​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๖๒

 

              “ความชั่วนั้น ทำง่าย เลิกยาก ตราบใดความชั่วยังไม่ให้ผล คนชั่วก็คิดว่าเป็นสิ่งที่หอมหวาน ให้ผลเมื่อไร เดือดร้อนขึ้นมาก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว
              ส่วนความดีทำยาก คนไม่มีกำลังใจจะทำก็เลิกง่าย แต่ความดีให้ผลด้านดีเพียงส่วนเดียว ถึงเวลาให้ผลก็ส่งผลแก่ผู้คนในด้านของความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

              ฉะนั้น...พยายามฝืนใจทำไปเถอะ ไม่ต้องถึงขนาดกำลังใจของพระโพธิสัตว์หรอก กำลังใจพระโพธิสัตว์จะเป็นอย่างไรก็ทำ แต่กำลังใจของเรา เอาแค่ว่า เราทำความดีเพราะเราอยากทำก็พอ ถ้าทำความดีเพราะอยากดี ถึงเวลาพอเขาไม่เห็นความดี เราก็จะหมดกำลังใจ
              ถ้าไม่มีใครก็เอาในหลวงเป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านทรงงานมา ๖๐ กว่าปี มากกว่าอายุของพวกเราแทบทั้งหมด จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้มีความท้อในงานของพระองค์เลย นึกอีกทีไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
              องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ตลอดสังสารวัฎที่พระองค์ท่านบำเพ็ญบารมีมา ยาวนานจนไม่เห็นต้นเห็นปลาย ขึ้นชื่อคำว่าท้อแม้แต่นิดเดียวไม่เคยปรากฎขึ้นในใจเลย มาถึงตรงนี้คนอ่านพุทธประวัติอาจจะเถียงว่า ตอนที่ตรัสรู้พระองค์ท่านทรงท้อใจว่า ธรรมะที่ท่านรู้นั้นลึกซึ้งเหลือเกิน คนทั่วไปไม่สามารถจะรู้ได้ ก็เลยไม่คิดที่จะเทศนา
              ขอให้ทราบว่า คำนี้จริง ๆ ไม่ใช่คำว่าท้อใจ คนแปลเขาแปลง่าย ๆ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าสภาพเป็นอย่างไร ตัวนี้ต้องแปลว่า มีความขวนขวายน้อย แปลว่าไม่คิดที่จะแสดงธรรม เพราะว่าหลักธรรมนี้ลึกซึ้งเหลือเกิน
              จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมทราบ จึงรีบลงมาอาราธนาพระพุทธเจ้าว่า ”สัตว์ที่ธุลีในดวงตาน้อยนั้นมีอยู่ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมเถิด” จนเขามาแต่งคำอาราธนาธรรมเป็น “พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติฯ” ท้าวสหัมบดีพรหม ผู้เป็นอธิบดีของพรหมทั้งหลาย หรือจะใช้คำว่า ผู้เป็นใหญ่ในโลกแห่งพรหม ก็ได้ พระพุทธเจ้าจึงได้เปรียบบุคคลเป็ฯบัวสามเหล่า ก็คือ
              เหล่าที่ ๑ เป็นบัวพ้นน้ำ กระทบแสงแดดก็บานเลย
              เหล่าที่ ๒ เป็นบัวพ้นน้ำ จะโผล่พ้นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น
              เหล่าที่ ๓ เป็นบัวกลางน้ำ โอกาสยังน้อยอยู่ ไม่แน่ว่าจะได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมา อาจจะกลายเป็นอาหารของปลาและเต่าไปก็ได้
              แต่คนมักจะเอาเปรียบกับบุคคลสี่ประเภทที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ จนกลายเป็นบัวสี่เหล่าไป บุคคลสี่ประเภท ที่พระองค์ท่านเปรียบไว้ก็คือ
              ประเภทที่ ๑ อุคฆฏิตัญญู มีความฉลาดมาก แค่ฟังหัวข้อก็เข้าใจถึงธรรมเลย
              ประเภทที่ ๒ วิปจิตัญญู ต้องอธิบายขยายความจึงจะเข้าใจ
              ประเภทที่ ๓ เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็นกันขนาดหนัก ส่วนใหญ่ก็จะได้แค่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
              ประเภทที่ ๔ ปทปรมะ พวกนี้ฉลาดเกินไป ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ก็เลยสอนไม่ได้
              เพราะฉะนั้น...ปทปรมะไม่ใช่คนโง่ เป็นคนฉลาด แต่ฉลาดเกิน ในเมื่อฉลาดเกิน ทำตัวเป็นน้ำล้นถ้วย เติมอะไรลงไปก็ล้นหมด จึงหมดประโยชน์ป่วยการที่จะสั่งสอน
              ในเมื่อพระองค์ท่านเปรียบกับบัวสามเหล่า และบุคคลสี่ประเภท เขาเอามาจับยัดท่าไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นบัวสี่เหล่าไป”
*************************

