เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนตุลาคม ๒๕๕๓
ถาม : เวลาที่เรานั่งสมาธิได้ดี ๆ มีโอกาสไหมครับที่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่มาริดรอนเรา ?
ตอบ : มีเหมือนกัน หมายความว่า ช่วนั้นกุศลที่เราเคยสร้างมาต้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถ้ากุศลขาดช่วงเมื่อไร ดีแค่ไหนเขาก็แทรกเข้ามาได้ อย่างพวกเราไม่ค่อยจะต่อเนื่องหรอก ส่วนใหญ่ขาด ๆ เกิน ๆ
อาตมาจึงได้บ่นกับพระที่วัดว่า เกิดใหม่ผมจะเลิกทำบุญเลย ถามว่าทำไม ? โยมเขาให้อะไรมาเยอะจนน่ารำคาญ บางวันเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร ๗ - ๘ ราย ไม่รู้จะฉันลงไปอย่างไร
ที่แสบที่สุดก็คือ เวลาให้เงินแล้วเณรวิ่งไปซื้อขนมกิน ทั้ง ๆ ที่ขนมมีจนท่วมวัด แต่กลับไปซื้อขนมในตลาด ขนมที่เขาถวายเต็มไปหมด เณรไม่กินหรอก เพราะไม่ตรงกับกิเลสของเขา
ที่อาตมาบอกว่าเกิดใหม่จะเลิกทำบุญ ก็คงเป็นแค่คำพูดเท่านั้นแหละ ถึงเวลาจริง ๆ คงทำไม่ได้หรอก เพราะทำจนเป็นสันดานไปแล้ว เป็นความเคยชินที่สืบเนื่องมานับชาติไม่ถ้วน ถึงเวลาก็ยังเป็นไปตามสภาพนั้น
*************************
“ตอนช่วงนั้นอาตมาธุดงค์อยู่ในป่า ที่เกาะพระฤๅษีมีเณรไปอบรม ๘๗ รูป เขาไม่รู้จะติดต่อกับอาตมาอย่างไร เพราะตอนนั้นอาตมาอยู่ในห้วยขาแข้ง เขาเลยใช้วิธีจุดธูปเรียก...!
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาประกาศเลยว่า “ใครจุดธูปเรียกกู จะต้องเป็นไปหากูเอง...!” ลองดูก็ได้ อยู่สุดเหนือสุดใต้ยิ่งดี แน่จริงจุดเลยจุดเมื่อไร มึงต้องเดินมาหากูในป่าเอง...!”
ถาม : เขาจุดธูป แล้วท่านได้ยินได้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่ได้ยิน น่าจะได้กลิ่นมากกว่า คนที่จุดธูปเรียก ชื่ออาจารย์เบ็ญจา มีลูกสาวชื่อเบญจพร ที่ใคร ๆ เขาเรียกว่ าป้าเม้า
เวลาอาตมาธุดงค์อยู่ในป่าจะมีความสุขมาก จึงสงสัยว่าเกิดจากอะไร ?
ประการแรก เป็นเพราะความรู้สึกที่เป็นอิสระ หลุดพ้นจากภาระ แค่ภาระทางโลกบางส่วนที่รับผิดชอบอยู่ พอปล่อยวางลงแค่ชั่วคราว ยังมีความสุขขนาดนั้น แล้วภาระใหญ่คือร่างกาย ถ้าวางลงได้จะมีความสุขขนาดไหน ?
ประการที่สอง บรรดาสัตว์ที่อยู่ในป่า เขาคิดอย่างไร เขาก็ทำเช่นนั้น ไม่หน้าไหว้หลังลอกเหมือนกับคน
เวลาพระท่านเลี้ยงหมา เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาถามท่านว่า “คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า เวลาคุณให้การสงเคราะห์สัตว์ด้วยเมตตา ทำไมจิตใจจึงสบายกว่าการที่คุณสงเคราะห์คน ?”
