ถาม : อะไรทำให้ท่านเปลี่ยนใจจากการปรารถนาพระโพธิญาณ ?
ตอบ : ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะปรารถนาพระโพธิญาณ แต่เกิดจากการที่อาตมาติดตามหลวงพ่อวัดท่าซุงมานาน ในเมื่อหลวงพ่อปรารถนาพระโพธิญาณ อาตมาที่ตามมาทำหน้าที่ ก็เกิดใกล้เคียงกัน จึงเท่ากับเป็นพระโพธิสัตว์ไปโดยปริยาย เรียกว่าเป็นแบบตกกะไดพลอยโจน ในเมื่อหลวงพ่อท่านเปลี่ยน อาตมาก็เลยเปลี่ยนบ้างเท่านั้นเอง
ถาม : จะเปลี่ยนเมื่อไรก็ได้ ?
ตอบ : ได้…อยู่ที่เราเอง ถ้าหากกำลังใจมั่นคง จะไปต่อเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าคิดว่าพอเสียที ก็เลิกได้
เพียงแต่ว่าถ้าสร้างมาเยอะแล้ว ต้องไปขออนุญาตพระพุทธเจ้าเพื่อเลิก ถ้าสร้างมาน้อยก็เลิกเองได้ จุดธูปขอลาต่อหน้าหิ้งพระเลย
ถาม : เมื่อไรก็ได้ ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้ก็ได้
ถาม : ยังต้องทำอีกไกลไหม ?
ตอบ : จะเท่าไรก็แล้วแต่ อยู่ที่เราชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบก็ไปต่อเลยไม่มีใครเขาว่า จะมากจะน้อยก็ทำไป ถ้าบารมีน้อยทำมากหน่อยเดี๋ยวก็มากเอง ถ้าบารมีมากอยู่แล้วทำอีกหน่อยเดี๋ยวก็เต็ม เท่านั้นเอง
ถาม : แล้วควรทำสายไหน ?
ตอบ : สายไหนก็ทำไปเถอะ ลงท้ายที่พระนิพพานทั้งหมด
ถาม : ได้หรือคะ ไม่แย้งกัน ?
ตอบ : จะมีอะไรแย้งกัน ? ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระพุทธเจ้าสอนมา ไม่มีแย้งกันแม้แต่นิดเดียว การที่บอกว่าสายนั้นสายนี้ เกิดจากครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือและปฏิบ้ติตาม แต่ว่าทั้งหมดมาจากพระไตรปิฎก มากจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
ถาม : การปฏิบัติที่ติดขัดอยู่ เป็นเพราะดวงหรือกรรม ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เรามาสายพุทธภูมิ เราเรียนเพื่อเป็นครูเขา การจะเป็นครูเขาได้ ต้องรู้ครบถ้วนทุกอย่างจึงจะสอนเขาได้ เพราะฉะนั้น...อะไรที่คนอื่นกระทำได้ไม่ติดขัด เราเองจะยากกว่าเขาอย่างน้อยสี่เท่า...!
ถาม : อย่างน้อยหรือคะ ?
ตอบ : ใช่…เพราะถ้าไม่มีข้อบกพร่องอะไรให้เราได้ศึกษาเรียนรู้เลย แล้วคนอื่นเขาบกพร่องมา เราจะสอนเขาได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น...จึงต้องลำบากกว่าคนอื่นเขาทุกเรื่องแหละ
ถาม : เป็นบททดสอบหรือคะ ?
ตอบ : จะว่าเป็นบททดสอบก็ใช่ จะว่าเป็นการศึกษาความรู้ก็ใช่ ถึงเวลาจะได้นำไปสอนคนอื่นเขาต่อไป ถ้าโดนมาไม่ครบทุกแง่ทุกมมุม จะทำให้สอนเขาได้ไม่ทั่ว
ถาม : จะถึงเมื่อไร ?