              “ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของนิกายเซน ท่านดอกบัวใต้น้ำเขียนเอาไว้ ก็คือ ท่านจะเป็นบัวเหล่าที่สาม หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านจึงใช้นามปากกาใหม่ บัวพ้นน้ำ หนังสือเล่มนี้ถ้าจำไม่ผิด อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ท่านแปลเอาไว้
              กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปของนิกายเซน ตั้งแต่ท่านโพธิธรรมเถระ ผสังฆปริณายกองค์ที่ ๑ ของจีน) เดินทางจากอินเดียเข้าไปเผยแผ่ธรรมในสมัยของพระเจ้าเหลียงบู่ตี้ ที่เรารู้จักันในนามของพระอาจารย์ตั๊กม้อปรมาจารย์แห่งเส้าหลิน เราจะเห็นความยากลำบากของท่าน ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อต้องนั่งกรรมฐานหันหน้าเข้าหาข้างฝาอยู่ ๙ ปีเต็ม ๆ กว่าจะมีคนเห็นความดีของท่าน แล้วมาขอให้ท่านสอน
              ท่านปรมาจารย์องค์ที่ ๒ คือ ท่านฮุ่ยเข่อ อยากเรียนธรรมมาก ท่านตั๊กม้อถามว่า มีกำลังใจที่จะเรียนสักเท่าไร ท่านฮุ่ยเข่อถึงขนาดตัดแขนตัวเองข้างหนึ่งถวาย เพื่อเป็นการยืนยันความตั้งใจ
              สังฆปรินายกองค์ที่ ๖ คือ ท่านเหว่ยหลาง หรือที่แต้จิ๋วเรียกว่า ฮุ่ยเหนิง ท่านต้องซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นเวลา ๒๐-๓๐ ปี เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแล้วออกเพื่อเผยแผ่ธรรม ต้องทนความลำบากอย่กับบรรดาพรานป่าต่าง ๆ ท่านเป็นพระกินเจ แต่พรานเขาล่าสัตว์ มีแต่เนื้อสัตว์อยู่ทุกวัน ท่านจึงใช้วิธีผสมผสานกัน พูดง่าย ๆ ว่าไม่กินเนื้อ แต่ขออนุญาตลวกผักในน้ำต้มเนื้อของพราน
              ท่านทนลำบากอยู่ ๒๐ กว่าปี กว่าที่จะได้เวลาที่เหมาะสมแล้วจึงออกไปเผยแผ่ธรรม ทั้งที่ท่านได้บาตรและจีวรของพระมหากัสสปะไปจากพระสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ ถือว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการถ่ายทอดให้เป็นปรมาจารย์นิกายเซนองค์ใหม่ ต้องรอจนเรื่องที่ท่านได้รับแต่งตั้งนี้แพร่กระจายออกไปจนคนเลื่อมใสมาก เรียกร้องมาก ท่านถึงได้ปรากฎตัวออกมา ถ้าออกมาก่อนหน้านั้นอาจจะมีอันตรายถึงแก่ขีวิต เพราะว่าผู้ที่ความสามารถไม่ถึงแต่อยากดังมีอยู่มาก อาจจะส่งคนมาทำร้ายท่านเพื่อแย่งบาตรและจีวร ท่านจึงต้องทนลำบากอยู่ในป่านานขนาดนั้น
              ดังนั้น...การที่พวกเราได้ปฏิบัติธรรม อาจจะระยะเวลาหลายปี แต่ก็ให้รู้ว่าพวกเราไม่ได้ลำบากยากเข็ญขนาดท่านไม่ได้อด ๆ อยาก ๆ อยู่ในป่าในเขาเป็นเวลา ๒๐-๓๐ ปี อย่างท่าน ความลำบากที่เรายังไม่ได้ ๑ ใน ๑๐๐ ของท่านเลย
              เพราะฉะนั้น...ควรจะใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ ยิ่งใครที่รู้ตัวว่าปฏิบัติมานานเป็นสิบปีขึ้นไปแล้วยังไม่ได้อะไร ขอให้รู้ว่าความเพียรของเรายังบกพร่อง แสดงว่ายังไม่เอาจริง ถ้าเอาจริง ๑๐ ปีนี่ต้องเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว อย่างน้อย ๆ เรื่องของฌานสมาบัติก็ต้องได้คล่องตัวแล้ว