ได้บอกกับพระท่านไปว่า “การสงเคราะห์สัตว์ คุณรู้อยู่ว่าเขาตอบแทนอะไรคุณไม่ได้ คุณก็เลยให้การสงเคราะห์โดยไม่มุ่งหวังการตอบแทนใด ๆ
แต่การสงเคราะห์คน ความรู้สึกที่ว่าคนรู้ภาษา ต่อให้เขาไม่ตอบแทนอะไร อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาชมเราว่าดีสักนิดก็ยังดี เลยเป็นการสงเคราะห์ที่คับแคบกว่า ไม่เป็นอัปปมัญญา เพราะว่ายังหวังผลตอบแทนอยู่โดยไม่รู้ตัว”
ดังนั้น จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมการสงเคราะห์สัตว์จึงสบายใจว่าการสงเคราะห์คน
ตอนอยู่ในป่ากับพวกสัตว์ก็เช่นกัน พวกเขาตรงไปตรงมา คิดจะไล่ฟัดเราก็ไล่เลย ไม่มีประเภทแอบแทงข้างหลัง สบายใจกว่ากันเยอะ
ในป่าลึก ๆ พวกสัตว์ไม่ค่อยเจอคน เขาก็เลยไม่กลัวคน บางทีไปเจอกวาง เขาก็ยืนมองเฉย เขาแค่ทำหูผึ่งและหางตกตั้งขึ้นเท่านั้น ถ้ากวางยกหาง แสดงสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันเป็นภาษากายของเขา แต่ถ้าสัตว์ที่อยู่รอบนอก ที่เคยโดนคนล่ามา จะเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก
บางทีเราเดินคนเดียวเงียบ ๆ พวกสัตว์เขาไม่รู้ตัวก็มี ที่บึงลับแล มีลิงอยู่ฝูงหนึ่งประมาณ ๓๐ ตัว เล่นกันโครมครามเกรียวกราว และจะมีลิงที่เป็นยามอยู่ตัวหนึ่งอยู่บนก้อนหิน คอยดูว่ามีอันตรายหรือไม่ ถ้ายามตัวนี้ไม่ร้อง ทั้งกลุ่มก็จะไม่หนี
แต่ว่ายามตัวนี้ดันตาถั่ว อาตมาเดินไปจนติดหลังแล้ว ยังหาหมัดหาเห็บง่วนอยู่เลย แต่ก็ขำตรงที่พอเขาหันมาเห็นเรา เขาตกใจขี้เยี่ยวราด ร้องจ๊ากขึ้นมา พรึ่บเดียวเท่านั้นเอง หายเงียบไม่เหลือสักตัว
จึงไม่เแปลกใจว่าต่อให้มียามอยู่ ทำไมเสือยังเอาลิงไปกินได้ เพราะบางขณะเขาก็เซ่อเหมือนกัน ขนาดว่าอาตมาเดินไปติดหลังแล้วยังไม่รู้ตัวเลย
แต่ลิงที่บึงก็น่าสงสาร พอถึงเวลาหน้าหนาวก็หนาวจริง ๆ อาตมาไปอยู่ที่นั่นแล้วก่อไฟ ลิงจะปีนไปตามโขดหินมาขอไออุ่นด้วย พอเขาโดนควันไฟก็ไอค่อกแค่กเหมือนคนไม่มีผิด แต่ถ้าจะเข้าห้องน้ำห้องส้วมต้องเอาย่ามไปด้วย ทิ้งอะไรเอาไว้ลิงค้นกระจายหมด
ตอนอยู่ที่นั่น อาตมาเลี้ยงกระแตไว้ ๔ - ๕ ตัว กระรอกกับกระแตนั้นต่างกันกระรอกหางจะฟู ส่วนกระแตหางจะยาวเรียว พอเวลามีอาหารเหลืออาตมาก็วาง ๆ เรียงไว้ กระแตก็จะวิ่งมาคาบไป แรก ๆ คาบได้เขาก็เผ่น พอนานไป ๆ เห็นว่าอาตมาไม่ทำอะไร เขาก็นั่งกินอยู่ตรงนั้นเลย พวกกระรอกกระแตเวลาจะกินเขาใช้สองมือจับ แล้วก็นั่งแทะ ๆ ดูแล้วน่ารักเหมือนคนไม่มีผิด
นอกจากนี้ยีงมีนก เรียก นกเอี้ยงถ้ำ ตัวจะมีลายจุด ๆ ด้วย เรานั่งกรรมฐาน เขาก็คิดว่าเป็นตอไม้ มาหากินอยู่ใกล้ ๆ กระโดดซ้ายกระโดดขวาไปเรื่อย พอเลิกกรรมฐานลืมตา เขาก็เอียงคอมอง บางทีก็ร้องเหมือนจะถามว่า “เอ็งไม่คิดจะไปหากินอะไรบ้างเลยหรือ นั่งเฉยอยู่ได้” ในสายตาของนก อาตมากลายเป็นคนขี้เกียจไปเลย ไม่ยอมออกไปทำมาหากินสักที
ในบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะบอกว่าปัญญาเขาน้อยก็ใช่ แต่ความกังวลของเขาก็น้อยกว่าเราไปด้วย เขาไม่หวงว่ามื้อต่อไปจะมีกินหรือไม่ คิดแค่ปัจจุบันตอนนั้นจริง ๆ มีก็คือกิน ไม่มีก็หาต่อไป หมดวันหาไม่ได้ก็อดเอา พรุ่งนี้ค่อยหาใหม่ แต่คนเราจะต้องห่วง ต้องสะสม ต้องเตรียมการ ความทุกข์ของเราจึงมีมากกว่าสัตว์เยอะเลย
เวลาอยู่ในป่า ถ้าสภาพจิตไม่ได้รับการฝึกมาดี จะเกิดอาการหลอกตัวเอง บางคนกางกลดอยู่ ช่วงเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนหรือตีนหนึ่ง น้ำค้างเริ่มลงหยด ..แปะ...แปะ ย่ิงเวลาน้ำค้างตกใส่ใบไม้ใหญ่ ๆ ที่อยู่บนพื้น เสียงก็ยิ่งดังเหมือนกับใครมากระโดดดึ๋ง ๆ ก็จินตนาการไปว่าเป็นผีกองกอยขาเดียวกำลังกระโดดอยู่ เลยกลัวขวัญหนีดีฝ่ออยู่คนเดียว
บางทีลมภูเขาพัดมา เสียงผ้าสะบัดดัง “ปั๊บ ๆ ๆ” เหมือนกับเสียงคนเดิน นอกจากนี้มีต้นไม้บางประเภท เรียกไม่ถูกว่าต้นอะไร ก้านใบใหญ่มากเวลาใบแก่ร่วงลงมา จะหมุนควงเอาก้านลงกระแทกพื้นเสียงดัง “ตึ้ก..ตี้ก...ตี้ก” ความรู้สึกของเราก็จะคิดไปว่า สงสัยผีกระโดดลงจากต้นไม้มา เดี๋ยวจะต้องย่องาหาเราแน่เลย คราวนี้นอนเหงื่อแตกพลั่ก...!
