวงพ่อธรรมจักรไปสรงน้ำทุกปี ถ้าปีไหนไม่อุ้มท่านไปสรงน้ำ ท่านจะลงไปเอง ที่เขารู้ก็คือ เขาบอกว่าไม่รู้ท่านลงไปตอนไหนตอนที่ท่านขึ้นมา ท่านก็ยืนอยู่ที่เดิม มีแนวน้ำเปียก ๆ ขึ้นมาจากท่าน้ำและมีสาหร่ายติดที่พระบาทด้วย
โดยเฉพาะหน้าเลือกตั้ง นักการเมืองของชัยนาทต้องไปขอพรหลวงพ่อธรรมจักร ก็เลยสงสัยว่า หลวงพ่อท่านจะช่วยใครดี เพราะเขาไปขอกันทุกคน เรื่องชาวบ้านแห่ถวายของพระ มาเดือดร้อนอีกทีก็ตอนที่ พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ตายแล้วฟื้น ที่เขาบอกว่าตายไปแล้วไม่มีน้ำกิน พระวัดท่าซุงก็เลยเจอขวดน้ำคนละโหล เวลาพระบิณฑบาต โยมถวายไม่ได้มองหน้าพระเลย ว่าพระจะแบกไปได้อย่างไร
ฉะนั้น...อย่าให้อะไรฮือฮาขึ้นมา ฮือฮาขึ้นมาเมื่อไร พระเดือดร้อนทุกที
*************************
ถาม : การเอาจิตไปกราบพระข้างบน กิริยาของจิตต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ก็นึกว่าเรากราบ
ถาม : รู้สึกว่าข้างในเรามองเห็นท่าน แต่ไม่ได้มีเราคนเดียว มีคนอื่นด้วย ก่อนเข้าก็จะมีท่านที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ปกติจะเข้าไปอยู่หน้าองค์พระเลย จะเหมาะไหมครับ หรือเข้าออกต้องทักทายคนที่เฝ้าก่อน ?
ตอบ : ถ้าสามารถรู้เห็นได้ชัดเจน ก็ทักทายหรือทำความเคารพให้ครบทุกท่าน ถ้าการรู้เห็นไม่ชัดเจน เรามุ่งที่พระพุทธเจ้าองค์เดียวก็ได้อยู่ เราไปเทวดาท่านก็หลีกให้เอง ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะไปเหยียบท่านเข้า
ถาม : เกรงใจท่านที่อยู่ก่อน ?
ตอบ : ตัวอย่างมีมาแล้ว โดยเฉพาะท่านท้าวสัจจพรหม ท่านมีสัจจะจริง ๆ ด่าตามหลัง “อีห่...นี่...ไม่ดูใครเลย..!”
ถาม : เข้าไปในวิมานองค์ท่าน จะมีจุดที่เป็นที่ของเราอยู่แล้ว ก็จะไปนั่งตรงนั้น บางทีใจร้อนเกิน ก็จะไปอยู่หน้าพระ จะโดนบ่นตามหลังอีกหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง เพราะถ้าเขาบ่น เราก็ไม่ได้ยิน
ถาม : ใช่ค่ะ แต่นึกเกรงใจหลวงพ่อ ?
ตอบ : ท่านย่าบอกว่าขึ้นไปอย่าลืมนึกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อยู่องค์เดียว เพราะฉะนั้น...ถึงเวลาก็ให้ขออนุญาตพระ ขออนุญาตเทวดาท่านเข้าไปด้วย ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ฝ่าวงล้อมเข้าไป จนเขาแตกกระจายกันหมด แล้วจะมีเสียงบ่นเข้าหูท่านย่าว่า “หลานท่านอีกแล้ว...!”
ถาม : บังเอิญว่าไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่เกรงว่าครูบาอาจารย์จะโดนบ่น ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดสามารถรับรู้ได้ ก็ควรจะทำตามขั้นตอน
ถาม : เราขออนุญาตท่านให้เทวดาที่ปกปักรักษาเราขึ้นไปบนพระนิพพานด้วย จะเหมาะไหมคะ ?