              แต่ส่วนใหญ่อยู่ในประเภททำ ๆ ทิ้ง ๆ ถึงเวลาภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวอย่างดีเลย ลุกขึ้นมาก็กองทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ ไม่เคยเก็บมารักษา เราปฏิบัติอยู่ก็เหมือนกับว่ายทวนน้ำ พอถึงเวลาเราก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำไป พอมานั่งปฏิบัติใหม่ก็ว่ายทวนน้ำใหม่ จึงกลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่มี นาน ๆ ไปจะท้อใจแล้วเลิกทำเสียด้วยซ้ำ
              ถ้าเกิดเป็นมิจฉาทิฐิขึ้นมาจะน่ากลัวมาก น่ากลัวตรงที่ว่าตัวเองทำมานานแล้วไม่ได้ผล อาจจะไปประกาศกับคนอื่นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่จริง ทำแล้วไม่เห็นได้อย่างที่ว่าเลย ก็จะไปกันใหญ่ เพราะว่ามีอเวจีมหานรกรอเราอยู่...!
              ฉะนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมแล้ว ให้พวกเรารักษากำลังใจไว้ด้วย เอาสติสมาธิจดจ่ออยู่ตรงหน้า ประคองรักษาอารมณ์ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด
              แรก ๆ ก็ได้ครู่เดียว พอนานไป ตั้งใจเอาสติประคับประคองก็จะได้เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง เวลาจะมากไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาและความชำนาญ
              จากนั้นก็ได้เป็น ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ครึ่งเดือน หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ย่ิงกำลังใจผ่องใสจากกิเลสยาวนานเท่าไร ปัญญาก็เกิดมากเท่านั้น เราก็จะเห็นลู่ทางว่า จะทำอย่างไรที่เราจะชำระจิตใจของเราให้ผ่องใสจากนิวรณ์และกิเลสต่าง ๆ ได้
              ทุ่มเทได้แล้ว เวลาไม่คอยท่าแล้ว ถ้ามัวรออยู่แล้วตายไปเสียก่อน จะไม่ได้อะไรเลย เสียชื่อว่าเป็นลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุง วันก่อนเขามาส่งข่าวว่า คุณหญิงหมู (คุณหญิงสมสมัย ศรีไชยยันต์) ไปพระนิพพานแล้ว ได่แต่โมทนาด้วย นั่นเป็นลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถือว่าตายแล้วไม่เสียชื่อพ่อ
              พวกเราพยายาเอาอย่างรุ่นพี่ ๆ ให้ได้ หรือไม่ก็ทำให้ได้อย่างที่หลวงพ่อท่านสอน อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา อยู่ในวาระอยู่ในโอกาสอันดี รู้จักพระนิพพาน สมัยอาตมาเด็ก ๆ คำว่าพระนิพพานไม่รู้จักเลย ผู้ใหญ่เขาสอนให้อธิษฐานว่า ขอให้เกิดมาสวย ๆ รวย ๆ ได้พบพระศรีอาริย์ มารู้จักพระนิพพานตอนเริ่มปฏิบัติตามสายหลวงพ่อ อายุ ๑๕ - ๑๖ ปีแล้ว แม้จะนับว่าอายุน้อย แต่สิ่งที่ทำมาก่อนนั้น ไม่ได้มีคำว่าพระนิพพานอยู่ในหัวเลย
              พระนิพพานเป็นของยากสำหรับผู้ที่บารมียังน้อยอยู่ในเมื่อเรารู้จักพระนิพพาน แปลว่าเราสร้างสมความดีมาเพียงพอที่จะเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ดังนั้น...ทุ่มเทให้เต็มที่สักที เพื่อที่ถึงเวลาแล้วผลตอบแทน ถ้าไม่ได้ถึงที่สุด ก็ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้
              อย่าไปประมาทคิดว่ายังอยู่อีกนาน อย่าไปประมาทว่าครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่ ทุกอย่างไม่เที่ยง ถึงเวลาแล้ว ถ้าเราตายก่อน ท่านยังอยู่ หรือท่านตายก่อนเรายังอยู่ จะเสียประโยชส์ทั้งสองอย่าง”
*************************