เรื่องพวกนี้เราต้องศึกษาให้ชินเข้าไว้ ถ้าเรารู้เท่าทันก็จะไม่กลัว เพราะในส่วนที่กลัวก็คือกลัวตาย จัดเป็นอวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้เหมือนกับความมืด ถ้าหากว่าความมืดมีอยู่ ก็จะปิดบังไม่ให้เห็นความจริง
พออาตมาคิดว่าทำไมผีกระโดดบ่อยจัง จึงเปิดกลดออกไปส่องไฟดู ทีนี้เห็นชัดเลยว่าใบไม้กำลังหมุนควงตกลงมาบนพื้น แสงสว่างที่ส่องออกไปพบต้นตอของปัญหา ก็เหมือนกับปัญญาของเรา
เมื่อปัญญามาถึง อวิชชาหรือความไม่รู้ที่เป็นความมืดก็ถอยไป คราวนี้จะมากี่ “ตึ้ก” ก็เฉย เพราะรู้แล้วว่าเป็นใบไม้ ไม่ใช่ผีอย่างที่คิดกลัวไปเอง
แต่สัตว์บางประเภทก็น่ากลัวสำหรับพวกเรา อย่างพวกงูจงอาง บางทีอาตมานอนอยู่ ได้ยินเสียงเลี้อยมาชัดเจนมาก จึงส่องไฟไปกระทบตา ตางูก็จะแปลก...จะสีเขียวก็ไม่ใช่ จะสีแดงก็ไม่ใช่
อาตมาต้องเขย่าไฟฉายให้รู้ว่ามีคนอยู่ทางนี้ ให้เขาเบนหัวไปทางอื่น ถ้าส่องไฟนิ่ง ๆ เดี๋ยวงูจะมาถึงตัว
ตอนอยู่ที่บึงลับแล บางทีฝนตก พวกสัตว์ที่ออกหากินเปียกฝน ก็วิ่งมาหลบฝน ส่องไฟเข้าไปเห็นตาเขียว ๆ ฟ้า ๆ สว่างโร่เลย วิ่งรี่เข้ามา พอกระทบแสงไฟเขาหยุดทันที เห็นแต่ตาเพราะตัวดำปี๋เลย
ปรากฎว่าเป็นเลียงผา จะวิ่งมาหลบฝนในเวิ้งที่เคยพักอยู่ แต่กลายเป็นว่ามีพระมาอยู่แทนเสียแล้ว ตกลงว่าวันนั้นเขาต้องตากฝนต่อไป สัตว์ทุกชนิดจะกลัวคนโดยธรรมชาติ
อาตมาเคยเดินแล้วฝนตก จึงรีบวิ่งเข้าภูเขา เพราะเชื่อว่าจะต้องมีเวิ้งถ้ำ หรือชะโงกผาบางส่วนไว้หลบฝนได้ พอเห็นชะโงกผาก็พรวด เข้าไป ตกอยู่กลางฝูงลิง ๓๐ - ๔๐ ตัว
พวกลิงตัวใหญ่ ๆ ประเภทนายทหารหรือจ่าฝูงก็ตะคอกใส่ จนหูอาตมาจะระเบิด หลังจากนั้นก็ล้อมส่งเสียงขู่ไว้ไม่ให้กระดิกตัว อาตมาก็สงสัยว่าจะทำอะไรก็ไม่ทำ ส่งเสียงขู่อยู่ได้
พอเหลือบตาดู ที่ไหนได้ เห็นลิงตัวใหญ่ ๒ - ๓ ตัว ช่วยกันต้อนตัวเมียกับลูกเล็ก ๆ ให้รีบไป เดินตามกันปีนลงหน้าผาไปเป็นทาง พอตัวสุดท้ายพ้นสายตาของเรา พวกตัวใหญ่ ๆ กระโดดทีเดียวหายวับไปเลย ถ้าเจอลักษณะอย่างนั้นให้ยืนนิ่งเข้าไว้ ถ้าขยับโดนกัดแน่ ๆ ...!