ตอบ : ได้…และเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะเรื่องของพรหมเทวดา ท่านที่อยู่สูงท่านลงมาชั้นต่ำกว่าได้ แต่ท่านที่อยู่ชั้นต่ำกว่า ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ท่านขึ้นไปไม่ได้ เราขึ้นไปลักษณะนั้น แล้วเราเป็นผู้เชิญท่านไป เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง
อาตมาทำเรื่องนี้มานานแล้ว ทำด้วยความขี้เกียจของตัวเอง จนกระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าเรื่องพาเทวดา นางฟ้า พรหม ไปพระนิพพาน ก็เลยรู้ว่าอาตมาขี้ตรงร่องพอดี เพราะทำมานานแล้ว หลวงพ่อท่านก็เคยทำมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ท่านไม่เคยเล่าให้ฟัง
ที่อาตมาบอกว่าขี้เกียจ ก็คือ พอนาน ๆ ไป ความตื่นเต้นในเรื่องการท่องเที่ยวก็หมดลง เหลือแค่ไปแล้วอยากอยู่ที่พระนิพพานเลย ที่อื่นไม่อยากไป
จากที่ไปกราบพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวด และผู้มีพระคุณต่าง ๆ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ก็ขี้เกียจใช้วิธีไปบนพระนิพพานแล้วน้อมจิตเชิญท่านทั้งหลายมา แล้วเราก็กราบท่านที่พระนิพพานเลย
ทำอย่างนั้นเป็นประจำ เคยคิดเหมือนกันว่าทำถูกหรือเปล่า ? พอได้ยินหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพาเทวดา นางฟ้า พรหมไปพระนิพพาน ก็เห็นว่าวิธีการคล้าย ๆ กัน แสดงว่าอาตมามั่วถูกตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าใครเบื่อเที่ยวจะใช้วิธีการเดียวกันก็ได้
ถาม : พาท่านไป คือไม่ต้องสนใจว่าท่านจะติดตามเราหรือไม่ ?
ตอบ : ท่านกลับเองได้ ขอให้เชิญท่านไปก็พอ
ถาม : เทวดาท่านขออนุญาตขึ้นไปเองไม่ได้หรือคะ ขนาดเรายังขอได้เลย ?
ตอบ : บางทีเรื่องของวาระบุญวาระกรรมบางอย่าง ก็บังไว้ไม่ให้ท่านรู้เรื่องพวกนี้
*************************
“จากการปฏิบัติธรรมรุ่นที่สองที่ผ่านมา ทำให้บรรดาชาวบ้านที่ปกติแล้วอย่างไรก็ได้ กระตือรือร้นขึ้นมาอีกเยอะ เพราะรู้ว่าถ้ามาไม่ทันจะโดนตัดรายชื่อออกไป โดนไปไม่กี่ครั้งเดี๋ยวเขาก็ชิน
แบบเดียวกับตอนแรกที่หัดให้เขาเวียนเทียนตอนสองทุ่ม เขามาไม่ทันกันหรอก พวกเราเวียนรอบที่สามเสร็จแล้ว เขาค่อยมาเวียนต่อท้าย พอโดนไป ๒ - ๓ ครั้ง คราวนี้ก็มาเร็วขึ้น
สาเหตุที่เวียนเทียนตั้งแต่สองทุ่ม ซึ่งถือว่าเป็นเวลาหัวค่ำของเขา มีหลายเหตุผลด้วยกัน
เหตุผลแรกก็คือ ถ้ารอค่ำกว่านั้น ฝนอาจจะตก
ประการที่สอง พวกวัยรุ่นที่บอกผู้ปกครองว่าไปเวียนเทียนที่วัดท่าขนุนแล้วมาไม่ถึงวัด พ่อแม่เขาจะได้รู้ว่า วัดท่าขนุนเลิกตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ถ้ากลับเกินเวลานั้น จะได้จัดการกับลูกได้ถูก”
*************************
ถาม : ท่านโตเทยยพราหมณ์ได้รับพยากรณ์แล้ว ทำไมท่านจึงเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : เรื่องการพยากรณ์ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องไม่ตกนรก ได้รับพยากรณ์ หมายความว่า ท่านจะต้องตรัสรู้ในระยะเวลานั้น ๆ แต่บุญและกรรมที่สร้างมา ไม่ได้หมายความแน่ ๆ ว่า จะขึ้นหรือลง
ถาม : น่าจะเที่ยงแท้แล้ว ?