              “ใครมีปัญหาเรื่องการปฏิบัติที่จะถามบ้าง ? ที่ไม่มีปัญหาเพราะทำถูกแล้ว หรือที่ไม่มีปัญหาเพราะยังไม่ได้ทำ ?
              ต้องพิจารณาอย่างพระท่าน วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ? คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม ไม่ใช่คนนั้นก็ได้ปฐมฌาน คนนี้ได้ฌานสอง คนนี้ได้ฌานสาม คนนั้นได้ฌานสี่ นั่นได้สมาบัติ ๘ คนนั้นได้มโนมยิทธิ คนโน้นได้อภิญญา ย่ิงหนักเข้าไปใหญ่ แล้วเราไม่ได้อะไร น่าขายหน้าไหม ?
              อย่างไม่มีอะไรเลย อย่างน้อย ปฐมฌานต้องเอาให้ได้ คิดว่าทุกคนคงไ่ม่มีใครปฏิบัติยากเข็ญเท่าอาตมา ทุ่มเทชีวิตทำเป็นทำตาย ปฐมฌานอย่างเดียวใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะทรงได้
              ไม่ใช่ว่าทำไม่พอ ทุ่มเทไม่พอ แต่อยากได้จนเกินไป ในเมื่ออยากได้จนเกินไป กำลังใจก็ไม่ตรงจุด ถ้ามีช่องให้มองอยู่ตรงหน้า แต่ดันไปยื่นหน้าเลยช่องไปเป็นวา จึงไม่ได้เห็นอะไรเลย ทำไปจนสามปีในความรู้สึกของอาตมาคือระอาใจแล้ว ทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที
              วันนั้นเกิดความคิดว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ได้หรือไม่ได้ช่างเถอะ ป๊อกเดียวได้ตรงนั้นเลย เพราะว่ากำลังใจลดลงมา ก็ลงร่องพอดี แสดงว่าถ้ารู้ตั้งแต่แรกก็ได้ไปแล้ว อาตมาจึงกล้ายืนยันกับทุกคนในที่นี้ ในฐานะผู้ศึกษาปฐมฌานถึงสามปีว่า
              ถ้าใครที่จับลมหายใจเข้าออกได้ครบสามฐาน คือ จมูก...อก...ท้อง ท้อง...อก...จมูก คนนั้นสามารถทรงปฐมฌานได้แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะรักษาให้อยู่กับเราได้นานเท่าไรเท่านั้นเอง ถ้าหากรู้ลมครบสามฐานเป็นปฐมฌานแน่นอน แต่จะหยาบหรือละเอียดเท่านั้น และในเมื่อรู้แล้วจะรักษาได้หรือไม่ อยู่ทนนานแค่ไหนอยู่ที่เรา ฟังดูแล้วง่ายนะ วันนี้เอาให้ได้ทุกคนนะ”
*************************