ตอบ : ถ้าเราเร่งสร้างในส่วนที่เป็นบุญใหญ่จะเร็วขึ้น ถ้ายังปล่อยเรื่อย ๆ ก็ช้าอยู่ เพราะฉะนั้น...ไม่มีใครบอกได้แน่ ๆ
ถาม : ส่วนใหญ่ที่ต้องทำคือเรื่องไหน ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ ในส่วนของบุญใหญ่ เช่น อาจจะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมา หรือทำการสังคายนาพระไตรปิฎกอะไรทำนองนั้น
ถาม : ก็มีร่วมสร้างกับเขา ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ ร่วมสร้างก็ได้ หรือกำลังพอก็ทำเอาเองเลย วิ่งใส่บุญทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่อย่าทิ้งการภาวนา เพราะการภาวนาเป็นบุญใหญ่ที่สุด
ถาม : ตอนนี้โยมมาถูกทางหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ายังไม่พ้นกรอบของศีล ๕ ก็มาถูก ฉะนั้น...เราต้องรักษาศีลพร้อมกับการภาวนา ไหลตามโลกไปก็อย่าให้เกินกรอบของศีล ถ้าไปตรงไหนแล้ว เขาบอกว่าจำเป็นต้องละเมิดศีล เราก็ไม่ไปด้วยหรอก
ถาม : เราควรจะเลือกใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าหากเป็นในหน้าที่การงานต่าง ๆ ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ใช้คำว่าปฏิสัมพันธ์กันให้น้อยที่สุด เพื่อรักษาอารมณ์ใจของเรา ถ้าหากไม่ใช่ในเรื่องของหน้าที่การงาน เราจะหลีกคนเลี่ยงคนอย่างไรก็อยู่ที่เรา
คนอื่นอาจจะว่าเราถือเนื้อถือตัว หรือเก็บตัวก็ช่างเขา รอกำลังใจให้เข้มแข็งกว่านี้ค่อยไปว่ากันอีกที
ถาม : ตอนนี้ก็ไม่ได้ผิดศีลอะไร ?
ตอบ : ตราบใดที่ยังรักษาศีลได้ก็ยังไม่ผิด ผิดอยู่อย่างเดียว คือยังไม่บรรลุมรรคผล...!
*************************
ถาม : ตัวเองมีอะไรที่เป็นมิจฉาทิฐิบ้าง ?
ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงมรรคผล ความเป็นมิจฉาทิฐิมีอยู่ทุกคน มีมากมีน้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปกังวลหรอก เราใช้ศีลเป็นกรอบ ใช้สมาธิเป็นเครื่องช่วยเหลือ ท้ายสุดก็ใช้ปัญญา
ดูว่าสิ่งไหนเป็นความดีอย่างแท้สุดหรือเปล่า อันไหนเป็นความดีแท้ เราก็ทำเข้าไป อันไหนไม่ดีแท้ ก็พยายามละ พยายามวาง
ถาม : ติดขัดเรื่องเงิน ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่าให้เอาไว้แล้ว คาถาเงินล้าน ภาวนาคาถาเงินล้านแทนคำภาวนาอื่นไปก่อน อย่างน้อยให้ได้วันละ ๑๐๘ จบทุกวัน ถ้าทำได้สม่ำเสมอสองเดือนติดกัน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีตั้งแต่ปัดอุปสรรค รักษาทรัพย์ ฯลฯ
ถาม : จิตลึก ๆ ยังอยากจะช่วยคนอยู่ ?
ตอบ : ให้ทำเท่าที่ทำได้ ดูด้วยว่าอย่าทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนคือ อย่าให้เกินกำลัง นั่นแหละเขาเรียกว่า ทำแบบคนมีปัญญา ถ้าคิดจะช่วยโดยที่ไม่ได้ดูว่าตัวเองเดือดร้อนหรือเปล่า อันนั้นปัญญาน้อยไปหน่อย
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : จำไว้ว่าอย่าอยากดีจนเกินไปอยากดีก็ไปสำนักนั้นบ้าง สำนักนี้บ้างไปเรื่อย ๆ เราอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติไปเรื่อย แล้วก็ทำไปไม่ถึงไหนเลย
ยึดหลักอะไรให้ได้สักอย่าง แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไปเลยจะได้เร็ว ทางลัดไม่มี คนช่วยให้เราทำได้ไม่มี มีแต่ต้องใช้คามพยายามตวเองทเ่านั้น เพราะฉะนั้น...ที่ไหนเขาบอกว่ามีทางลัด สามารถที่จะลัดหนทางได้ ช่วยให้บรรลุเร็ว ๆ ได้นี่อย่าไปเชื่อ ถ้าหากช่วยอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าท่านช่วยเราไปหมดแล้ว
ถาม : เรื่องสัญญา จะช่วยคนได้ไหม ?