มีพระอยู่รูปหนึ่งไปอาศัยพักที่วัดท่าขนุน ท่านจะเดินทางเข้าทุ่งใหญ่แล้วก็ลัดไปห้วยขาแข้ง
ท่านมีแผลเป็นใหญ่มากบนศีรษะ เพราะโดนหมีกัด จึงถามว่า “คุณรอดมาได้อย่างไร ?” ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเองก็ไม่รู้ว่ามีหมีนอนอยู่หลังขอนไม้ ท่านปีนข้ามไปเหยียบเข้า หมีลุกขึ้นมาได้ก็รัดท่านเอาไว้ อ้าปากขบหัวเลย ท่านบอกว่า เสียงเขี้ยวทะลุกะโหลกศีรษะดัง “โป๊ะ” ได้ยินชัด ๆ เลย แล้วท่านก็หมดสติไป หมีคิดว่าท่านตายแล้วก็เลยวางทิ้ง
ท่านสลบไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ตื่นขึ้นมามดแดงเต็มไปหมด มดยกขบวนมากินเลือด เพราะเลือดนองพื้นไปหมด ท่านต้องเอาผ้าอาบพันหัว แล้วโซซัดโซเซออกมาหาหมอ รักษาตัวอยู่ตั้งหลายเดือนกว่าจะหาย
ท่านบอกว่า โชคดีที่เขี้ยวหมีฝังไม่ถึงเนื้อสมอง ส่วนที่โดนไม่ใช่ส่วนสำคัญ มิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นอัมพาต ออกไปไหนไม่ได้ ตายอยู่ตรงนั้นเลย...!
จุดที่อาตมานับถือน้ำใจท่าน คือ ท่านกำลังจะเข้าป่าไปอีก เป็นพวกเราจะกล้าไหม ? โดนเข้าไปขนาดนั้น แสดงว่าท่านเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ถ้าเอาชนะความกลัวไม่ได้ ไม่มีทางที่จะกล้าเข้าไปอีก
อย่าลืมว่าพระครูหน่อยของเรา ท่านไม่ได้โดนเสือกัดนะ แค่ไปจ๊ะเอ๋มองตากับเสือเท่านั้นเอง กลายเป็นว่าชวนเท่าไรก็ไม่เข้าป่าอีก ท่านไม่ได้โดนกัดเลยนะ แต่พระท่านนี้โดนกัด แล้วแผลดูน่ากลัวมากด้วย
ท่านสามารถเอาชนะความกลัวตาย ซึ่งเป็นเหตุของความกลัวทั้งหมดได้ กลับเข้าไปธุดงค์ใหม่ ต้องนับว่าเป็นสุดยอดกำลังใจ ลองเปรียบเทียบกับพวกเราดู แค่โดนพวกสัตว์ไล่ จะกล้ากลับเข้าไปอีกไหม ?
แต่พระก็เอาชีวิตไปทิ้งในป่าได้ทุกปี ยิ่งระยะหลัง พวกพรานยิงสัตว์เจ็บเอาไว้ เวลาสัตว์เจอคน เขาไม่ได้แยกหรอกว่าพระหรือพราน เขาเห็นว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเขาเท่านั้น จึงมักพุ่งเข้าใส่ก่อนเลย...!
ในเรื่องการเดินธุดงค์ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกไว้ว่า การธุดงค์นั้นมี ๒ แบบด้วยกัน
แบบที่ ๑ คือ เดินไปหาที่สงบซึ่งเหมาะแก่ใจตนเอง แล้วก็ปฏิบัติภาวนาอยู่ที่นั่น
แบบที่ ๒ คือ เดินไปแล้วกำหนดภาวนาไปด้วย
แต่อาตมาถนัดแบบที่ ๒ เพราะฉะนั้น...วันหนึ่งก็เลยเดินประมาณ ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ระยะหลังจึงไม่ค่อยมีคนอยากไปด้วยเพราะเหนื่อย อาตมาเดินไปภาวนาไปก็สบาย ส่วนคนที่เดินแล้วกำหนดภาวนาไม่ได้ ก็เหนื่อยลิ้นห้อยไป...!
การธุดงค์มีแต่ความลำบาก แต่ความลำบากนั้นแล จะเสริมสมรรถนะให้แก่เรา ถ้าเราเคยลำบากขนาดนั้น ต่อไปเจอในส่วนที่ลำบากไม่ถึงอย่างคราวก่อน เราจะรู้สึกว่าสบาย
คนกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเด็กบ้านอก แต่พออยู่กรุงเทพฯไปนาน ๆ ความสบายเริ่มเกาะ ทำให้เสื่อมสมรรถภาพไปเลย เดินไกลหน่อยก็หอบจนลิ้นห้อย
ตอนที่ท่านก้องจะออกธุดงค์ครั้งแรก อาตมาให้ท่านก้องซ้อมเดินอยู่ทุกวันเป็นเวลา ๑ อาทิตย์เต็ม ๆ ถ้าในสายตาคนอื่นคือ “มันบ้า...!”