      ถาม :  จะย้ายร้าน ต้องดูทิศไหนอย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่ต้องดูทิศ ให้ดูทำเล ถ้าเราค้าขาย ทำเลควรติดถนนใหญ่ มีที่จอดรถ คนไปมาง่าย เข้าถึงง่าย และมีการสมนาคุณเพื่อดึงลูกค้าด้วย
      ถาม :  ตอนนี้ขายอยู่แถวดรีมเวิร์ล แต่ขายไม่ค่อยออกค่ะ ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร ?
      ตอบ :  รู้จักคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงไหม ?
      ถาม :  รู้จักค่ะ ?
      ตอบ :  ภาวนาไว้เยอะ ๆ วันหนึ่งสัก ๑๐๘ จบ ถ้าทำได้ต่อเนื่องสักเดือนสองเดือน คราวนี้จะขายดี แล้วอย่าบ่นว่าเหนื่อยนะ เพราะว่าคาถาบทนี้เอารวยอย่างเดียวจริง ๆ แต่ต้องทำด้วยความเคารพเชื่อมั่น ต่อเนื่องกันสักสองเดือนแล้วผลจะเริ่มเกิด
              ภาวนาด้วยความรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นสมบัติที่พ่อให้มา หน้าที่ของเรา คือ รักษาไว้ด้วยการท่องบ่นภาวนาด้วยความเคารพเป็นประจำ ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่าง ไม่ต้องนึกถึง ถ้าทำอย่างนี้ได้ภายในสองเดือนจะเห็นผลอย่างแน่นอน
              สัก ๑๐๘ จบคงไม่เหนื่อยเกินไปกระมัง ? ถ้าภาวนาเป็นปกติก็ให้ใช้คาถาเงินล้านนี่แหละเป็นคำภาวนาไป สมาธิย่ิงสูงเท่าไร ก็ได้ผลเร็วเท่านั้น
*************************