ตอบ : อาตมาไม่เอาอะไร เพราะถือว่าเลยไปแล้ว เสียเวลาไปคิด ตั้งหน้าตั้งตาทำปัจจุบันให้ดี อนาคตดีแน่นอน มัวแต่ไปติดสัญญาอยู่ จะเอาตัวไม่รอด
ถาม : เรื่องคู่บารมี ?
ตอบ : ไม่เป็นไร จะช้าจะเร็วก็จะมีไปเอง ถึงเวลาวาระบุญวาระกรรมจะส่งมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปดิ้นรนไขว่คว้า
ถาม : ตอนนี้ยังไม่มีเลย ?
ตอบ : ไม่มีเลยแหละดี
ถาม : อยากจะให้มีก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : อย่าหวังพึ่งคนอื่น ถ้าหวังพึ่งคนอื่นเดี๋ยวก็ไปคว้าเอาคู่มา จะไปไหนไม่รอด ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราให้เต็มที่ เดี๋ยวทุกอย่างจะมาเอง
ถาม : ไม่มีใครช่วยใคร ต้องทำด้วยตัวเอง ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลย สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย คนจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตัว บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคหนึ่งบริสุทธิ์นั้นไม่ได้ ต้องทำเอง
ถาม : เรื่องผู้ชาย ถ้าไม่มีจะดีใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เรื่องผู้ชาย ถ้าเข้ามาเมื่อไรจะยุ่งเมื่อนั้น ยกเว้นเราตั้งใจจะให้เขาเป็นเนื้อคู่ เพราะผู้หญิงกับผู้ชาย โอกาสที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องเป็นไปได้ยาก เดี๋ยวกระแสกรรมจะชักนะให้เสียไปเปล่า ๆ
จำไว้ว่าอย่ากลัวการอยู่คนเดียว ถ้ามัวแต่กลัวอยู่ กลายเป็นตัดสินใจผิด ๆ พลาด ๆ เดี๋ยวจะเดือดร้อนไปเอง ส่วนใหญ่จะไปคิดว่า เดี๋ยวแก่ไปไม่มีใครดูแล เจริญ...กลายเป็นแก่แล้วต้องไปดูแลเขา จะซวยซ้ำซวยซ้อน
ถาม : คู่บารมีนี่ไม่มีใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีก็หาได้ บอกแล้วว่าบุพเพสันนิวาส เขาเรียกว่าคู่บารมี คือมาตั้งแต่ชาติก่อน ส่วนอีกอย่างคือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ในเมื่อไม่มีในอดีต เราก็หาในปัจจุบันได้
นี่แสดงว่าสู้แม่ชีที่วัดไม่ได้ แม่ชีสมศรีน้ำหนักประมาณร้อยกิโลกรัม สึกไปอาตมาก็ถามว่า “เอ็งอ้วนขนาดนี้จะสึกไปทำซากอะไร มีผู้ชายไหนจะมาแต่งด้วย ?” เขาบอกว่า “แค่ผู้ชาย...เดินรอบตลาดรอบเดียวก็หาได้แล้ว...!”
เขาไปเดินพักเดียวก็พามาจริง ๆ อะไรจะมั่นใจตัวเองได้ขนาดนั้น แล้วเขาก็แต่งงานอยู่กินกันมาจะสิบปีแล้ว ตลกมากเลย...ตอนแรกอาตมาก็นึกว่าเขาพูดเล่น
ถาม : แต่ลึก ๆ คิดว่าเป็นห่วง ?
ตอบ : เดี๋ยวก็แพ้ใจตัวเอง โอกาสที่เราจะมีปัญญา มีกุศลกรรม เห็นทุกข์ของการครองคู่นั้นน้อย ส่วนใหญ่มีแต่อกุศลกรรมจะกระหน่ำซ้ำเติมให้เราคิดผิด ทำผิด
ลองดูคนรอบข้างเราสิ เขาแต่งงานไป กี่คู่ที่มีความสุข ? คู่ไหนที่ไม่ทะเลาะกันบ้างไหม ? คู่ไหนที่ไม่บ้านแตกสาแหรกขาด ? โดยเฉพาะคนสมัยนี้ความอดทนน้อย หม้อข้าวยังไม่ทันจะดำเลย เลิกกันแล้ว...!
สมัยนี้ดันไปเล่นไมโครเวฟ ก็เลยไม่ทันดำจริง ๆ ก็หย่ากันแล้ว...ไปได้แล้ว เลิกคุย มัวแต่ไปวิตกกังวลอยู่ เสียเวลาทำมาหากิน ไปนั่งภาวนาดีกว่าไป จะได้บรรลุเร็วหน่อย...!