วันแรกที่ให้ไปซ้อมเดิน ท่านก้องเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ในเมื่อเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ก้อแปลว่าต้องเดินกลับอีก ๑๖ กิโลเมตร วันนั้นเท้าของท่านก้องพองหมด
อาตมาเห็นจึงบอกว่า “รุ่งขึ้นเอ็งคลานแน่ ทำไมทะลึ่งไปเดินอย่างนั้น” เขาถามว่ามีวิธีแก้ไหม ? อาตมาบอกว่า “มี ...พรุ่งนี้ไปเดินให้เท่าเดิม อย่างน้อย ๆ ให้ได้ ๓ - ๔ วันติดกัน จะได้อยู่ตัว แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณพัก คุณจะต้องนอนยาวไปอีก ๒ - ๓ วันเป็นอย่างน้อย ถึงจะลุกได้”
สรุปว่าเขาบ้าพอ รุ่งขึ้นเขาก็ไปเดินซ้ำมาอีก ๓๒ กิโลเมตร กลับมาถึงพลาสเตอร์ยากล่องหนึ่ง ๑๐๐ แผ่นของอาตมา ท่านปิดแผลพุพองคนเดียวเกือบหมดกล่อง...!
หลังจากที่ซ้อมไป ๑ อาทิตย์ ก็ส่งท่านก้องไปบ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ให้ไปซ้อมกับท่านโมเช่ อีก ๑๐ วัน แล้วอาตมาค่อยตามไปพาท่านเดินป่าทีหลัง ท่านก้องถึงได้เดินทัน ถ้าไม่ซ้อมไว้ก่อน เริ่มเดินครั้งแรกเลย รับรองได้ว่าโดนทิ้งไกลลิบ...!
*************************
ถาม : ตอนบวชอยู่วัดท่าซุงกับตอนที่ออกจากวัดท่าซุงแล้ว ตอนไหนเหนื่อยกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่วัดท่าซุงเหนื่อยกว่า เพราะตอนที่อาตาออกมา ทางวัดต้องหาพระไปทำงานแทนอาตมาตั้ง ๕ รูป โปรดนึกเอาเองก็แล้วกันว่า อาตมาหมกงานไว้เยอะขนาดไหน ?
ถาม : แล้วตอนที่ลาไปเฝ้าหลวงปู่มหาอำพัน ?
ตอบ : เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ทั้งตอนที่อาตมาเป็นฆราวาสและเป็นพระ เวลาคนอื่นลาอาตมาสามารถทำหน้าที่แทนเขาได้ทุกตำแหน่ง แต่พอเวลาตัวเองลาบ้าง เพื่อนกลับทำแทนไม่ได้สักที ทุกครั้งเมื่ออาตากลับมา ต้องมานั่งทำงานที่ค้างอยู่ประมาณ ๓ วันเป็นอย่างน้อย
หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้แล้วว่า ใครก็ตาม...ถ้าคิดว่าขาดตนเองไปแล้ว หน่วยงานจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ประหารหมด...! เพราะไม่มีใครสำคัญขนาดนั้น ขาดเราไปอย่างไรต้องมีคนแทนได้ ถึงแม้ว่าต้องใช้คนแทนมากหน่อย แต่อย่างไรก็ต้องแทนได้
ในวัดท่าซุง ส่วนใหญ่พระที่ไปบวชอยู่ก็หวังปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนั้น เขาก็ไม่ค่อยจะทำงานกัน คือ ไม่ค่อยรับผิดชอบงานใดที่ผูกมัดตัวเองมาก
จากประสบการณ์ของอาตมา ไม่ว่าจะเป็นพระและฆราวาส ถ้าเขาเคยใช้งานคนไหนได้ ถึงเวลาเขาก็ใช้แต่คนนั้น ฉะนั้น..คนที่เคยรับงานก็รับเพิ่มไปเรื่อย คนที่ไม่รับก็ไม่รับเหมือนเดิม
ตอนที่ออกมาแล้วกลับไป หลวงพี่อนันต์ท่านบอกว่า ท่านต้องหาใครมาแทนอาตมาบ้าง เราได้ยินแล้วตกใจ พอเราไม่อยู่เขาหามาตั้ง ๕ คน
คนที่ ๑ อยู่เวรหน้าตึกหลวงพ่อ
คนที่ ๒ ดูแลโรงครัว
คนที่ ๓ ดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ องค์
คนที่ ๔ ดูแลเรื่องเลี้ยงปลา อาหารปลา
คนที่ ๕ ดูแลเรื่องบัญชี
ก่อนหน้านั้นอาตมาทำคนเดียว แปลกใจอยู่ว่า ตัวเองแบ่งภาคไปทำงานทั้งหมดนั้นได้อย่างไร ?