      ถาม :  จะขายบ้าน ?
      ตอบ :  จุดธูปบอกเจ้าที่ท่าน บอกว่าขออนุญาตขายบ้านหลังนี้ แล้วจะถวายสังฆทานให้ท่าน ขอให้ท่านโมทนาด้วย และขอให้ท่านช่วยให้ขายได้ไว ๆ
      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  เรื่องที่รู้ไปแล้วไร้ประโยชน์ ก็อย่าไปรู้เลย เสียเวลาอธิบาย คุณจะศึกษาไปทำไมที่จะให้รู้ต้นเหตุทั้งหมด ยกเว้นจะไปเป็นพระพุทธเจ้า วิธีที่ดีที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ตนเองพ้นทุกข์เร็ว ๆ
*************************

      ถาม :  เวลาออกบวชไม่ได้พิจารณาอาหาร ทำอย่างไรจะพ้นกรรมนี้ ?
      ตอบวิธีให้พ้นกรรมง่ายที่สุดคือ สร้างศีล สมาธิ ปัญญาให้สูงเข้าไว้ พอช่วงสุดท้ายของปัญญาก็จะเห็นว่า ร่างกายนี้ก็ดี โลกนี้ก็ดี ไม่มีอะไรที่เป็นส่ิงที่น่ารัก น่าใคร่ น่ายึดถือ จิตจะถอนออกมา เลิกไปยึดไปเกาะ เท่านี้ก็พ้นแล้ว
      ถาม :  ถ้าตอนบวชเป็นภิกษุ ทำชั่วมา แล้วสำนึกได้ กรรมทั้งหมดก็หมดไป ?
      ตอบ :  โทษเหล่านั้นยังติดตัวคุณไป และจะเป็นตัวปิดกั้นมรรคผลไปตลอด เพราะว่าคุณผิดศีลตั้งแต่แรกแล้ว การละเมิดศีลเท่ากับเป็นโทษติดตัวเราไป ถ้าเป็นอาบัติหนักก็แก้ไขไม่ได้ ถ้าเป็นอาบัติเบา รู้สำนึกก็ให้แสดงคืนอาบัติเสีย ถ้าอย่างนั้นก็พอที่จะลดหย่อนผ่อนโทษไปได้บ้าง
              ถ้าไปทำในส่วนของอาบัติหนัก อย่างเช่นปาราชิก ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะว่าเป็นเหมือนโทษประหาร ตายไปแล้วจะมาแก้ไขอะไรได้
      ถาม :  ถ้าบวชอีกเราแสดงคืนอาบัติได้ ?
      ตอบ :  ถ้าปาราชิกไปแล้ว บวชอีกจะไม่ใช่พระ ถ้าสังฆาทิเสส บวชไปแล้วเคยไปละเมิดเท่าไร ก็ไปใช้หนี้คืนด้วยการอยู่ปริวาสนานเท่านั้น
      ถาม :  ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่พิจารณาอาหาร ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เพราะเป็นอาบัติเล็ก เราแสดงคืนอาบัติได้
      ถาม :  อาเคยเป็นเจ้าอาวาส โยมถวายพระเครื่องไว้ อาสึกแล้วก็เอาพระกลับมาบ้าน ติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ติดแน่นอน ใครทำก็เป็นโทษของคนนั้น ถ้าหากเรารู้ เราก็นำไปคืนเสีย
      ถาม :  แต่แม่กับอาไม่รู้เรื่องอะไร ?
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้ท่านเอาไฟเผาบ้านของท่านไป
      ถาม :  ถ้าจะให้พระอยู่บ้าน ต้องชำระหนี้สงฆ์ด้วยราคา ?
      ตอบ :  ชำระด้วยราคาปัจจุบัน ถ้าเป็นพระที่นิยมในท้องตลาดก็จุกหน่อยนะ...!
*************************

      ถาม :  ถ้าผมสร้างพระ อธิษฐานถวายเงินให้ท่านพระอินทร์และท่านท้าวเวสสุวรรณ ลงชื่อเป็นชื่อท่าน จะดีไหมครับ ?
      ตอบ :  จะลงชื่อหรือไม่ลงชื่อ ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าเรานึกถึงท่าน แล้วท่านโมทนาก็ถือว่าใช้ได้
      ถาม :  ลงชื่อให้ท่านได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ลงชื่ออย่างนั้นบางทีก็มีโทษ คนที่ไม่รู้เรื่องจะหาว่าเราบ้า...!
*************************

      ถาม :  เบิกเนตรพระพุทธเจ้าทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เบิกเนตรตัวเองให้กว้าง ๆ ไว้ เนตรพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปเบิกหรอก อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว พวกเราต่างหากที่จมอยู่กับอวิชชา ฉะนั้น...เบิกตาตัวเองให้กว้างไว้ ไม่ต้องไปเบิกเนตรพระพุทธเจ้าหรอก ถ้าตามสายหลวงพ่อท่านใช้วิธีบวงสรวง ขอบารมีพระท่านมาสงเคราะห์และเชิญเทวดาท่านมารักษา
*************************

      ถาม :  พี่มักจะมีปัญหากับแม่ เพราะแม่ทำตัวเหมือนเด็ก ๆ เขาเลยรำคาญหงุดหงิด พี่เขารู้ว่าสิ่งไม่ควรเพราะนั่นเป็นแม่ แต่ระงับยับยั้งไม่อยู่เสียที ?
      ตอบ :  ให้เขาไปหัดทำสมาธิเอาไว้ ถ้ากำลังใจทรงตัวก็พอที่จะระงับได้
      ถาม :  จับลมหายใจอย่างนี้หรือคะ ?
      ตอบ :  ใช่…ทรงฌานให้ได้อย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป แล้วจะดีเอง
*************************

      ถาม :  เลี้ยงเด็กให้เก่ง ไม่ดีอย่างไร ?
      ตอบ :  เด็กเก่งจะขาดความสุขในวัยเด็กไปเยอะ เพราะต้องไปเคี่ยวเข็ญเขาไม่ต้องเก่งมาก เอาแค่ได้เอทุกวิชาก็พอ...!
*************************