ถาม : ถ้าลาพุทธภูมิจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าลาเรื่องยุ่ง ๆ ข้างนอกจะลดน้อยลง แต่การปฏิบัติก็ยังคงมาแบบเดิม คือไปช้ากว่าคนอื่นเขา
*************************
ถาม : อากาสานัญจายตนะกับอากิญจัญญายตนะ ต่างกันอย่างไรครับ เพราะว่าว่างเหมือนกัน ?
ตอบ : อากาสานัญจายตนะว่าง เพราะเราจับความว่างของอากาศ อากิญจัญญายตนะว่าง เพราะเราใช้ปัญญาพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ
พวกที่ถามโดยไม่ทำนี่นอกจากจะปัญหามากแล้ว ในเมื่อตัวเองทำยังไม่ถึง ถามไปแล้วก็ลืมหมด...!
*************************
“ตำแหน่งของกุฏิเจ้าอาวาส ควรอยู่ตำแหน่งหลังซ้ายของพระประธาน และพระประธานหันหน้าทิศตะวันออกเท่านั้น
ถ้าจะเอารวย กุฏิเจ้าอาวาสควรอยู่ด้านหลังซ้ายของพระประธาน ถ้าจะเอาดัง ก็อยู่หน้าซ้ายหรือหน้าขวาของพระประธาน ได้สามมุมนี้เท่านั้น นอกนั้นไม่เหมาะสักมุม เพราะมีแต่ทิศโจร ทิศปาราชิก ทิศทุคตะ ทิศมรณะ ทิศกาลกิณี”
แต่ว่าตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุงต่างกับตำราอื่น โดยเฉพาะมุมรวยนี้ตรงกันข้ามเลย มุมรวยตามแบบของหลวงพ่อนั้น ตำราอื่นเขาว่าอยู่แล้วจน...!
ถาม : เนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นสัญญา ?
ตอบ : เป็นการใช้กำลังของสมาธิบังคับร่างกาย เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาก็ทำเป็นเหมือนกับไม่รู้สึก
ถาม : ทุ่มเทกำลังสมาธิไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือครับ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้เอง ประเภทที่หมอผ่าตัดแล้วไม่ร้องโอ๊ยก็ใช้ได้ ไม่อย่างนั้นคนไม่เคยกินแล้วมาถามว่า อาหารนี้รสเป็นอย่างไร ? ตอบไปก็เหนื่อยเปล่า...!
*************************
ถาม : คาถาเงินล้านมีผลในด้านใด ?
ตอบ : มีความคล่องตัวในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่
ถาม : หน้าที่การงานติดขัดมาก ?
ตอบ : ไปทำเอา..ถ้าทำจริง ๆ ภายในสองเดือนได้ผลแน่
ถาม : มีคำแนะนำ ?
ตอบ : ไม่มี ทำอย่างเดียวเลย อย่าเสียเวลาถาม
*************************
ถาม : พ่อผมเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ท่านบอกว่าจะไปผ่าตัด แล้วก็พูดในทำนองสั่งเสีย ผมแนะนำท่านว่าให้ลองรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ท่านก็ปฏิเสธอ ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ปล่อยท่านไป บอกว่าทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ผมให้หมด ถ้าจะผ่าก็ผ่าไปเถอะ ผมจะไม่ไปดูดำดูดีเลย...!
ในเมื่อท่านไม่เชื่อ แนะนำไปจะมีประโยชน์อะไร เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว จำเอาไว้ให้แม่น ๆ ทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความล้มเหลว เราได้ทำแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ
*************************
ถาม : ทำไมฤกษ์ยามจึงเกี่ยวข้องกับชะตา ?