*************************
สรุปว่าตั้งแต่เริ่มคุยมาจนป่านนี้ ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจของเราเกาะความดีเอาไว้ได้ แต่เรามักจะไม่รู้ตัวกัน มีน้อยคนที่ตั้งใจใช้การภาวนาไปเลย
ถ้าเรายังต้องอาศัยเวลาที่กำหนดไว้แล้วค่อยมาปฏิบัติ จะไม่มีวันพอรับประทาน เพราะว่าการปฏิบัติ เราต้องทำได้ทุกอิริยาบ ทุกเวลา เพราะกิเลสไม่ได้เล่นงานเราเป็นเวลา แต่กิเลสเล่นงานเราตลอดเวลา ถ้าอยู่ในอิริยาบถอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การนั่งภาวนา แล้วเราไม่สามารถที่จะระงับกิเลสได้ แปลว่าเรายังห่างไกลความดีอยู่มาก
พวกเราตอนนี้อาจจะสงสัยว่า ทำไมนิวรณ์ ๕ หรือ รัก โลภ โกรธ หลง ทำไมกินใจเราไม่ได้ ? ทั้ง ๆ ที่นั่งฟังมาตั้งนาน เราต้องมานั่งวิจัยอารมณ์จิตตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร ?
เพราะเราได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดี ไม่ก่อให้เกิด รัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ? เพราะกำลังใจของเราคิดตามไปในสิ่งที่ดีทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ไปข้องแวะใน รัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ?
ถ้าสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นอย่างไร ต่อไปเราก็ทำเองแบบนั้น ในเมื่อเราทำเองไได้แบบนั้น ต่อไปผลดีก็จะเกิดแบบนั้น
เรื่องพวกนี้พวกเราอ่อนมาก ขาดการวิเคราะห์วิจัยและแยกแยะสภาพจิตของตน ว่าสภาพจิตเราดีเพราะอะไร ? แล้วสภาพจิตไม่ดีเพราะอะไร ? ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้ แยกแยะออก เราก็เว้นในสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็เลือกทำแต่สิ่งที่ดี สภาพจิตก็จะเคยชินกับด้านดี
ดีกับชั่วก็เหมือนกับคนแย่งกันนั่งเก้าอี้ เก้าอี้มีอยู่ตัวเดียว ถ้าดีนั่งได้ ชั่วก็นั่งไม่ได้ เมื่อสภาพจิตรับความดีเข้ามา ความชั่วก็เข้าไม่ได้
ในส่วนนี้ ถ้าจัดอยู่ในโพชฌงค์ ๗ เรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือองค์คุณเป็นเครื่องช่วยให้ตรัสรู้โดยการแยกแยะในธรรม
ถ้าจัดอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็เป็นส่วนของ เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม
ในเมื่อรู้ว่าเราบกพร่องตรงจุดไหน ? อ่อนตรงจุดไหน ? เราก็แก้ไขตรงจุดนั้น ถ้าเราเคยเล่นกีฬา เราจะรู้ว่าเรามีข้อบกพร่องตรงไหน
สมัยก่อนอาตมาเล่นกีฬาแทบทุกชนิด มีกีฬาบางชนิด เช่น ปิงปอง หรือแบตมินตัน อาตมาไปเจอคู่ต่อสู้เก่ง ๆ ชนิดที่ถูกเขาโยกจนหัวทิ่มหัวตำ อาตมาก็ต้องหาทางแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง และท้ายสุดก็ฝึกการใช้สองมือจนสามารถใช้มือซ้ายได้เกือบเท่ามือขวา
พอคู่ต่อสู้ตีลูกโยกมา คราวนี้ก็ไม่ต้องวิ่งมากแล้ว แค่ก้าวยาว ๆ ก้าวเดียวก็เปลี่ยนมือรับได้เลย เพราะฉะนั้น...ต้องรู้จักแก้ไขจุดบกพร่องตัวเอง ถ้าไม่รู้จักแก้ไข กี่ที ๆ มาท่านั้นก็ร่วงทุกที ถ้าอย่างนี้ ชาตินี้ปฏิบัติไปก็ไม่รู้จะเอาดีได้เมื่อไร
ลีลาของกิเลสจะมาแค่ รัก โลภ โกรธ หลง ๔ อย่าง แต่แตกแขนงแยกย่อยออกไปเป็นหัวข้อนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าเป็นวิชารัก ก็แยกออกไปไม่รู้ ว่ากี่แขนง วิชาโลภ วิชาโกรธ วิชาหลง ก็นัยเดียวกัน เมื่อเป็นดังนั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเองให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันเอาชนะกิเลสได้เลย...!
*************************
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓
ถาม : ทำอย่างไรจะได้ฌานสี่เร็ว ๆ ?