              “สมัยที่เป็นฆราวาสอยู่ ความที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ มีทิพจักขุญาณ เวลาไปหาพระก็มักจะดูว่าท่านดีจริงหรือเปล่า ท้ายสุดพอไปเจอพระองค์ที่​ ๑๑ เข้า เลยเจอท่านต้มเสียจนเปื่อย เพราะดูท่านไม่ออก จึงเหมาะว่าท่านไม่มีอะไร
              ตอนหลังหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านชมว่า “โง่ดีมาก...!” ท่านบอกว่า “บุคคลที่จะดูคนอื่นรู้ก็คือระดับที่เท่ากัน หรือบุคคลที่เขาต่ำกว่าเท่านั้น ถ้าระดับสูงกว่าเราจะดูเขาไม่ออก” โดนไปทีหนึ่งก็เลยเข็ด ตั้งแต่นั้นมาก็เลิกดู เพราะว่าพระองค์ที่ ๑๑ ท่านบอกว่า “อย่าทำอย่างไอ้พวกแว่นแตก มันถือว่าแว่นมันดี แต่ดูไม่ได้เรื่อง ก็เลยแว่นแตก”
              ก่อนหน้านั้นอาตมาก็คิดว่า ความเป็นทิพย์ของเราสามรถดูได้ทุกคน ตัวอย่างก็คือ ท่านอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ บรรณาธิการหนังสือมหาจักร ฉบับคนพ้นโลกรุ่นแรก ๆ
              อาจารย์ปถัมภ์ลงเรื่องของพระรูปไหน ยืนยันได้ว่าของแท้แน่นอน เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแน่นอน เพราะว่าอาจารย์ปถัมภ์พิสูจน์ด้วยทิพจักขุญาณของตัวเองแล้ว
              พอไปเจอหลวงพ่อวัดท่าซุง อาจารย์ปถัมภ์ไปเขียนบรรยายเสียเลิศลอยว่า ไม่เคยเจอพระที่ไหนบารมีสูงอย่างนี้มาก่อน สว่างไปสามโลกเลย ปรากฎว่าครั้งต่อไปพาญาติโยมไปกราบหลวงพ่อ เจอหลวงพ่อกำลังด่าคนงานอยู่กำหนดใจดูใหม่ ปรากฎว่ามืดตื๋อเลย มองอะไรไม่เห็น ท่านก็ลังเล ไปคุยกับเพื่อนว่า สงสัยหลวงพ่อจะไม่ใช่พระอริยเจ้าระดับสูงอย่างที่คิด น่าจะเป็นได้ไม่เกินพระโสดาบัน เพราะว่ายังมีความโกรธอยู่”
      ถาม :  จะเป็นการปรามาสพระหรือไม่ ?
      ตอบ :  ไม่เป็น เพราะว่าเข้าใจผิด แต่ก็ได้ขอขมาท่าน ท่านบอกว่าไม่ได้เจตนา ท่านไม่ได้ถือโทษหรอก ยังดีที่ท่านเมตตาให้รู้ ต่อไปจะได้ไม่ทำอะไรโง่ ๆ อีก พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภทไว้อย่างหนึ่ง ท่านเปรียบเทียบเอาไว้ว่า
              ประเภทแรก เหมือนกับหม้อเปล่าแล้วเปิด ก็คือ ไม่มีความสามารถ แต่ก็ไม่ปิดบังใคร
              ประเภทที่สอง เหมือนกับหม้อเปล่าแล้วปิด ไม่มีความสามารถ แต่ก็ไม่เปิดเผยตัวเองว่าไม่มีความสามารถ
              ประเภทที่สาม เหมือนหม้อเต็มแล้วปิด มีความสามารถเต็มที่ทุกอย่าง แต่ว่าปิดตัวเอง ไม่เปิดเผยแก่ใคร
              ประเภทสุดท้าย เป็นหม้อเต็มแล้วเปิด มีความสามารถเต็มที่ ท้าพิสูจน์ได้ทุกคน เพราะฉะนั้น...ถ้าเจอประเภทที่สามที่ว่ามานี้ อาจจะโดนหลอกจนหัวปั่นได้
*************************