ตอบ : เหมือนกับการข้ามถนน ถ้าเราข้ามถนนตอนรถว่าง ๆ ก็เดินข้ามได้อย่างสบายใจ ถ้ารถมาเยอะ ๆ ข้ามไม่ดีก็อาจจะโดนรถชนกองอยู่ตรงนั้น
ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้เกี่ยวกับวาระบุญวาระกรรม ส่วนใหญ่ฤกษ์ยามเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ที่เขาดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่าง ๆ การเคลื่อนที่ของดวงดาวมีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์ โดยเฉพาะมีอิทธิพลต่อมนุษย์เป็นปกติอยู่แล้ว
เราดูแค่ว่าดวงจันทร์อย่างเดียว ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้ แม้กระทั่งผู้หญิงก็มีรอบเดือนใน ๒๘ วัน ตามการโคจรของดวงจันทร์ เพราะฉะนั้นดาวทุกดวงมีอิทธิพลต่อพวกเราอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้หรือไม่รู้เท่านั้น
พวกบรรดาโหราศาสตร์ เขาเก็บสถิติเรื่องนี้ต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี แล้วบัญญัติเป็นโหราศาสตร์ ถามว่าเชื่อถือได้เท่าไร ? เต็มที่ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องชำนาญจริง ๆ ถ้าพวกไม่ชำนาญ เดามั่ว เชื่อได้สัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าเก่งแล้ว
สาเหตุที่บอกว่าเกี่ยวข้องก็คือ ถ้าเลือกจังหวะที่ดีที่เหมาะสม เหมือนกับว่าได้รับการหนุนเสริมจากกำลังของดวงดาวพวกนี้ สิ่งที่เรทำก็จะสะดวกและเจริญรุ่งเรือง
แต่ถ้าเลือกจังหวะผิด เหมือนกับเราไปต้านเขาพอดี แทนที่จะไปตามน้ำ ก็ไปเดินทวนน้ำ เราก็จะเหนื่อย ลำบาก ถ้าหากกำลังไม่เข้มแข็งพอ ทุนไม่ยาวพอ อาจจะหมดสภาพเสียก่อน
ถาม : พวกที่ขโมยของวัด เทวดาที่อยู่ประจำวัด ทำไมท่านจึงไม่ช่วย ?
ตอบ : เทวดาท่านไม่ได้มีหน้าที่ป้องกันขโมยนะ ป้องกันขโมยเป็นหน้าที่ตำรวจ เทวดายอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ
ถ้าเจ้าอาวาสไม่มีการบวงสรวงบอกกล่าวแสดงซึ่งความเคารพนับถือและขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ เทวดาท่านก็จะปล่อยวางให้เป็นไปตามวาระของกรรม
แต่ถึงจะมีการขอให้ช่วยสงเคราะห์ก็ตาม ถ้าเป็นวาระกรรมจริง ๆ ท่านก็ไม่ยุ่งเกี่ยว ต้องปล่อย แต่ถ้าไม่ใช่วาระของกรรมหนัก สามารถสงเคราะห์ผ่อนหนักเป็นเบา ผ่อนเบาเป็นหายได้ ท่านก็จะช่วย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสคนเดียว ถ้าเจ้าอาวาสไม่ให้ความเคารพ ไม่มีการบวงสรวงบอกกล่าวขอให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมองไม่มีการบอกแขกช่วยแบกหาม แขกก็นั่งมองอย่างเดียวเท่านั้น
*************************
ถาม : อยากรับยันต์เกราะเพชรที่บ้าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : พอถึงเวลาให้ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย กราบพระสวดมนต์แล้วอธิษฐานว่า สิ่งใดที่พระท่านสงเคราะห์มา เราขอรับทั้งหมด และภาวนาพุทโธสักครึ่งชั่วโมง
ถาม : ระหว่างวันอมฤตโชค วันมหาเศรษฐีฤกษ์ และวันสิทธิโชค ควรจะเปลี่ยนชื่อวันไหนครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนวันไหนก็ได้ ไม่ต้องดูฤกษ์หรอก อ้อ...ดูเอาไว้นิดก็แล้วกันว่า อย่าให้ตรงกับวันเสาร์ อาทิตย์ เจ้าหน้าที่เขาไม่มาทำงาน...!
ถาม : การเปลี่ยนชื่อกับความสำคัญของแต่ละวัน ไม่เท่ากันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การเปลี่ยนชื่อ อาตมายังไม่เห็นว่าสำคัญเลย ถึงเปลี่ยนไปเพื่อนก็ยังเรียกแต่ชื่อเก่า...!
มีโยมคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อมา ๔ ครั้งแล้ว ยังไม่ดีสักทีหนึ่ง แล้วมาถามว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งที่อุตส่าห์ไปดูชื่อที่ถูกโฉลกที่สุดแล้ว อาตมาจึงบอกว่า “เอ็งเลิกเปลี่ยนชื่อ แต่ไปเปลี่ยนความประพฤติ เปลี่ยนสันดานแล้วจะดี...!” เขาเปลี่ยนชื่อแล้วแต่ยังสันดานเสียเหมือนเดิม แล้วจะไปเอาดีได้อย่างไร
*************************
ถาม : คนที่ตายแล้ว ทำไมบางศพแข็ง บางศพก็ไม่แข็ง ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามหลักการแพทย์ คนที่ตายสบายไม่มีความทุกข์ทรมานกล้ามเนื้อจะไม่เกร็งตัว คนไหนเจ็บปวดทรมานมาก กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งก็แข็งเร็ว นี่ว่ากันตามหลักแพทย์ เรื่องอื่นอย่าว่ามาก เดี๋ยวจะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่
ถาม : เห็นเขาว่า คนที่ตายแล้วศพไม่แข็งเป็นคนที่มีบุญ คนที่แข็งก็มีบุญไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายมีความเจ็บปวดหรือเปล่า ถ้าเจ็บปวดมาก กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งก็แข็งตัวเร็ว
หลังจากหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพไป ๙๖ วัน อาตมาทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าครองให้ท่าน ตั้งใจว่าทำเป็นครั้งสุดท้าย ก็จะผนึกโลงไปเลย พอครบร้อยวันจะได้อัญเชิญท่านไปที่วิหารร้อยเมตร
ปรากฎว่า หมวดบัง (ร้อยตรีนที ทนุวงษ์) เห็นว่าหมอนที่หลวงพ่อหนุนอยู่ไม่น่าดู จะเปลี่ยนใบใหม่ให้ เขาก็ดึงหมอนออก คิดว่าหลวงพ่อคงจะค้างแข็ง ที่ไหนได้...หลวงพ่อหงายคออ่อนพับลงไป
เขาก็ร้องตกใจ “เฮ้ย...!” อาตมาก็ถามว่า “อะไรของมึงวะ ?” “ตกใจ...คิดว่าป๋าหัวหลุด” พวกเราสามารถจะยกแขนยกขาท่าน ทำความสะอาดได้เหมือนคนปกติ เพียงแต่ว่าปลายนิ้วของท่านจะดำ ๆ เหี่ยว ๆ และปลายจมูกจะเหี่ยว ๆ หน่อย นอนกนั้นลักษณะท่านเหมือนคนนอนหลับปกติ นับว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะผ่านไปตั้ง ๙๐ กว่าวันแล้ว
อาตมามีโอกาสเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงพ่อ ตั้งใจว่าวันสุดท้ายแล้ว จะหาผ้าอย่างดีที่สุดที่มีมาเปลี่ยน อาตมาไปได้ผ้าไตรแพรราคา ๗,๕๐๐ บาทมา ก็ย่อง ๆ จะไปเปลี่ยนให้ ปรากฎว่ามีนักเลงดีเดินตามมา
หันไปดู เห็นเขานำผ้าไตรใส่พานมา “เฮ้ย...ผ้าไหมหรือ?” เขาบอกว่า “ครับ...ไหมโคราช ราคาสองหมื่นครับ...!” อาตมาจึงต้องยกสิทธิ์ให้เขาไป นำผ้าไหมเขาไปเปลี่ยนให้หลวงพ่อ แต่เรื่องอะไรจะยอม ในเมื่อตั้งใจมาถวายแล้ว เก้เอาผ้าของเราปูผืนหนึ่ง ห่มให้ท่านผืนหนึ่ง
ความจริงคนที่น่าจะมีผ้าครองหลวงพ่อมากที่สุด น่าจะเป็นหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ประทีปเก็บผ้าครองอย่างดีเลย พับ ๆ ใส่ถุงปุ๋ย เย็บปากไว้เลย เพราะมีการเปลี่ยนผ้าครองให้หลวงพ่อทุกวัน เป็นเวลาตั้ง ๙๐ กว่าวัน
ปรากฎว่าตอนที่น้ำท่วมวัด หลวงพี่ประทีปให้คนไปทำความสะอาด คนทำความสะอาดเห็นกระสอบเละ ๆ มีแต่จีวรเปื้อนโคลน เขาก็เลยเอาไปทิ้ง หลวงพี่ประทีปเจอหน้าก็บ่นแหลก “กูไม่น่าปล่อยไอ้พวกโง่ไปทำความสะอาดกุฏิเลย เอาของกูไปทิ้งหมด”
*************************

|