ตอบ : อย่าอยาก หยุดอยากเมื่อไรมีโอกาสได้ทันที ตราบใดที่ยังอยากอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าฌานสี่ต้องมีอุเบกขา ถ้ายังอยากอยู่ก็ยังไม่เป็นอุเบกขาสิ
เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌานก็ช่าง แค่นั้นแหละ...จบ
*************************
ถาม : ตอนนี้ใจเย็นลงกว่าเดิม เป็นเพราะพรหมวิหารสี่หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากพรหมวิหารสี่ทรงตัว ต้องใจเย็นโดยอัตมัติอยู่แล้ว แต่บางทีเรื่องการใจเย็น อาจจะเกิดจากสมาธิดีขึ้นด้วยก็ได้
เพราะฉะนั้น...ยังไว้วางใจไม่ได้ เผลอเมื่อไรเดี๋ยวหลุด ถ้าหลุดไปอีกคราวนี้เราจะไหลกับคนรอบ ๆ ข้าง แต่ถ้าพรหมวิหารทรงตัวจริง ๆ จะเย็นเองโดยอัตโนมัติ
ถาม : ถ้าสมาธิตก พรหมวิหารที่ทรงตัวก็ตกด้วย ?
ตอบ : ตกไปด้วย ยกเว้นว่าเราสามารถทำได้เลย ถ้าเราทำได้เลย ต่อให้สมาธิตก แต่กำลังใจก็ไม่ได้ตกไปด้วย ถ้าถึงระดับนั้นแสดงว่าพื้นฐานแน่นมากแล้ว ตอนนี้ไม่น่าจะใช่ของเราหรอก
*************************
ถาม : ส่วนใหญ่ในสายหลวงพ่อฤๅษี ถ้าถึงฌานสี่จะหลุดออกไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ฌานสี่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มีเยอะแยะไป
ถาม : พอถึงฌานสี่ก็โดนดีดออกไปทุกที ทำไมอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ ?
ตอบ : อย่าไปใส่ใจ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ถาม : ไม่รู้ว่าเป็นฌานอะไร จึงไปเทียบจากตำรา แต่ก็ไม่ตรงตามตำราเพราะยังภาวนาและรู้ลมหายใจตลอด ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่าง อย่างแรก คือ เราเข้าใจผิดว่าใช่ ส่วนอย่างที่สอง คือ เป็นฌานใช้งาน
ถ้าฌานใช้งานอย่างละเอียด จะสามารถกำหดนรู้ทุกอย่างได้เหมือนกัน แต่ให้สังเกตอยู่อย่างเดียวว่า ลมหายใจละเอียดมากเป็นพิเศษ ละเอียดถึงขนาดรู้สึกว่าลมหายใจเป็นเส้นด้ายเล็ก ๆ แค่นั้นเอง
ถาม : อย่างนี้ฌานใช้งานก็ไม่รู้จะเอาอะไรเทียบ ว่าเป็นฌานไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าหากซักซ้อมจนชำนาญก็จะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่
ให้สังเกตง่าย ๆ ว่า ถ้าเป็นปฐมฌานจะอ่อนไหวและสลายตัวได้เร็ว แต่ถ้าเป็นฌานสี่จะหนักแน่นทรงตัว บางทีอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี ไม่ใช่ว่าไม่สลาย พังเหมือนกัน แต่พังช้ากว่า
*************************
ถาม : แหวนจักรพรรดิ มีวิธีใช้เฉพาะไหมครับ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ทุกเรื่อง ถึงเวลาก็อาราธนาไว้บ่อย ๆ ก็แล้วกัน
*************************
“อย่าเลี้ยงลูกให้เก่ง อย่าเลี้ยงลูกให้ฉลาด แต่เลี้ยงลูกให้มีความสุขประสาเด็กก็พอ แล้วรีบเอาอะไรยัดเยียดเข้าไปเต็มสมองลูก เดี๋ยวเขาจะไม่ใช่เด็ก”
*************************
ถาม : การที่เรานึกถึงภาพพระ แล้วจับภาพพระด้านข้าง ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์ เราอยากดูด้านไหนก็จะเป็นด้านนั้น
ถาม : เราควรดูเฉพาะด้านหรือเปล่า ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ชอบอย่างไรก็ดูอย่างนั้น ไม่ได้สำคัญว่าเป็นแบบไหน สำคัญว่านึกถึงท่านได้หรือไม่
*************************
ถาม : หนังสือที่ท่านเขียน ถ้าอ่านแล้วโดนใจเรา แสดงว่า ?