ตอบ : เที่ยงแท้แล้วว่ามีโอกาสลงแน่นอน...!
จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนไทย สมัยก่อนเขาไม่มีนามสกุล เขาจะใช้เป็นลักษณะฉายา โตเทยยพราหมณ์ แปลว่า พราหมณ์ไทยชื่อนายโต บอกชัด ๆ เลย
สมัยก่อนเขาแยกแยะด้วยฉายา อย่างท่าน ลกุณฎกัททิยะ ก็คือ ท่านภัททิยะหลังค่อม ภัททิยศากยราชา คือ ท่านภัททิยะที่เป็นราชาของชาวศากยะ เป็นต้น
*************************
ถาม : วันที่ ๕ ธันวาคมตั้งใจจะบวช แต่ถ้าบวชแล้วไปร่วมธุดงค์ที่วัดอื่นจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ น่าจะได้ แต่ไม่อนุญาตให้ไป บวชไม่ทันไรก็ไปเลยเป็นการผิดพระวินัย พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ๕ พรรษาจึงจะไปได้
ถ้าจะบวช ๕ ธันวาคม ก็โปรดดูด้วย ต้องจัดงานเอง และก็บวชเองด้วย เพราะว่าวันที่ ๕ ธันวาคม ตรงกับวันที่อาตมารับสังฆที่กรุงเทพฯ
*************************
ถาม : เดินจงกรมไปเรื่อย ๆ แต่กำหนดไม่ถูก ไม่รู้จะจับลมหายใจควบด้วยอย่างไร ?
ตอบ : ตอนช่วงนั้นเขาให้สติกำหนดรู้อยู่กับการเคลื่อนไหว ไม่ใช่อยู่กับลม เขาใช้สมาธิแค่ไม่เกินอุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าไปกำหนดลมจะเกินอุปจารสมาธิ ยิ่งถ้าเป็นปฐมฌานจะเดินไม่ได้ เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน เราจะก้าวไม่ออก ติดอยู่แค่นั้น ให้กำหนดรู้แค่อาการเคลื่อน ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
ถาม : สามารถใช้วิปัสสนาญาณในการพิจารณาได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ามีความสามารถพอก็ทำได้
ถาม : อะไรเป็นการวัดผลสำเร็จ สมมติตอนบ่ายกำลังง่วง เดินจงกรมแล้วหายง่วง ถือว่าใช้ได้แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถือว่าใช้ได้แค่ชั้นอนุบาลเท่านั้น
บางทีก็ไม่ใช่ความง่วง แต่เป็นถีนมิทธนิวรณ์มารบกวน บางทีเวลาเช้านี่แหละบางคนเดินแล้วยังเซเลย จะหลับให้ได้ เพราะสภาพจิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่หยาบเกินไปเพราะไม่เคยซักซ้อมมาก่อน จะตัดหลับท่าเดียว
ถาม : เดินจงกรม ๑๕ นาที แล้วมากำหนดนั่งต่อ จิตจะควบเป็นฌาน เหมือนจะมีกำลังมากกว่าปกติ ?
ตอบ : เพราะว่าเรากำหนดสติอยู่เฉพาะหน้า เราไม่ส่งจิตไปไหนจึงไม่ทำให้เสียกำลัง เมื่อไม่เสียกำลังเท่ากับเราสั่งสมกำลังได้ระดับหนึ่ง ถึงเวลาจะใช้งานก็รวดเดียวได้เลย
*************************
“สาเหตุที่เหรียญทำน้ำมนต์มีขนาดใหญ่ เพราะว่าตั้งใจให้ไว้ทำน้ำมนต์ไม่ได้ตั้งใจให้แขวน เป็นเหรียญที่ตั้งใจทำจริง ๆ เพราะในชีวิตของอาตมาวิชาที่คิดว่าทำได้ดีที่สุดก็อันนี้แหละ คือไปรับกรรมแทนคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น...ตัวยิ่งแย่เท่าไร ของก็ยิ่งขลังเท่านั้น...!”
*************************
ถาม : เวลาปฏิบัติไป รู้สึกสวนกับทางโลก ทำงานไม่ได้เลย ?
ตอบ : แสดงว่าคุณทำผิด การปฏิบัติธรรมเราไปตามกรอบของศีล ทำไมจะไปกับทางโลกไม่ได้ ?
ถาม : เวลาทำงาน เราใช้พลังบางอย่างเพื่อปลุกเร้าทีมงานให้เกิดความรู้สึกขึ้น ใจเราก็เห่อตาม ?
ตอบ : เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างค่อยมาอยู่กับกรรมฐาน แสดงว่าคุณแบ่งเวลาไม่เป็น คุณจะอยู่กับกรรมฐานตลอด เลยทำงานไม่ได้ ไปปรับใหม่ เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างให้ใจอยู่กับกรรมฐาน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
ถาม : ช่วงหลังเวลางานจะเยอะขึ้น เลยลองถอดกำลังใจบางส่วนแล้วก็ทำกับงาน พอใช้แค่กำลังใจบางส่วนทำกับงาน รู้เลยว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา วุ่นไปหมด ไม่สงบ ?
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้น เดี๋ยวก็ต้องทิ้งงานแล้ว ถ้าเราอยู่กับความสงบจนชินก็จะอยู่กับงานไม่ได้ ต้องทิ้งงานมาเข้าวัด ดูจังหวะดี ๆ เสียก่อน ค่อยหาโอาสเข้าวัด
ถาม : พยายามหลายครั้งแล้วครับ แต่ว่าทางบ้าน ?
ตอบ : อดทน…สู้ต่อไปไอ้มดแดง …!
เราจะเห็นความสุขยอดของพระพุทธเจ้า โอวาทของท่านขันตี ปรมังตโป ตีติกขา ขึ้นต้นด้วยขันติ ต้องอดทนอย่างเดียว...!
*************************
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้ทำน้ำมนต์
ถาม : อาราธนาอย่างไรครับ ?
ตอบ : อิติปิโสฯ ๗ จบ นะมะพะทะ ๑๕ จบ ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระสารีบุตรเป็นที่สุด ให้ช่วยกำจัดโรคที่เป็นอยู่ให้หายโดยฉับพลัน
ระยะนี้ไม่ค่อยแกล้งใคร ไม่อย่างนั้นจะบอกว่า ให้อมเหรียญไว้ ละลายเมื่อไรถึงจะหาย...!
ถาม : รู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์โปร่ง ไม่ค่อยมีเรื่องมีราว ?
ตอบ : อยากมีมากใช่ไหม ? ถ้าอยากมีมาก ไปแส่หาเรื่องเดี๋ยวก็ได้เอง...!
อาตมาเคยระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าจะเสียท่ากิเลส เพราะกิเลสไม่โผล่หน้ามาเลยสามปีเต็ม ๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตัวเองอยู่ก้นเหวแล้ว...!
ถาม : สามปีท่านระวังตลอด ?
ตอบ : ระวังตลอด แต่เหมือนกับว่าทางเดินที่เราเห็นว่าราบ ๆ กลับต่ำลงไปทีละมิลลิเมตรโดยที่ไม่ทันสังเกต เดินไปสามปีจึงไปอยู่ก้นเหวแล้ว
ถาม : เราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : รู้ตัวก็ตะกายกลับสิวะ …!
ถาม : ตอนนั้นท่านรู้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ตอนนั้นเห็นชัดแล้วว่า รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่เต็มตัว เพราะฉะนั้น...ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่ามั่นใจว่าเราดีแล้วเป็นอันขาด
ถาม : ทำอย่างไรถึงจะมองเห็น ?
ตอบ : เร่งในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้น เดี๋ยวก็จะองเห็นเอง
ถาม : ท่านเร่งอย่างไร ?
ตอบ : เอาสมาธิเป็นหลัก แล้วก็ทวนศีลอยู่ทุกวัน ถ้าศีลและสมาธิดี เดี๋ยวปัญญาก็มาเอง เพราะฉะนั้น...เชิญประมาทได้ ตอนนี้สบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวกิเลสก็เหยียบเราแบนไปเอง...!
ถาม : ตอนที่กิเลสโผล่มาน่ากลัวที่สุด ?
ตอบ : น่ากลัวมาก... ตอนนั้นอาตมาระวังจ้องเอาไว้ทั้งกลางวันกลางคืน สามปีไม่เห็นกิเลสโผล่หน้ามาเลย แต่ก็ยังโดนหลอกไปเต็ม ๆ
*************************
|