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจของเราตอนนั้น อยู่ใกล้ ๆ เคียง ๆ กับข้อความเหล่านั้นแหละ
*************************
บ้านอนุสาวรีย์จะอยู่ถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เท่านั้น วันที่ ๑-๒-๓ เมษายน จะย้ายไปรับสังฆทานที่บ้านวิริยบารมี
ส่วนวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ จะมีการทำบุญฉลองขึ้นบ้านใหม่ ที่บ้านวิริยบารมี
*************************
“อ่านเรื่อง เทพมารสะท้านภพ ไปแล้ว จะเจอหลักวิชา มีความใคร่แต่ไร้รัก มีรักแต่ไร้ความใคร่ เป็นหลักการที่ต้องทำ
มีรักแต่ไร้ความใคร่ จะต้องเป็นตัวพรหมวิหารสี่ ส่วนมีความใคร่แต่ไร้รักนั้น จะว่าไปแล้วเป็นอุเบกขาอย่างหนึ่ง ทำอย่างไรที่จะไม่ให้ผูกพันอยู่ในเรื่องระหว่างเพศ แต่เป็นกำลังใจแบบมิจฉาสมาธิ
พระเอกในเรื่องใช้จิตใจที่มุ่งมั่นอยู่กับคนรัก ทุ่มเทให้กับการฝึกกระบี่ พูดง่าย ๆ ก็คือ เขารักผู้หญิงมากเท่าไร เขาก็ใช้กำลังใจระดับนั้นในกรฝึกกระบี่ เขาก็เลยกลายเป็นยอดฝึมือระดับต้น ๆ ของยุทธจักรได้
แต่คราวนี้อยู่ที่เราจะเอามาดัดแปลงใช้ ถ้าเรามีความรักในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากเท่าไร เราก็ต้องทุ่มเทการปฏิบัติให้สมกับความรักเช่นกัน”
พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู ในหลวงของเรา เป็นหนังสือที่เขียนโดย พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน
“คราวหนึ่งในหลวงป่วย สมเด็จย่าก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน อยู่คนละมุมตึก ตอนเช้าในหลวงเปิดประตูแอ๊ดออกมา พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลม ผ่านหน้าห้องพอดี
ในหลวงพอเห็นแม่ก็รีบออกจากห้อง มาแย่งเข็นรถ มหาดเล็กกราบทูลว่าไม่ต้องเข็น ให้พยาบาลเข็น ในหลวงบอกว่า “แม่ของเราทำไมต้องให้คนอื่นเข็นด้วย เราเข็นเองก็ได้” นี่ขนาดพระเจ้าแผ่นดินเป็นกษัตริย์ ยังมาเข็นรถให้แม่ มาป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่
ดูว่าในหลวงปฏิบัติต่อสมเด็จย่าอย่างไร ? สมเด็จย่าอยู่โรงพยาบาลศิริราช ในหลวงไปเยี่ยตอนไหน ? ไปเยี่ยมตอนตีหนึ่งตีสอง ตีสี่เศษ ๆ ก็เสด็จกลับ เฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง
แม่พอเห็นลูกมาเยี่ยมก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทีมแพทย์ที่รักษาเห็นในหลวงมาเยี่ยม ก็ต้องฟิตตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือว่าจะให้ยาอย่างไร ต้องปรับปรุงการรักษาอย่างไร ทำให้สมเด็จย่าได้รับการดูแลที่ดีขึ้น
กลางคืนในหลวงอยู่กับสมเด็จย่าคืนละหลายชั่วโง ลองหันมาดูตัวเราซิ ว่าพ่อแม่ป่วย เราเคยโผล่หน้าไปดูสักหน่อยไหม ? ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง พ่อแม่ยังไม่ทันจะบอกเลย ก็รีบบอกว่า “ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องรีบไปแล้ว” โผล่ไปแค่เป็นมารยาทเท่านั้นแล้วก็กลับ ไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู
ในหลวงเสด็จจากวังสวนจิตรฯ ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ ? ไปกินข้าวกับแม่ ในหลวงเสด็จไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละกี่วัน ทราบไหมครับ ? สัปดาห์ละ ๕ วัน...!
พวกเราแค่ซี ๗ ซี ๘ ซี ๙ ร้อยเอก พันตรี พลตรี อธิบดี ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่เลย บอกว่างานยุ่ง ให้พาแม่ไปกินข้าวหน่อย ก็บอกว่าไม่มีเวลา...จะไปตีกอล์ฟ ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ เห็นหรือยังว่าตัวเองทำอย่างไร ?
พ่อแม่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ฝนตก น้ำเซาะ อีกไม่นานก็โดนโค่น ถึงวันนั้นเราก็ไม่มีแม่แล้ว ในหลวงจึงตัดสินพระทัยไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ ๕ วัน
อีกสองวันไปไหครับ ? อีก ๒ วัน ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์ บอกว่าในหลวงถือศีลแปดวันพระ อดข้าวเย็น ก็เลยไม่ได้ไปหาแม่ เพราะว่าถือศีลอีกวันหนึ่งที่เหลือก็อาจจะกินข้าวกับพระราชินี หรือคนใกล้ชิด แต่ให้แม่ไป ๕ วัน เห็นชัดไหมครับ ?
ทุกครั้งที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ก็ไปกราบที่ตัก สมเด็จย่าจะดึงในหลวงมากอดและก็หอมแก้ม ในหลวงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน กราบคนธรรมดาที่เป็นแม่ บางคนเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่”
*************************
ถาม : จะเอาน้ำมันชาตรีไปใส่กับน้ำมันอื่นได้ไหมครับ ? นอกจากน้ำมันงา ?
ตอบ : อะไรสมควรก็ใส่ไป สาเหตุที่เขาใส่น้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าวเพราะเขาเผื่อว่าเราจะกินรักษาโรคได้
ถ้าใส่น้ำมันอื่น ถึงเวลาก็พิจารณาด้วย ถ้ากินไม่ได้ก็อย่าเผลอกินเข้าไปก็แล้วกัน
*************************
|